ThiS iS thE wAy iT ShOUld Be

Group Blog
 
<<
กันยายน 2552
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
23 กันยายน 2552
 
All Blogs
 
ผีเสื้อสีม่วงกับดอกไม้ข้างทาง (Imperfect Lovers) ครึ่งแรก

ผีเสื้อสีม่วงและดอกไม้ข้างทาง            
           แรงบันดาลใจเรื่องนี้ จากหนังสือเรื่องผีเสื้อและดอกไม้
           
     

ตอนที่ผมเพิ่งจบมหาวิทยาลัยใหม่ๆ กำลังรองานพร้อมๆ ไปกับการใช้ชีวิตอย่างอิสระนั้น ได้เรียนรู้อะไรมากกว่าชีวิตในรั้วการศึกษาสี่ปีเสียอีก ผมตั้งใจว่าจะเป็นครูสอนดนตรีสำหรับการศึกษาภาคบังคับช่วงชั้นไหนก็ได้ โชคเข้าข้างเหมือนกันเพราะทันทีที่ได้รับใบสภาอนุมัติปริญญา มันตรงกับช่วงสมัครสอบบรรจุครูพอดี และผมก็สอบได้อันดับต้นๆ มีโอกาสบรรจุแน่นอน จะที่ไหนก็ได้ ผมไม่สนใจ แม้มีรุ่นพี่ขู่มาบ้างว่าถ้าเราไปตกอยู่ในโรงเรียนไกลปืนเที่ยงที่ขาดแคลนบุคลากร เราอาจต้องสอนคณิตศาสตร์หรือภาษาอังกฤษทั้งๆ ที่จบครุศาสตร์เอกดนตรี  

แต่มันยากที่ไหนกัน ทุกคนที่จบระดับอุดมศึกษาน่าจะสอนเด็กได้ทุกวิชานี่นา และอีกอย่างผมก็จบครู... ครูที่ดี... แค่ใจรักก็เพียงพอ

ผมไม่ได้สมัครเป็นครูในโรงเรียนเอกชนเพื่อรอการเรียกบรรจุอย่างคนอื่นๆ ไม่มีภาระต้องใช้จ่ายมากมายอะไร เล่นดนตรีหารายได้ประทังชีวิตชั่วคราวไปพักหนึ่ง ความจริงถ้าเป็นครูไปก่อนเลยก็น่าจะได้ประสบการณ์ดีๆ แต่ผมเหน็ดเหนื่อยกับปัญหาชีวิตบางอย่างจนทำให้เกือบท้อที่คิดจะเป็นครูในบางครั้ง ปัญหาที่หลายคนต่อต้านว่าคนแบบผมไม่น่าจะเป็นแม่พิมพ์ที่ดีได้ ผู้คนเขาพูดเรื่องนี้กันทั้งประเทศ

ครับ... ผมกล้าบอกตรงนี้

ว่าผมเคยเป็นพวกสับสนทางเพศอย่างหนักมาก่อน !!!

จนคนรอบข้างไม่ยอมรับ พ่อแม่ ญาติ เพื่อน ครู เห็นเป็นตัวตลก และพวกเขาก็ยังหวังว่าผมจะเปลี่ยนแปลงได้  แล้วมันเปลี่ยนได้ที่ไหนกันล่ะ ใครไม่เป็นไม่รู้หรอก แต่เมื่อผ่านช่วงหนึ่งไป จากการก้ำกึ่งว่าจะผู้หญิงหรือผู้ชาย ผมก็ตัดสินใจเด็ดขาดเลือกที่จะเป็นผู้ชาย

...อย่างชายแท้ๆ...

