ThiS iS thE wAy iT ShOUld Be

Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
24 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

รากโศก...ปลายสุข (ตอนที่4จบแน่ๆ)



รากโศก...ปลายสุข
อ่านตอนที่สามแล้วมีกำลังใจขึ้นใช่ใหม่ล่า อิอิอิ

ความเดิม ตอนที่ 3 อยู่ที่นี่ค่ะ


อ่ะ อ่านตอนจบกันดีกว่า





ตอนที่ 4 (จบ)




แต่ค่ำนั้นยายกลับมาด้วยอาการป่วยครั่นเนื้อครั่นตัว ยายไม่อยากไปหาหมอแต่เธอคะยั้นคะยอจนยายยอมไปคลีนิค จ่ายเงินไปเกือบสองพันได้ยามากินจำนวนหนึ่ง วดีควักเงินออกจากกระเป๋าตัวเอง แม้ยายจะไม่ใช่ญาติ แต่วดีก็แทบจะรักเธอเหมือนแม่ที่ให้กำเนิดเธอออกมาก หญิงชราคนนี้ให้ชีวิตแก่เธอในยามที่ไม่เหลืออะไรในชีวิตเลย


ยายอาการดีขึ้นแต่ยังเดินไม่ค่อยไหว พอจะทำโน่นทำนี่ก็เวียนหัว เลยได้แต่นั่งอยู่กับบ้านถึงหนึ่งสัปดาห์เต็ม ยายให้วดีโทรไปบอกที่ห้าง งานที่ยายทำเป็นรายชั่วโมง ผ่านคนรับเหมางานอีกทีหนึ่ง จึงไม่มีสวัสดิการอะไร แถมตอนนี้เจ้านายได้คนงานใหม่เป็นเด็กสาวทำงานหนักได้มากกว่ายายแล้วด้วย แต่คนรับโทรศัพท์บอกว่าหายแล้วลองค่อยมาสมัครใหม่ดู


พอวันหายป่วยเดินได้ไปถึงสำนักงานก็โดนปฏิเสธ ยายรู้ดีว่าเจ้านายอยากให้นางออกมานานแล้ว แต่ยังหาเรื่องไล่ออกไม่ได้และเห็นใจนางอยู่บ้าง แต่มาเจ็บป่วยยาวแบบนี้ ก็กลายเป็นช่องทางให้เจ้านายพอดี ยายกลับออกมาพร้อมเงินจำนวนหนึ่งจากค่าชั่วโมงที่ยังไม่ได้เบิกวันก่อน กลับบ้านน้ำตาคลอร้องให้กับตาที่นั่งซึม


วดีเห็นเหตุการณ์ตลอดจึงปลอบใจยายว่าตอนนี้มีรายได้อยู่พอสมควร พอมีเงินค่าอาหารสี่คนสบายๆ “ออกจากงานหนักนั่นก็ดีเหมือนกัน ยายแก่แล้ว ไม่รู้วันไหนล้มเข้าสักวัน ค่อยลองหาทางอื่นดู ยายไม่ต้องท้อ”



และถัดมาสองสามวันวดีถึงรู้ว่าน่าจะแนะนำให้ยายลาออกมาช่วยกันขายของไปตั้งนานแล้ว เพราะยายยังแข็งแรงแม้จะเหยียบหกสิบเร็วๆ นี้ จับจ่ายซื้อของในตลาดก็คล่อง การงานในครัวก็ช่ำชองแถมทำได้ด้วยความสุขหลังจากไปรับใช้นายทุนเช็ดๆ ถูๆ พื้นอยู่อย่างเดียว ไม่มีเวลาหุงหาอาหารกินเองมาเป็นสิบปี



ต่อมาร้านน้ำของวดีจึงกลายเป็นร้านที่มีตู้กระจกใสขายน้ำปั่น น้ำอัดลม น้ำสมุนไพร ชา กาแฟ และไอศครีมหลากรส ตาฝากเพื่อนที่พอพึ่งพาได้จดทะเบียนค้าขายอย่างถูกต้องโดยใช้ชื่อยาย มีโต๊ะเก้าอี้ตั้งหน้าคูหา สามชุด ในร้านซึ่งดัดแปลงจากห้องที่เคยใช้ตั้งโซฟาเก่าและกล่องพลาสติกถูกแทนที่ด้วยตู้ใส่เครื่องดื่มนานาชนิด และโต๊ะเก้าอี้อีกสามชุด แม้จะดูแออัดหน่อย ไม่ใช่ร้านหรูหราแต่วดีก็ตั้งใจแต่งร้านให้สะอาดที่สุด ลูกค้าน้ำหวานชนิดต่างๆ ยังคงเป็นคนงานซื้อไปดื่มตอนเที่ยงๆ ส่วนในร้านก็มีคนทำงานแวะมาดื่มชากาแฟยามเช้า ยามบ่ายก็มีลูกค้าขาจรประปรายมาสั่งน้ำนั่งปรึกษางาน วันหยุดก็มีเด็กเรียนพิเศษมาอุดหนุน



ในวันที่ลูกน้ำครบขวบจึงกลายเป็นลูกชายของแม่ค้าร้านขายเครื่องดื่ม ไม่ใช่ลูกของคนเร่ร่อนไร้ที่พึ่งอีกต่อไป มีโอกาสซื้อขนมเค้กมาฉลองกินกับตายายด้วยความสุขใจ สองตายายและวดีทำงานอย่างหนัก แต่ทั้งสามคนกลับมีสุขภาพใจที่ดีขึ้นทุกวัน ตายายนอนไม่หลับเพราะอยากตื่นขึ้นมาช่วยกันเปิดร้านเร็วๆ ต่างจากในอดีตที่ไม่อยากให้วันใหม่มาถึงเพราะความหมดหวังในชีวิต ยายมีความสุขอย่างยิ่งได้ยกน้ำเสิร์ฟ หรือตักน้ำหวานใส่แก้วให้ลูกค้า ส่วนตาแม้จะเหนื่อยเพราะต้องคอยกระเถิบตัวเองตามจับจอมซนที่อยู่ไม่นิ่ง ชอบเกาะยืนเพื่อหัดเดิน แต่ก็เต็มอิ่มกับการได้มีโอกาสนั่งดุหลานต่างสายเลือดตัวน้อยๆ ด้วยหัวใจที่อ่อนโยนไม่ว่างเปล่าแบบที่ผ่านมา ยามค่ำคืนก็ได้ช่วยกันนับเงินแบ่งเงินเป็นส่วนๆ เผื่อซื้อของเข้าร้านและเก็บไว้ใช้ยามเจ็บป่วยกัน วดีเริ่มกลับมามีเวลาดูแลตัวเองอีกครั้ง




แต่สิ่งหนึ่งที่เธอไม่เคยลืมเลือนคือ ความมีสติรับรู้การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เพราะที่ผ่านมาบทเรียนแห่งความเจ็บปวดเหล่านั้นสอนให้เธอรู้ตัวว่าไม่มีใครดูแลตัวเองได้ดีเท่ากับตัวเอง ความท้อแท้ทำให้สมองหดหาย และควรสร้างสุขอย่างไม่คาดหวังกับคนที่มีตัวตนจริงๆ อยู่ตรงหน้า ไม่ใช่คนที่ล่องลอยอยู่ในแค่ความฝัน


