Maybe I'm just a fool
I should keep to the ground,
I should stay where I'm at
Maybe everyone has hunger like this and the hunger will pass
But I can't think like that
: Flight - Craig Carnelia
Group Blog
 
 
เมษายน 2551
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
19 เมษายน 2551
 
All Blogs
 
The Cycle บทที่ 4 - ลูกชายของฉัน

บทที่ 4 - ลูกชายของฉัน


วิชช์ก้มลงอ่านที่อยู่ในมืออีกครั้ง และเขาก็ทาบนิ้วลงบนหมายเลข 899 ที่เรืองอยู่บนป้ายดิจิตอลตรงหน้า แรงกดและความร้อนนั้นจะส่งกระแสสัญญาณเข้าไปที่ตัวกริ่ง เรียกบุคคลใน ‘บ้าน’ ให้รู้ตัว

ความจริง...เมื่อชายหนุ่มมองไปรอบๆ ตัวแล้ว เขาไม่คิดว่าที่นี่เหมือนบ้านเท่าไรนัก สกายไดรฟ์เป็นย่านที่พักอาศัยราคาปานกลางห่างเขตแนวทางการบินของยานเดินอากาศไม่มาก พื้นที่ของแต่ละยูนิตค่อนข้างเล็ก เมื่อมองจากภายนอกก็เหมือนเอาแคปซูลยาขนาดยักษ์สีเงินมาวางเรียงซ้อนกันเป็นตับ มีแนวทางเดินฉวัดเฉวียนวุ่นวายอยู่ด้านหน้าและผู้คนขวักไขว่ตลอดวัน เบื้องบนเหนือทางเดินคือแผงแสงสังเคราะห์ เพราะแสงอาทิตย์ริบหรี่มืดมัวจากเมฆควันแทบไม่มีทางส่องลงมาถึงที่นี่

บานกระจกใสที่กั้นกลางระหว่างทางเดินโลหะรูปโค้งลอยกับอาคารรูปคล้ายแคปซูลสะท้อนแสงสังเคราะห์เป็นเงาเลื่อมตรงหน้าเขาเลื่อนเปิดออก ตามด้วยแผ่นโลหะเบาสีเงินที่ซ้อนกันอีกชั้น และเด็กสาวอายุราวสิบแปดหรือสิบเก้าปีผู้หนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นหลังประตูบานนั้น ผมสีน้ำตาลหยักศกรวบตึงเรียบเน้นวงหน้ารูปไข่และโครงคิ้ว จมูก เรียวคม ทว่าที่สะดุดตาวิชช์แต่แรกเห็นคือดวงตาสีเทาเงินเหมือนปรอทจ้องแน่วแน่ตรงมา เสียงเอ่ยบอกความเฉียบขาด เด็ดเดี่ยวแบบคนที่ยืนอยู่บนขาตนเองมาเสมอต้นเสมอปลาย

“มีธุระอะไรคะ”

“ผมมาพบคุณเจเน็ต ชไนเดอร์”

“คุณบอกว่าคุณมาพบคุณเจเน็ต ชไนเดอร์?”

เสียงย้ำทวนคำอีกครั้งคล้ายเจ้าตัวจะคิดไม่ถึงและไม่เข้าใจเจตนา คิ้วเรียวสวยขมวดเข้านิด หากเมื่อวิชช์พยักหน้าและย้ำนามนั้นอีกเที่ยว หล่อนก็ยื่นมือออกมาสัมผัสมือเขาและเบี่ยงกายเปิดทางให้เขาก้าวเข้าไปข้างใน เสียงตอบรับสุภาพ

“เชิญข้างในก่อนค่ะ”