แม้จะทำให้ใครหลายคนผิดหวัง แต่ผมก็บอกตัวเองเสมอ เราไม่สามารถทำให้คนอื่นพอใจได้ทุกคน ศาสดายังมีคนติฉิน แล้วนับประสาอะไรกับคนเล็กน้อยเท่าผงธุลีดินแบบผม

ช่วงเวลาระหว่างรองานที่ว่างเปล่า เงียบเชียบ ทำให้ผมพิจารณาตัวเองได้ถ่องแท้ขึ้นว่าเหมาะที่จะทำงานเป็นแม่พิมพ์หรือไม่ มีเวลารอเรียกบรรจุอยู่หลาย ผมตัดสินใจลงไปอยู่กับน้าสาวซึ่งเป็นข้าราชการครูอยู่แถว อ. สุไหงโก-ลก จ.นราธิวาส

ตรงพื้นที่แถวชานแดนใต้ ครูแบบไหนๆ ก็ขาดแคลน คนที่พอทำงานได้ รัฐบาลก็บอกว่าไม่มีเงินจ้างและไม่น่าเชื่อว่ามีบางคนต้องรอตกเบิก เป็นไปได้ยังไงกับการใช้ชีวิตด้วยเงินเดือนรอตกเบิกไม่กี่พัน

บ้านน้าสาวผมอยู่ในตัวอำเภอ เป็นห้องแถวสองคูหาติดกัน ชั้นบนเป็นบ้าน ด้านล่างน้าเขยดัดแปลงเป็นโรงเรียนสอนดนตรีขนาดย่อม สอนจำพวกเปียโน กีตาร์ เพื่อหารายได้พิเศษ คูหาข้างๆ เป็นร้านเครื่องดื่มที่ลูกค้าส่วนใหญ่เป็นนักท่องเที่ยวจากฝั่งมาเลเซีย


ร้านนี่แหละ ที่ทำให้ผู้ชายแบบผมรู้สึกว่าควรค่าที่จะเกิดเป็นผู้ชาย ผมพบรักกับหญิงสาวคนหนึ่งที่นี่


ธุรกิจเมืองชายแดนอย่างสุไหงโก-ลก ก็ไม่พ้นแหล่งจับจ่ายซื้อของสำหรับชาวมาเลเซีย ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า อาหาร และก็ธุรกิจบันเทิงแฝงบริการทางเพศไม่ว่าจะมาในรูปร้านเหล้า ร้านอาหาร ร้านเสริมสวย ร้านให้บริการนวดแผนโบราณ ที่มีหญิงสาวให้บริการ

ก็เมืองพุทธนี่นา เรามีอิสระกันเพียงพอที่จะทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่เรายังไม่ตาย

ศีลห้า เป็นแค่ข้อควรปฏิบัติ จะทำตามสมควรกันขนาดไหนก็ทำไป... คิดกันเอาเอง แล้วแต่ใครจะเข้าข้างตัวเองว่ายังไง

ผมไปช่วยสอนกีตาร์เด็กอยู่กลุ่มหนึ่ง ความจริงผมก็เล่นดนตรีเป็นทุกชนิดนั่นแหละ แต่ถนัดและรักไวโอลินที่สุด ตอนอยู่กรุงเทพฯ ผมสอนไวโอลินให้กับลูกคนมีเงินหลายคน แต่ในแถบต่างจังหวัด คนอยากเรียนไวโอลินหายาก คงมีบ้างที่สนใจก็คงหาคนสอนไม่ได้ อีกอย่าง...เครื่องดนตรีอย่างไวโอลินมันก็ไม่ทั่วไปเท่ากีตาร์ สายไวโอลินขาดขึ้นมา อาจต้องสั่งซื้อกันข้ามจังหวัด

กีตาร์มันเป็นเครื่องดนตรีที่ใครๆ ก็เล่นได้ เรียนดนตรีเพิ่มอีกหน่อย ก็ใช้มันชูใจยามเหงากันได้ทุกคน

ตอนเย็นๆ ช่วง 5 โมงเย็น ถึง 2 ทุ่ม น้าเขยสอนเปียในในห้องแอร์ชั้นใน เพราะเสียงเปียโนของนักเรียนนั้นอาจเล็ดลอดให้รำคาญชาวบ้านได้


ส่วนผมสอนกีตาร์ห้องด้านหน้า เสียงกีตาร์แม้ไม่ได้เรื่อง ก็ยังกังวานและไม่ก้องไกลกว่าจนชวนรำคาญเท่าเปียโน นักเรียนเป็นเด็กหญิง เด็กชายวัยราวๆ ม.ต้น 5 คน วันแรกที่ผู้ปกครองของเด็กๆ เจอผม ทุกคนก็มองเหมือนผมเป็นตัวประหลาดตามเคย ก็คนที่เคยสับสนทางเพศ ต่อให้สินใจเลือกเพศที่ตัวเองชอบยังไง มันก็ปกปิดไม่มิด ผู้คนดูออกทั้งนั้น

...พ่อเด็กสาวมองผมอย่างไม่ไว้ใจ...

