จุดเปลี่ยนผ่านจากเด็กสู่ผู้ใหญ่
สวัสดีครับคุณผู้อ่านทุกท่าน วันนี้ผมจะมาเล่าเรื่องภาคต่อจากกระทู้ที่แล้ว หากใครยังไม่ได้อ่านสามารถเข้าไปได้ตามลิงค์ต่อไปนี้
เส้นทางจากเด็กไม่เอาไหนสู่เด็กเรียนเก่ง //pantip.com/topic/35814646
ผมแนะนำให้อ่านก่อนนะครับ เพราะคุณอาจอ่านภาคนี้ไม่รู้เรื่องหากไม่ทราบถึงพื้นเพชีวิตผม
อันที่จริง ผมตั้งใจจะเขียนเป็นกระทู้เดียว แต่สองเรื่องนี้มันคนละจุดประสงค์กัน รูปแบบการเล่าคนละแบบ ผมเลยแยกเป็นสองกระทู้ ครั้งที่แล้วผมเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงตัวเองในช่วงประถม-มัธยม ประเด็นสำคัญอยู่ที่การพัฒนาให้เรียนเก่งขึ้น ในกระทู้นี้ผมจะเล่าเรื่องราวชีวิตมหาลัยแค่คร่าวๆ กระจายตามหัวข้อ ไม่เรียงเป็น timeline แบบกระทู้ที่แล้ว และประเด็นของเรื่องจะเน้นไปที่เรื่องของการจัดการชีวิตหลังจบ ป.ตรี ครับ
- อารัมภบท: ชีวิตมหาลัย -
ผมได้ลองทำอะไรแปลกๆเยอะเลย จากที่เมื่อก่อนเอาแต่จดจ่ออยู่กับเลข ผมได้เป็นมือกลองของชมรมสันทนาการ ได้เล่นกีตาร์ในชมรมดนตรี ได้ไปค่ายอาสามาหลายครั้ง ได้สอนเด็ก ม.ปลาย ในโครงการของคณะ ได้ทำค่ายรับน้องมาหลายครั้ง
แม้ดูเหมือนว่าเส้นทางด้านกีฬาและเกมกระดานผมจะดับไปนานแล้ว แต่ตอนไปแข่งกีฬาระหว่างมหาลัยผมก็ได้ไปแข่งจนได้ถ้วยรางวัลมาแล้ว มันคือแข่งวิชาการน่ะ 55 ได้อันดับหนึ่งมาประดับบ้าน เพื่อนผมเองก็เก่งๆกันหลายคน ผมเริ่มลดทิฐิที่มีต่อคนอื่น ไม่สำคัญหรอกว่าตัวเองจะเก่งมาขนาดไหน แต่พอมาอยู่ในมหาลัย มันมีคนอีกตั้งแยะที่เก่งไม่แพ้เรา
และเมื่อเราเรียนปีสูงขึ้น ก็ยิ่งรู้ว่าไอที่เราภูมิใจนักหนาว่าเรารู้มาจากค่าย สอวน. มันก็แค่ขี้ประติ๋วของมหาลัย เจอทฤษฎีของจริงที่มัน general กว่าที่เคยเห็น ทุกอย่างดู general เอาซะมากๆ จากบทพิสูจน์ทฤษฎีต่างๆที่ผมเคยเรียนมาในค่าย สอวน. ก็หดสั้นลงด้วยความรู้ใหม่ๆในมหาลัย มีเครื่องมือเยอะขึ้น หลากหลายมากขึ้น บางเรื่องที่ดูไม่เกี่ยวกันก็สามารถเชื่อมเข้าหากันจนได้ ถึงแม้ดูเหมือนไม่ได้ช่วยอะไร แต่จริงๆแล้วความรู้จากค่าย สอวน. ได้ให้อะไรมากกว่านั้น นั่นคือแนวคิด พอผมเห็นทฤษฎี ผมรู้ว่าผมจะพิสูจน์ยังไง แนวทางการพิสูจน์น่าจะเป็นแบบไหน โดยใช้เครื่องมือใหม่ๆ ความรู้จากค่าย สอวน. จึงเป็นเหมือนผู้บงการอยู่เบื้องหลังลึกๆนั่นเอง แต่ไม่ได้มีบทบาทหลักอะไร