แม้จะไม่มีสายใยใดๆ เกี่ยวข้องกัน หรือมีข้อถกเถียงอยู่กันเนืองๆ เช่น เรื่องที่วดีหวงลูกเกินไป ตาอยากป้อนของกินแปลกๆให้ลูกน้ำ เธอก็ไม่เห็นด้วย ไม่เคยไว้ใจทิ้งลูกให้อยู่บ้านกับตายาย หรือยายคิดเงินทอนเงินให้ลูกค้าผิดพลาด แต่อันความขัดใจใดๆ ที่เกิดขึ้นย่อมไม่มากพอที่จะเปลี่ยนแปลงความมีน้ำใจที่เหลือล้นที่ทั้งคู่มอบให้เธอและลูกได้ ทุกวันที่ผ่านมาตั้งแต่เดินออกจากห้องน้ำห้างนั้นทำให้เธอสัมผัสจิตใจที่งดงามของตายายได้ ตายายคู่นี้ให้ชีวิตใหม่แก่เธอ



และส่วนที่เกือบด้านชาในโลกที่ไร้ญาติขาดมิตรมานานก็ทำให้คนแก่สองคนเห็นคุณค่าของความห่วงใยและน้ำใจอาทรที่วดีมีให้เช่นกัน เลยทำให้สายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นเกิดขึ้นได้ ต่างฝ่ายต่างเปิดใจผูกชีวิตซึ่งกันและกัน
บางช่วงที่ลูกค้าน้อยรายได้ต่ำ มีใครบางคนเริ่มบ่นออกมา ก็จะมีใครอีกคนเอ่ยให้คิดได้ว่า เคยมีวันที่แย่กว่านี้ก็ยังทนมาได้ ทั้งสามคนจึงต่างก็เป็นกำลังใจแก่กัน มองหาแต่ข้อดีของแต่ละคน วดียิ่งมั่นใจในธุรกิจของตนมากขึ้นเมื่อรู้ว่าตามีความรู้มากตามวัย และยายเองก็เป็นคนมีฝีมืงเรื่องการทำอาหารและการดูแลร้านหรือบ้านอย่างดี


แต่ทั้งสองคนก็เหมือนเธอคือถูกความมืดมนของชีวิตปิดบังความกล้าสามารถที่แท้จริงไว้ เมื่อต่างเป็นฟันเฟืองให้กันได้ จึงกลายเป็นเครื่องจักรที่ได้น้ำมันเคลื่อนชีวิตได้สะดวกขึ้น

ลูกน้ำเดินเตาะแตะแล้ว เป็นที่รักของแม่และตายายอย่างยิ่ง ทุกวันใครผ่านไปมาจะเห็นยายป้อนข้าวให้กับหลานตัวน้อยนั่งบนรถเข็นหรือไม่ก็แม่วิ่งตามเช็ดหน้าให้ลูกอยู่อย่างมีความสุขหน้าร้านขายเครื่องดื่มและไอศครีม โลกของวดีเกือบเติมเต็มด้วยชีวิตที่กำลังเติบใหญ่ของลูกชายและธุรกิจร้านค้าของตัวเอง



จนมาวันหนึ่งที่ฝนตกหนัก ลูกค้าเข้าร้านบางตา นานๆ มีคนเข้ามาสั่งเครื่องดื่มร้อนๆ กะรอให้ฝนซาแล้วจากไป ตายายได้ถือโอกาสนอนหลับพักผ่อนบ้างในวันอากาศสบายเช่นนี้ ลูกน้ำกำลังเล่นลูกบอลกับตุ๊กตุ่นตัวใหญ่ ในคอกเปลหลังโต๊ะเก็บเงิน มีคู่รักวัยรุ่นตอนปลายสั่งไอศครีมผลัดกันป้อนลิ้มชิมรสแก่กันอย่างหวานฉ่ำไม่ยี่หระต่อสิ่งใดแม้ข้างนอกจะมีฝนพรำจนส่งผลให้อากาศในร้านพลอยเกือบหนาวเหมือนติดแอร์


วดีแอบมองและนึกหัวเราะอดีตอันงี่เง่าของตนที่เคยทำแบบนี้กับพันวา และสงสัยต่อไปว่าคนคู่นี้จะประสบกับปัญหาชีวิตแบบเธอด้วยหรือไม่ อยากเดินเข้าไปบอกว่าให้เรียนรู้แก่กันให้ดีๆ ก่อนจะมีสัมพันธ์ล้ำลึก หรือหากมีแล้วก็ให้คุมกำเนิด ชีวิตผู้หญิงที่มีลูกตั้งแต่ไม่พร้อมนั้นไม่น่าสเน่หาเลยสักนิด นี่ถ้าหล่อนไม่เจอตายายป่านนี้ลูกน้ำคงไปตกอยู่ในบ้านเด็กกำพร้า เธอเองอาจขายตัวประชดชีวิต หรือไม่ก็อุ้มลูกโดดตึกสูงฆ่าตัวตายไปแล้ว




“เจ๊ กาแฟร้อนใส่นม แก้วนึง” เสียงดังๆ ของหนุ่มใหญ่แต่งกายคล้ายคนงาน ทำให้วดีรีบตื่นขึ้นจากความคิดในห้วงอดีต คนที่เพิ่งสั่งเครื่องดื่มไปนั้นยังมองมาที่หล่อน “นี่ถ้าผมเป็นโจรคงขนตู้ไอศครีมออกไปขายถึงชายแดนแล้ว” พูดแบบตั้งใจให้ตลกแล้วเดินไปนั่งที่โต๊ะติดประตูเหล็ก


วดีมองตามหลังพลางเทน้ำร้อนลงแก้วกาแฟเดินไปตั้งให้บนโต๊ะ ท่าทางและหน้าตาไม่น่าจะเรียกหล่อนว่า “เจ๊” ที่แปลว่าพี่สาวได้หรอก แต่คงเรียกกันเพราะใครๆ ก็ใช้เรียกแม่ค้าที่ยังไม่ค่อยแก่มากนัก หนุ่มใช้แรงงานสวมหมวกที่ทำด้วยโลหะทาสีเหลือง ท่อนบนสวมเสื้อยืด ที่แห้งสนิท คงถอดแจ๊กเก็ตเปียกๆวางไว้ที่เก้าอี้นอกร้าน เพราะสังเกตจากกางเกงยืนสีซีดที่เปียกน้ำฝนแถบปลายขาคลุมรองเท้าหนังที่คนงานใส่กัน


ท่าทางบุคลิกดี ไม่น่าจะมาเป็นคนงานเลย แต่ก็แก้ความคิดได้ในบัดดล หล่อนเองมีความรู้ จบ ปวช. อายุแค่ยี่สิบสอง หน้าตารูปร่างก็ปกติดี ยังต้องเคยอุ้มลูกขอทานมาก่อน ทำไมหนุ่มใหญ่คนนี้จะทำงานแบกหามไม่ได้ ดูแค่ภายนอกจะไปรู้ที่ไปที่มาเขาได้ไง


ชายหนุ่มคงหิวแกะขนมปังที่วางบนโต๊ะกินไปทีเดียวสามห่อ “เอาอะไรเพิ่มมั้ย” วดีถามตามประสาแม่ค้า ชายหนุ่มปฏิเสธหันมามองหล่อนแล้วมองเลยไปยังลูกน้ำ “นั่น หลานหรือลูกล่ะ ไงไอ้หนู เล่นในคอกสนุกมั้ย” ตอนแรกนึกรำคาญเพราะโดนถามแบบนี้บ่อย แต่พอเขามีท่าทางใจดีกับเด็กเลยเต็มใจตอบ “ลูก ขวบครึ่งแล้ว”