...แม่ของลูกชายมองผมอย่างตระหนก...

แต่พอผมยกมือไหว้ทักทาย ทุกคนก็เริ่มยิ้มให้ พวกเด็กๆ มาเรียนกีตาร์ แต่ผมสีไวโอลินให้พวกเขาฟัง ในที่สุดพวกเขาก็เปิดใจรับผม ดนตรีใช้บำบัดความคลางแคลงใจ และความคิดแง่ลบของมนุษย์ได้ทุกเพศทุกวัย นี่ก็เหตุผลหนึ่งที่ผมอยากให้เด็กทั้งโลกเล่นดนตรีเป็น

“เล่นดนตรีเก่งนะ ครู เหมือนนักดนตรีอาชีพเลย” ผู้ปกครองเด็กๆ ชมผม ด้วยท่าทางที่พอดูออกว่าพวกเขาคงคลายใจแล้วว่าผมนั้นดูอ่อนไหว มือไม้และแววตาอ่อนแอเกินไปที่จะเป็นฮีโร่จนมีผลต่อพฤติกรรมเบี่ยงเบนทางเพศของเด็กๆ ได้

“ตั้งใจเรียนให้เก่งเหมือนครูนะ เดี๋ยวมารับ”พวกเขาจากไป ผมถึงเริ่มสอนกีตาร์เด็ก

ชั่วโมงแรกผมสอนเขาเก็บ วาง ทำความสะอาดกีตาร์ตัวใหม่ และเล่นเพลงที่พวกเขาอยากเล่นเป็นให้ฟัง และสอนให้เขาฟังความไพเราะของทุกเสียงที่ได้จากการดีดปิ๊คขึ้นลงบนสายกีตาร์โดยไม่ต้องรู้โน้ตหรือจับคอร์ดใดๆ

ความผิดพลาดในการเล่นก็ถือว่าเป็นความไพเราะอย่างหนึ่ง
ผมไม่ได้เริ่มที่การสอนโน้ตดนตรีสากลอันน่าเบื่อหน่าย แต่ให้พวกเขาจับคอร์ดพื้นฐาน 3-4 คอร์ด จนมั่วๆ กันไปจนเล่นเป็นเพลงได้ หลายคนว่าไม่ใช่วิธีที่ถูก แต่วิธีนี้ทำให้เด็กใฝ่เรียนมากขึ้น

วันต่อมาเราถึงเรียนโน้ตสลับกับปฏิบัติกันไป


ทำแบบนี้กันเกือบทุกวัน เมื่อจบการสอนแต่ละครั้งราวทุ่มหนึ่ง ผมจะออกมาส่งเด็กๆ หน้าบ้าน รอพ่อแม่มารับ ไม่ผมก็น้าเขยหรือน้าสาวต้องมายืนเป็นเพื่อนเด็กๆ เพราะที่ร้านเครื่องดื่มข้างๆ นั้นไม่ปลอดภัยนัก มีนักท่องเที่ยวนิสัยไม่ดี รวมทั้งผู้หญิงอาชีพพิเศษนั่งเต็มร้าน จนล้นออกมาเก้าอี้ด้านนอก บางทียามเมามายก็ส่งเสียงให้เด็กหวาดกลัว

ผมไม่ชอบบรรยากาศร้านเครื่องดื่มแบบนี้ เพราะรู้ดีว่ามันมีอะไรเคลือบแฝงอยู่ ผมเคยเล่นดนตรีในร้านอาหารนี่นา ผู้ชายแบบผมยังไม่วายโดนถูกเหมารวมแบบบังเอิญไปในบริการพิเศษของร้านด้วยซ้ำไป


