ThiS iS thE wAy iT ShOUld Be

Group Blog
 
 
กันยายน 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930 
 
23 กันยายน 2551
 
All Blogs
 

รากโศกปลายสุขฉบับรวม (ตอน1-2)



เป็นงานเขียนนิยายขนาดสั้นครั้งแรกค่ะ
โดย"ปรับแต่ง"จากชีวิตจริงของใครคนหนึ่ง
ใครพอมีเวลาอ่าน ขอคำแนะนำด้วยนะคะ

-------------------------------------------------
เป็นเรื่องของหญิงสาวคนหนึ่งตกไปอยู่ในภาวะที่พบได้บ่อยครั้งในสังคมไทย
ท้องก่อนเวลาอันควรกับผู้ชายที่ยังไม่พร้อมรับผิดชอบ
เธอจะทำอย่างไร
เมื่อลูกน้อยลืมตาออกมาดูโลกโดยไร้วี่แววแห่งความรักจากพ่อ
เมื่อเจอแต่หนทางที่คับแคบสำหรับคนไร้ที่ไปอย่างสองแม่ลูก
เมื่อหิวและเหนื่อย ทั้งที่มีลูกน้อยอยู่ในอ้อมอก

ถ้าเป็นคุณ...จะทำอย่างไร
-----------------------------------------







รากโศก...ปลายสุข






ตอนที่ 1



สาววัยยี่สิบเศษๆ นั่งหมดอาลัยตายอยากหน้าห้องเช่าเล็กๆ ตรงหัวบันไดริมทางเดิน เจ้าของห้องเช่าหุ่นอุ้ยอ้ายเพิ่งเดินจากไปหลังจากมายื่นประกาศิตให้เธอออกจากบ้านภายในวันพรุ่งนี้ อ้างว่านี่เป็นรายแรกที่หล่อนยอมให้อยู่ต่อโดยไม่ได้จ่ายค่าเช่าเกินสิบวัน

พันวาหายไปไหนนะ ทำไมถึงหนีทิ้งกันไปได้ลงคอ คิดแล้วก็น้ำตาไหลหมดสิ้นหนทาง จนกระทั่งมีเสียงเรียกจากเด็กสาววัยรุ่นข้างห้อง “พี่ พี่วดี ลูกชายพี่ร้องน่ะ” หญิงนามว่าวดีตื่นจากภวังค์ชั่วคราว รีบลุกกระวีกระวาดเดินเข้าไปในห้องที่มีข้าวของเครื่องใช้ของเด็กอ่อนและผู้ใหญ่ไม่กี่ชิ้น

ลูกน้ำทารกน้อยวัยสองเดือนกำลังร้องให้จ้าหน้าแดง เพราะเพิ่งถ่ายหนักเลอะผ้าอ้อม เธอเปลี่ยนผ้าอ้อมที่ตัดจากเสื้อเก่าๆ ของพันวาให้ แล้วอุ้มขึ้นมาแนบอกเปิดเสื้อชั้นใน เจ้าหนูอ้าปากคว้าหมับด้วยสัญชาติญาณ ดูดจ๊วบๆ นัยตามองแม่อย่างไร้เดียงสา มือด้านหนึงที่เริ่มจับสิ่งของได้กำเสื้อของวดีไว้แน่นเหมือนกลัวแม่จะหนีหาย

มองหน้าลูกน้อยด้วยความรักและสงสาร “กินให้อิ่มนะลูกนะ แล้วก็นอนซะ คืนนี้พ่ออาจจะกลับมาหาลูกน้ำกับแม่ก็ได้ ต้องกลับมาสิ เนอะลูกเนอะ”

.............................................................................

ตั้งแต่คลอดออกมาลูกน้ำได้พบพ่อแค่วันที่ออกจากโรงพยาบาล และตอนหมอนัดฉีดยาเท่านั้น พันวาไม่ชอบเด็กอ่อน ทิ้งให้หล่อนและลูกมาอยู่ที่ห้องเช่าเล็กๆ ที่ไม่เหมาะกับเด็กเกิดใหม่แม้แต่นิดเกียว ข้างหลังมีบ่อน้ำครำเต็มไปด้วยยุง ส่วนตัวเองไปอยู่บ้านพักคนงานในโรงงาน

ห้องเช่าข้างๆ ก็เป็นคนทำงานกรรมกรผัวเมียทะเลาะกันทุกวัน อีกห้องก็เป็นเด็กสาววัยรุ่นใจแตกหนีมาขายตัวอยู่ เด็กคนนั้นเคยมองหน้าลูกน้ำแววตาเย็นชา แล้วถามหล่อนว่าทำไมไม่ทำแท้งซะตอนท้อง แล้วทั้งคู่ก็แทบไม่เคยคุยกันอีกเลย แต่หล่อนก็ยังมีน้ำใจรับฝากซื้อของให้ตอนหลังคลอดใหม่ๆ ทำให้ไม่ค่อยมีแรงทำอะไร สลับกับเมียกรรมกรที่พยายามช่วยหล่อนเต็มที่ แต่ก็ชอบกินเหล้าจนพึ่งพาแทบไม่ได้

พันวาเคยตั้งใจให้เงินไว้ใช้อาทิตย์ละหนึ่งพัน แต่ทำได้แค่เดือนเดียว พอเดือนที่สองก็ให้แค่อาทิตย์ละห้าร้อย ไม่ยอมจ่ายค่าเช่าห้องให้ แล้วก็หายไปสิบวัน ยังไม่มีวี่แววกลับมา พันวาหมดรักหล่อนไปตั้งแต่รู้ว่าหล่อนท้องและไม่ยอมทำแท้ง

ลูกน้ำกินนมอิ่มก็หลับตาปุ๋ยน่ารักที่สุด ทำหัวใจแม่ละลายด้วยความรักเอ็นดู หล่อนไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของลูกน้ำถึงใจร้ายไม่เคยแม้แต่จะมองหน้าลูกด้วยซ้ำไป วดีรักลูกน้ำตั้งแต่วันแรกที่พยาบาลอุ้มให้ดูในห้องคลอด

แม้บางครั้งที่วดีเหนื่อยไม่มีเรี่ยวแรงทั้งกายและใจ ลูกน้ำร้องให้หนักโดยไม่รู้สาเหตุ จนเคยคิดโง่ๆ จะโยนทิ้งบ่อน้ำครำหลังห้อง แต่พอมองหน้าลูก ก็ตกใจ เสียใจขอโทษลูกที่ไม่รู้เรื่องแม้แต่นิดเดียว หล่อนเคยรู้เรื่องการเลี้ยงเด็กมาบ้างแต่ไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก โชคดีที่พยาบาลใจดีสอนให้นมลูก อุ้มลูก และอาบน้ำให้ก่อนออกพากลับมาที่นี่ และที่เหลือก็เป็นความรู้จากเมียกรรมกรข้างห้องตั้งแต่การจับลูกเรอ การทายากันท้องอืดท้องเฟ้อ ช่วงเดือนแรกแผลฝีเย็บที่เกิดจากการคลอดยังไม่หายดีก็ได้คำแนะนำจากแกเช่นกัน


ตอนนี้ลูกน้ำสองเดือนแล้ว วดีรู้อารมณ์ของลูกมากขึ้น จึงไม่ค่อยมีเสียงร้องกวนโยเยให้ใครรำคาญจนโดนด่ามาไกลๆ อีก

............................................................................


