ภาพที่ไร้เสียง - FALL ON YOUR KNEES
ชื่อเรื่อง : ภาพที่ไร้เสียง ( Fall on Your Knees ) ผู้แต่ง : แอน-มารี แมคโดนัล ผู้แปล : ปัทมา อินทรรักษา จำนวนหน้า 644 หน้า ราคาปก 423 บาท
โปรยปกหลัง...
ภาพที่ไร้เสียง เป็นเรื่องราวของความลับในครอบครัว ความรู้สึกผิด การล้างแค้น ปาฏิหาริย์ และความรักที่ไม่มีวันตาย เรื่องราวของเด็กสาวสี่คนที่แตกต่างกันอย่างที่สุด ซึ่งมี พ่อ เป็นผู้มีบทบาทสำคัญในชีวิต
เหตุการณ์ที่ครอบครัวไพเพอร์ประสบทั้งเหลือเชื่อและน่าตื่นเต้น แต่ละบทแต่ละตอนนำมาซึ่งเรื่องประหลาดใจและการหักมุมที่ไม่ซ้ำแบบ ชวนให้ติดตามว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป...เพราะอะไร... และเรื่องราวทั้งหมดมีความหมายว่าอย่างไร เพราะไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราเห็น และไม่มีอะไรเป็นอย่างที่เราคาดว่าจะเป็น
สิ่งหนึ่งที่แน่ใจได้ คือเมื่ออ่านหนังสือเรื่องนี้จบ คุณจะจดจำ สี่สาวตระกูลไพเพอร์ ไปได้อีกนาน
~~~~~~~~~~
เรื่องนี้เป็นหนังสือที่ได้รับรางวัล Commonwealth Writers Prize, CAA Harlequin Literary Award และ Dartmouth Book Award แถมยังได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอื่นๆ อีกหลายรางวัลนะคะ
บางส่วนจากคำนำผู้แปล...
...คนบางคนเกิดมาเพื่อเดินไปตามเส้นทางที่มีผู้กำหนดไว้ให้ บางคนเกิดมาและดำเนินชีวิตไปตามครรลองที่ตนเองได้รับการสั่งสอนมาว่าถูกต้อง บางคนเกิดมาเพื่อเลือกเส้นทางชีวิตของตนเอง จะถูกหรือผิดก็อยู่ที่ตนเอง และบางคนเกิดมาเพื่อใช้ชีวิตตนเองไถ่บาปที่ผู้อื่นก่อไว้...
เรื่องราวของเรื่องนี้เริ่มต้นขึ้นในปี 1898 เมื่อเจมส์ ไพเพอร์ เด็กหนุ่มซึ่งมีอาชีพรับปรับเสียงเปียโนได้พบกับแมทีเรีย มาห์มุด ขณะที่เขาไปปรับแต่งเสียงเปียนโนที่บ้านของเธอ ตอนนั้นเขาอายุสิบแปดปี ในขณะที่เธออายุยังไม่ถึงสิบสามปีดีด้วยซ้ำ ทั้งสองคนตกหลุมรักกันก่อนจะหนีตามกันในเวลาถัดมา
ชีวิตจริงไม่เหมือนเทพนิยาย...เมื่อมิสเตอร์มาห์มุดตามทั้งคู่จนพบ และจัดการทุกอย่างตามที่เขาเห็นสมควร แน่นอนว่าแมทีเรียถูกตัดขาดจากครอบครัว ก่อนที่ทั้งคู่จะได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในบ้านหลังหนึ่งใกล้กับชายฝั่งแอตแลนติก
ผู้เขียนเอ่ยถึงบ้านหลังนี้ว่า...บ้านสองชั้นสีขาวหลังใหญ่ที่มีห้องใต้หลังคา และถึงแม้ว่าบ้านหลังนั้นจะใหม่ แต่ไม่ได้หมายความว่ามันจะไม่ต้องคำสาป...