ถึงไม่ชอบยังไง ผมก็ไม่รังเกียจเสียทีเดียว ผมเลือกซีดีเพลงให้เจ้าของร้านใช้ด้วย เพราะไหนๆ ผมก็ต้องทนฟังอยู่แล้วนี่ เลือกที่ชอบเลยก็ดี แต่ที่ทำให้ผมถึงกับนึกชอบเอาก็คือลูกค้าของร้านคนหนึ่ง คนที่นั่งโต๊ะด้านนอกให้ผมเห็นทุกวัน

เธออาจจ้องมองผมก่อนมานานหลายวันก็จริง

แต่ผมมั่นใจว่า ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายชอบเธอก่อน

เธอหน้าตาดีเอาการ วงหน้ารูปไข่ ตากลมโต ไม่มีสิว ผิวสวยขาวเหลืองๆ แบบคนไทย เค้าหน้าบางส่วนบอกว่าเธอมาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และผมเดาไม่ผิดด้วย เธอพูดภาษาใต้ไม่ได้สักแอะ แถมยังเว้าอิสานกับเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ ลั่นโต๊ะ

ครับ ...เธอ เป็นสาวอาชีพพิเศษ
เหมือนกับสาวๆ คนอื่นๆ ที่มากับลูกค้าทั้งแก่ทั้งหนุ่มของร้าน เธอดูดีก็จริง แต่ปราดเดียวคนโง่ก็รู้ว่าเธอทำมาหากินอะไร น้าสาวเคยชายตาดูเธอแว่บหนึ่ง แล้วบ่น “เสียดายว่ะ” แสดงว่าน้าสาวเห็นควรว่าเธอน่าจะประกอบอาชีพอื่น


วันนั้นหลังจากเด็กคนหนึ่งขึ้นรถกลับบ้านเป็นคนสุดท้าย ผมกำลังหันหลังกลับเข้าบ้าน แต่ก็ต้องสะดุดกับสายตาเธอที่จ้องผมอยู่ตามเคย เธอมองผมอย่างเปิดเผยและเป็นมิตร รอยยิ้มเปลือยๆ เกลื่อนหวานทั้งใบหน้า และเปลี่ยนเป็นเสียงหัวเราะ เธอจุ๊บแก้มผู้ชายที่นั่งข้างๆ แล้วพูดภาษาอังกฤษงูๆ ปลาๆ กับชายคนนั้น

“ไอว้อนซีมายเฟน มายเฟน แป๊บนะ”ก่อนเดินมาหาผม

“เพิ่งมาอยู่เหรอ สอนดนตรีอะไร” เธอถามทันที

ผมนึกชอบอยู่แหละ แต่ใบหน้าของเธอที่ใกล้มาจนเห็นลิปสติกสีชมพูจ๋า กับมาสคาร่าหนาเตอะสวยผิดธรรมชาติ ทำให้ผมทั้งอึดอัดและขบขัน แต่เธอกลับมองเป็นว่าผมกำลังอาย เธอยิ้มท้าทาย

“ผู้ชาย อะไรขี้อาย ถามแค่นี้ก็อาย” เธอกอดอกมองผมเหมือนเด็กๆ ผู้หญิงสวยชอบพูดและมองผมแบบนี้ทุกคน ผมคงขี้อายในสายตาสาวๆ เอามาก

“ตอนนี้สอนกีตาร์ แต่ก็เล่นได้หมดแหละ ยกเว้นเครื่องเป่า” ผมพยายามตอบแบบลูกผู้ชายเต็มที่

“อือ เก่งจัง ชื่ออะไรล่ะ เราชื่อบัวคำ แต่เรียกบัวเฉยๆ ดีกว่า บัวคำเชยตาย”