วดีไม่ตกตะลึงถือสากับคำแนะนำของสาวน้อยวัยสิบห้าคนนี้เหมือนครั้งก่อนๆ แต่ในใจเต็มไปด้วยความกังวลกับอนาคตตัวเองและลูก

เหลือบมองของฝากที่หล่อนขโมยมาให้ เป็นเสื้อเด็กอ่อนสี่ตัว แม้ในใจจะไม่อยากให้ลูกน้ำใช้ของโจรแต่โอกาสเลือกแทบไม่มี ที่ใช้อยู่คือเสื้อเด็กทารรกของโรงพยาบาลสองตัว กับที่เมียกรรมกรซื้อมาให้จากตลาดนัดตัวละสิบบาทอีกห้าตัว บางตัวก็เริ่มคับแล้ว

บางครั้งเสื้อผ้าไม่พอเพราะฝนตก เธอต้องเอาเสื้อผู้ใหญ่ห่อให้ แต่ต่อมาก็ตัดสินใจฉีกเสื้อบางตัวตัดเป็นผ้าอ้อมให้ทั้งหมด เงินที่พอมีเล็กๆ น้อยๆ ก็เจียดซื้อแป้ง ยา สบู่อาบน้ำ และของใช้จำเป็นอื่นๆ ไว้ใช้

เธอไม่กล้าซื้อของมือสองมาให้ลูกใส่กลัวติดเชื้อโรคอย่างที่บางคนพูดให้ได้ยิน เอาเสื้อใหม่ไปทาบกับตัวลูกแล้วพอยิ้มออก คงใส่ไปได้อีกหลายเดือน ท่าทางเนื้อดีทนทานเสียด้วย

นอนก่ายหน้าผาก พรุ่งนี้จะเริ่มต้นอย่างไรกลับบ้านอย่างที่โม้เด็กคนนั้นไปดีไหม ง่วงและเพลียแต่หลับไม่ลง เลยลุกขึ้นเปิดไฟ เอาผ้าบังตาให้ลูกชาย

วดีมองของรอบๆ ห้อง เสื้อผ้าหล่อนมีแค่สามสี่ชุด เสื้อของพันวาสองตัว ผ้านวมผืนเล็กแค่ผืนเดียว ผ้าขนหนูสองผืน ที่เหลือก็เป็นผ้าอ้อม เสื้อผ้าเด็ก มีผ้าอ้อมสำเร็จรูปเหลือห้าชิ้นไว้ใช้ยามจำเป็น มีราคาหน่อยก็คือ กาต้มน้ำ พัดลม ปลั๊กไฟ

ในห้องน้ำแคบๆ ก็มีกะละมังอาบน้ำกับเครื่องใช้ในห้องน้ำเล็กน้อยๆ เท่านั้น ของใช้อื่นหล่อนขายไปเพื่อหาเงินมาใช้ตอนท้องหมดแล้ว ตอนนั้นพันวาตกงาน โชคดีที่ได้งานทำก่อนคลอดเลยมีเงินจ่ายค่าหมอ

ถ้าโดนไล่ก็คงต้องย้ายออกอย่างที่เจ้าของว่า เขาให้อยู่มาเกินสิบวันเพราะเห็นแก่ลูกน้ำ นั่งนับเงินในกระเป๋าและตลับใส่เหรียญได้แค่สี่พันกว่าบาท ถ้าจ่ายค่าเช่าสามพันก็เหลือเงินใช้แค่พันเดียวอยู่ได้ไม่กี่วัน

คงต้องไปตั้งแต่พอมีเงินอยู่บ้าง หันไปกอดลูกให้กำลังใจตัวเองนอนหลับตาด้วยความท้อแท้ใจ

.........................................................................

รุ่งเช้าวันขีดเส้นตาย เจ๊แย้ม มาเคาะประตูตอนแปดโมงถามหาพันวา แล้วบังคับให้เธอย้ายออกไปก่อนเที่ยง

เมียกรรมกรเพิ่งสร่างเมามาช่วยจัดกระเป๋า ยกเป้เก่าๆ ขนาดใหญ่ให้ใบหนึ่ง หล่อนยัดของใช้ลูกทั้งหมดที่ต้องใช้ระหว่างทางบนรถกลับบ้าน และเสื้อผ้าของหล่อนกับผ้าเช็ดตัวแค่หนึ่งผืนลงเป้ เครื่องใช้ไฟฟ้าอยากจะฝากไว้ที่บ้านเมียกรรมกรแต่คิดว่าทิ้งไว้คงไม่พ้นกรรมกรเอาไปขายซื้อเหล้ากิน

เลยพาไปขายร้านอาหารตามสั่งได้เงินอีกเจ็ดร้อย ส่วนผ้านวมกับของอีกเล็กน้อยใส่กาละมังฝากไว้

ภาระของหล่อนคือต้องอุ้มลูกน้ำกับแบกเป้ใบใหญ่ไว้ข้างหลัง และสะพายกระเป๋าอีกใบใส่ของที่จำเป็นต้องหยิบใช้ตลอดสำหรับทารก

เจ๊แย้มเจ้าของห้องเช่าแม้จะนึกเวทนาแม่ลูกอ่อนแต่ก็ทำอะไรไม่ได้และไม่อยากทำ เธอแค่คิดว่ากลับบ้านนอกไปน่าจะดีกว่าอดอยากอยู่ในเมืองกรุงแบบไร้อนาคตอย่างนี้

ก่อนจากเธอควักให้ห้าร้อยบาท พร้อมทั้งอ้างถึงเงินค่าเช่าที่ผ่านมายังจ่ายไม่ครบให้วดีรู้ซึ้งคุณค่าของตัวเองยิ่งขึ้น

..........................................................................


