Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
1 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
paris day 4 ลัดเลาะรอบปารีส Notre Dame-Louvre-Eiffel

มาถึงเช้าวันที่ 4 ของปารีส ที่เป็นวันเที่ยวแบบเต็มๆวันสุดท้าย



เพิ่งทานมื้อเช้ามาจากโรงแรมแล้วแท้ๆ ยังมาจัดการ brunch ต่อที่ KFC ได้อีก สิ่งที่ผมชอบอย่างหนึ่งเมื่อไปเมืองนอกก็คือ ได้ลองเมนูแปลกๆ หรือเมนูที่ไม่เหมือนในบ้านเราของพวก fast food อย่างนี้น่ะครับ

อาหารเช้าที่โรงแรมไม่ค่อยมีผักกับเนื้อสัตว์ เลยสั่งเป็น สลัดไก่ กับอกไก่ทอดมาทานครับ แล้ว KFC ฝรั่งเศส ก็มีสิ่งที่ให้อึ้งก็คือ ซอสที่เขาจะให้ทานกับ ไก่นี่ มีทั้งซอสพริก (ที่ไม่ถูกปากคนไทยหรอก) ซอสมะเขือเทศ และ มายองเนส! เอามายองเนสมาจิ้มไก่เนี่ยนะ T_T จะว่าให้ทานกับสลัดก็ไม่น่าจะใช่ เพราะมีน้ำสลัดแยกมาด้วยนี่นา



ช่วงเช้าได้มีโอกาสเดินเล่นรอบๆโรงแรม บริเวณสี่แยกต้นถนน Ornano (เลย MaDonald กับ KFC ไปหน่อย) ทำให้มีโอกาสเห็นตลาดของที่นี่ ที่มีสินค้าขายหลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นเป็นเสื้อผ้า ของใช้ต่างๆ ที่สำคัญมีของที่ระลึกราคาไม่แพงขายด้วยครับ





ราคา ok แถมไม่ต้องไปแบกกลับมาไกลๆจากแหล่งท่องเที่ยวด้วยครับ



โบสถ์ Notre Dame ตั้งอยู่บนเกาะซิเต้ (Ile de la Cite) เกาะนี้จะอยู่ในแม่น้ำ Seine อันเป็นจุดที่สำคัญทางภูมิศาสตร์หนึ่ง เพราะถือกันว่า เกาะ Cite นี้เป็นจุดกึ่งกลางของเมืองปารีส

การเดินทางไปเกาะซิเต้ (Ile de la Cite) สามารถใช้รถไฟใต้ดินเดินทางไปได้โดยสะดวกเพราะมีสถานีให้เลือกลงถึง 2 สถานี คือ สถานี Cite ที่จะลงกลางเกาะเลย (อยู่บน Metro สาย 4 สีชมพูแก่) อีกสถานีหนึ่งคือ St.Michel-Notre Dame ที่จะลงริมแม่น้ำ seine ขึ้นมามองเห็นโบสถ์ Notre Dame พอดี (ใช้รถไฟ RER สาย Bและ C)

ผมเลือกลงที่ Cite เพราะจากโรงแรมที่พัก (Ibis Ornano Montmarrtre) จะเป็นสถานีต้นสายของ Metro สาย 4 (สีชมพูแก่) นั่งมาอีก 12 สถานีก็ถึงครับ ที่สำคัญบนเกาะ Cite และรอบๆยังมีสถาที่น่าแวะไปชมอีกหลายแห่ง ถือเป็นการอุ่นเครื่องก่อนเดินไปยัง Notre Dame ด้วยครับ

เมื่อโผล่ออกมาจากสถานีรถไฟ Cite จะพบโบสถ์ Saint Chapelle เลย





บนเกาะ Cite ยังเป็นตลาดต้นไม้และดอกไม้ (Marche aux Fleurs-มาร์เช่ โช เฟลอร์) ที่ใหญ่และมีเก่าแก่ที่สุดของปารีส (ตั้งแต่ปี 1808) เพราะการทำน้ำหอมฝรั่งเศสต้องอาศัยการสกัดหัวน้ำหอมจากดอกไม้ ซึ่งวัตถุดิบดอกไม้ ก็ได้มาจากตลาดแห่งนี้นั่นเอง