“ชื่อฟ้า... สายฟ้าน่ะ” ผมบอกทั้งชื่อจริงชื่อเล่น เธอยิ้มหวานเหมือนเดิม

“ชื่อซะสูงเชียว เราต้องไปแล้วล่ะ” บัวชมชื่อผมแล้วกลับไปนั่งเกาะต้นขาลูกค้าชายวัยกลางคนแบบเดิม

ผมมองบัวอีกครั้งก่อนเดินเข้าบ้าน อยากคุยกับเธออีกสักหน่อยแต่ไม่รู้จะทำยังไง นอนคิดเล่นๆ ว่า ถ้าอยากคุยกับคนแบบบัว ผมต้องเอาเงินไปให้แล้วนับชั่วโมง หรือตั้งเวลาตามจำนวนเงินหรือเปล่า หรือว่าเหมาจ่าย ตอนนั้นผมคิดประทับใจธรรมดา แต่เมื่อเราได้คุยกันด้วยบทสนทนาสั้นๆ อีกหลายครั้ง ผมถึงรู้ว่าเริ่มชอบเธอแบบหนุ่มสาว

...บัวก็คงคิดไม่ต่างกัน...

***************

ร้านเครื่องดื่มปิดวันอังคาร เธอเคยมารอพบผมเอาเฉยๆ เราจึงได้คุยกันยาวครั้งแรกบนเก้าอี้หน้าร้านที่เงียบเชียบ เธออยากเรียนดนตรีบ้างอยู่เหมือนกัน แต่คงไม่กล้าเอ่ยออกมา ผมก็ไม่รู้จะคุยอะไรกับผู้หญิง ผมไม่รู้จักการเป็นเพื่อนกับผู้หญิงมานาน สุดท้ายก็ไม่วายพ้นเข้าเรื่องโง่ๆ เหมือนคนทั่วไปที่อยากรู้ว่าทำไมผู้หญิงแบบเธอจึงยอมประกอบอาชีพพิเศษแบบนี้

“โอ๊ย จะทำงานอะไรกันล่ะ ม. 3 ยังไม่จบเลย เคยทำงานในร้านอาหารทั้งล้างจานทั้งเสิร์ฟ ยืนเดินตั้งแต่เที่ยงวันจนเที่ยงคืน ได้ 300 ค่าทิปก็โดนหัก จะไปพอยาไส้อาไร้” เธออธิบายซะดัง แต่ก็เงียบลงเอง เพราะคงดูออกว่าผมไม่คุ้นกับเสียงคุยดังๆ ทั้งที่ไม่ควร

“แหม 300 ก็น่าจะพอนา”

“โอ๊ย พอได้ไง ไหนจะค่านมลูก ค่าอาหารแม่ เฮ่อ... คุณครูก็... แหมพ่อศิลปิน” เธอกรีดเสียงขำๆ เรียกผมว่าครูตลอด

“มีลูก... แล้วเหรอ?” ผมโพล่งๆ ออกไปอย่างห้ามไม่อยู่ เธออ่อนกว่าผมสามปี แสดงว่าเธอเพิ่งจะ 20!

“มี 2 คน” เธอควักบุหรี่สูบเอาเฉยๆ ผมนั่งใบ้กิน ฟังเธอเล่าต่อ “เราไม่จบ ม. 3 ฮู้ย... เรียนยากจะตาย เรียนไม่รู้เรื่อง ใจแตก... แล้วท้องก็ หยุดเรียนมีลูก เลิกกะไอ้บ้านั่น ต่อมาก็แต่งงานใหม่มีลูกอีกคน ...ผัวสองคน เลวทั้งคู่ ป่านนี้ตายหงตายเหวที่ไหนแล้วก็ไม่รู้”

ประโยคไม่ยาวนักแต่เล่าเปลือยชีวิตได้เสียเต็มทุกรูขุมขน แทบไม่ต้องถามอะไรต่อไป แต่ผมก็ไม่วายเค้นคำถามที่ไม่ควรถามได้อีก

“อยู่ไกลลูกขนาดนี้ ไม่คิดถึงเหรอ” แม่ผมยังโทรหาผมทุกสองวัน ทั้งที่ลูกโตจบปริญญาตรีแล้ว