กรรมกรวิ่งไปเรียกสามล้อเครื่องให้ วดีไม่อยากให้ลูกหายใจเอากาศที่เต็มด้วยมลพิษเข้าไปแต่ก็จำใจต้องเดินทางด้วยวิธีนี้ เงินค่าแท็กซี่คงต้องออมไว้เผื่ออย่างอื่น ใช้ผ้าเช็ดหน้าผืนบางๆ คลุมจมูกปากลูก แล้วพัดวีให้ตลอดเวลา


ไปถึงสายใต้หล่อนลงทุนซื้อตั๋วรถปรับอากาศเพื่อให้ลูกสบายที่สุด ผู้โดยสารหลายคนเข้ามาถามไถ่และชมลูกน้ำอยู่เนืองๆ เธอดีใจที่มีคนชมว่าลูกน้ำอ้วนท้วนสมบูรณ์ ตัวเองไม่เคยคิดว่านมแม่จะทำให้ลูกตัวเองอวบอ้วนแข็งแรงได้อย่างนี้ แต่ก็ไม่แปลกเพราะเธอเองกลับผอมแห้งน้ำหนักน้อยกว่าก่อนท้องอีกทั้งๆ ที่เพิ่งคลอดลูกได้สองเดือนเอง


บนรถมีหญิงกลางคนช่วยอุ้มลูกน้ำอย่างมีน้ำใจ ลูกน้ำเริ่มกินนมอีกครั้งหลังจากรถออกพ้นเมืองหลวงแล้วหลับคาอกแม่ เนื่องจากที่นั่งว่าง วดีเลยโชคดีได้ที่นั่งทั้งแถวให้วางเป้ของใช้ลูกได้

ถ้าเป็นคนอื่นคงดีใจที่พาลูกกลับไปเยี่ยมบ้านเกิดเมืองนอนหรือญาติๆ แต่วดีกลับเต็มไปด้วยความวิตกกังวลหวาดกลัว เพราะเธอเป็นลูกของแม่ที่สติไม่ดีเนื่องจากโดนตายายทำร้ายร่างกายและจิตใจอย่างหนักหลังจากคลอดเธออกมาโดยไม่มีพ่อ

จำไออุ่นจากแม่ไม่ทันได้ โตขึ้นมาหน่อยแม่หนีหายไปไหนหลายวันไม่รู้ ไม่มีใครสนใจเพราะแม่มักเมาเหล้าและหลับตามวงเหล้าในงานบ้านงานบุญไกลๆ เสมอ จนต่อมามีคนเจอศพเปลือยกายลอยอยู่ในคูน้ำข้างวัด ตายายแก่เกินไปจึงต้องมาอยู่กับน้าสาวญาติห่างๆ ซึ่งมีลูกสาวลูกชายอย่างละคนอยู่แล้ว


ตอนแรกก็ทำท่าเมตตาเธออยู่ปีสองปี แล้วมีลูกหลงมาเกิด ทำให้วดีกลายเป็นที่ชิงชัง มีดีแค่กลายเป็นที่รองรับอารมณ์น้าสาวและพี่ๆ ไม่เคยได้รับความเมตตาอีกเลย แต่วดีเป็นเด็กอดทนไม่เคยพยายามสร้างปัญหา และตั้งใจเรียน ทำงานบ้านเอาใจทุกคนในบ้าน จึงกลายเป็นแค่คนใช้ไปโดยปริยาย


ปัญหาหนักที่ทำให้วดีรับไม่ได้คือพอเริ่มแตกเนื้อสาว เธอโดนน้าเขยลวนลามทุกทีที่มีโอกาส แต่ก็เอาตัวรอดมาได้ จนเรียนจบชั้น ปวช. มาด้วยความทุกลักทุเล มาทนไม่ไหวเมื่อโดนน้าเขยและลูกชายคนโตพยายามช่วยกันเปลื้องผ้าวดีและกระทำอนาจาร


ตายายก็สิ้นไปแล้ว หล่อนหนีออกจากบ้านนั้นพร้อมเอกสารของตัวเองที่จำเป็นต้องใช้ กับเสื้อผ้าสองสามตัวไปอยู่กับเพื่อนที่กรุงเทพฯ แล้วเป็นสาวโรงงานอยู่แถบจังหวัดในปริมณฑล

----------------------------------------------------------------

เพราะไม่เคยได้รับความเอาใจใส่จากใคร เมื่อมีพันวาเข้ามาจีบวดีจึงหลงรักเข้าเต็มเปา ฝ่ายนั้นก็โกหก หลอกลวง สัญยิงสัญญาต่างๆ นาๆ แต่พอหลวมตัวตั้งท้องโดยไม่ได้ตั้งใจ พันวาก็ให้ลาออกจากงาน แล้วพาเข้าไปอยู่ห้องเช่าแห่งนั้นพูดให้ทำแท้งทุกวัน

วดีอดทนและพยายามโน้มน้าวเขาทุกวิถีทาง ถ้าย้อนกลับไปได้ วดีจะไม่ลาออกจากงาน จะทำงานเก็บเงินต่อจนคลอดลูก แต่นึกอีกทีถ้าย้อนกลับได้จริงก็คงจะย้อนไปตั้งแต่เริ่มคบพันวาโน่นแหละ


ลูกน้ำตื่นแล้วมองไปรอบๆ ดวงตาเบิ่งโต ขณะรถจอดสุดปลายทางที่ปราณบุรี แม่ลูกอ่อนลงจากรถเองด้วยความทุลักทุเล เรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างชาวพม่าไปส่งบ้านน้าสาวที่เคยอยู่ .......