ส่วนผมได้เมล็ดดอกไม้พวกนี้ซื้อติดมือกลับมาเผื่อจะปลูกที่เมืองไทยด้วย ไอ้เรื่องน้ำหอมค่อยไปหาซื้อทีหลังครับ



เดินชมวิวบริเวณแม่น้ำsein กันครับ วันนี้ลมเย็นได้ที่เลยล่ะ (17 องศา)





เมื่อเดินออกมาจากเกาะ Cite เล็กน้อย จะเจอ Tour Saint Jacques ตั้งตระหง่านอยู่ในสวนสาธารณะ ที่มีมุมหนึ่งเป็นลานขับถ่ายของเสียของหมาน้อยหมาใหญ่ทั้งหลายด้วยครับ





จาก Tour Saint Jacques เดินมาทางเหนือซักพัก จะเจอ Hotel de Ville ที่เป็นศาลาว่าการเมืองปารีสอันสวยงาม เพราะมีการประดับประดาด้านหน้าด้วยรูปปั้น และทำเป็นหอเล็กๆบนทรงหลังคาด้านหน้าด้วย ศาลาว่าการนี้เป็นอาคารที่สร้างใหม่ในคตวรรษที่ 19 โดยสร้างเลียนแบบอาคารหลังเก่าที่ถูกเผาในเหตุการณ์จราจลปารีสในปี 1871

ลานด้านหน้าศาลาว่าการ Hotelde Ville เป็นลานกว้างสำหรับคนเดินที่ใช้จัดงานสำคัญต่างๆ อย่างในวันที่ผมไปก็เพิ่งจะมีการรื้อเวทีออกไป แต่ในอดีตลานกว้างแห่งนี้ กลับเป็นลานประหารชีวิตที่สำคัญแห่งหนึ่ง





ว่าแล้วก็มุ่งหน้ากลับไปทางเกาะ Cite กันครับ มองเห็นยอดหอคอยของ Notre Dame อยู่ไกลๆแล้ว





มุมสวยๆของเกาะซิเต้ (Cite) กลางแม่น้ำ Seine ตึกสูงๆด้านหลังก็คือ Tour Montparnasse ตึกที่สูงที่สุดของกรุงปารีส



เดินมาจนถึง Notre Dame แล้วครับ

มหาวิหารนอเตรอดาม (The Cathedrale Notre Dame de Paris) เป็นโบสถ์แบบโกธิคที่สร้างขึ้นทับโบสถ์คริสเตียนแห่งแรกหรือวิหารแซงต์เอเตียง (Eglise Saint Etienne) ในปี 1163 แต่วิหารใช้เวลาก่อนสร้างและต่อเติมอีกเป็นเวลาหลายร้อยปี อย่างหอคอยคู่สัญลักษณ์สำคัญของ Notre Dame ได้ก่อสร้างในราวปี 1200 (กว่าจะแล้วเสร็จก็อีก 45 ปี) จนแล้วเสร็จทั้งโบสถ์คือในปี 1334

คำว่า Notre Dame แปลว่า Our Lady อันหมายถึง พระแม่มารี นั่นเอง (การสร้างโบสถ์มักให้ชื่อตามนักบุญ หรือบุคคลสำคัญในคริสต์ศาสนา) ดังนั้น เราจึงอาจได้ยินชื่อโบสถ์ Notre Dame ได้ในหลายประเทศ (ที่ใช้ภาษาฝรั่งเศส)

ปัจจุบันมหาวิหารก็ยังใช้เป็นวัดของนิกายโรมันคาทอลิกและเป็นที่นั่งของอาร์ชบิชอปแห่งปารีสครับ



มหาวิหาร Notre Dame มีความน่าสนใจตั้งแต่แรกเห็นทางด้านหน้านั่นคือ

ประตูใหญ่ 3 ประตูด้านหน้าคือ ประตูพระแม่ (The Portal of the Virgin) ประตูคำพิพากษาครั้งสุดท้าย (The Portal ifthe Last Judgement) และประตูแซงต์แอนน์ (The Portal of Saint Anne) เหนือประตูที่เป็นซุ้มจะมีการแกะสลักเล่าเรื่องราวของแต่ละประตูด้วยครับ อย่าง ประตูพระแม่ (The Portal of the Virgin) ทางด้านซ้าย ก็มีการแกะสลักรูปการสวรรคตและการขึ้นครองราชสมบัติในสวรรค์ของพระนางมารีด้วยเป็นต้น