“โอย เพราะคิดถึงมัน 2 คนนี่แหละ ถึงได้ระเห็จมานี่ ป่านนี้ไม่รู้โดนยายกับตาตีตายไปหรือยัง ได้ข่าวว่าซนเหลือเกิน” เธออัดบุหรี่อย่างเมามัน ไม่สบตาผม “ถ้าไม่มีพวกมันป่านนี้อาจไปอยู่เมืองนอกกับฝรั่งแล้วมั้ง อยู่ที่นี่ไกลยังไงก็ยังหาทางไปเยี่ยมได้ แต่ไม่อยากไปหาพวกมันบ่อยหรอก”
คำว่า “มัน” ที่บัวใช้เรียกลูก ใครได้ยินคงสะดุ้ง แต่ถ้าเห็นแววตาหม่นๆ เจ็บปวดของคนพูดทุกคนก็คงให้อภัย แบบผม

“ลูกก็คงคิดถึงแม่น่าดู” ผมเข้าใจเธอ

“ก็คงงั้น โดยเฉพาะไอ้คนโต ฉลาดเหลือเกิน เฮ่อ... ถ้าไม่เป็นเอดส์ตายเสียก่อนก็คงได้กลับไปเลี้ยงดูกัน”

“น่าจะลองหางานใกล้ๆ ลูกกว่านี้” ผมพยายามเริ่มแนะนำ ไม่อยากให้เธอทำอาชีพนั้น

“น่า...รู้หรอกว่ากำลังจะบอกให้เลิกอาชีพนี้ เราคิดตลอดแหละ แต่ไม่รู้จะเริ่มยังไง เคยแต่งานมักง่ายอย่างนี้แล้ว ไม่มีวุฒิ ไม่มีความสามารถอะไร เออๆ เปลี่ยนเรื่องพูดเถอะ” เธอโบกมือให้ผมหยุดสาธยาย

ยามหน้าตาไร้เครื่องสำอาง ทำให้เห็นชัดขึ้นว่าเธอยังเด็กแค่ไหน แม้มันจะดูซีดเซียวแบบคนที่นอนหลับผิดเวลาหรือแก่เกินวัยตามแววตากร้านๆ และผมสีแดงแปร้ดที่ล้อมกรอบหน้านั้น

เราคุยถึงทางตันเร็วไป จึงต่อได้อีกนิดเดียว แล้วเธอก็ถอนหายใจ ขอตัวลากลับแบบไร้รอยยิ้มจนผมอยากตบปากตัวเองที่ชวนเธอคุยเรื่องเครียดน่าเบื่อพวกนั้น

“ไปล่ะ ครู”

หลายวันต่อมาเราก็ยังพบกันเหมือนเดิม แบบที่เธอยิ้มให้ผมซึ่งยืนโต๋เต๋รอให้เธอเดินมาหา

ผมคิดถึงเธอตลอด

คงมีผมคนเดียวในโลกนี้ที่ประทับผู้หญิงมีอาชีพพิเศษ เฝ้ารอเธอมาปรากฏกายที่ร้านพร้อมกับผู้ชายไม่ซ้ำหน้า บางทีก็ชายชรา บางทีก็วัยกลางคน บางครั้งก็หนุ่มน้อย แต่เธอก็ทำตัวน่ารัก ไม่หวงเนื้อหวงตัวกับพวกเขาเท่าเดิม ทำผมสีฉูดฉาด แต่งหน้าเข้มจัดเหมือนจงใจปกปิดทุกอย่างที่แท้จริงไว้ภายใต้เครื่องสำอางหนาๆ พวกนั้น สูบบุหรี่แบบเดียวกับผู้ชายอย่างไม่กลัวสุขภาพย่ำแย่

ทุกครั้งที่ผมออกมายืนส่งเด็กขึ้นรถ เธอจะขอตัวปลีกเวลาลูกค้ามาหาผม ลูกค้าเธอก็ใจดีไม่ยักหวงเธอสักนิด ก็ท่าทางผมเป็นผู้ชายขี้แพ้แบบนี้ ใครจะคิดว่ามีน้ำยาอะไรแย่งสาวได้ หรือไม่ก็... พวกลูกค้าพวกนั้นรู้ดีว่าเธอไม่มีค่าพอที่จะห่วงหาอะไร