ตอนที่ 2



ไปถึงแล้ว วดีจำเป็นต้องโกหกว่าพ่อของลูกน้ำติดธุระมาด้วยไม่ได้ เธออยากพาลูกมาเยี่ยมที่นี่ น้าสาวมองเธอหัวจรดเท้า “นึกว่าตายไปแล้ว ลูกชายน่ารักดีนี่ หน้าเหมือนเธอนะ นอนข้างล่างนี่แหละ ช่วงนี้ผัวชั้นไม่อยู่ ไปเมืองเหนือ เดือนหน้ากว่าจะกลับ”

เจ้าของบ้านพูดยาวไม่สนใจถามไถ่เรื่องเธอและลูกแม้แต่น้อย แต่ก็มีบ้านให้คุ้มหัวแล้วจะอะไรหนักหนา ยิ่งน้าเขยไม่อยู่ยิ่งสบายใจ หล่อนวางเป้ลง เอาสิ่งของออกมาวาง “แน่ใจนะ ว่าไม่ได้หอบลูกกลับเพราะโดนผัวทิ้งมาน่ะ” น้าสาวยืนดูของใช้แล้วเหยียดมุมปาก ไม่มีวี่แววปราณีเมตตาแก่เด็กแบเบาะอย่างที่แม้แต่คนจรจัดเดินผ่านไปมาข้างถนนยังพอมีให้เห็น

วดีอดทนตลอดทุกวินาทีที่มาเหยียบบ้านนี้อีกครั้ง หล่อนนอนข้างล่าง แต่บ่อยครั้งที่ลูกๆ และเจ้าของบ้านทำเสมือนว่าไม่มีเธออยู่ด้วย เปิดทีวีเสียงดัง เดินกระทืบเท้า ไม่สนใจว่ามีเด็กน้อยต้องนอนพักผ่อนกลางคืน พอลูกน้ำร้องกวนเสียงดังน้าสาวก็ด่าและขุดเรื่องเก่าๆ ทั้งของวดีและแม่มาตำหนิ

ดูนางจะมีร่องรอยแห่งความโกรธ เกลียดแค้น ในทุกสิ่งทุกอย่างรอบๆ ตัว มากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก เพราะด้วยความผิดของเธอหรือสิ่งใดก็ไม่เข้าใจนัก

.........................................................................

เธอเคยตั้งใจว่ากลับมาอยู่บ้านนี้จะยอมเป็นคนใช้ เพื่อให้ตัวเองและลูกมีที่ซุกหัวนอน แต่ไม่เคยคิดมาก่อนว่าน้าสาวเธอจิตใจทำด้วยอะไร รังเกียจและเกลียดลูกชายเธออย่างรุนแรงและออกนอกหน้า

อย่างเมื่อลูกสาวคนเล็กเธออยากอุ้มลูกน้ำ แต่ลูกน้ำร้อง นางกลับเอ่ยถ้อยคำผรุสวาทใส่เด็กน้อยวัยสองเดือนที่มองตาแป๋ว ข้างบ้านมาอุ้มไปเล่นให้ตอนที่วดียุงกับงานบ้าน ก็ถึงกับปิดประตูไม่ให้กลับเข้ามาอีก จนวดีต้องกราบขอร้องให้ลูกเข้าบ้านเธอจึงยอม

ยายแก่ๆ เพื่อนบ้านที่อยู่มานานกลับบอกว่าน้าสาวมีอาการโรคประสาทเนื่องจากสามีทำร้ายจิตใจด้วยเรื่องที่ใครๆ เขาเล่าลือกัน แต่ก็ไม่มีใครรู้เรื่องราวที่แท้จริง


ชะรอยจะอยู่บ้านนี้ได้ไม่นานนัก แม้ตลอดเวลาที่อยู่เธอทำงานบ้านอย่างหนักทุกครั้งหลังจากว่างเลี้ยงลูกแต่ไม่ได้รับความเห็นใจแม้แต่นิดเดียว วดีไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับจิตใจของคนบ้านนี้

ความอดทนขาดสะบั้นเมื่อน้าเขยกลับมา กลางคืนวดีนอนข้างล่างกับลูก น้าเขยท่าทางเหมือนคนสติไม่ดีพยายามปลุกปล้ำเธอทั้งๆ ที่ให้นมลูกอยู่ วดีสู้ตาย

น้าเขยใช้กำลังไม่สำเร็จก็กลับขึ้นข้างบนได้ยินเสียงทะเลาะกันอย่างรุนแรง น้าสาวและลูกๆ ร้องให้ พอรุ่งเช้าก็มาเสนอให้วดีเป็นเมียน้อยตัวเองและพูดจาลามกหยาบคาย


และที่ทำให้ตัดสินใจจากบ้านนั้นมาทันทีเมื่อแอบเห็นน้าเขยมาเปิดผ้าอ้อมลูกชายแล้วยิ้มแบบคนสติไม่ดีอย่างน่ากลัว พอโดนทักก็ตบแก้มลูกน้ำร้องจ้า คว้าลูกวิ่งออกมา ตั้งใจทันที่ว่าต้องออกจากบ้านนี้แล้ว

ลูกชายคนโตของน้าสาวก็ชอบมายืนดูเธอให้นมลูกน้ำ และพูดจาแบบเดียวกับพ่อ ตอนเธอกวาดบ้านจัดข้าวของให้ ในห้องนอนของวัยรุ่นคนดังกล่าวมีแต่สื่อลามก ท่าทางไม่น่าไว้ใจเหล่านี้ทำให้เธอไม่เคยทิ้งลูกไว้กับคนในบ้านแม้แต่ครั้งเดียว

แต่เหลือเงินแค่สองพันบาทแล้วจะไปตายดาบหน้าได้อย่างไร ตอนบ่ายเธอจึงเดินไปบ้านครูใหญ่ที่เธอเคยรู้จักและช่วยงานตอนเด็ก ขอยืมเงินถ้ามีโอกาสจะรีบมาคืน

ครูใหญ่มองเธอเล็กน้อยแล้วนึกอย่างไรวดีไม่ทราบได้ ยกเงินให้ถึงหนึ่งหมื่นบาท และบอกให้เธอพาลูกออกจากบ้านน้าสาวเสีย “เธอกลับไปง้อผัวหน่อย ผัวเมียกันก็อย่างนี่แหละ เดี๋ยวก็ดีกัน ลูกน่ารักอย่างนี้ เห็นเข้าก็ใจอ่อน”


เธอได้แต่ฟัง ไม่กล้าอธิบายใครๆ ว่าพันวาตั้งใจหนีหายตายจากไปจริงๆ แล้ว ยายข้างบ้านที่เอ็นดูทารกพอรู้ว่าเธอจะไปก็ให้เงินรับขวัญลูกน้ำถึงสองพันบาท นับว่าเป็นเงินมากโขสำหรับหญิงชราคนหนึ่งที่เคยมีช่วงชีวิตวัยเด็กอันเงินบาทสองบาทก็ทำให้อิ่มได้เป็นวันๆ ที่สำคัญไม่ได้มีสายใยอะไรเกี่ยวข้องกับเธอเลยแม้แต่นิดเดียว นางคงสัมผัสถึงความทุกข์ยาวของเธออย่างแท้จริง