เหนือประตูทั้ง 3 จะเป็นรูปสลักของกษัตริย์ยิวโบราณ 28 องค์ที่เคยถูกตัดเศียรและทำลายไปในสมัยปฏิวัติฝรั่งเศส (เพราะคิดว่าเป็นรูปปั้นของกษัตริย์ฝรั่งเศส) ก่อนจะมีการบูรณะขึ้นมาในภายหลัง

เมื่อมองสูงขึ้นไปจะเห็นกระจกกลมตรงกลาง หรือ Rose Window (หน้าต่างกุหลาบ) ที่ทำจากกระจกสี ตั้งแต่คตวรรษที่ 13 เป็นรูปพระแม่มารีห้อมล้อมด้วยรูปปั้นจากดิโอลด์เทสทาเมนต์

สำหรับการเข้าไปชมในโบสถ์ สามารถเข้าไปชมได้ฟรีครับ ตั้งแต่เวลา 7.45-18.45 ทุกวัน และ 7.45-19.45 ในวันเสาร์และอาทิตย์



ภายในโบสถ์ นอกจากแสงที่ส่องลงมาจาก Rose Window อันเป็นมนต์ขลังหนึ่ของโบสถ์ ก็ยังมีออร์แกนที่ใหญ่ที่สุดในยุโรป ตั้งอยู่ด้านหลังแท่นบูชาด้วย


อีกส่วนที่สำคัญและเปิดให้เข้าชมครือ ห้องท้องพระคลังที่เก็บสมบัติต่างๆ มี่สำคัญและเป็นที่รู้จักที่สุดก็คือ มงกุฎหนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซู โยจะนำออกมาให้ชมในวันศุกร์แรกของเดือน ไม้กางเขนและมงกุฏของโป๊ป รวมไปถึงสมบัติข้าวของของพระคาร์ดินัลองค์สำคัญของฝรั่งเศสมารวบรวมไว้

ค่าเข้าชมในส่วนห้องท้องพระคลัง 4 ยูโร โดยเปิดให้เข้าชม อังคาร-อาทิตย์ (ปิดวันจันทร์และวันหยุดพิเศษ) ระหว่าง 10.00-18.00 (ปิดขายบัตร 17.30)





หอคอยคู่ (Cathedral Tower) หอคอยคู่ทั้งสองจะมีระฆังทั้งหมด 5 ใบ โดย 4 ใบจะอยู่ในหอคอยทิศเหนือ สำหรับคอคอยทิศใต้จะมีระฆังใหญ่เพียงใบเดียวที่หนักถึง 13 ตัน ชื่อว่า เอมมานูเอล (Emmanuel) นอกจากนี้ภายนอก ยังมีตัวการ์กอย (Gargoyle) ตกแต่งอยู่โดยรอบด้านนอกเพื่อขับไล่ภูตผีปิศาจ และบางตัวยังทำหน้าที่เป็นทางระบายน้ำไปในตัวด้วย

ความสำคัญของหอคอยแห่ง Notre Dame ที่ทำให้คนทั้งโลกรู้จัก น่าจะมากจากบทประพันธ์ของ Victor Hugo เรื่อง The Hunchback of Notre Dame นั่นเอง (แต่เด็กอาจจะรู้จักจากการ์ตูนของ Walt Disney ในชื่อเรื่องเดียวกันก็เป็นได้ครับ)

การขึ้นไปชมหอคอยอาจต้องใช้กำลังปีนขึ้นไปถึง 387 ขั้น โดยใช้ทางขึ้นทางฝั่งหอคอยทิศใต้ มีค่าเข้าชม 8 ยูโรครับ