**********

ที่พักในแบบแคปซูลตามมาตรฐานทั่วไปเป็นห้องโล่งกว้างห้องหนึ่ง สุดแล้วแต่เจ้าของจะตกแต่งใส่อะไรเข้าไปบ้างหรือวางอะไรอยู่ตรงไหน สำหรับห้องที่วิชช์ก้าวเข้ามานี้ได้รับการตกแต่งอย่างเรียบง่าย...เกือบจะเรียกว่าไม่ได้แต่งอะไรเลยมากกว่า

ราวกับว่าคนที่อยู่ใน ‘บ้าน’ หลังนี้ไม่มีชีวิตจิตใจเป็นของตนเอง

เด็กสาวก้าวลิ่วๆ ผ่านเขาเข้าไปยังมุมหนึ่ง หยิบถ้วยกาแฟสองใบออกมา วางใบหนึ่งใต้ท่อโลหะโค้งท่อเล็กแล้วจึงกดปุ่มเครื่องชงอัตโนมัติที่บนเคาน์เตอร์ ชั่วไม่กี่วินาทีน้ำสีเข้มจนเกือบเป็นดำ...กลิ่นหอมกรุ่นก็ไหลลงไปในถ้วย หล่อนเอ่ยโดยไม่ได้เงยหน้าขึ้นมองเขา

“คุณทานกาแฟได้ไหมคะ เราไม่มีอะไรติดบ้านอยู่มากนัก”

“ยังไม่รับละครับ แต่ขอบคุณ”

ชายหนุ่มตอบสั้นๆ และดวงตาสีเทาเงินเป็นเงาวามนั้นก็ตวัดขึ้นมองเขาเหมือนจะพิเคราะห์ หล่อนเก็บถ้วยลงใบหนึ่งอย่างคนที่ยอมรับอะไรง่ายๆ โดยไม่ต้องถามเหตุผล และถือถ้วยใบของหล่อนเดินกลับมาตรงหน้าเขา หย่อนกายลงนั่งบนเก้าอี้ตัวสูง ชี้ให้ชายหนุ่มนั่งลงบนอีกตัวหนึ่งก่อนที่หล่อนจะแนะนำตัว

“ดิฉันเอลีส ชไนเดอร์ค่ะ เป็นลูกสาวแม่เจเน็ต”

“วิชช์ เชสเชอร์”

เขาตอบ สั้นลงไปกว่าเดิมอีก แล้วชายหนุ่มจึงยอมขยายความเมื่อเห็นสายตาสงสัยที่ส่งมา แม้หล่อนจะไม่พูดอะไร

“ผมเป็นนักวิทยาศาสตร์ของ HEAS รับผิดชอบโครงการที่ผมทราบมาว่าคุณเจเน็ตเคยทำ”

เอลีสทำเสียงรับรู้ในคอ ดวงตาสีเงินเป็นเงายังไม่ละไปจากหน้าเขาแม้ยามเมื่อหล่อนยกถ้วยขึ้นจิบและเอ่ยออกมาในที่สุด

“แล้วคุณต้องการพบแม่ เพื่ออะไรคะ?”

“ผมต้องการทราบข้อมูลบางอย่างที่ผมคิดว่าคุณเจเน็ตอาจทราบ” วิชช์ตอบเรียบๆ เจตนาไม่ให้ความกระจ่างมากกว่าเดิมเท่าไรขณะที่เขาย้อนกลับไป

“ในทะเบียนกลางบอกว่าคุณเจเน็ตยังไม่ได้แต่งงาน”

“คุณคงสงสัยเรื่องดิฉัน”

เอลีสใช้ปลายเล็บเคาะถ้วยเบาๆ รอยยิ้มน้อยๆ ปรากฏที่มุมปากเมื่อหล่อนเอ่ยเรียบง่าย เฉลยข้อข้องใจของเขา

“ดิฉันเป็นเด็กสร้างในห้องทดลอง ที่เขาเรียกกันสั้นๆ ว่า Sci-child ไงคะ ในกรณีของดิฉัน HEAS สร้างดิฉันขึ้นมาเพื่อให้ดูแลแม่”