กลางดึกคืนนั้นเธอจัดกระเป๋าอีกครั้ง ใช้เป้และกระเป๋าเล็กใบเดิม ก่อนจะหลับเธอเห็นน้าสาวเดินลงมาหน้าซีดโรยเหมือนคนป่วย วดีรู้สึกเข้มแข็งเมื่อเห็นอาการอ่อนแอของนาง ไม่หวาดกลัวเธออีกแล้ว นึกกล้าขึ้นมา จึงขอทวงเงินจากการเป็นคนใช้บ้านนี้มาตั้งแต่เด็ก โดยบอกว่าขอเงินไปซื้อของใช้ให้ลูกน้ำ กะว่าถ้าไม่ให้ก็แค่โดนด่า ก็ไม่เป็นไร พรุ่งนี้ก็จะไปแล้ว


ครั้งแรกในชีวิตที่เธอเห็นแววตาของน้าสาวซึ่งเคยแห้งแล้งและเหยียดหยามใส่เธอมาตลอดเดือนกลับมีความหมายบางอย่าง เดินไปไขลิ้นชักหยิบเงินให้เธอสองพัน “มิงมีทางเลือก กูไม่มี” วดีนึกงง ถ้าคนอย่างเธอมีทางเลือก ก็มีแต่คนที่กำลังจะตายเท่านั้นที่ทุกข์ใจกว่าบนโลกนี้ ไม่มีแก่ใจสนความหมายได้แต่รับเงินมา ตอนนี้เธอมีเงินหมื่นกว่าๆ ให้อุ่นใจขึ้นเล็กน้อย


หันมองไปรอบๆ ชั้นล่างว่ามีอะไรที่เธอจะหยิบไปใช้สอยหรือขายได้บ้าง แล้วเธอก็ได้เสื้อกันฝนพลาสติกแบบพับเป็นถุงเล็ก ชุดเข็มเย็บผ้า ยาแก้ปวดสองแผง พลาสเตอร์ยา ยาหม่อง และมีดปอกผลไม้ ใส่เป้เพิ่มเติม

เธอขึ้นไปข้างบนเจอกางเกงน้าเขยแขวนอยู่กลางห้องโถงหล่อนมองอย่างรังเกียจแต่ก็ตั้งใจล้วงเอากระเป๋าเงินแอบหยิบแบงค์ห้าร้อยกับเศษเหรียญทั้งหมดออกมาใส่กระเป๋าตัวเอง

อยากขโมยเอาทรัพย์สินเพิ่มเติมแต่ไม่กล้ากลัวน้าแจ้งตำรวจแล้วอาจโดนจับได้ ที่สำคัญเธอพกพาของหนักเพิ่มเติ่มไม่ได้อีกแล้ว


เนื่องจากนอนดึกจึงตื่นสายเล็กน้อย แต่ก็เร็วกว่าที่ทุกคนในบ้าน วดีหอบลูกแบกเป้ ไปเรียกมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปส่งที่คิวรถ คราวนี้เธอเลือกรถปรับอากาศชั้นสองถึงช้าแต่ก็ถูกกว่ากันหลายบาท

ลูกน้ำสามเดือนแล้ว ชอบให้แม่หรือใครๆ อุ้มเล่นมากขึ้น จ้องผู้คนผ่านไปมา และเริ่มยิ้มตอบจริงจังถ้ามีใครสักคนชวนคุยด้วย ขณะนั่งรอรถออกจากท่าก็ส่งเสียงอ้อแอ้เสียงดังจนคนหันมามองแล้วยิ้มให้ ขึ้นรถด้วยความลำบากและคราวนี้ที่นั่งเต็ม เธอต้องอัดเป้ไปใต้ที่นั่ง

รถแวะรับผู้โดยสารตลอดทางจากปราณบุรี ทำให้ลูกน้ำหลับไม่เต็มอิ่มเพราะตื่นทุกครั้งที่รถหยุด ร้องกวนโยเยบ่อยๆ อุ้มลูกแบบขวางก็ไม่ค่อยได้เพราะจะไปโดนสาววัยทำงานนั่งข้างๆ ที่มองแม่ลูกอ่อนอย่างเฉยชาปนสงสัย

..........................................................................

ตั้งใจไว้ว่าถึงกรุงเทพฯ จะกลับไปห้องเช่าเดิมก่อน เผื่อพันวาจะสำนึกได้มาเฝ้ารอพบลูกน้ำ วดีไม่มีเยื่อใยรักเหลือให้เขาแล้วแต่ก็อดคาดหวังไม่ได้เมื่อนั่นคือบุคคลสุดท้ายในชีวิตที่เธอพึ่งพาได้ในยามนี้ เขาเป็นพ่อของลูก เป็นคนที่เคยกอด เคยทำท่าห่วงใยทะนุถนอมเธอ


ถ้าไม่เจอใครก็อาจขอพักห้องเด็กสาววัยรุ่นขายตัวคนนั้น แล้วแบ่งกันจ่ายค่าห้อง กลางวันเจ้าหล่อนนอนทั้งวัน ส่วนกลางคืนก็ออกหาลูกค้า น่าจะแบ่งกันนอนได้ ถ้าลูกน้ำกวนก็พาไปนั่งเล่นห้องกรรมกร ไม่แน่นะ เธออาจยอมขายตัวอย่างที่หล่อนชวนไว้


พอนึกได้ถึงตอนนี้ ก้มมองหน้าลูกน้ำ กลับนึกกลัวเรื่องโรคติดต่อจะมาถึงลูก ถ้าเธอตายไปลูกน้อยจะอยู่อย่างไร แว่บๆ ความคิดเอาลูกไปทิ้งที่บ้านเด็กกำพร้า แต่ก็ปัดทิ้งไป แค่เธอทิ้งลูกไว้ไปทำงานบ้านยังเป็นห่วงลูกสงสารลูกแทบตาย

หรือว่าจะไปช่วยก่ออิฐแบบกรรมกร แล้วจะทำยังไงกับลูกน้ำ อากาศร้อนแบบนั้น อุ้มลูกด้วยทำงานด้วย คงได้ป่วยตายกันก่อน
ลงรถที่สายใต้เลยเที่ยงไปพอควร หล่อนเรียกสามล้อไปส่งที่เดิม อยากให้ลูกชายได้อาบน้ำเย็นๆ ให้สบายตัวเต็มที ไปถึงแทบล้มทั้งยืน เมื่อห้องเช่าทั้งแถวไม่มีร่องของใครเหลืออยู่อีกเห็นเป็นแค่ประตูที่มีกุญแจแบบเดียวกันล็อคทุกบาน