เขาหันมามองหล่อนเต็มตา “เหรอ เหนื่อยนะ มีลูกสาวคนหนึ่งเจ็ดขวบแล้ว อยู่ที่บ้าน กว่าจะโตเล่นเอาปวดเอวกันทั้งบ้าน” เขาเล่าด้วยท่าทางภูมิใจ ก่อนให้หล่อนเก็บเงินแล้วออกไปจากร้าน


ฝนซาลงแล้ว คู่รักเดินเกี่ยวก้อยหนุงหนิงวางเงินให้แม่ค้าทิ้งไว้บนโต๊ะ วดีมองเงินบนโต๊ะที่ไม่ต้องทอนอย่างไม่ยินดี ภาวนาว่าคู่รักคู่นั้นจะจบด้วยดีไม่เข้าสู่ชีวิตที่เลวร้ายแบบหล่อน ตอนเย็นมีลูกค้าเข้ามานั่งคุยกัน พร้อมสั่งเครื่องดื่มร้อนเต็มทั้งสามโต๊ะ


ปกติคนจะนั่งนอกร้านแต่วันนี้อาจเสี่ยงต่อฝนตกจึงต้องเลือกโต๊ะข้างในกันหมด ทำให้เจ้าของร้านไม่ว่างคิดเรื่องในอดีตอีกมากนัก เห็นเด็กนักเรียนตัวน้อยๆ ที่พ่อแม่ส่งมาเรียนพิเศษแล้วทำให้เกิดความหวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะต้องมีความพร้อมให้มากที่สุดรองรับการเจริญเติบโตของลูกชายในอนาคต


ยายกลัววดีจะตามใจและคาดหวังในตัวลูกมากไปจึงคอยบอกให้ปล่อยวางเรื่องลูกบ้าง แต่ก็ยังทำให้เธอคลายเรื่องความกังวลในชีวิตข้างหน้าของลูกน้ำไม่ได้อยู่ดี


ปีกว่าๆ ทั้งสามคนช่วยกันดูแลร้าน ทำให้เกิดรายได้เป็นกอบเป็นกำ มีของกินของใช้ในบ้านเพิ่มขึ้นตามความต้องการ จนแทบไม่มีใครเคยเชื่อว่าบ้านหลังนี้เคยอยู่ในสภาพยังไง และคนในบ้านเคยมีชีวิตที่ไม่ต่างจากซากที่เดินได้มาก่อน


อาคารที่กำลังก่อสร้างใกล้ๆ เพิ่งไปได้ครึ่งทาง หน้าโรงเรียนกวดวิชาข้างๆ มีต้นไม้สวยๆ หลากชนิดมาตบแต่งเผื่อแผ่มายังร้านของวดีด้วย ส่วนร้านทำการ์ดที่ติดด้านซ้ายก็ทำป้ายชื่อร้านให้ฟรีว่าร้านเครื่องดื่มร้อนเย็น และให้กระดาษเหลือๆ ให้วดีนำมาตัดเป็นรูปต่างๆ ตกแต่งร้าน ปกปิดร้อยเปื้อนบนฝนัง จนบางครั้งเธอคิดไปเองว่าร้านเธอเกือบสวยเท่าร้านก๋วยเตี๋ยวคูหาแรกแล้ว เก็บเงินได้อีกนิดเธอตั้งใจจะซื้อรถเข็นให้ตา และแต่งทางเดินในบ้านให้รถเข็นเคลื่อนไปมาได้สะดวก



เริ่มมีคนมาสนใจจีบแม่ค้าวดีอยู่บ่อยครั้ง แม้ดูวดีจะไม่มีท่าทีรังเกียจใครเพราะต้องใส่หน้ากากเพื่อธุรกิจของตัวเอง แต่คนใกล้ชิดอย่างตายายรู้ดีว่า เธอไม่สนใจใครสักคนที่เข้ามาข้องแวะกับตัวเองและยิ้มเยาะชีวิตคู่ในอดีตอย่างรังเกียจ ใครๆ ว่าเธอยังสาวเกินไปที่จะเป็นโสด


แต่เธอบอกว่าเข็ดและกลัวเหลือเกินเรื่องผู้ชาย และเธอไม่มีวันเสี่ยงดึงตัวเองลงไปในนรกอีกอย่างเด็ดขาด นึกแปลกใจที่แม่หม้ายลูกติดบางคนถึงยอมแต่งงานอีกเป็นครั้งที่สอง แต่ก็เป็นไปได้ว่าเพราะผู้หญิงเหล่านั้นไม่ได้เจอมาแบบเธอนั่นเอง
------------------------------------------------------

แต่ก็มีผู้ชายบางคนที่เธอเริ่มคุยด้วยมากขึ้นอย่างคนงานที่มานั่งตอนบ่ายคนเดียว ตั้งแต่วันที่ฝนตกครั้งนั้น วันละสิบห้านาที เกือบทุกวัน ที่ชอบคุยเพราะเขาเล่าให้ฟังเรื่องลูกสาวของตัวเองตั้งแต่ยังแบเบาะ บอกเล่าพัฒนาการเรื่องเด็ก มีอยู่ครั้งหนึ่งเขาบอกให้วดีระวังเรื่องเด็กที่พอเริ่มเดินด้วยตัวเองได้แบบวัยลูกน้ำ จะชอบปีนป่ายทุกสิ่งที่เราคาดไม่ถึง


ตอนแรกฟังอย่างไม่ใส่ใจนักแต่พอคืนนั้นลูกน้ำก็ตกบันไดหัวโน ตั้งแต่นั้นมาเขากลายเป็นที่ปรึกษาเรื่องลูกของเธอไป นึกอย่างให้ลูกชายมีพ่อแบบเอาใจใส่อย่างนี้ แล้วก็รีบหยุดความคิดโง่ๆ เพราะแสดงว่าตัวเองเริ่มสนใจผัวชาวบ้านเขา แต่นึกๆ ก็อยากเห็นหน้าลูกเมียเขาเหมือนกัน คงมีความสุขดีพ่อรักและเอาใจใส่ลูก


ชายหนุ่มคนนี้ชื่อ เกรียงไกร อายุสามสิบห้า เขามักจะมานั่งที่ร้านตอนไม่มีคนงานอื่นๆ อยู่ คงกลัวร้านแออัดหรือไม่ก็กลัวใครไปบอกเมียที่บ้านว่าเขามานั่งร้านแม่หม้ายลูกติดทุกวัน ขับรถของหัวหน้าคนงานมาจอดหน้าร้าน


เขาทำเหมือนจะสนใจวดีบางครั้ง เธอคิดว่าเขาก็คงเหมือนผู้ชายทั่วไปที่เกี้ยวผู้หญิงได้ตลอดเวลา ตอนที่เขาถามเธอเรื่องพ่อของลูกน้ำ เธอบอกเหมือนบอกใครๆ ว่าไปทำงานซาอุฯ แต่หารู้ไม่บางครั้งคนก็รู้จากปากตายายเผลอพูดบ่อยๆ ว่าลูกน้ำน่าสงสารเพราะเป็นเด็กกำพร้าพ่อทิ้งไป



วดีไม่ต้องการให้ใครเห็นใจ แต่บอกไปอย่างนั้นเพื่อให้ใครเลิกสนใจที่จะเกี้ยวเธอเสียที หากเห็นใจก็ช่วยอุดหนุนซื้อของในร้านก็พอ นั่นคือเหตุผลที่เธอโกหกใครๆ วดียังเด็กจึงติดนิสัยแก้ปัญหาเฉพาะหน้าไปวันๆ ให้ตัวเองสบายใจไปก่อน มีเรื่องอื่นให้เธอคิดและกลัวอีกมากมาย



