ปัญหาหนี้สินของพนักงานกับการบริหารงานบุคคลตอนที่3 ทำอย่างไรจะไม่ให้ถูกทวงหนี้
การฝึกนิสัยการเก็บออม ถือเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรกที่เราควรจะปลูกฝังให้อยู่ในจิตสำนึกและจิตใต้สำนึกของเราครับ เพราะถือเป็นจุดเริ่มต้นของการวางแผนชีวิตที่เกี่ยวกับ การบริหารการเงินของเราและสามารถนำเงินไปชำระหนี้ได้ครับ โดยเริ่มต้นจากการมีกระปุกออมสินสักใบหนึ่ง และเริ่มหยอดเหรียญหรือแบงก์ก็ได้ครับ ที่เราใช้ไม่หมดในแต่ละวัน เริ่มฝึกจากง่ายๆ แบบนี้ก่อนครับ จากนั้นเราควรจัดทำบัญชีครัวเรือน เพื่อดูว่าในแต่ละเดือนเรามีรายรับและรายจ่ายเป็นอย่างไรบ้าง แล้วค่อยๆ ทยอยตัดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นออก เราจึงจะมีกำลังใจในการปลดหนี้ที่เป็นเลขหกหลักหรือเจ็ดหลักของเราครับ ซึ่งหลายคนอ่านมาถึงตรงนี้ อาจจะค้านในใจว่า ถ้ามัวแต่หยอดกระปุกอยู่แบบนี้ เมื่อไหร่หนี้สินจะหมดครับ ชาตินี้หรือชาติหน้าจะหมดหรือเปล่า ใจเย็นๆ ครับ ผมกำลังจะบอกอย่างนี้ครับ เคยได้ยินคำว่า ไม่เห็นโลงศพ ไม่หลั่งน้ำตา ไหมครับหรือคำว่า ผู้ใหญ่ อาบน้ำร้อนมาก่อนเด็ก หรือไม่ครับ ตอนก่อนที่เราจะเป็นหนี้ เราเคยปรึกษาใครหรือไม่ครับ ว่าเราควรจะเป็นหนี้ดีหรือไม่ ความเสี่ยงของการเป็นหนี้คืออะไร ปัญหาในระหว่างทางการผ่อนชำระหนี้คืออะไร เราจะมีกำลังทรัพย์พอที่จะผ่อนชำระหนี้หรือไม่ เชื่อว่าหลายคนจะตอบว่าไม่เคยปรึกษาใคร หรือเต็มที่ก็ปรึกษาเพียงแค่คนในบ้านเท่านั้น ซึ่งถามต่อไปว่า การปรึกษาคนในบ้านที่ไม่เคยมีประสบการณ์การเป็นหนี้มาก่อน หรือปรึกษากับธนาคารที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการเงินโดยตรง เชื่อได้ว่า การตัดสินใจเป็นหนี้ในครั้งนั้นก็จะมีความเสี่ยงสูงและ สามารถเปลี่ยนแปลงอนาคตของคนๆ หนึ่ง หรืออีกหลายๆ คนได้เลยทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น หากเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีก็คือ ลูกหนี้คนนั้นก็จะมีความมุ่งมั่น ตั้งใจ ประกอบสัมมาอาชีพ ขยันยิ่งขึ้น หารายได้เพิ่มขึ้น เพื่อนำมาชำระหนี้แต่ถ้าหากเป็นการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ไม่ดี ก็คือ ลูกหนี้คนนั้น จะเครียด หมดกำลังใจในการดำเนินชีวิตต่อไป ทะเลาะเบาะแว้งกับคนในครอบครัว หรือถ้าร้ายแรงไปกว่านั้น อาจถึงขั้น ทำร้ายตัวเอง หรือฆ่าตัวตาย ก็เป็นไปได้ครับ ที่เขียนมาจนถึง ณ ตรงนี้ ผู้เขียนมิได้มีเจตนาให้ผู้อ่านรู้สึกว่าเป็นการซ้ำเติม หรือทำให้ผู้อ่านหมดกำลังใจนะครับ เพียงแต่ต้องการชี้ให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของการเป็นหนี้เท่านั้นเองครับ เพราะบางคนก็เป็นหนี้โดยไม่ได้ตั้งใจมาก่อนว่าอยากจะเป็นหนี้ เช่น คุณพ่อคุณแม่ป่วย ไฟไหม้บ้าน ถูกไล่ที่ น้ำท่วมไร่นา เป็นต้นครับ ซึ่งน่าเห็นใจในทุกกรณีครับ ยกเว้นว่าเกิดหนี้จากการเล่นพนัน หรือกระทำสิ่งผิดกฎหมายครับ แบบนี้ไม่ค่อยน่าเห็นใจเท่าไหร่ครับ ในต่างประเทศ การเรียนการสอนเกี่ยวกับการบริหารการเงินนั้น เขาจะเริ่มปลูกฝังกันตั้งแต่ในโรงเรียนเลยครับ เพื่อให้เด็กๆ ได้เรียนรู้เกี่ยวกับการออมเงินและการบริหารการเงินของตนเองครับ แต่ถามว่าสายเกินไปไหม ถ้าปัจจุบันเราเป็นหนี้ไปแล้ว สำหรับผมมีความคิดเห็นว่า