แค่เดือนเดียวที่เธอจากไปมีการเปลี่ยนแปลงอย่างน่าสงสัย จึงไปรีรอขอถามเรื่องราวที่ร้านอาหารตามสั่งที่มีลูกค้าพวกใช้แรงงาน ชาวบ้านแถวสลัมใกล้เคียง มีคนหนาแน่นจนเธอไม่กล้าเข้าไปถามเพราะรู้ถึงความปากร้ายเสียงดังของเจ้าของร้านซึ่งกำลังยืนหน้ามันอยู่ข้างเตาแก๊สผัดอะไรบางอย่างในกะทะ ไฟจากแก๊ซลามเลียกะทะอย่างน่ากลัว


เธอสั่งข้าวผัดต่อเด็กร้าน แล้วออกมานั่งด้านนอกสุดของร้าน อากาศร้อน ลูกน้ำทำท่าอึดอัดจะร้องให้ แต่เธอโยกตัวลูกเล่นเบาๆ ให้ยิ้มออกมาได้ ได้ข้าวผัดก็กินอย่างละเลียดช้าๆ เพราะเร็วไปก็ไม่รู้ไปไหน ดื่มน้ำจากแก้วพลาสติกมีสีคล้ำของการใช้งานและล้างอย่างลวกๆ

เกือบชั่วโมงจนลูกค้ายามเที่ยงวายไป เจ้าของร้านจึงหันมาเห็นเธอ “อ้าว นี่เธอกลับมาทำไม ไม่รู้เรอะ ตำรวจมากวาดล้างห้องเช่าผิดกฎหมายน่ะ ตอนนี้เจ๊แย้มแกเลยปิด คงทุบทิ้งแล้วสร้างให้ได้มาตรฐานตำรวจมั๊ง ลูกค้าหายเลยกู”

วดีมองหน้าคนเล่าอย่างสิ้นหวัง แต่หล่อนก็กำลังพล่ามเรื่องต่อไปให้เธอยิ่งท้อแท้อีก “ไม่ต้องมาถามเรื่องผัว ข้าก็ดูๆ ให้ เผื่อจะบอกมันเรื่องลูกเธอ แต่ก็ไม่เคยเห็นมัน ได้ข่าวว่าแก๊งนั้นย้ายไปโรงงานงานแถวๆ เมืองกาญจน์ งานรับเหมาน่ะ มันคงทิ้งเธอแน่ๆ ผู้ชายมันไม่อยากรับผิดชอบ ทำไมไม่อยู่บ้านล่ะ”


อุ้มลูกแนบอก ถามต่อปากสั่น “แล้วยายพัด กับ แต๋วล่ะ ไปอยู่ไหน รู้มั้ย” เธอหมายถึงเมียกรรมกรและวัยรุ่นขายตัวข้างห้อง “โฮ้ย ไอ้สองกรรมกรนั่นมันไปนอนที่ก่อสร้างน่ะ ไม่รู้อยู่ไหน ส่วนอีเด็กนั่นคงไปสนามหลวงมั้ง ที่นั่นไม่ต้องเช่าบ้าน” คนพูดกลอกตาด้วยอารมณ์สนุกที่ได้เล่าถึงคนอื่นแต่ก็รำคาญใจกับอากาศร้อนภายในร้านทำให้ต้องคอยพัดวีตัวเอง


“จะไปอยู่กับพวกนั้นรื้อ ไม่ได้หรอก ยิ่งมีเด็กอ่อนอย่างนี้ เธอกลับบ้านเถอะ ยังไงญาติแย่ๆ ก็น่าจะดีกว่าอีพวกนั้น” ได้แต่ฟังคำแนะนำแก่นๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่าของนาง เรื่องให้กลับบ้านไป เธออยากบอกนางเหลือเกินว่าต่อให้พันวารักหล่อน แต่ถ้าไม่มีเรื่องเดือดร้อนจริงๆ คงไม่แบกลูกออกมาให้ตากแดดร้อนชวนป่วยหนักอย่างนี้


วดีหลับตาเหมือนให้ตื่นจากฝันร้าย ไม่อยากคิดต่อไป หนทางที่พอมีเล็กน้อยแต่กลับถูกปิดหมดทุกด้าน เธอไม่มีทางเลือกจึงหน้าด้านขออยู่กับร้านอาหารชั่วคราวเผื่อพันวากลับมา ขอนอนที่เพิงอาหารนี้ก็ได้ ไม่มีที่ไปจริงแล้ว แต่ก็โดนปฏิเสธทันที

“เธออยู่ไม่ได้หรอก บ้านฉันคับแคบ ทั้งผัว ทั้งลูก แล้วไหนจะข้าวของอีก เธอกลับบ้านไปดีกว่า เพิงนี้ก็อันตรายกลางคืนคนงานเถื่อนๆ มันจะข่มขืนเอาน่ะสิ มันไม่ดูหรอกว่ามีลูกอ่อนกินนมอยู่ บางทีมาเปิดร้านตอนเช้าถุงยางเกลื่อนเต็มร้าน กางเกงในยังมีให้เห็นเลย”

รับรู้ความจริงข้อนี้ พร้อมกับประสบการณ์ในบ้านที่เธอจากมา วดีก็อ้าปากขอพึ่งไม่ไหวอีกต่อไป

แต่เมื่อเจ้าของร้านมองหน้าเด็กน้อยซึ่งกำลังอึดอัดเหงื่อแตกจนผมบางๆ เปียกลู่ไปกับหนังศีรษะ หล่อนก็ยอมให้ล้างหน้าล้างตัวให้เด็กได้ ยกกาละมังใส่ผักบุ้งล้างลวกๆ สองสามครั้งแล้วเติมน้ำให้ลูกน้ำเล่นน้ำอยู่ครู่หนึ่ง

ทารกน้อยนั่งเล่นน้ำด้วยท่าทางแห่งความยินดี แม้เคลื่อนไหวได้ไม่มากนัก แต่ลำตัวที่ทอดยาวบนแขนแม่ที่จมลงในกะละมังมีใบหน้าส่งสายตาแววใสบอกความสุขอย่างไม่รับรู้หรือเข้าใจความทุกข์ของแม่


ด้วยวัยสามเดือนลูกน้ำอ้อแอ้เสียงดัง เรียกความเวทนาเอ็นดูจากหญิงกลางคนที่เคยมีลูกอ่อนได้ แต่นางเองก็มีภาระมากมาย อัตคัตขัดสนไม่ต่างจากวดีเท่าไหร่นัก ดีกว่าที่มีบ้านให้ซุกหัวนอน ที่สำคัญชินชากับความยากจนแบบนี้จนคุ้นเคยดีจึงไม่คิดจะใยดีนำพาช่วยเหลืออะไร