วันนี้เกรียงไกรก็มานั่งอยู่แบบเดิม ซดกาแฟเสร็จนึกยังไงไม่รู้จึงถามหล่อน “ทำไมบอกใครๆ ว่าพ่อเด็กทำงานซาอุฯ แล้วจะโกหกลูกอย่างนี้ด้วยหรือเปล่า” วดีนึกฉุน และ อยากตัดไมตรีขึ้นมาฉับพลัน “ช่างมันเถอะ เรื่องของเราแม่ลูก แล้วทำไมคุณถึงกล้าหนีงานมานั่งสบายๆ อย่างนี้ทุกวันล่ะ ระวังกลับไปแล้วโดนหัวหน้าคนงานไล่ออกนะ ไม่มีงานลูกเมียลำบากเปล่าๆ ” เธอตั้งใจจี้จุดด้อยเขาออกมา แม้จะเริ่มสนิทและได้คุยกับเขาบ้างแล้ว แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงให้เขาถามเรื่องส่วนตัว เขาแก้ตัวไม่จริงจังนัก “ไม่ได้หนีงาน ผมได้พักตอนบ่ายครึ่งชั่วโมง”



วดีไม่สนใจตอบ ไม่นึกอยากเสวนากับเขาอีกต่อไป พอมีเด็กมาซื้อของจึงได้โอกาสเปลี่ยนความสนใจไปตักไอศครีมใส่กรวยขนาดเล็กให้ลูกค้า ขณะที่เกรียงไกรมองหล่อนยิ้มๆ แล้ววางเงินเท่าจำนวนที่เคยจ่ายทุกครั้งแล้วจากไป


พอรถเขาคล้อยหลังไปทางบริเวณอาคารกำลังก่อสร้างเธอถึงได้มองเขาแล้วนึกใจหาย คงโกรธและไม่มาเหยียบที่นี่อีก เสียดายมิตรภาพที่เพิ่งเกิด เขาก็คงเป็นคนดีแต่นิสัยผู้ชายห่างครอบครัวหน่อยเดียวก็ออกลายกับหญิงอื่นทันที เขาคงคิดว่าหญิงแม่หม้ายลูกติดอย่างเธอคงผวาเข้าหาใครก็ได้ในชีวิตแน่ๆ


เธอยอมรับกับตัวเองว่าเคยอยากมีชีวิตที่มั่นคงและปลอดภัยกับใครสักคน ตั้งแต่รู้สึกตัวว่าลูกน้ำดิ้นดุกดิกอยู่ในท้อง จึงพยายามทำตัวดีๆ เพื่อให้พันวาเห็นใจและยื้อยุดฉุดลากเขาให้อยู่กับตัวเอง แม้กระทั่งเขาทิ้งหล่อนกับลูกไปแล้ว ก็ยังคาดหวังรอเขากลับมา แต่ความคิดแบบนั้นห่างหายไปตั้งแต่วันที่เธอได้นั่งนับเงินที่ขายน้ำได้วันแรก ที่มีตายายต่างสายเลือดนั่งตื่นเต้นลูบหัวลูบหลังลูกน้ำอยู่ใกล้ๆ



เธอต้องอยู่ได้ด้วยตัวเอง เธอต้องสร้างความมั่นคงให้ตัวเองและลูก หล่อนมองไปทั่วๆ ร้าน อยากปรับปรุงให้ดีกว่านี้ แต่ค่อนข้างลำบาก ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นคนงานมาซื้อน้ำหวานไปดื่มกัน ดังนั้นเมื่อคนงานมามุงหน้าร้าน ทำให้คนทั่วไปที่มาซื้อทำท่ารังเกียจ แต่ยังแก้ปัญหาไม่ตก แต่ก็ดีหน่อยที่พวกเขามากันเฉพาะตอนเที่ยงๆ จึงไม่ใช่เรื่องที่ต้องแก้ไขเร่งด่วนอะไร


บ่ายวันต่อมาเกรียงไกรหายไปจริงๆ วดีพยายามบอกตัวเองว่าหายไปก็ดีแล้วจะได้ไม่มีโอกาสถลำลึก ตัวเองไม่เคยคิดอะไรกับเขา แต่ก็แอบสงสัยไม่ได้ว่าทำไมจึงรู้สึกเหมือนรอๆ ให้เขามาปรากฏตัวอีก คงเหงาและอยากมีเพื่อนคุยนั่นเอง


รถส่งน้ำมาส่งสินค้าแต่ได้ไม่ครบเพราะเธอสั่งไปไม่ละเอียดพอ เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นบ่อย เพราะเธอรีบออกไปโทรจากตู้สาธารณะ และก็รีบกลับมาเฝ้าร้าน รถขายของชำก็บ่นเรื่องติดต่อเธอลำบากเช่นกัน เห็นคนงานแต่งกายมอมแมมมีโทรศัพท์มือถือก็ให้นึกได้ว่า ตัวเองก็น่าจะมีสักเครื่องหนึ่งไว้ติดต่อร้านค้า สะดวกกว่า เพราะบางครั้งต้องเดินออกไปหัวค่ำ เพื่อโทรสั่งซื้อของ จะไปหาซื้อเองก็ติดลูกน้ำ


ปรึกษากับยาย ต่างก็เห็นด้วย ตาเคยมีโทรศัพท์บ้านแต่ยกเลิกไป ไม่มีเคยมีเหตุจำเป็นต้องติดต่อใครมานาน แกเองยังนึกสงสัยตอนนั้นว่ายายเป็นอะไรไประหว่างเดินทางหรือแกเองมีเรื่องเจ็บป่วยอยู่ที่บ้านจะทำยังไง คงรอให้เน่าส่งกลิ่นและมีตำรวจมาพังประตูบ้านไปเก็บศพ



ตอนเย็นใกล้ค่ำ น้ำหวาน น้ำสมุนไพร น้ำผลไม้รสต่างๆ กำลังจะเกลี้ยงขวดโหล วดีเริ่มปิดร้านโดยเช็ดตู้กระจก พับเก็บโต๊ะ เกรียงไกรก็มาปรากฏกายขึ้น จูงมือเด็กหญิงหน้าตาน่ารักแต่มอมแมมไปหน่อยวัยประมาณหกเจ็ดขวบมาด้วย “วันนี้ไม่ได้ทำงาน ไม่ค่อยสบาย แต่หายแล้ว นี่ปลาหมึก ลูกสาว”
วดีเหลือบมองเกรียงไกรด้วยแววตาเย็นชาพยายามไม่แสดงความรู้สึก



แต่เมื่อเห็นเด็กน้อยแอบอยู่หลังขาพ่อก็ใจอ่อน ตั้งแต่มีลูกเธอเจอเหตุการณ์ให้ตัวเองจิตใจกระด้างชากับผู้คน แต่เธอกลับรักและสงสารเด็กมากขึ้นทั้งที่เมื่อก่อนไม่เคยนึกรักเด็กที่ไหน “สวัสดีคุณอาสิลูก” เด็กน้อยปลาหมึกเอามือประกบกัน มองหล่อนตาแป๋ว ทำให้เธอยิ้มออก “กินไอศครีมมั้ย ปลาหมึก รสอะไรดีล่ะ” เธอคุยกับเด็กไม่สนใจไถ่ถามเกรียงไกร