“ทำไมแต่งหน้าซะขนาดนี้ล่ะ” ผมเคยทักขึ้นมาครั้งหนึ่ง

“เออ ไม่รู้แฮะ คนอื่นจะได้รู้ว่าทำงานอะไรมั้ง ผู้คนจะได้ปฏิบัติต่อเราถูก ฮ่าฮ่าฮ่า” เธอหัวเราะร่า

“ดีนะ ที่ไม่แพ้เครื่องสำอาง ผมแพ้หลายยี่ห้อเลย”

“เฮ่อ คงต้องแต่งๆ แบบนี้แหละ พอเสร็จงานจะได้ล้างอะไรๆ ออกไปจากชีวิตในแต่ละวันได้” เธอพ่นบุหรี่ควันขโมง จนผู้ชายแบบผมต้องผงะหน้าหนี

“สูบบุหรี่มากไม่ดีนา ไม่อยากรอมีชีวิตอยู่ดูลูกโตหรือไงล่ะ บัว”

“อยากหยุดเหมือนกัน แต่พวกลูกค้าก็สูบทั้งนั้นนี่” เธอบุ้ยใบ้ไปทางโต๊ะลูกค้า แล้วเธอก็เดินกลับโต๊ะไป

ผมสังเกตได้ว่าเมื่อผมวกเข้าเรื่องส่วนตัวเธอจะซึมๆ และเลิกคุยกับผมเอาง่ายๆ ตอนหลังผมจึงไม่คุยเรื่องลูกหรืออาชีพเธออีก คงฟังผู้คนพูดหรือประนามมามากพอแล้ว เราคุยเรื่องดนตรี เธอชอบฟังเพลง และพอร้องเพลงได้

“สอนให้มั่งสิ เผื่อเป็นนักร้องได้”

คำพูดบัวไม่เคยมีคะ ขา ไม่ว่ากับใคร เหมือนเธอรู้ว่าพูดไปก็เท่านั้น ไม่มีใครชมว่าเธอมารยาทดี คนมารยาทดีที่ไหนมีอาชีพพิเศษล่ะ ผมเข้าใจ เพราะผมเองก็ไม่เคยใช้คำว่า คะ ขา หรือ ครับ สักครั้ง

“สอนได้ อยากเรียนจริงหรือเปล่า” ผมรับคำอย่างมั่นใจทันที

บัวก็คงจริงจังไม่แพ้กัน สองสามวันต่อมา เธออุตส่าห์ตื่นเช้ามาเรียนดนตรี เธอไม่ใช่คนมีหัวทางศิลปะแน่นอน แต่ใครๆ ก็ร้องเพลงหรือเล่นกีตาร์ได้ ถ้าพยายามอย่างสม่ำเสมอ ผมยกกีตาร์ให้บัวไปตัวหนึ่งให้เธอฝึกซ้อม ผ่านไปเกือบสองเดือนที่เริ่มเล่นเป็น พอๆ กับร้องเพลงถูกคีย์ขึ้น
เธออยากจ่ายค่าสอนพิเศษ

แต่ผมอยากคุยกับเธออยู่แล้ว การได้ใกล้ชิดเธอแบบนั่นก็ดีโขอยู่ เรื่องเงินไม่ใช่เรื่องใหญ่ของลูกคนสุดท้องแบบผมนี่ ผมน่าจะเป็นฝ่ายเผื่อแผ่เธอให้มากขึ้นด้วยซ้ำไป

“ไม่เอาค่าสอนพิเศษ แต่ขออะไรอย่างหนึ่งเถอะ”

“ทำไม อย่าบอกนะ ว่า...” เธอยิ้มล้อๆ

“เราไม่ใช่คนแบบนั้นน่า เราขอแค่ให้บัวเลิกทำผมสีฉูดฉาดนี่เถอะ และแต่งหน้าให้น้อยลง หน้าจะพังเอาน่ะ”