------------------------------------------
วดีหลบสายตาจากแดดเปรี้ยงๆ พยายามคิดว่าตัวเองมีเพื่อนอยู่ที่ไหนบ้าง เคยพยายามติดต่อเบอร์เดิมๆ คนเหล่านั้นก็เปลี่ยนหมดแล้ว แม้กระทั่งโทรไปหาเพื่อนที่เคยพึ่งพาแต่ทางหอพักบอกว่าเพื่อนย้ายไปนานแล้ว “มีที่พักแถวไหนให้หนูกับลูกพอค้างได้บ้างมั้ย” เธอถามครั้งสุดท้ายก่อนเดินออกจากร้านหลังจากแต่งตัวให้ลูกน้ำเสร็จ


ลูกค้ากรรมกรคนหนึ่งนั่งฟังเห็นเหตุการณ์จึงชี้ไปทางบริเวณที่อาคารสูงๆ ต่ำ หนาแน่น “มีโรงแรมราคาถูกๆ อยู่แถวนั้นคืนละร้อยสองร้อย ลองไปถามดู” มีคนเห็นใจหลายคนแต่ส่วนใหญ่ก็สุขสบายกว่าวดีแค่ไม่ต้องอุ้มเด็กอ่อนเท่านั้นเอง


วดีเดินไปตามคำแนะนำ หนทางชักตันขึ้นไปทุกที เธอต้องเริ่มประหยัดเงินที่มีอยู่แค่หมื่นกว่าเสียตั้งแต่ตอนนี้ เกือบสองกิโลเมตรที่ต้องเดินฝ่าฝูงชน อากาศร้อน และฝุ่นละออง



จนเจอโรงแรมมีชื่อเป็นตัวเลขซอมซ่ออยู่มุมหนึ่ง วดีหอบลูกไปถามราคา บอกเด็กในร้านว่าพลัดหลงกับสามี เหลือเงินอยู่ไม่มากขออาศัยรอที่โรงแรมนี้จนกว่าจะมีคนมารับ หล่อนจำเป็นต้องโกหก เพราะมีเงินติดตัวอยู่บ้างกลัวจะมีสายสืบบอกให้โจรมาค้นห้อง ถ้ารู้ว่าแม่ลูกอ่อนไม่พกเงินมาก็อาจปลอดภัย


“คืนละสามร้อย พัดลม ห้ามปล่อยให้เด็กร้องเด็ดขาด รบกวนแขกอื่น” เด็กยืนหน้าเคาเตอร์พูดไม่มองหน้า “ขอลดหน่อยนะ กลัวเงินหมดก่อนพ่อเด็กมาน่ะ ถ้ามาแล้วจะใช้ราคาเต็ม” หล่อนโกหกต่อ “ให้สองร้อยห้าสิบ ถ้าไม่ได้ก็ออกไปหาที่อื่น” เด็กพูดไม่มีเยื่อใย


วดีจึงได้เดินเข้าห้องพักซึ่งดีกว่าที่คิดไว้นิดหนึ่งแต่ก็เต็มไปด้วยกลิ่นอับและแมลงสาบ อาจจะอยู่ที่นี่ได้อีกสองสามวัน พรุ่งนี้จะลองหางานทำแถวนี้ดู แต่จะมีใครรับแม่ลูกอ่อนทำงานอะไรได้หนอ


ล้มลงนอนแผ่บนที่นอนผ้าปูสีขาวมอๆ ของโรงแรม แม้จะรังเกียจว่าที่แห่งนี้จะถูกใช้ทำงานแบบไหนสำหรับคนกลุ่มใด แต่ก็ต้องทำใจ ได้แค่นี้ก็บุญโข ไม่ร้อน ไม่มียุง

ทารกน้อยนอนแผ่กลอกสายตาไปรอบๆ ห้อง ใช้เท้าสองข้างน้อยๆ เตะถีบขึ้นลงอย่างสบายใจ วดีล๊อคประตูหนาแน่น เอาหมอนวางใกล้ๆ ลูกน้อยตัวเองเข้าห้องน้ำอาบน้ำชำระอย่างหวังให้ใจปลอดโปร่ง ได้โอกาสซักผ้าเปื้อนเลอะของลูกผึ่งไว้รอบๆ ห้อง เสร็จแล้วล้มตัวลงนอนให้นมลูกแล้วหลับไปด้วยกัน


ตื่นขึ้นมาเกือบหกโมงเย็น รู้สึกหิวจึงหอบลูกไปซื้อของกินกัน หล่อนพกเงินไปกับตัวทั้งหมด โดยเย็บถุงติดไว้ที่ขากางเกงหนึ่งหมื่น ที่สาบเสื้อสี่พัน และพกที่เหลือใส่กระเป๋ากางเกง ซื้อของกินที่ถูกที่สุด ขนมสองสามห่อ นมหนึ่งกล่อง และน้ำเปล่าสองขวด



กลับมาที่ห้อง หมดเงินไปเกือบร้อยบาท แม้จะมีเงินอยู่หมื่นกว่าบาทพอให้หาโรงแรมพักได้แต่เธอก็กังวลว่าเงินหมดโดยไม่มีงานเมื่อไหร่จะลำบาก จึงมีแต่ความทุกข์เมื่อกังวลเรื่องนี้

ตอนเดินกลับห้องพัก เด็กหน้าห้องมองเธอด้วยสายตาชวนกังวลใจ แต่วดีพยายามปัดความคิดที่ทำให้ทุกข์ใจเพิ่มขึ้นออกไป


มาถึงห้องน้ำตาไหลพรากออกมาอีกครั้งด้วยความน้อยเนื้อต่ำใจในชีวิต ใครหนอถึงลำบากยากจนขนาดต้องเข้ามาปล้นเอาทรัพย์สินที่แทบไม่มีเลยของแม่ลูกอ่อน

ข้าวของกระจัดกระจาย ไม่มีอะไรหายไป เพราะไม่มีสิ่งใดมีค่าพอแก่การขโมยของโจรใจบาป กระเป๋าเศษเหรียญที่เธอพอมีเล็กน้อยก็หายไป แต่ก็ยังยิ้มออกที่คิดถูก ไม่ทิ้งเงินที่มีไว้


หล่อนไปบอกเด็กหน้าห้องเรื่องโจรเข้ามาค้นของในห้อง กลับโดนคำพูดใส่หูอย่างไร้น้ำใจ “เหรอ แล้วหายไปกี่ล้านล่ะ แจ้งตำรวจสิ” โลกนี้จะไม่มีที่ให้เราแม่ลูกเลยหรือไร คืนนั้นวดีพยายามหลับโดยปลอบใจตัวเองว่าตอนนี้ลูกน้ำได้อยู่ในที่ที่ค่อนข้างสบายพอสมควร และพรุ่งนี้อาจหางานทำ หาที่พักใหม่ได้