จบคำเด็กสาวก็ผลุดลุกขึ้นยืน วางถ้วยกาแฟลงบนโต๊ะใกล้มือและก้าวผ่านไปที่ผนังกั้นภายในผนังหนึ่ง ทาบนิ้วลงบนปุ่มเล็กๆ ข้างรอยแยกเส้นบางเรียว ก่อนเส้นตรงนั้นจะแหวกออกเผยให้เห็นห้องด้านใน ดวงหน้านั้นเหลียวกลับมา และดวงตาสีเทาประกายก็มีรอยแห่งการเชื้อเชิญ

“ตามดิฉันเข้ามาสิคะ แม่อยู่ข้างใน”

*********

ห้องนั้นมืดสลัว แต่เมื่อเอลีสแตะมือลงที่ผนังหนึ่ง ผนังทั้งแผงก็กลับสว่างเรืองขึ้นเหมือนมีประจุไฟฟ้าแล่นภายใน ส่องให้เห็นภาพของร่างร่างหนึ่งซึ่งนั่งตัวตรงอยู่ในรถเข็น ดวงตาสีเทาเงิน...สีเดียวกับของบุตรสาวทอดออกเลื่อนลอยยามหล่อนผินหน้ามาช้าๆ แล้วมองนิ่งอยู่ที่เขา แต่ประกายแห่งความมุ่งมั่นฉลาดเฉลียวนั้นหายไป แทนที่ด้วยความว่างเปล่าจนวิชช์รู้สึกเย็นวาบไปทั้งตัว

ร่างที่นั่งนิ่งในรถเข็นของหญิงวัยสี่สิบสองปี ผมสีฟางซึ่งเคยซอยสั้นให้ความรู้สึกปราดเปรียวกระฉับกระเฉงบัดนี้แซมแทรกสีขาวยาวเลื้อยลงมาถึงไหล่ ดูแผกไปจากภาพที่เขาเห็นในจอเสมือนจนวิชช์ก็ยอมรับ...ถ้าเขาไม่รู้มาก่อนว่านี่คือเจเน็ต ชไนเดอร์ เขาจะไม่มีวันคิดว่านี่คือหญิงสาวคนนั้น...ผู้ที่ยืนหยัดกับสิ่งที่หล่อนเชื่อมั่นจนกระทั่งกล้าท้าทายความตาย

และผลที่เจเน็ตได้รับคือสิ่งที่เขาเห็นอยู่ตอนนี้ หล่อนตายไปในอีกรูปแบบหนึ่ง

“แม่คะ นี่คุณวิชช์ เชสเชอร์ เขาอยากคุยกับแม่”

เอลีสคุกเข่าลงข้างเก้าอี้เข็น แล้วหล่อนจึงยกมือขึ้นแตะแขน ‘มารดา‘ ทางวิทยาศาสตร์แผ่วเบา เสียงเอ่ยอ่อนโยนจนไม่น่าเชื่อว่าหล่อนเป็น Sci-child ที่รู้กันทั่วไปว่าไม่มีความรู้สึกใดนอกเหนือหน้าที่ของตน

Sci-child ทุกคนที่เขารู้จักถูกสร้างขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์เฉพาะ เกิดและโตมากับหน้าที่ เฉพาะหน้าที่...

แต่ใครก็ตามที่สร้างเด็กสาวคนนี้มา...คงเป็นคนประเภทที่เหลือน้อยมากใน ERA-R คือมีหัวใจอ่อนไหว...

เจเน็ตขยับริมฝีปาก พึมพำคำที่เขาไม่ได้ยิน แต่เมื่อเอลีสเอียงหน้าเข้าไปกระซิบซ้ำที่ริมหูอีกครั้ง หล่อนก็พยักหน้า ละล่ำละลักออกมา ในดวงตามีริ้วรอยตกตื่นขึ้นเล็กน้อย

“HEAS คุณมาจาก HEAS ไม่...ฉันไม่ให้เคลย์กับคุณ ฉันไม่...”