เวลาทำการ 10.00-18.30 ในเดือนเมษายน-กันยายน
(วันเสาร์-อาทิตย์ในเดือนมิถุนายน-กรกฎาคม-สิงหาคม ปิด 23.00)
10.00-17.30 ในเดือนตุลาคม-มีนาคม
หยุดวันปีใหม่ วันแรงงาน และคริสต์มาสครับ








ทางด้านหน้าของโบสถ์ Notre Dame ยังมีจุดที่เรียกว่า Point Zero หรือ สะดือปารีสที่เป็นเหมือนหลักกิโลเมตรที่ 0 ในการเริ่มต้นวัดระยะทางของถนนต่างจากปารีสไปยังเมืองต่างๆมาตั้งแต่สมัยโบราณ

อย่างที่เคยเล่าไว้นะครับ ว่าตรง Notre Dame นี้เปรียบเสมือนจุดของกลางของปารีสเลย



ว่ากันว่า ใครที่ได้มาเหยียบ Point Zero แล้วอธิษฐานขอให้ได้กลับมาปารีส ก็จะสมหวังได้กลับมาทุกรายครับ ผมก็เลยขอซะหน่อยเผื่อจะได้มาเก็บตกปารีสในโอกาสหน้า

ว่าแต่ตรง Point Zero นี้ไม่ค่อยมีคนสนใจเท่าไหร่นะครับ รู้สึกว่าคนจะไปเข้าแถวขึ้นหอคอยแฝดกันไปซะหมดเลย





Crpyte Archeologique บริเวณด้านหน้าครับ



สำหรับคนที่อยากมา Notre Dame โดยตรงสามารถลงที่สถานี St.Michel-Notre Dame ได้เลยครับ โดยสถานีจะมีทางออกติดกับแม่น้ำ Seine ที่พอออกมาแล้ว จะมองหาโบสถ์ Notre Dameได้ไม่ยาก แถมเดินก็ไม่ไกลครับ



เห็นไหมครับ ว่าใกล้กันขนาดไหน



ฟุตบาททางเดินข้างแม่น้ำ Seine ที่เราเดินออกมาจากสถานีรถไฟใต้ดิน ยังมีแผงขายของที่ระลึก และสินค้าต่างๆน่าเดินมากด้วยครับ



ส่งท้าย Notre Dame ด้วยภาพริมแม่น้ำ Seine ครับ



ฝั่งตรงข้ามของแม่น้ำ seine เยื้องโบสถ์ Notre Dame จะมีน้ำพุแซง มิเชอ ( La Fontaine Saint Michel)



น้ำพุแซง มิเชอ ( La Fontaine Saint Michel) สร้างขึ้นในปี 1860 โดยฝีมือของสถาปนิกดาวีอูดด์ (Davioud) โดยได้แรงปันดาลใจจากรูป Saint Michel ที่กำลังเงื้อดาบเพื่อปราบปิศาจร้าย โดยมีมังกงสองตัวเฝ้ามองอยู่ที่ปลายเท้า ของศิลปิน Raphael

นอกจากนี้บริเวณทางแยก Boulevard Saint Michel (บลัวเลอวาร์ด แซงต์มีเชอ) หรือเรียกติดปากกันว่า Boul' Mich (บูมิช) ยังเป็นย่านของคนหนุ่มสาววัยมหาวิทยาลัย ที่เต็มไปด้วยร้านค้า ร้านหนังสือ(ที่เยอะมาก)






Palaris de Justice (ปาเล่ส์ เดอ ยุสติสซ์) เป็นอาคารที่ตั้งของศาลและสำนักงานศาลยุติธรรมภายใต้กฎหมายฝรั่งเศสในอดีตเคยเป็นพระราชวังหลวงจนกระทั่งสมัยคตวรรษที่ 14 ภายในศาลแห่งนี้พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ทรงดำริให้สร้างโบสถ์ Saint Chapelle ตั้งอยู่ในศาสสถิตยุติธรรมของฝรั่งเศส เพื่อเป็นเครื่องหมายว่ากฎหมายไม่ได้เป็นของขุนนางหรือบุคคลชั้นสูงเพียงฝ่ายเดียว หากแต่กฎหมายจะให้ความยุติธรรมกับประชาชนทุกชนชั้นนั่นเอง และด้วยความที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ทรงมีเมตตากับประชาชนอีกนานับประการ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างโบสถ์ โรงพยาบาล บัญญัติกฏหมายไม่ให้คนจนถูดกดขี่ ด้วยเหตุนี้ประชาชนจึงเรียกพระองค์ท่านว่าเป็น Saint Louise หรือเทวดาตั้งแต่ท่านยังไม่สิ้นพระชนต์