ฟังผมพูดเสร็จ เธอหัวเราะจนตัวโยน เอนแก้มแนบไหล่ผม เธอไม่หวงตัวหวงเนื้อ บางครั้งเชยคาง เขี่ยจมูกผมเหมือนทำกับเด็กๆ แต่ปกติเธอก็คงไม่เคยหวงตัวกับใครสักครั้งอยู่แล้ว ผมก็ได้แค่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ สับสนว้าวุ่นไปทั้งคืน

******************
วันรุ่งขึ้นเธอทำผมสีดำปกติ แต่งหน้าบางเบา จนน้าสาวผมแอบทักว่า “เสียดาย” อีกครั้ง ไม่เสียดายได้ไง ในเมื่อเธอกลายเป็นหญิงสาวสวยปกติทั่วไปขึ้นมาทันที ถ้าเธอเดินเฉยๆ ไม่พูดจา อาจดูเหมือนนักศึกษาสาวมานั่งร้านเครื่องดื่มกับแฟนหนุ่ม ดูไม่เหมือนผู้หญิงอย่างว่า

แต่...ก็แค่สีผมกับหน้าตาที่เปลี่ยนไป อย่างอื่นยังคงเดิม แต่แค่นั้นก็ดีพอ ผมได้ยินพวกบ๋อยปากเปราะในร้านแอบชมบัวให้ผมได้ยิน
“อิบัวนี่ ถ้ามันเลิกอาชีพนี้ ไม่น่าจะหาผัวจริงๆ ยาก ...โง่จัง...ไม่รู้จักทำมาหากินอย่างอื่น...”

ไม่รู้ว่าการแนะนำของผมมันดีร้ายยังไง แต่เมื่อบัวสวยขึ้นและดูเป็นสาวธรรมดา ไม่ฉูดฉาดไร้รสนิยมอย่างเมื่อก่อน หน้าตาของลูกค้าเธอเริ่มไม่เปลี่ยนไป หลายสัปดาห์ทีเดียวที่เธอพาลูกค้าคนเดิมเดินไปเดินมาในตัวอำเภอ

ความรักของผมที่เริ่มก่อตัวหนาให้บัวข้างเดียว คงเป็นรักของชายที่ดีแท้ที่สุดในโลก อดทนได้แม้เธอจะเป็นหญิงผ่านมือชายคนแล้วคนเล่าให้เห็นตำตา และผมรู้สึกดีที่เห็นบัวมีลูกค้าประจำแค่คนเดียว

ก็ผมเปลี่ยนแปลงอะไรไม่ได้นี่ นั่นเป็นอาชีพที่เธอเลือก ผมภาวนาถ้าเธอต้องทำอาชีพนี้ต่อไป ขอให้เธอมีขาประจำหรือเจอคนที่ซื้อเวลาเธอไปอย่างถาวรและตลอดชีวิตก็ได้ อย่าต้องให้เธอร่วมเตียงกับคนแปลกหน้าบ่อยๆ ผิดวิสัยมนุษย์ปกติก็เป็นพอ

รออ่านตอนจบนะคะ





Create Date : 23 กันยายน 2552
Last Update : 23 กันยายน 2552 23:09:05 น. 1 comments
Counter : 1470 Pageviews.

 
เรื่องของบัวจะจบอย่างไรน้อ


โดย: พลอย IP: 192.234.212.144 วันที่: 14 ตุลาคม 2552 เวลา:5:55:18 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

rainfull
Location :
ตรังกานู Malaysia

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]












ทุกตัวอักษรทุกภาพที่ปรากฏบนบลอกนี้ ไม่ว่าจะยาวนานอีกแค่ไหน เจ้าของขอสงวนสิทธิ์แต่ผู้เดียวหากผู้ใดละเมิดหรือนำไปใช้ไปอ้างโดยมิบอกกล่าวจะเอาเรื่องทั้งด้วยกฎหมู่และกฎหมาย
Friends' blogs
[Add rainfull's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.