ไม่มีคำว่าสายสำหรับการเริ่มต้นครับ ผมขอให้คำแนะนำหรือทางออกสำหรับท่านที่กำลังเป็นหนี้อยู่ ณ ขณะนี้ ดังต่อไปนี้ 1. เราต้องหยุดหมุนเงิน หยุดหาหนี้ใหม่มาจ่ายหนี้เก่าโดยเด็ดขาด และจะต้องอยู่ให้ได้ด้วยเงินเดือนของตัวเอง เพราะปัญหาส่วนใหญ่จะมาจากลูกหนี้รายได้ลดลง แต่รายจ่ายเท่าเดิมหรือรายได้ลดลงแต่รายจ่ายเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องพยายามหมุนเงิน หาเงิน ( กู้/ยืม ) จากที่อื่น เพื่อให้พอกับรายจ่าย ซึ่งจะยิ่งทำให้ระบบการเงินแย่ลง และกลายเป็นคนที่มีหนี้สินมากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ 2. จัดสรรรายได้ สำรวจหนี้ของตนเองและศึกษาวิธีแก้ไขปัญหาหนี้ 3. สำรวจดูว่า เรามีภาระหนี้สินเกี่ยวกับอะไรบ้าง เช่น 3.1 หนี้ผ่อนบ้าน 3.2 หนี้ผ่อนรถ 3.3 หนี้ในระบบ ( บัตรเครดิต สินเชื่อ ผ่อน เช่า ซื้อสินค้า ) 3.4 หนี้นอกระบบ 3.5 หนี้ญาติมิตรเพื่อนฝูง 3.6 หนี้ กยศ. 4. ข้อควรระวังเมื่อท่านกำลังผ่อนบ้าน ใครที่มีปัญหาการเงินให้ระวังเรื่องการผ่อนบ้าน หากท่านหยุดผ่อนบ้าน ท่านอาจจะโดนคิดดอกเบี้ยค่าปรับที่โหดมาก เช่น กู้ซื้อบ้าน 1,000,000 บาท ผ่อนไปแล้ว 700,000 บาท คงเหลือผ่อนหนี้บ้านอีกเพียง 300,000 บาท เมื่อวันที่ท่านหยุดผ่อนบ้าน หลายๆ ธนาคารจะคิดดอกเบี้ย ค่าปรับ จากเงินต้น 1,000,000 บาท ตามสัญญาที่ทำไว้ ไม่ใช่คิดดอกเบี้ยจากยอดหนี้ที่คงเหลืออยู่ และสิ่งที่ตามมาก็คือ ท่านอาจจะโดนยึดบ้านขายทอดตลาด แล้วใช้หนี้ไม่หมด และโดนธนาคารตามเก็บหนี้อีกหรือท่านอาจกลายเป็นบุคคลล้มละลายก็เป็นได้ 5. กรณีที่ท่านกู้ยืมเงินจากกองทุน กยศ. ซึ่งเป็นหนี้กองทุนเพื่อการศึกษา หากไม่เหลือบ่ากว่าแรง ขอให้ท่านจ่ายหนี้นะครับ เพราะจะได้ไม่กระทบกับนักเรียนคนอื่นๆ ที่ประสงค์จะกู้ยืมต่อจากท่าน เพื่อได้เรียนหนังสือตามที่ตั้งใจไว้ครับ 6. กรณีที่ท่านเป็นหนี้กับธนาคารเดียวกันกับที่จ่ายเงินเดือนผ่านธนาคารแห่งนี้ ระวังว่าท่านจะถูกหักเงินเดือนหรือยึดเงินเดือนของท่านได้ครับ 7. หนี้ในระบบ หมายถึง หนี้โดยสถาบันการเงินต่างๆ เช่น ธนาคาร บริษัทเงินทุน นันแบงค์ที่ให้บริการสินเชื่อ หรือบัตรเครดิต ไฟแนนซ์หรือลิสซิ่งต่างๆ ซึ่งในสัญญาระบุหนี้ไว้เท่าไหร่ ลูกหนี้ก็จะได้รับเงินตามที่ระบุไว้ในสัญญา และเจ้าหนี้จะเรียกเก็บดอกเบี้ยโดยยึดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ หรือ ประกาศ/คำสั่งของธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ระบุว่าให้คิดดอกเบี้ยได้ไม่เกินร้อยละ 15 ต่อปี หรือตามประกาศ/คำสั่ง ของธนาคารแห่งประเทศไทยกำหนดในขณะนั้นๆ 8. หนี้นอกระบบ หมายถึง หนี้ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ยกตัวอย่างเช่น กู้เงิน 30,000 บาท แต่ในสัญญากู้ยืมเขียนว่า กู้เงิน 30,000 บาท ดอกเบี้ยร้อยละ 10-20 ต่อเดือน เช่นที่เราเห็นเป็นโฆษณาเงินด่วนแปะอยู่ตามเสาไฟฟ้าหรือสะพานลอย เป็นต้น Somchai Lakkongka somchailak1@hotmail.com 081-6529843 เจอกันใหม่ตอนที่4 แนวทางในการปลดหนี้
Create Date : 10 กรกฎาคม 2556 |
Last Update : 10 กรกฎาคม 2556 14:15:36 น. |
|
1 comments
|
Counter : 10551 Pageviews. |
|
|
เนเธชเธเธญเธชเธดเธเนเธเธทเนเธญเธเธตเนเธกเธตเธเธฅเธเธฑเธเธเธฑเธเนเธเน