นอกจากนี้ พระเจ้าหลุยส์ที่ 9 ทรงได้ซื้อ Christ's Crown of Thorns หรือมงกุฏหนามของพระเยซู กับชิ้นส่วนของไม้กางเขน (The True Cross) ที่พระเยซูโดนตรึงก่อนสิ้นชีพ จากกษัตริย์คอนสแตนติโนเปิล แทนที่จะทำสงครามแย่งชิงมาอย่างทั่วๆไป เพราะท่านทรงห่วงใยทุกข์สุขของประชาชนไม่อยากให้เกิดศึกสงครามอันจะทำให้มีการสูญเสียชีวิตทหาร เกิดหญิงม่ายและเด็กกำพร้าตามมานั่นเอง

ด้วยความศรัทธาในคริสต์ศาสนา พระองค์ทรงได้สร้างโบสถ์ Saint Chapelle ขึ้นเพื่อเก็บมงกุฏหนามของพระเยซูนั่นเอง (ปัจจุบันมกุฏหนามนี่อยู่ในห้องท้องพระคลังที่ Notre Dame) แถมค่าสร้างโบสถ์ยังถูกกว่าค่าซื้อมงกุฏหนามถึง 3 เท่าอีกต่างหาก

โบสถ์ Saint Chapelle เป็นอีกโบสถ์ที่ก่อนสร้างด้วยสไตล์กอธิก ที่สร้างเสร็จในปี 1248 นับว่าเป็นโบสถ์ที่สวยที่สุดในปารีสแห่งหนึ่งด้วยกระจกสี 15 บาน ความสูง 15 เมตร ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 13 บนบานกระจกนี้จะเล่าประวัติของพระเยซูตั้งแต่กำเนิด จนถูกตรึงไม้กางเขน






ต่อคิวเข้าโบสถ์ Saint Chapelle จะเข้มงวดเป็นพิเศษครับเพราะปัจจุบัน ที่นี่ยังใช้เป็นศาลยุติธรรมที่มีการทำงานกันอยู่ จึงต้องตรวจตราอาวุธกันเป็นพิเศษ

เปิดให้เข้าชม ระหว่าง 9.30-18.00 (มี.ค.-ต.ค.) และ 9.00-17.00 (พ.ย.-ก.พ.) ค่าเข้าชม 8 ยูโร ครับ



ผมขอแวะนั่งดื่มด่ำกับบรรยากาศที่นี่ด้วย เบียร์ Desperado ครับ






เดี๋ยวเราจะเดินไปยังลูฟกันครับ






โบสถ์ Saint Eustache ที่มีหลังคาทรงโค้งและเสาสูงใหญ่ โบสถ์นี้สร้างตามแบบ Notre Dame ใช้เวลาสร้างถึง 105 ปี จึงแล้วเสร็จ (1532-1637) โดยมีทางเดิน 2 ทางข้างตัวโบสถ์และวิหารขนาดเล็กล้อมตัวโบสถ์ใหญ่ จุดเด่นของโบสถ์นี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวโบสถ์เพียงอย่างเดียว กลับอยู่ที่รูปปั้นต่างๆภายในวิหารที่รำลึกถึงสมัยที่เลอาลยังเป็นตลาด



รูปปั้นหน้าโบสถ์ แซง-อูซตาส (Saint Eustache Sculpture)



รูปปั้นหน้าตาใสๆของเรมง มาซง เป็นอนุสรณ์เล่าเรื่องราวของ "การหายไปของผักและผลไม้จากใจกลางปารีส" 28 กุมภาพันธ์ 1969 (ในยุคนั้นตลาดค้าขายผักผลไม้ในบริเวณเลอาลที่มีอายุมากกว่า 800 ปี ได้ถูกย้ายไปนอกปารีสเพื่อแก้ปัญหาจราจร)