“คุณเจเน็ตครับ”

ชายหนุ่มก้าวเข้าไปใกล้รถเข็นและคุกเข่าลงนั่งตรงหน้าหล่อน ดวงตาสีเข้มคมจ้องตรงและมืออุ่นแข็งแรงก็แตะลงบนท่อนแขนเหมือนจะเรียกสติ

“ผมไม่ทราบเรื่องเคลย์ ผมมาที่นี่เพราะผมเป็นคนรับผิดชอบ The L-Project อยู่ตอนนี้ ผมได้ข้อความที่คุณฝากไว้ในจอเสมือน คุณบอกว่ามันเป็นโครงการเงา...”

ท่ามกลางความงุนงงของเอลีส ร่างของเจเน็ตก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันควัน หล่อนหลบตา พึมพำ

“ฉันพูดอะไรไม่ได้ ฉัน...”

“ผมไม่มีเจตนาจะทำร้ายคุณครับ ผมแค่ต้องการทราบความจริง ความจริงที่คุณคนเดียวรู้”

คำว่า ‘ความจริง’ ดูเหมือนจะเสียดแทงเข้าไปกลางใจสตรีผู้นั้น เพราะหล่อนสะดุ้ง ตาสีเทาเงินเลื่อนลอยว่างเปล่านั้นเปลี่ยนมาจับที่หน้าคมคายของชายหนุ่มเขม็ง และเจเน็ตก็กำแขนเขาแน่น เขย่าแรงเหมือนตื่นกลัว เสียงละล่ำละลักจากปากไร้สติ หากหนักแน่นจริงจังจนน่าขนลุก ไม่ผิดกับคำวอนเร้นลับในจอเวอร์ชวลเรียลลิตี

“คุณเห็นใจฉันใช่ไหม คุณจะช่วยฉัน ช่วยลูกชายฉัน ช่วยเขา... มันจะทำร้ายเขา มันจะเปลี่ยนเขา เพราะฉันบอกความจริง... ไม่...อย่าเอาเคลย์ไป ฉัน...”

“แม่คะ ลูกจะไม่ให้ใครเอาเคลย์ไปทั้งนั้น”

เอลีสรีบขัดขึ้นขณะรวบกอดมารดาเอาไว้แน่นเหมือนจะยั้งให้สงบลง แล้วหล่อนก็กระซิบที่ริมหู “ลูกจะดูแลเคลย์...จะดูแลน้องเอง...”

“เธอ...” ริมฝีปากคู่นั้นของเจเน็ตพึมพำ และดวงตาสีเทาเงินก็อ่อนประกายลงเมื่อทวนคำ “ลูก...ลูกหรือ?”

“ค่ะ เอลีส ลูกสาวแม่...”

“แม่เหนื่อย แม่จำไม่ได้...”

เจเน็ตยกมือขึ้นลูบหน้าแล้วจึงย้ำคำ “แม่จำไม่ได้ ลูกสาว...ลูกสาว เอลีส ไม่... ฉันมีลูกชาย ลูกชายของฉัน...”

“แม่คะ” เอลีสหลับตาลง ริมฝีปากกระตุก...สั่นนิดหนึ่งอย่างที่วิชช์ดูไม่ออกว่าเป็นอารมณ์ใดแน่ แล้วหล่อนจึงขยับตัวห่างออกมา เอ่ยด้วยเสียงจริงจังมั่งคงขึ้น แต่ยังแฝงความอ่อนโยนทะนุถนอมไม่คลายเมื่อหล่อนลืมตาสีเทาเงินคู่นั้นขึ้นมองเจเน็ต

“มองตาลูกสิคะ... ว่าเป็นลูกสาวแม่ใช่ไหม แค่มองตา...”