ผมได้ไปร่วมประชุมวิชาการมาหลายครั้ง และได้เห็นผลงานของคนอื่น หลากหลายระดับ ทั้งของนักศึกษาด้วยกันเอง และของอาจารย์ ผมก็ได้ไปนำเสนองานกับเค้าอยู่บ้างนิดๆหน่อยๆ พอเป็นพิธี ได้ลองเดินทางไปต่างจังหวัดด้วยตัวเอง ทั้งไปกับเพื่อน และแบบลุยเดี่ยว ผมสนุกมากกับการเรียนรู้รูปแบบใหม่ๆ
ผมเคยล้มเหลวด้านการเงินอยู่ครั้งนึง ตอนปี 1 เมื่อก่อนพ่อให้เงินผมเป็นรายสัปดาห์ แต่พอเข้ามหาลัยแล้วผมไม่ได้ขอพ่อ เพราะทุนมีให้ แล้วทุนก็ให้มาเป็นรายเทอม เงินจึงมาเป็นก้อนใหญ่มาก ผมไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้มาก่อน ผมใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่าย แถมยังอยู่หอนอกด้วย กลับดึกได้เพราะไม่มีกำหนดเวลาปิดหอ ไปเที่ยวเล่นกินขนมยามดึก น้ำหนักขึ้นเพราะอุดมสมบูรณ์มาก ดึกแล้วยังมีของขาย จนเงินเริ่มหมด เงินในบัญชีเก่าๆก็โดนถอนออกมาใช้ เงินที่ได้จากการแข่งขันสมัย ม.ปลาย ก็เริ่มหายไปทีละนิด จากที่ตั้งใจไว้ว่าจะใช้เฉพาะเกี่ยวกับการเรียน ก็ต้องเอามาใช้กินอยู่ จนเงินหมดจริงๆ เริ่มแคะกระปุกเอาเหรียญมาใช้เป็นเดือน แต่สุดท้ายก็รอดตายมาได้อย่างหวุดหวิด และพอจบปี 1 ผมก็กลับมาอยู่บ้านแทน
หลังจากนั้นผมได้ไปสอนพิเศษประจำให้โรงเรียนชื่อดังแห่งหนึ่งระหว่างที่ยังเรียนอยู่ในมหาลัย (และสอนอยู่จนถึงปัจจุบัน) แต่ผมก็ยังไม่ได้ทำงานนี้อย่างจริงจังมากเท่าที่ควร (เหตุผลอยู่ในบทถัดๆไป) ผมเคยกลับไปโรงเรียนเก่าอยู่บ้าง ไปสอนเนื้อหา สอวน. นี่แหละ ผมได้เจอเด็กรุ่นใหม่ๆหลายคน แม้จะไม่มีใครไปได้ไกลเหมือนผม แต่ผมก็พยายามเต็มที่เท่าที่ผมทำได้ในฐานะครู
พอขึ้นปี 4 ผมได้มีโอกาสไปฝึกวิจัยต่างประเทศตอนเทอมแรก ได้เจอสังคมใหม่ๆ ประสบการณ์แปลกๆ ประเทศนี้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหนึ่งในภาษาราชการ แต่ไม่ใช่ native สำเนียงก็แปลกนิดนึง เราเองก็พูดเพี้ยนๆตามเค้าบ้าง 55 ได้ไปเจอคนไทยด้วยกันเองด้วย ไปเที่ยวบ่อยมาก เพราะไม่ได้ลงเรียนไง ไปฝึกวิจัยเฉยๆ เน้นอ่านหนังสือและเปเปอร์งานวิจัย
ด้วยข้อผูกมัดบางประการในสัญญาทุนของผม และด้วยความขี้เกียจของผมเอง ผมจึงตัดสินใจเรียนต่อที่เดิม ไม่ได้ไปเรียนต่างประเทศครับ ใครอยากได้กระทู้ดราม่าทุนวิทยาศาสตร์ เชิญกระทู้อื่นนะครับ 55
และนี่ก็คือชีวิตคร่าวๆในช่วงมหาลัย (ป.ตรี) ของผมครับ เดี๋ยวมาต่อครับ (คิดว่าหลายคนคงเกลียดคำนี้ แต่ผมอยากใช้ครับ 55)
Create Date : 23 พฤศจิกายน 2559 |
|
0 comments |
Last Update : 23 พฤศจิกายน 2559 14:59:08 น. |
Counter : 672 Pageviews. |
|
|
|