แวะพักเท้าตรงร้านมุมด้านหลังลูฟครับ




เดินกันมาถึงด้านหลังลูฟแล้วครับ ด้านหลังนี่ยังมีร้านค้า cafe น่าพักเหนื่อยหลายร้านเลยครับ ผมยังแวะหาอะไรดื่มด้านหลังนี่ก่อนเดินต่อเลย






ด้านหลังของลูฟจะเป็นโบสถ์ Saint Germain L'Auxerrois






Parais Royal ทางด้านขวาของลูฟ ในอดีตเคยเป็นวังหลวง (เป็นบ้านในวัยเด็กของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14) สร้างโดยคาร์ดินัลรีเชอรีเออ ในปี 1632 ปัจจุบันเป็นที่อยู่ของ Comedie Francaise คณะละครสัตว์แห่งชาติฝรั่งเศส (ไม่เปิดให้เข้าชมตัวอาคาร มีเพียงบริเวณสวนที่เข้าไปได้)






มาถึงลูฟกันแล้วครับ ผมเดินเข้ามาทางประตูฝั่ง Parais Royal ซึ่งตรงนี้จะมีสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน ที่ใกล้ลูฟมากที่สุด นั่นคือสถานี Parais Royal-Musee du Louvre ที่อยู่บนรถไฟใต้ดิน 2 สายนั่นคือ สาย 1สีเหลือง และ สาย 7 สีชมพู สำหรับสาย 1 สีเหลืองนี้ ยังลงอีกสถานีหนึ่งทางด้านหลัง คือ Louvre Rivoli อีกด้วย (แต่เดินไกลกว่ามากครับ)




ด้านหน้าลูฟ ที่มองเห็นเป็นประตูแต่ไกลก็คือ ประตูชัยแห่งการูเซล (L'Arc de Triomphe du Carrousel)



Louvre ถูกสร้างขึ้นโดยกษัตริย์ฟิลิปส์ โอกูสต์ ตั้งแต่ปี 1190 ต่อมากษัตริย์ชาร์ลที่ 5 (1364-1380) ได้ใช้ลูฟเป็นพระราชวังครั้งแรก ลูฟจึงเป็นพระราชวังมายาวนาน และยิ่งใหญ่เนื่องจากมีการก่อสร้างต่อเติมตัวพระราชวังออกไปเรื่อยๆ พระราชวังทอดตัวยาวไปตามแม่น้ำ Seine ตั้งแต่สะพานรัวยาลไปจนถึงสะพานเดอาร์ต จนถึงสมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ได้ทรงย้ายพระราชวังไปแวร์ซายส์ ในปี 1678 ก่อนที่พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 จะทรงให้ลูฟเป็นที่อยู่ของศิลปินแทน

จนกระทั่งเกิดการปฏิวัติฝรั่งเศส คณะรัฐบาลได้หาทางจัดการกับงานศิลปะที่เหล่าราชวงศ์สะสมไว้ โดยมาลงตัวที่ลูฟ จึงได้ใช้ลูฟเป็นที่จัดแสดงผลงานศิลปะที่เหล่าราชวงค์ได้สะสมไว้ ที่เปิดให้เข้าชมมาตั้งแต่ปี 1793




ปิรามิดแก้วด้านนหน้าลูฟ ออกแบบโดยสถาปนิกอเมริกันเชื้อสายจีน I.M.Pei ในปี 1989 โดยกรอบปิรามิดทำจากเหล็กไร้สนิม นับเป็นความขัดแย้งที่ลงตัวระหว่างพระราชวังเก่าแก่กับปิรามิดแก้วที่ทันสมัย






ผมกะมาเข้าพิพิธภัณฑ์ลูฟในเวลาหลัง 18.00 ที่จะเป็นตั๋วราคาพิเศษ แต่แล้วก็พลาดครับเพราะช่วงหลังหกโมงเย็นนี่ ไม่ได้เปิดทุกวันซะหน่อย T_T