แต่ก็สับสนในใจว่าเขามาทำไมป่านนี้ หลังจากยื่นกรวยที่มีก้อนไอศครีมสีส้มและชมพูให้ลูกสาวเกรียงไกรแล้ว ก็ได้ยินเสียงคุย “แวะมาหาน่ะ วันนี้ย่าเขามางานศพแถวนี้ เลยพาปลาหมึกมาหาคุณ ปลาหมึกดูน้องมั้ย ชื่อลูกน้ำ กำลังหัดเดิน” เขาก้มลงถามลูกสาวที่เริ่มละเลียดผิวไอศครีม พอดียายจูงลูกน้ำซึ่งเพิ่งอาบน้ำเสร็จเตาะแตะมา เห็นวดีมีแขกจึงช่วยจัดการเก็บร้านต่อให้ “คุณอาขา ลูกน้ำอยากกินไอศครีม” เด็กน้อยเอ่ยออกมาเมื่อเห็นลูกน้ำเตาะแตะมาดึงเสื้อเธอพลางมองไอศครีม


วดีจึงหัวเราะอุ้มลูกน้ำขึ้นมา “น้องอยากเล่นจ้ะ ไม่ได้อยากกิน” เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นแม่ค้าคนนี้หัวเราะดังๆ ออกมา เขาจึงกล้าเอ่ยสิ่งที่ตั้งใจไว้ “ผมจะพาปลาหมึกไปเล่นที่สนามที่สวนสาธารณะ อยากชวนคุณกับลูกน้ำด้วย ไปมั้ย” น้ำเสียงธรรมดาไม่บ่งบอกความรู้สึก


“ไปสิ อีหนู ตาลูกน้ำมันจะได้ไปเล่นที่สนามกว้างๆ บ้าง”ยายยืนอยู่ใกล้ๆ หันมาสนับสนุน แกไม่ได้คิดอะไรมากไปกว่าอยากให้เด็กน้อยวัยใกล้ขวบครึ่งได้วิ่งเล่นแบบคนอื่นบ้างเท่านั้น วดีรีรออยู่ครู่หนึ่งแต่เมื่อมองเห็นเด็กปลาหมึกยืนเลียไอศครีมอย่างอร่อยแต่อีกมือลูบขาลูกน้ำเบาๆ เมื่อลูกน้ำจะพยายามเอื้อมคว้าของกินในมือ เด็กหญิงหัวเราะเห็นฟันหลอ พาลูกน้ำไปสนามเด็กเล่นครั้งแรกก็ดี เธอมองหน้าเขาแล้วตอบตกลง “รอแป๊บนะ หาหมวกให้ลูกน้ำ”
------------------------------------------------------
ตอนแรกนึกว่าไปสามล้อเครื่อง แต่เดินออกมาถึงรู้ว่าทั้งสี่คนกำลังอาศัยรถกระบะตอนครึ่งไปเที่ยวสวนสาธารณะกัน พอรถสตาร์ทออกวดีจึงเริ่มสนทนาเพราะนึกอยากขอบคุณเขา “ดีจังนะ วันที่ลาป่วย ไม่ทำงานแต่บริษัทยังให้รถมาขับได้” ไม่ได้ตั้งใจมีความหมายแขวะใครๆ เธอนึกชื่นชมบริษัทจริงๆ



“ใครบอกคุณ ว่ารถบริษัท นี่รถผม” เกรียงไกรถามกลับงงๆ ทำเอาเธอหน้าแตกเล็กน้อย จริงสิ ทำไมถึงถึงคิดว่ารถบริษัทล่ะ ก็เห็นสีรถเต็มไปด้วยฝุ่นก่อสร้าง ท้ายก็เต็มไปด้วยเครื่องใช้ในงานก่อสร้างบ่อยๆ และเขาก็เป็นแค่กรรมกรหรือคนงานก่อสร้างเท่านั้นเอง


ชักเริ่มนึกชื่นชมที่คนงานแบบเขาก็มีรถขับ เธอเองอยากมีโทรศัพท์มือถือใช้งานยังไม่พร้อมที่จะซื้อเลย “คุณเก่งจัง ทำงานแบบนี้จนเก็บเงินซื้อรถได้” เธอชมออกไปจากใจจริง “ต้องขอบคุณมาก ที่อุตส่าห์ชวนลูกน้ำมาด้วย” เขาแค่ยิ้มเล็กน้อย ขับไปไม่ใกลนักก็เจอสวนสาธารณะเล็กๆ มีไฟสว่างไสวติดกับรั้วโรงเรียนแห่งหนึ่ง เด็กๆ มาเล่นอยู่ก่อนแล้วหลายคน มีผู้ปกครองนั่งดู


“ปลาหมึกก็ไม่ได้เที่ยวบ่อยหรอก ย่าเขาไม่ค่อยได้ออกนอกบ้าน ผมก็ทำงานหนัก” เกรียงไกรเล่าเธอเมื่อเห็นลูกสาวมองชิงช้าอย่างดีใจ แต่ยังไม่กล้าไปเล่นเพราะมีเด็กโตกว่านั่งอยู่แถวนั้นสามสี่คนจึงได้แค่จูงมือลูกน้ำไปนั่งม้าโยกใกล้ๆ


นึกอยากถามถึงเมียเขา แต่กลัวว่าเป็นการละลาบละล้วงเพราะเธอเองก็ขึ้งโกรธถ้าใครถามเรื่องนี้ เมียเขาก็คงทำงานเหมือนกันหรือไม่ก็อยู่ที่อื่นนานๆ เจอกันครั้ง ที่มาชวนเธอมาที่นี่คงเพราะสงสารลูกน้ำ ไม่แน่ใจว่าจะชวนคุยกับเขาเรื่องใดดีจึงเสเดินไปหาเด็กๆ จูงสองคนไปที่ชิงช้าที่ว่างแล้ว อุ้มลูกน้ำหัวเราะปลาหมึกที่แกว่งตัวไปมาบนชิงช้าจนผมกระจาย



แล้วลูกชายเธอก็เริ่มฝืนตัวเองไม่ให้แม่อุ้มเพราะอยากลงเดินบนสนามหญ้า พอยืนบนแข้งตัวเองได้ก็วิ่งไปมาเอิ๊กอ๊ากเสียงดังบางคราวก็ล้มลง แต่ก็ไม่ร้องให้ และเริ่มเดินเตาะแตะไปยังกลุ่มเด็กโตที่วิ่งเล่นใกล้ๆ อีกสองสามคน



วดีมองลูกชายตัวเองด้วยความสุขใจ ตั้งใจว่าต่อไปจะพากันนั่งสามล้อเครื่องมาเที่ยวแถวนี้บ้าง เอาอาหารมากินกันด้วย วันนี้ไม่ได้เตรียมอะไรมา ชักนึกหิว เพราะยังไม่ได้กินมื้อเย็นเลย หันไปมองทางเกรียงไกร “คุณจะกลับหรือยัง เด็กเล่นนานแล้ว คงหิว กลับกันดีกว่ามั้ย” เขายกข้อมือขึ้นมาดูนาฬิกา พยักหน้าเห็นด้วย โบกมือเรียกปลาหมึกท่าทางอิดออดไม่อยากลงจากชิงช้า “กลับก็ดี ไปหาอะไรกินกันไหมคุณ ผมกับลูกต้องกินอาหารนอกบ้าน เพราะแม่ผมไม่ทำกับข้าววันนี้”