โดยส่วนตัวแล้ว...ธารไม่เชื่อเรื่องภูติผีหรือคำสาป แต่ธารก็อดรู้สึกไม่ได้ว่า...บางทีนั่นอาจจะเป็นคำบอกใบ้ ถึงชะตากรรมที่จะเกิดขึ้นต่อไปในอนาคตของครอบครัวไพเพอร์ที่ดีที่สุดก็เป็นได้
แมทีเรียและเจมส์มีลูกด้วยกันสามคนคือแคธรีน เมอร์เซดิส และฟรานเชส ก่อนที่ลิลี่จะถือกำเนิดขึ้นจากความผิดพลาดของพระผู้เป็นเจ้า พร้อมๆ กับการจากไปของแคธรีน และแมทีเรียในเวลาถัดมา
แล้วสามสาวไพเพอร์ที่เหลือ ก็ใช้ชีวิตอยู่กับเจมส์ที่บ้านหลังนั้นด้วยชะตาชีวิตที่เรียกได้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง...
(ขออนุญาตไม่เอ่ยถึงเรื่องราวของสาวสาวในตอนหลังนะคะ ไม่งั้นเดี๋ยวจะกลายเป็นว่าธารสปอยเสียหมด)
~~~~~~~~~~
ไม่อยากสารภาพเลยค่ะว่า...ธารตัดสินใจซื้อหนังสือเล่มนี้มาเพราะความเข้าใจผิด คิดว่าเป็นหนังสือในชุด Unputdownable Mystery น่ะค่ะ พอลงมืออ่านไปแล้วถึงจะรู้ว่าไม่ใช่...แต่ก็วางไม่ลงอยู่ดี
การเล่าเรื่องของผู้เขียนเป็นไปแบบเรื่อยๆ แต่สิ่งที่ทำให้ธารรู้สึกว่าถูกหนังสือเล่มนี้ดึงดูดคือบรรยากาศภายในเรื่องค่ะ ความเป็นดราม่าที่ชัดเจนมากๆ ทำให้ไม่อยากจะละสายตาไปจากตัวละครต่างๆ ภายในเรื่องเลยล่ะค่ะ
ทั้งความคาดหวังของเจมส์ที่มีต่อแมทีเรีย ซึ่งต่อมากลับกลายเป็นความคาดหวังที่มีต่อลูกสาวอย่างแคธรีน ที่นับวันยิ่งรุนแรงขึ้นจนกลายเป็นปีศาจร้ายในใจ...
...ความสิ้นหวังและความหวาดระแวงไปจนถึงความรู้สึกผิดกับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นของแมทีเรีย
...ชีวิตที่เหมือนฝันของแคธรีนที่จู่ๆ ก็ดับวูบลงไปโดยไม่มีใครรู้ถึงต้นสายปลายเหตุที่แท้จริง(จนกระทั่งท้ายเรื่อง)
...ความยึดมั่นถือมั่นและความพยายามที่จะปฏิเสธความจริงของเมอร์เซดิส
...ความดันทุรังและการถวิลหาซึ่งความรักของฟรานเชส
และความอ่อนเยาว์ทว่าเข้มแข็งอยู่ในทีของลิลลี่...
ทุกตัวละครล้วนมีเสน่ห์ในตัวเอง แม้ว่าธารจะไม่เห็นด้วยกับการกระทำบางอย่างของตัวละครภายในเรื่อง แต่แทนที่จะรู้สึกไม่ดีต่อพวกเขา ธารกลับพยายามที่จะมองหาเหตุผลเพื่อที่จะเข้าใจเขาให้มากขึ้นในฐานะที่เป็นปุถุชน
...เรื่องบางอย่างอาจจะดูผิดในสายตาใครบางคน แต่สำหรับเจ้าตัวแล้วมันย่อมมีเหตุผลที่ทำให้เขาเลือกทำแบบนั้น เพราะหากเราเป็นเขา...ภายใต้สถานการณ์และการถูกกล่อมเกลาในแบบเดียวกัน เราก็อาจจะตัดสินใจทำแบบเดียวกันก็ได้...