สำหรับพิพิธภัณฑ์ลูฟเปิดให้เข้าชมทุกวัน ยกเว้นวันอังคาร (และวันหยุดตามที่พิพิธภัณฑ์จะประกาศ) 9.00-18.00 ค่าเข้าชมอยู่ที่ 9.50 ยูโร

สำหรับวันพุธ และศุกร์ หลัง 18.00 จะเปิดให้เข้าชมถึง 22.00 มีค่าเข้าชม6 ยูโร

นอกจากเป็นพิพิธภัณฑ์แล้ว ชั้นใต้ดินของลูฟยังเป็นห้างสรรพสินค้า ที่เปิดบริการทุกวัน (โดยไม่เสียค่าเข้าชม)อย่างในส่วนปิรามิดหัวกลับ ก็อยู่ในส่วนนี้ ไม่ต้องเสียค่าเข้าชมครับ







ในส่วนของพิพิธภัณฑ์ลูฟ มีทั้งหมด 4 ชั้น (ชั้นใต้ดิน ชั้นพื้นหรือ 0 ชั้นที่ 1 และ 2) โดยจะแบ่งออกเป็น 3 wings คือ Denon wing, Richelieu wing และ Sully wing ในพิพิธภัณฑ์ลูฟเป็นที่รวบรวมผลงานศิลปะมากถึง 350,000 ชิ้น ดังนั้น ชิ้นที่สำคัญๆ จะมีรูปภาพแสดงเส้นทางไปว่าอยู่ส่วนใดของพิพิธภัณฑ์ ทำให้ไม่ยากในการค้นหาครับ

อย่าง Mona Lisa จะอยู่ใน Denon wing ชั้น 1 หรือ รูปปั้น Venus de Milo จะอยู่ใน Denon wing เช่นกัน แต่อยู่ในชั้น 0 หรือกราวน์น่ะเอง




เสียดายที่ไม่ได้พาเข้าไปชมครับ เลยเก็บบรรยากาศในห้างสรรพสินค้าใต้ดินแทน




จุดสัมผัสระหว่างปิรามิดแก้วกลับหัวกับปิรามิดที่ฐาน กลายเป็นมุมหนึ่งที่ใครๆก็มาถ่ายรูปครับ เพราะความดังจากหนังสือและภาพยนตร์เรื่อง The Da Vinci Code



ผนังเก่าของลูฟที่จัดแสดงในชั้นใต้ดิน






แบบจำลองของลูฟ ที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่และมีพื้นที่มากกว่าที่เห็นด้วยตาด้านบนมากครับ







ประตูชัยแห่งการูเซล (L'Arc de Triomphe du Carrousel) ตั้งอยู่ด้านหน้าของ Louvre บริเวณสวนตุยเลอรี (Tuileries Garden) เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะของนโปเลียน ประตูชัยแห่งการูเซลนี้ สร้างขึ้นพร้อมๆกับ Arc de Triomphe de l' Etoile (แต่ประตูชัยนี้เสร็จช้ากว่าร่วม 30 ปี)





ส่งท้าย



ทางเดินลงไปสู่สวนตุยเลอรี (Tuileries)



บริเวณด้านในครับ







ภายในสวนตุยเลอรี (Tuileries) อันร่มรื่น ตรงกลางสวนจะมีน้ำพุ ที่มีเก้าอี้ให้นั่งพักชมวิว ดูบรรยากาศและวิถีชีวิตคนปารีสครับ



มองจากสวนตุยเลอรี (Tuileries) จะเห็น เสาโอบิลิส ของ Place de la Concorde และประตูชัย (Arc de Triomphe) เรียงขนาดกันไปอย่างชัดเจนครับ



Place de la Concorde (ปลาซ เดอลา กงกอร์ด) เป็นจัตุรัสทรงแปดเหลี่ยมคลอบคลุมพื้นที่ 20 เอเคอร์ มีสวนตุยเลอรีขนาบด้านหนึ่ง ในขณะที่อีกด้านเป็นจุดเริ่มต้นของถนนชองเอลิเซ่ จัตุรัสนี้สร้างขึ้นในปี 1755-1775 ตามแบบของสถาปนิก ชาก-อองช์ กาบรีแอล เพื่อเป็นฉากหลังให้กับรูปปั้นของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15