นึกอิจฉาคนใช้แรงงาน มีเงินพอจะกินข้าวนอกบ้านตอนไหนก็ได้ ถ้าเป็นเธอก็ต้องแบกท้องกลับบ้านไปกินพร้อมตายาย แม้ไม่มีใครทำกับข้าว บะหมี่ซองรออยู่เสมอ แล้วก็ได้โอกาสถามบางอย่าง “แล้วแม่ปลาหมึกไม่ทำกับข้าวเหรอ หรือไปงานศพด้วย” ถามแล้วก็นึกเสียใจ นิสัยอยากรู้แบบผู้หญิงแท้ๆ ขนาดตั้งใจไม่ยุ่งเรื่องชาวบ้าน แต่เขาก็ตอบกลั้วหัวเราะ “แม่ปลาหมึก ทำงานซาอุฯ มั้ง” ย้อนเธอแบบเดียวกับที่เธอเคยทำ เธอเลยเงียบเข้าใจแล้วว่าเขาคงมีปัญหาเช่นกัน



มีร้านอาหารใกล้ๆ เป็นอาหารตามสั่ง แบบจานเดียว ราคาไม่แพงนัก ในใจนึกอยากกลับเร็วๆ กลัวยายเป็นห่วงเพราะตั้งแต่มาอาศัยบ้านอยู่เธอไม่เคยออกจากบ้านในเวลามืดค่ำเลย นึกเสียดายที่ไม่มีโทรศัพท์ เหลือบมองไปเยื้องๆ ร้านอาหาร มีร้านขายโทรศัพท์มือถืออยู่ อยากไปเดินดูแต่ไม่แน่ใจนัก



ลูกน้ำเริ่มโยเย เพราะหิวนม เธอจึงต้องอุ้มลูกน้ำไปหาโต๊ะว่างๆ ลับตาคนให้นมลูก ไม่ถึงสิบนาทีก็กลับมาอุ้มเด็กน้อยที่หลับไหลมาด้วย ถึงโต๊ะ สองพ่อลูกกำลังกินอาหารเกือบเสร็จแล้ว “เรารอคุณไม่ไหวเลยกินก่อน เดี๋ยวผมช่วยอุ้มให้ แป๊บนะ”


เกรียงไกรกวาดๆ อาหารในจานสองสามครั้งก็หมด ดื่มน้ำแล้วเอามือเช็ดๆ เสื้อ ดึงลูกน้ำที่กำลังหลับไปอุ้ม แล้วก็อุทานเบาๆ “นี่ตัวหนักกว่าปลาหมึกเมื่อก่อนอีก คุณอุ้มอยู่ได้ไงเนี่ย มิน่าคุณถึงผอมจัง” วดีกำลังมองที่เขาอุ้มเด็กด้วยความชำนาญแล้วนึกขอบคุณแต่เมื่อเขาเอ่ยคำหลัง ก็ได้แต่ก้มหน้ากินผัดซีอิ๊วตรงหน้า เพราะเริ่มรู้สึกเขินอายที่เกรียงไกรสังเกตเรื่องรูปร่างของเธอ



ตอนเรียกเจ้าของร้านมาเก็บตังค์เขาเป็นคนจ่ายรวมไม่ถึงสองร้อยบาท แต่ก่อนจะออกจากโต๊ะ เธอยื่นเงินให้ เขาลุกขึ้นยืนแล้วนั่งลงมองหล่อนสลับลูกน้ำแบบเหนื่อยใจ “ผมไม่ใช่คนงานซะทีเดียว ที่ก่อสร้างนั่นน่ะ ผมรับเหมาบางส่วนมาอีกที ผมพอมีเงินเลี้ยงข้าวคุณน่า ไม่ต้องห่วง ยากจนเมื่อไรแล้วจะบอก” วดีนึกอายที่มองเขาผิดไปอีกแล้ว เธอไม่ได้ดูถูกอาชีพใครๆ เธอยังเคยนึกหอบลูกไปก่ออิฐเลยถ้าทำได้ แต่ก็หวั่นเกรงว่าความลำบากของเธออาจจะทำให้ใครเดือดร้อน เท่านั้นเอง




เกรียงไกรทำท่ารำคาญนิดๆ แต่ก็จับลูกน้ำอุ้มพาดบ่า ชวนเธอ “คุณเดินดูของมั้ย มีของขายแถวนี้ด้วยนะ ผมแบกลูกให้” วดีกล้าบอกตรงๆ หลังจากทำโง่ๆ ไปหลายเรื่อง “อยากไปร้านมือถือ ตั้งใจซื้อไว้ใช้ทำงานทำงานสักเครื่อง” ค่ำนั้นร้านภาพคนสี่คน พ่อแบกลูกชาย แม่จูงลูกสาวที่ดูเหมือนครอบครัวอบอุ่นจึงเดินเข้าเดินออกร้านขายอุปกรณ์และโทรศัพท์สี่ห้าร้านอยู่เกือบชั่วโมง



เขาแนะนำให้เธอซื้อแบบธรรมดาใช้โทรเข้าออกได้เท่านั้นไม่จำเป็นต้องมีอะไรพิเศษมากมายจะได้ราคาไม่แพงนัก ในที่สุดก็ตัดใจซื้อในราคาสองพันกว่าบาทมาเครื่องหนึ่ง เธอดีใจที่ถูกกว่าคาดไว้ นึกว่ามือถือจะราคาเหยียบครึ่งหมื่นขึ้นไป ขากลับเธอได้ของแถมเป็นของเล่นให้ลูกน้ำด้วยหนึ่งชิ้น วันที่ดีๆ ได้เกิดขึ้นอีกครั้งแล้ว คืนนั้นนอนกอดลูกด้วยความอบอุ่นใจ



วันต่อๆ มาเกรียงไกรกลายเป็นแขกสำคัญของร้านทุกวัน และสนิทกับตายายจนรู้ถึงที่มาของวดี และก็เข้าใจถึงอากัปกริยาของเธอมากขึ้น เขานึกสาปแช่งชายผู้นั้นที่ละทิ้งลูกน้อยไปได้ลงคอ ร้อยยิ้มแห่งมิตรภาพที่เขาตั้งใจมอบให้เธอจึงต่อเนื่องและแปรเปลี่ยนเป็นความผูกพันห่วงใยเพิ่มมากพอที่จะแสดงให้เธอรู้ว่าเขาอยากเป็นคนที่จะเริ่มต้นชีวิตด้วยกันกับเธอได้ในอนาคต ผิดกับวดีซึ่งไม่ได้รู้ที่ไปที่มาของเขานัก จึงยังทำตัวให้ห่างเหินและเข้าถึงยาก
------------------------------------------------------------
เมื่อลูกน้ำครบสองขวบ ร้านค้าของวดีเริ่มเป็นกิจการที่มั่นคงขึ้น นอกจากเครื่องดื่มและไอศครีมต่างๆ แล้ว เริ่มมีร้านขนมอบ ขนมไทยรายย่อยมาติดต่อฝากขาย ทุกคนยังทำงานหนักแบบเดิม


ตอนเปิดร้านและปิดร้านเริ่มมีผู้ช่วยอย่างเกรียงไกรมาประจำทุกวัน บางวันก็มีสาวน้อยวัยเจ็ดขวบมานั่งเล่นกับลูกน้ำอยู่หลังร้านรอพ่อเลิกงานมารับกลับความสัมพันธ์เป็นไปอย่างเสมอต้นเสมอปลาย แม้วดีจะรู้ตัวว่าเริ่มสเน่หาเกรียงไกรบ้างแล้ว แต่ก็เพราะบทเรียนอันเจ็บปวดจากชายหนุ่มคนแรกในชีวิตทิ้งไว้ ทำให้เตือนสติว่าตัวเองต้องยืนได้อย่างมั่นคงโดยไม่พึ่งพาใครก่อนแล้วถึงจะเริ่มกล้าใช้ชีวิตคู่อีกครั้ง พลาดพลั้งเป็นครั้งที่สองจะได้ไม่เจ็บปวดและเคว้งคว้าง