ตื่นออกมาหาอะไรกินตอนเก้าโมง แล้วเดินเลยถามหาร้านอาหารเพื่อรับจ้างล้างจานหรืออะไรก็ได้ แต่ไม่มีร้านไหนตอบรับ มีบางครั้งที่เขาทำท่าสนใจแต่พอรู้ว่าต้องเลี้ยงลูกน้อยด้วยก็โดนไล่ออกมา

มีอยู่ร้านหนึ่งเธอเห็นเด็กล้างจานอยู่บนทางเท้า จึงเอ่ยขอทำงานกับเจ้าของร้านที่ยกจานมาให้วางให้ข้างกะละมัง เธอจึงลองเสี่ยงครั้งสุดท้าย คิดว่าคงโดนแค่ส่ายหน้าใส่ แต่กลับกลายเป็นถ้อยคำรุนแรงสุดทน


“อีขอทาน มิงไปไกลๆ เลยไป ทำมาของานทำ มิงทำงานได้ไงวะ อุ้มลูกมาแบบนี้ อีพวกทุเรศ เอาลูกมาขอทาน” วดียืนหน้าชา มีชายหนุ่มแถวนั้นสองสามคนมองมา ด้วยความสงสาร สมเพช รำคาญ หรือใจบุญมิทราบได้ มีคนหนึ่งยื่นเงินให้เธอสองร้อย แล้วเดินจากไป



เดินกลับโรงแรมด้วยความเหนื่อยหน่าย เห็นผู้หญิงท่าทีเหมือนเจ้าของโรงแรมนั่งอยู่ที่เคาน์เตอร์มองมา แต่วดีเหนื่อยจนไม่สนใจอะไร อยากนอนเต็มทีจึงเดินเข้าห้อง ร้องให้กอดลูก ลูกน้ำร้องเล็กน้อย แต่ก็หยุดเมื่องับนมเข้าปาก

แม่ผู้เหนื่อยอ่อนมองธนบัตรสีแดงสองใบที่เพิ่งได้จากการให้ทานมา หล่อนยินดีกับเงินก้อนนี้พร้อมๆ กับความรู้สึกบางอย่างที่เคยหลงเหลือในชีวิตขาดหายไป ศักดิ์ศรีไงล่ะ

---------------------------------------------------------------------

ขอทานน่าจะเป็นคำตอบสำหรับตัวเองตอนนี้ หล่อนกับลูกนอนพักอยู่ในห้องตลอดบ่าย ไม่ได้ออกไปซื้อหาอะไรอีกแล้ว กินขนมกับนมกล่องเดียวที่ซื้อไว้มาตั้งแต่เมื่อวาน

ยามเย็นตอนอุ้มลูกอาบน้ำในอ่างล้างหน้า มีขันพลาสติกเล็กๆ รองน้ำ ขณะที่มือวักน้ำราดแผ่นหลังอ่อนๆ วดีคิดอยากฆ่าตัวตาย คิดกดให้ลูกจมน้ำตาย แล้วตัวเองผูกคอตาม แต่ตกใจมือสั่นเมื่อลูกน้ำอ้อแอ้ยิ้มให้อีกแล้ว เธอยิ้มตอบ ยกมือสั่นๆ ขึ้นลูบผมบางๆ ของลูกชาย


ตัวน้อยชอบเล่นน้ำนานๆ เราคงหาโอกาสพาลูกน้ำไปเล่นน้ำที่ริมทะเลสักวันหนึ่ง พรุ่งนี้จะต้องหาทางช่วยตัวเองอีกให้ได้ ให้ความหวังตัวเองจนน้ำตาคลอเบ้า

ตื่นเช้าตรู่ออกไปซื้อน้ำเต้าหู้กับขนมแห้งสองสามถุง จำเป็นต้องกิน แม้อยากประหยัดใจจะขาด แต่กลัวน้ำนมจะไม่เพียงพอให้ลูก กลับมาห้อง ยังตัดสินใจไม่ได้เรื่องออกขอทาน ก็มีเสียงมาเคาะประตู ....


------------------------------------------------------------------
อ่านต่อตอนที่ 3









 

Create Date : 23 กันยายน 2551
5 comments
Last Update : 30 พฤศจิกายน 2551 12:46:58 น.
Counter : 489 Pageviews.

 

เอาเวลาไหนมาเขียนเนี่ย มี๊เอื้อง ขยันเชียว เมื่อไหร่จะรวมเล่มส่งพิมพ์ จะได้ตังค์มาส่งน้องนีโอ เรียนโรงเรียนอินเตอร์

 

โดย: Azizan 23 กันยายน 2551 14:19:12 น.  

 

โอ คุณแม่ของนีโอ เป็นนักเขียนแล้วจ้า

 

โดย: samranjai 23 กันยายน 2551 15:51:16 น.  

 

อ่านไป...ลุ้นไป...

คงไม่รันทดไปกว่านี้นะแม่เอื้อง

เศร้า... ถึงจะเป็นแค่เรื่องสั้นก้อเหอะ

 

โดย: ปลายดินสอ 23 กันยายน 2551 20:46:13 น.  

 

คือว่า ตั้งใจเขียน แล้วรวมเล่มขาย ทันซื้อรถสปอร์ตให้นีโอขับไปโรงเรียนนะค่ะ

 

โดย: จขบ IP: 60.51.6.191 23 กันยายน 2551 21:37:07 น.  

 

ใกล้จบแล้วหรอป้าเอื้อง .. เศร้ามาค่อนเรื่องแล้วจิ .. น้ำตาคลอ ชีวิตจริงมีใครเศร้าได้เท่านี้ป่ะเนี่ย

 

โดย: Kitty_sweet 24 กันยายน 2551 8:16:34 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


rainfull
Location :
ตรังกานู Malaysia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]












ทุกตัวอักษรทุกภาพที่ปรากฏบนบลอกนี้ ไม่ว่าจะยาวนานอีกแค่ไหน เจ้าของขอสงวนสิทธิ์แต่ผู้เดียวหากผู้ใดละเมิดหรือนำไปใช้ไปอ้างโดยมิบอกกล่าวจะเอาเรื่องทั้งด้วยกฎหมู่และกฎหมาย
Friends' blogs
[Add rainfull's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.