เสียงนั้นเน้นซ้ำๆ อยู่แค่นั้น แต่เมื่อดวงตาทั้งคู่สอดประสานกัน เจเน็ตก็รวบตัวเอลีสเข้าไปกอด เสียงเครือเหมือนจะร้องไห้หลุดออกมาจากปากหล่อน

“ลูกแม่ เอลีส... ลูก...”

**********

“ผมไม่ทราบว่าคุณเจเน็ตเธอเป็นอย่างนี้”

วิชช์ปรารภขณะที่เขาก้าวออกมาจากห้อง เหลียวกลับไปมองเด็กสาวผู้ปิดห้องลงด้วยดวงหน้าสงบและหันมาสบตาเขา หล่อนสวยเหมือนรูปปั้น... เยือกเย็น เกือบจะดูไร้ชีวิต

เพราะความนิ่งในแววตาสีเทาเงินคู่นั้นหรืออย่างไรกันนะ มุ่งมั่นจริง แต่ไม่มีไฟหลอมเหลวในนั้นอย่างดวงตาของเจเน็ตที่เขาเห็นในจอเสมือน

เอลีสก้าวกลับมาที่โต๊ะตัวเดิม ดูหล่อนขรึมลงเมื่อหยิบกาแฟถ้วยเดิมขึ้นจิบ ก่อนที่จะถอนใจและเอ่ย

“ดิฉันจะบอกคุณแล้ว แต่คิดว่าให้คุณเห็นเองจะดีกว่า อีกอย่าง...เผื่อว่าแม่รู้จักคุณ อาการอาจจะดีขึ้น”

วิชช์ทำเพียงพยักหน้าอย่างรับรู้เมื่อเขานั่งลง ในดวงตาสีเข้มยังคงสงบและนิ่งเฉยไร้อารมณ์ยามชายหนุ่มเอ่ยเรียบๆ

“ผมไม่รู้จักแม่ของคุณเป็นการส่วนตัว แค่เคยได้ยินชื่อ ได้เห็นภาพที่เธอฝากไว้ในจอเสมือน ขอโทษด้วยที่มารบกวนคุณ สภาพอย่างนี้คุณเจเน็ตคงตอบคำถามที่ผมอยากรู้ไม่ได้”

“ไม่เป็นไรค่ะ” เอลีสตอบง่ายๆ อย่างคนที่ไม่เคยถือสาอะไรมากมาย และวิชช์ก็รู้สึกสบายใจขึ้นพอที่จะชวนสนทนาต่อไป

“อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงนะครับ คุณเอลีส แต่มีอะไรที่ผมจะช่วยได้หรือเปล่า เรื่องเคลย์...เขาคงเป็นน้องชายคุณ ดูคุณเจเน็ตห่วงเขามาก”

“ไม่ใช่น้องแท้ๆ หรอกค่ะ เรื่องทั้งหมดเกิดขึ้นก่อนดิฉันจะมาอยู่กับแม่ ดิฉันไม่ทราบอะไรมากนัก แต่แม่พูดเรื่องเคลย์บ่อย จนดิฉันพอจับความได้” เอลีสหมุนตัวกลับหันมาทางเขา เขย่าถ้วยกาแฟเบาๆ ดูเหมือนจะเป็นท่าที่เจ้าตัวติดจะทำยามกำลังครุ่นคิด

“เคลย์เป็น Sci-child เหมือนกันกับดิฉัน แต่ที่กลับกันคือเคลย์ไม่ได้เกิดจากยีนของแม่ แม่ถือว่าเคลย์เป็นลูกชายแม่เพราะแม่สร้างเขาขึ้นมาค่ะ แม่เป็นคนหยิบยีนที่มีในตัวเคลย์มาผสมกับมือ พูดง่ายๆ ก็คือแม่เป็นคนเลือกพ่อแม่ ที่เกิดให้เคลย์”