เธอเอาตัวอย่างที่น่าสงสารของแม่และช่วงหนึ่งของชีวิตตัวเองมาเป็นแรงใจให้สร้างความเข้มแข็งแก่ตัวเอง

ชายหนุ่มก็เข้าใจและอดทนสร้างสายใยต่อเพราะเห็นแก่รอยแผลในอดีตแห่งความน่ากลัวนั้น เขาเองก็รอโอกาสที่เหมาะสมว่าสักวันหนึ่งจะกล้าบอกเธอถึงอดีตอันร้าวรานจากการลาจากแบบฉับพลันของคนรักที่เกือบจะทำให้เขาไม่สามารถมายืนอยู่ตรงนี้ได้


การก่อสร้างเสร็จสิ้น ไม่มีคนงานมาอุดหนุนร้านเครื่องดื่มร้อนเย็นอีกอย่างเมื่อก่อน แต่ก็ถูกแทนที่ด้วยผู้คนที่เริ่มหลั่งไหลเข้ามาในหมู่บ้านใหม่และอาคารพาณิชย์ที่กลายเป็นสำนักงานของกลุ่มคนหนุ่มสาวจำนวนมาก แขกประจำอย่างเกรียงไกรก็ไม่ได้มาทุกบ่ายอีกแล้ว เวลาเยี่ยมเปลี่ยนเป็นตอนเช้าตรู่และหัวค่ำบางวันที่ต้องช่วยขนของเข้าร้านหรือวันหยุดทั้งวันแทน



ร้านไอศครีมมีผู้ช่วยเป็นนักเรียนหารายได้พิเศษสามคนสลับกันมาทำงาน เมนูเครื่องดื่มและอาหารว่างก็ถูกแบ่งเป็นหน้าๆ เพื่อให้สะดวกต่อการเลือกชิมมากขึ้น ตายายต้องไปนั่งเล่นที่สวนสาธารณะกับหลานชายตัวน้อยสามครั้งต่อสัปดาห์ วดีและเกรียงไกรกลายเป็นแรงใจของกันและกันอย่างเปิดเผยและอบอุ่นอยู่บนความตั้งใจที่จะมีจุดหมายเดียวกัน



ในวันที่วดีเดินไปธนาคารฝากเงินจำนวนหนึ่ง หลังจากได้เริ่มต้นการสะสมทุนรอนสำหรับอนาคตของลูกชายมาระยะหนึ่งแล้ว เกิดได้ระลึกถึงบุญคุณของคนที่ไม่ใช่ญาติอย่างครูใหญ่เจ้าของเงินทุนครั้งแรกที่มีส่วนทำให้เธอมีโอกาสอย่างวันนี้ จึงตั้งใจว่าจะส่งคืนเงินจำนวนนั้นเสียที


ตอนแรกคิดจะส่งผ่านไปรษณีย์ แต่เกรียงไกรแนะนำว่า ปราณบุรีไม่น่าจะไกลเกินไปที่ทั้งสองจะขับรถไปคืนเงินด้วยตัวเอง เธอเห็นดีด้วย อยากให้เด็กๆ มีโอกาสเที่ยวทะเลที่หัวหิน แม้นึกกลัวๆ กับการที่อาจต้องพบปะน้าสาวและครอบครัวคนใจร้ายแบบนั้น แต่ไปครั้งนี้ไม่ได้คิดพึ่งพิงนางก็ทำให้ตัดความหวาดหวั่นออกไปได้


แค่ก้าวแรกที่เหยียบบริเวณบ้านที่ตัวเองเคยซุกหัวนอนอย่าขมขื่นมาตั้งแต่เด็ก วดีสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เมื่อเคาะประตูบ้านแล้วจึงพบว่าคนอยู่ข้างในเป็นสมาชิกใหม่แปลกหน้าหลายคนอาศัยอยู่ เธอถึงได้รู้บ้านหลังนี้ถูกโรงงานอุตสากรรมผลิตสับปะรดกระป๋องใหญ่เช่าให้เป็นบ้านพักพนักงานไปตั้งแต่ต้นปี


คนเหล่านั้นไม่รู้เรื่องเจ้าของเดิมมากนัก แวะไปถามข่าวคราวหญิงชราใจดีที่เคยอุ้มลูกน้ำก็ไม่พบ แต่หลานสาวคนหนึ่งของแกได้บอกรายละเอียดว่ายายได้ย้ายไปอยู่บ้านหลานชายแถวจังหวัดชุมพรหลังจากวดีออกจากบ้านไปไม่นานนัก


เรื่องราวทั้งหมดเกี่ยวกับครอบครัวน้าสาวถูกเผยออกมาจากปากครูใหญ่ซึ่งทั้งแปลกใจที่วดีนำเงินจำนวนนั้นมาคืนและยินดีที่รู้ว่าเธอมีชีวิตใหม่มั่นคงและอบอุ่น “เกิดเรื่องในครอบครัวนั้น ได้ข่าวว่าผัวมันทำชั่วร้ายแรงกับลูกๆ น้าเธอเขาทนไม่ได้ คงสะสมความแค้นมานานแล้ว เลยชักปืนออกมายิง แล้วฆ่าตัวตายตาม เกิดเรื่องตั้งแต่เมื่อสองปีที่แล้ว เธอไม่ได้อ่านข่าวหนังสือพิมพ์เลยรึ”


ช่วงนั้นเธอเอาแต่ทำมาหากิน แทบไม่เคยดูข่าวดูละครจึงไม่ทราบเรื่องนี้เลยสักนิดเดียว แม้จะไม่เคยมีความทรงจำที่ดีกับครอบครัวนั้นแต่ก็อดตกใจและเศร้าไปกับข่าวจากปากครูใหญ่ไม่ได้ “แต่น้าเอ็งไม่ตายหรอก ยังรักษาสภาพจิตใจอยู่โรงพยาบาลที่สุราษฎร์ธานีโน่น ได้ข่าวว่าจำใครไม่ได้ ส่วนลูกๆ เขาคงอยู่บ้านญาติในกรุงเทพฯ นั่นแหละ” ครูใหญ่ยังเล่าต่ออีกหลายเรื่องรวมถึงเจ้าของบ้านคนใหม่ที่เป็นญาติของน้าเขยอีกที ก่อนจะจากกันครูใหญ่รับคำเรื่องการติดต่อย้ายสำมะโนครัวให้เธอและจะส่งเอกสารให้ไปทางไปรษณีย์
--------------------------------------------------------------------
วดีออกจากปราณบุรีเลี้ยวกลับทางหัวหินด้วยใจหดหู่ แต่ก็ได้รู้สึกในนาทีนี้เองว่าตัวเองโชคดีกว่าผู้หญิงอีกมากมายบนโลกใบนี้ แม่ น้าสาว เด็กวัยรุ่นคนนั้น เธอเองก็เกือบพลาดไปเช่นกัน โชคดีที่มีโอกาสสู้มากกว่า


เห็นป้ายสีสันสวยงามข้างถนนก่อนถึงทางแยกเข้าหัวหินเชิญชวนนักท่องเที่ยวแข่งขันไต่หน้าผาเสี่ยงตาย มีรางวัลเป็นตั๋วเครื่องบินและเงินใช้จ่ายสำหรับเดินทางไปเสี่ยงชีวิตปีนยอดเขาสูงที่ต่างประเทศ แล้วยิ่งสะท้อนใจ ตอนที่เธอเคยลำบากต้องพยายามกระเสือกกระสนทุกวิถีทางให้ตัวเองและลูกมีชีวิตรอด แต่กลุ่มคนพวกนี้มีพร้อมเกือบทุกอย่างกลับจ้องหากิจกรรมแปลกๆ ให้ตัวเองได้มีโอกาสเสี่ยงตายหรือตายจริงๆ หรือว่ามนุษย์ทุกคนจะถูกเกิดมาเพื่อให้รู้จักภาวะใกล้ตายเท่าๆ กัน