ธารเองถึงกับพยายามเอาใจช่วย ให้เขาสามารถผ่านพ้นสถานการณ์ที่เลวร้ายไปด้วยทุกครั้ง (แม้มันจะไม่เป็นไปตามที่เราแอบคาดหวังเลยสักครั้งก็ตาม)
ตอนที่อ่านเรื่องนี้จบ...นอกจากความรู้สึกหม่นเศร้าที่ยังอวลอยู่ในอก ยังมีคำถามต่างๆ อีกมากมายตามมา...
อย่างแรกเลยคือ...เราจะสามารถจัดเรื่องนี้ให้เป็นปัญหาสังคมอย่างหนึ่ง(เช่น ปัญหาครอบครัว)ได้หรือเปล่า? ทำไมทั้งๆ ที่คนในสังคมหลายคนมองเห็นความผิดปกติ แต่กลับไม่มีใครคิดจะทำอะไร เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย? การปล่อยให้สิ่งต่างๆ ดำเนินไปตามครรลองของมันเอง เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้วหรือสำหรับคนในสังคม?
ความนิ่งเฉยของสังคม(ในเรื่อง)ทำให้ธารอดนึกเลยมาถึงสังคม(ไทย)ในยุคปัจจุบันไม่ได้
ธารคิดว่า...มันคงจะเป็นเรื่องน่าเศร้าหากเราลืมบทบาทที่เราควรมีต่อเพื่อนบ้านและคนในชุมชนไปเสียแล้ว
สุดท้ายนี้...ถึงแม้ว่าธารจะไม่ถึงกับน้ำตาซึมไปกับเรื่องนี้ แต่ก็อยากจะขอเตือนว่า...คนที่ไม่ชอบเรื่องเศร้าคงต้องทำใจก่อนอ่านด้วยนะคะ
...แล้วคุณจะจดจำ สี่สาวตระกูลไพเพอร์ ไปได้อีกนาน...
Create Date : 17 สิงหาคม 2552 |
|
4 comments |
Last Update : 18 สิงหาคม 2552 3:24:34 น. |
Counter : 1219 Pageviews. |
|
|
|
เห็นเพื่อนๆ หลายคนร่วมแบ่งปันความรู้สึกดีๆ จากการอ่านแล้วรู้สึกอดไม่ได้
ต้องมารีวิวกับเขามั่ง ทั้งที่งานจะทับหัวตายอยู่รอมมะร่อ
ขอโทษที่หายไปนานนะคะ
แถมยังไม่ได้อัพบล็อกบอกเล่าเก้าสิบไรทั้งนั้น
เรื่องของเรื่องก็คืองานธารเยอะขึ้นแหละค่ะ
ทั้งในส่วนของงานประจำและความรับผิดชอบต่อครอบครัว
ธารปลูกบ้านหลังเล็กๆ ให้น้องชายน่ะค่ะ
และถึงแม้ว่ามันไม่ใหญ่โตอะไร
แต่ขึ้นชื่อว่า 'บ้าน' ก็กินทั้งแรงกายแรงใจไปเยอะเลยล่ะค่ะ
ส่วนเรื่องนิยาย "หัวใจในไอหมอก"
ธารกำลังใช้ความพยายามในการเขียนอยู่นะคะ
หวังว่าอีกไม่นานจะมาลงได้ตามเดิม
อดใจรอกันสักหน่อยนะคะ
คิดถึงเพื่อนๆ ชาวบล็อกทุกท่านนะคะ
ไว้มีเวลาคงจะมีโอกาสได้ไปเยี่นมเยือนบ้านต่างๆ อีกครั้ง
คิดถึงทุกท่านนะคะ
^^