เอลีสหัวเราะเสียงใสกับตัวเอง หล่อนโคลงศีรษะ บอกเล่าต่อ

“แล้ว...จากนั้นดิฉันก็ปะติดปะต่อไม่ค่อยถูก ใครจะเอาเคลย์ไปทดลองอะไรดิฉันไม่รู้ แต่เท่าที่ดิฉันเคยถามพ่อ...หมายถึงคนที่สร้างดิฉันขึ้นมา ดูเหมือนแม่เคยยื่นเรื่องกับ HEAS จะเอาเขามาเลี้ยงแต่ไม่สำเร็จ ต้องปล่อยไป”

“แล้วทำไมคุณเจเน็ตถึงบอกว่า...เพราะเธอบอกความจริง...”

เด็กสาวเงียบไป เหมือนกับหาคำตอบให้คำถามนั้นไม่ได้ แล้วหล่อนก็สารภาพออกมาตรงๆ

“ดิฉันไม่เคยคิดเรื่องนั้น ไม่มีประโยชน์ที่จะสงสัยนี่คะ ยังไงดิฉันก็ไม่มีทางจะไปตามหาความจริงได้ ดิฉันไม่ได้อยู่ใน HEAS แล้วอีกอย่างถึงรู้ มันก็คงไม่ทำให้อาการของแม่ดีขึ้นมา”

ชายหนุ่มพยักหน้าอีกครั้ง แล้วเขาจึงหลุบตาลงนิดหนึ่งเหมือนชั่งใจอะไรบางอย่าง ที่สุดเขาก็เอ่ยเสียงหนักๆ

“ผมคิดว่า...มันน่าจะเกี่ยวกับเรื่องที่ผมอยากรู้ ถ้าความจริงที่คุณเจเน็ตพูดถึงเป็นความจริงเรื่องเดียวกันกับเรื่องที่เธอฝากไว้ในจอเสมือน ก็เป็นไปได้ว่าการตามเรื่องนี้จะทำให้คุณพบเคลย์ และผมคิดว่าคุณเจเน็ตคงอยากพบเขา ถ้าคุณจะร่วมมือกับผม...”

เอลีสมองหน้าเขาเหมือนไม่เชื่อถือ แล้วหล่อนก็หัวเราะออกมาก่อนจะขัดขึ้น

“บอกตรงๆนะคะ ดิฉันไม่คิดว่าเคลย์จะยังมีชีวิตอยู่ แม่พูดอย่างเมื่อกี้หลายครั้ง การทดลองนั่นต้องเป็นเรื่องร้ายแรงมากชนิดที่แม่คิดว่าเคลย์จะไม่รอด”

“แปลว่าคุณจะไม่ช่วยผม”

คำถามเรียบๆ ไม่มีวี่แววของความไม่พอใจ ราวกับเจ้าตัวกะไว้แล้วว่าจะได้รับคำปฏิเสธ ทำให้เอลีสยิ้มน้อยๆ หล่อนยักไหล่

“คุณทราบดี เรื่องนี้ไม่ใช่หน้าที่ของดิฉัน”

“ผมทราบ คุณเป็น Sci-child คนเดียวที่คุณมีหน้าที่จะเกี่ยวข้องคือแม่ของคุณ” วิชช์นิ่งไปอีกนิด แล้วเขาจึงเอ่ยเสียงต่ำ “แต่ผมแปลกใจอยู่อย่าง ทำไมดูเหมือนว่าคุณเจเน็ตไม่ค่อยรับรู้เรื่องของคุณ”

“แม่ไม่ค่อยรู้สึกว่ามีดิฉันหรอกค่ะ อาจจะเป็นเพราะดิฉันถูกสร้างมาด้วยมือคนอื่น อยู่ที่อื่นมาตลอดจนโต ถึงจะมีสายเลือดของแม่ มันก็ไม่ได้มีความผูกพัน”

วิชช์ขมวดคิ้วคล้ายกับสะดุดใจอะไรบางอย่าง แล้วเขาก็ถามเรียบๆ ด้วยเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ

“แล้วทำไม HEAS ถึงต้องสร้างคุณขึ้นมา คุณเจเน็ตร้องขอคุณแทนลูกชายที่เสียไปงั้นหรือ? แต่ดูจากอายุคุณ ผมรู้สึกว่าคุณเกิดก่อนที่เคลย์จะเกิด”

“อ๋อ ใช่ค่ะ ถ้าเด็กคนนั้นมีชีวิตอยู่จนทุกวันนี้ ดิฉันจะแก่กว่าเขาสามปี”

เอลีสพยักหน้า บางอย่างบนดวงหน้ารูปไข่นั้นบอกเขาว่าหล่อนไม่เคยคิดถามคำถามนี้กับตัวเองมาก่อน และเมื่อคิด...หล่อนก็ไม่สามารถสลัดมันออกไป และขณะเดียวกันก็ไม่สามารถให้คำตอบได้

“ส่วนคำถามว่าทำไม ดิฉันไม่เคยทราบ แต่ดูเหมือนกับดิฉันถูกสร้างล่วงหน้าเพื่อให้โตพอจะดูแลแม่ได้เมื่อถึงเวลา เหมือนกับมีใครรู้ว่าในที่สุดแม่จะต้องเป็นแบบนี้ ดิฉันเกิดและโตในอาคารของ HEAS ถูกสอนให้รู้มาตลอดว่าตัวเองเป็นลูกใคร และเกิดมาเพื่ออะไร แต่ดิฉันเพิ่งมาอยู่กับแม่ก็ตอนแม่เป็นอย่างนี้มาได้ห้าปีพอดี ก่อนนั้นแม่คงลำบากมาก”

“ตอนนั้นคุณอายุเท่าไรครับ”

ชายหนุ่มยังคงถามเรียบเรื่อยด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่เห็นสำคัญ และเด็กสาวก็ตอบได้ในทันที

“ตอนนั้นดิฉันอายุเกือบสิบสามปี”

***********

“แล้วผมจะมาเยี่ยมใหม่ ถ้ามีโอกาส”

วิชช์กล่าวคำอำลากับเด็กสาวเป็นประโยคสุดท้าย ก่อนเขาจะก้มศีรษะลงนิดหนึ่งและก้าวออกมาจากห้องห้องนั้น มองดูประตูที่เลื่อนกลับปิดลง แต่เขาก็รู้ว่าความอยากรู้ของเขาไม่ได้ปิดไปตามประตูหรือตามความเข้าใจของเอลีส

ตรงกันข้าม สภาพของสตรีผู้ที่เขาตั้งใจมาพบและข้อมูลบางอย่างที่เขาเพิ่งได้มาจากเอลีสยิ่งทำให้เขาสะดุดใจใน ‘โครงการเงา’ ที่เจเน็ตพูดถึงมากขึ้น

สิบสามลบห้า เท่ากับแปด นั่นคืออายุของเอลีสตอนที่เจเน็ตมีปัญหา

มองในมุมกลับ ถ้าการสร้างเอลีสเป็นส่วนหนึ่งของแผน ก็เท่ากับมีการวางแผนล่วงหน้าถึงแปดปีก่อนเกิดเหตุ

...ห้าปีก่อนที่เจเน็ตจะรับทำโครงการ...

วิชช์ยังรู้สึกเย็นเยือกอยู่ในใจไม่หายเมื่อหมุนตัวกลับก้าวจากไปตามแนวทางเดินคดโค้ง ความหนาวเย็นที่เกิดจากความคิดว่า ถ้าทั้งหมดนี่เป็นความจงใจ ย่อมหมายถึงโครงการมรณะโครงการนี้ถูกวางแผนล่วงหน้าไว้หมดแล้ว ตั้งแต่เจเน็ตเริ่มโดดเด่นมีผลงานใน HEAS หล่อนก็ถูกวางตัวและวางแผนทำลายไปพร้อมๆ กัน

...และถ้านี่ไม่เป็นเหตุบังเอิญ...