แขนเธอโอบกระชับลูกน้ำแน่นขึ้น จนมีเสียงเล็กๆ โอดขึ้นมา “แม่ ลูกน้ำเจ็บ เมื่อไหรจะได้เที่ยวทะเล มาตั้งเกือบวัน ไม่เห็นมีทะเลเลย” “มีสิลูก อีกไม่กี่นาทีก็ถึง เดี๋ยวลูกน้ำจะได้เล่นน้ำกับพี่ปลาหมึกทั้งบ่ายเลย” วดีปลอบคนช่างพ้อ มองไปรอบๆ ทางที่เต็มไปด้วยต้นมะขามขนาดใหญ่ ทะเลอยู่ใกล้ไม่เกินสิบกิโล

แล้วคนขับรถที่นั่งตอนหน้ากับลูกสาวหันมาสบตาในกระจกหลังกับเธออย่างเข้าใจและซาบซึ้งถึงความอบอุ่นจริงใจที่อีกฝ่ายมีให้ตลอดหลายปีกว่าที่ได้รู้จักกันมา

-----
เจ็ดโมงเช้า แสงแดดยังไม่จัดจ้าน ตรงลานจอดรถสำหรับผู้ปกครองส่งเด็กนักเรียนมีหญิงสาววัยเลยเบญจเพศยืนอย่างสงบนิ่งและเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักในสายตาที่กำลังมองนักเรียนตัวน้อยวัยประถมต้นวิ่งหลุนๆ ตามแรงจูงของพี่สาวต่างสายเลือดเข้าโรงเรียน มือขวาลูบพุงน้อยๆ ที่นูนออกมาเนื่องจากการเริ่มต้นชีวิตของใครอีกคนซึ่งกำลังจะลืมตาออกมาดูโลกในอีกห้าหกเดือนข้างหน้า

ผู้ชายที่ยืนใกล้กันกำมือซ้ายเธอไว้หลวมๆ ตะโกนออกไปสั่งเด็กๆ “ปลาหมึก ตอนเย็นพาน้องมารอรถที่เดิมนะ เราจะไปเยี่ยมตายายที่ร้านกัน” พี่สาวหันมายิ้มกับพ่อก่อนแล้วหันไปถามน้องชายที่กำลังกระโดดหย็องแหย็งดีใจ “ตกลงค่ะ พ่อ เย้ ลูกน้ำเราได้ไปหาตายายอีก ดีใจมั้ย คราวนี้พี่จะกินรสมะนาวนะ” น้องชายรีบตอบ “ลูกน้ำเอาชอกโกแลตกับรสส้ม แต่ขอชิมมะนาวด้วยนะพี่”


“พ่อ แม่ มารับเร็วๆ นะครับ”

------------------------------จบค่ะ--------------------------------





 

Create Date : 24 กันยายน 2551
10 comments
Last Update : 24 กันยายน 2551 14:25:12 น.
Counter : 468 Pageviews.

 

ต้นร้าย...ปลายสุข จริงๆ

อิอิ แม่เอื้องใช่ย่อยนะเนี่ย

 

โดย: ปลายดินสอ IP: 125.25.104.18 24 กันยายน 2551 15:37:11 น.  

 

สวัสดีครับ..มาเจอตอนจบพอดี..

 

โดย: cumpreram IP: 202.149.25.234 24 กันยายน 2551 19:14:36 น.  

 

มาแปะไว้ก่อนนะแม่เอื้อง ตอน 3ยังไม่ได้อ่านเลย ขออ่านหนังสือสอบก่อน ตุลาก็จะขึ้นเขียงแล้ว แง๊

ตอนนี้ก็เข้าเนตแว๊บแล้วก็ออก อุตส่าห์ตั้งใจว่าจะไม่เข้าเนตจนกว่าจะสอบเสร็จ ที่ไหนได้ ทนได้แค่สองวัน ธ่อ...ดีแตก..

 

โดย: แม่น้องเบนส์ 25 กันยายน 2551 14:08:56 น.  

 

555555555
ขำแม่น้องเบนส์
ดีแตกบ่อยเหมือนกัน
ได้ 3 ชั่วโมง

 

โดย: rainfull 25 กันยายน 2551 15:45:38 น.  

 

ไหน ๆ ได้เข้ามาแล้ว ก็ขอท่องบล็อกให้หมดเลยละก้นน้อ จิง ๆ ก็ชอบเรื่องสั้นนะคะ แต่ไม่เคยเขียนเองเป็นเรื่องเป็นราว อ่านรากโศก ปลายสุข เขียนดีค่ะ เป็นกำลังใจให้เรื่องใหม่ ๆ นะคะ จะได้ติดตามอ่านค่ะ

 

โดย: ป้าหมูน้อย 25 กันยายน 2551 16:39:44 น.  

 

มิน่า เวลาพี่เอื้องตอบกระทู้มันไม่เหมือนคนอื่นเขา สำนวนนักเขียนนี่เอง

ขอบอกเรื่องสนุกกกกกกกกมากกกกกกกกกก จริงๆไม่ได้อ่านนิยายมานานแล้วเนี่ย ชอบจังเลยจ้า ไว้เขียนมาให้อ่านอีกนะ

 

โดย: ลูกหมู**หาดใหญ่ IP: 118.173.158.163 26 กันยายน 2551 13:13:41 น.  

 

มาแปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านเน้อ

 

โดย: คีตาญชลี 27 กันยายน 2551 0:32:14 น.  

 

มันรวบรัดๆ อยู่นา

 

โดย: Untrue 9 ตุลาคม 2551 8:53:21 น.  

 

"สัญญาต้องเป็นสัญญา.. สัญญาว่ามาต้องมา..อา อา.."

^ ^ ^ ^ อ่านให้เป็นเพลงนะจ๊ะ ได้อารมย์หน่อย..

ดีใจกับวดีด้วยนะ

จะมีเรื่องใหม่อีกมั้ยเนี่ยแม่เอื้อง ถ้าเขียนแล้ว ก็หลังแมวไปบอกหน่อยจิ ตอนนี้ว่างบ้างแล้วหล่ะ กะลังจะสอนตี๋น้อยให้ทำกับข้าวกินเองแล้ว 555

 

โดย: แม่น้องเบนส์ 30 ตุลาคม 2551 16:07:12 น.  

 

Hi ka,
As I said, I was supposed to be working but somehow I got to read your short story - all 4 episodes -__-'
I like how it has the hopeful ending contrasting to the start ka.

P.S. The 'homo sapien' thing is so funny ;P

 

โดย: Mnemosyne 19 ตุลาคม 2552 13:48:55 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


rainfull
Location :
ตรังกานู Malaysia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]












ทุกตัวอักษรทุกภาพที่ปรากฏบนบลอกนี้ ไม่ว่าจะยาวนานอีกแค่ไหน เจ้าของขอสงวนสิทธิ์แต่ผู้เดียวหากผู้ใดละเมิดหรือนำไปใช้ไปอ้างโดยมิบอกกล่าวจะเอาเรื่องทั้งด้วยกฎหมู่และกฎหมาย
Friends' blogs
[Add rainfull's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.