มันย่อมหมายถึง HEAS มองหาคนที่จะใช้ เมื่อใช้เสร็จแล้วก็ฆ่าทิ้ง หรือไม่ก็ ‘ทำลาย’ แล้วหยิบยื่นสวัสดิการให้ถ้าหาก ‘ปรานี’

...และเขาก็เป็นคนหนึ่งในนั้น?

แต่นี่เป็นเพียงความเชื่อ และเป็นความเชื่อของคนคนเดียวที่บัดนี้สติไม่สมประกอบด้วยซ้ำ ไม่มีอะไรพิสูจน์ว่าสิ่งที่เกิดกับเจเน็ตและนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆเป็นความจงใจของ HEAS

แต่ถ้าความเชื่อนั้นเป็นความจริง ทางข้างหน้าจะดูตีบตันอย่างไร เขาก็จะไม่ยอมเป็นไปตามชะตาที่ถูกขีดวางอย่างจงใจนั่น!

ตลอดทั้งชีวิตที่ชายหนุ่มเติบโตขึ้นมา เขาอยู่ได้ ก้าวหน้าได้เพราะเขาไม่เคยยอมจำนน และไม่เคยยอมรับชะตากรรมที่ผู้อื่นกำหนดให้ง่ายดาย ไม่เคยเชื่อในลิขิตฟ้า และไม่เคยเชื่อ...ว่าเขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองไม่ได้

เขาไม่เคยหยุด ‘ทดลอง’ จนกว่าจะบรรลุเป้า ทำทุกทาง ไม่ว่าจะวิธีการใดเพื่อไปสู่จุดหมาย

ความพยายาม...เป็นปัจจัยนำมาสู่ความสำเร็จได้พอๆ กับสมอง

...และวันนี้... เขาก็จะไม่ยอมหยุดหาความจริงจนกว่าจะพบ!

วิชช์ล้วงมือลงในกระเป๋า ไม่ได้คิดอะไรนอกจากสำรวจสิ่งที่ยังค้างอยู่ภายในตามความเคยชิน แล้วปลายนิ้วของเขาก็สะดุดกับบางสิ่ง...แข็งและบาง...คอมพิวเตอร์มือถือ

...ใช่ รายงาน...รายงานของโทมัส ลอเรนสันที่เขาลืมไปแล้วว่ามีอยู่ในมือ

นี่เป็นหนทางสุดท้ายแล้วไม่ใช่หรือที่เขาจะคลำหาความจริง และไม่มีอะไรที่ดีไปกว่าทดลองดู

...โทมัสจะพอรู้อะไรบ้างไหม ก่อนตาย?




Create Date : 19 เมษายน 2551
Last Update : 19 เมษายน 2551 21:05:59 น. 1 comments
Counter : 268 Pageviews.

 
พอเจเน็ตพูดถึงเคลย์ขึ้นมา คนอ่านต้องรีบคลิ๊กกลับไปอ่านบทนำใหม่เลยค่ะ เพราะไม่คุ้นชื่อเจเน็ตว่าเป็นแม่ที่พูดกับเคลย์เลย แต่พออ่านบทนี้จบก็เข้าใจมากขึ้น ดูท่าเคลย์จะเป็นคีย์คาร์แรคเตอร์ตัวนึงของเรื่องเลย แต่ตอนนี้คงอายุประมาณ 15 ใช่ไหมคะ กำลังเป็นวัยรุ่นทีเดียว


โดย: nu_reader IP: 222.123.81.21 วันที่: 9 พฤษภาคม 2551 เวลา:8:41:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

วัสส์
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]






ฝากนิยายแปลเล่มล่าสุดด้วยนะคะ Dexter Is Delicious ออกกับแพรวสำนักพิมพ์ค่ะ


Friends' blogs
[Add วัสส์'s blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.