แต่ในปี 1792 จัตุรัสนี้กลายเป็นจัตุรัสแห่งการปฏิวัติ อนุสาวรีย์ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 15 ตรงกลางได้เปลี่ยนมาวางกิโยตินแทน หลังจากนั้น พระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และพระนางมารีอองตัวเนต รวมถึงคนอีกนับพันได้ถูกประหารชีวิตที่นี่

ต่อมาในปี 1795 ท่ามกลางบรรยากาศของการรอมชอม จัตุรัสแห่งนี้จึงได้เปลี่ยนชื่อมาเป็น Place de la Concorde และได้นำเสาโอบีลิส ความสูง 23 เมตร เต็มไปด้วยอักษรโบราณอายุ 3,300 ปีที่นำมาจากอียิปต์มาตั้งไว้ในปี 1833 รอบๆเสาโอบิลิส มีการสร้างน้ำพุ 2 แห่ง และรูปปั้น 8 รูป เป็นตัวแทนเมืองต่างๆในฝรั่งเศส



น้ำพุ



เสาโอบิลิสจากอิยิปต์



เมื่อมองจากสวนตุลเลอรีจะเห็นเสาโอบิลิส และประตูชัย Arc de Triomphe de l' Etoile ที่วางในแนวเดียวกัน



มองไปทางทิศใต้ของ Place de la Concordeจะเห็นตึกกระทรวงต่างประเทศตั้งอยู่ริมแม่น้ำ seine ครับ



ปิดท้ายของวันนี้ (หลังจากผิดหวังในการเข้าพิพิธภัณฑ์ลูฟ) ด้วยการนั่งรถไฟใต้ดินไปดูบรรยากาศของหอไอเฟลยามค่ำคืนกันครับ






ฉากหลังเทพีเสรีภาพ บนเกาะ Allee des Cygnes ในแม่น้ำ Seine กับหอไอเฟล ที่เหมือนสัญลักษณ์สำคัญของ 2 ประเทศ อย่างอเมริกา และฝรั่งเศส ถึงแม้ฝรั่งเศสจะเป็นผู้มอบเทพีเสรีภาพให้อเมริกา แต่ผมก็ยังอยากไปชมเทพีเสรีภาพตัวใหญ่ที่นิวยอร์กอยู่ดี



Allee des Cygnes เป็นเกาะเล็กๆ เป็นสวนสาธารณะที่อยู่ตรงข้าม Maison Radio France เลือกมาเที่ยวชมได้โดยนั่งรถไฟ RER สาย C โดยเลือกลงได้ 2 สถานี สถานี Javel (ผมลงที่นี่) จะลงฝั่งใต้ของแม่น้ำ seine ขึ้นมาเจอสำนักงานใหญ่ของบริษัทรถซีตรอง (รถยนต์สัญชาติฝรั่งเศส) แล้วเดินขึ้นไปจะได้มุมอย่างภาพที่ผมถ่ายครับ อีกสถานีหนึ่งคือ Avenue du Pdt.Kennedy ที่จะลงฝั่งเหนือของแม่น้ำ แล้วจะขึ้นจากสถานีมาเจอ Maison Radio France พอดี





หอไอเฟล ตอนกลางคืนจะเปิดไฟประดับ และทุกๆต้นชั่วโมง จะมีการเปิดไฟสลับเล่นกับแสงไฟ ทำให้ดูสวยไปอีกแบบครับ






ช่วงที่เปิดไฟสลับไปมา



หลังจากเดินเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน (วันนี้เดินเยอะจริงๆครับ) เดินมาไกล จนถึงสถานี Dupleix (รถไฟ Tสาย 6 สีเขียว) ก็มา dinner เติมพลังกันที่ร้านอาหารไทย Thai Pacific ที่เจ้าของน่าจะเป็นคนจีน เพราะไม่เห็นจะพูดไทย หรือพูดชื่อเมนูอาหารไทยถูกเลยซักกะตัว 55







ดังนั้นรสชาติ ก็ไม่เหมือนอาหารไทยอยู่แล้วล่ะครับ จะว่าปรับรสให้ฝรั่งทานได้ ก็ไม่น่าจะปรับเปลี่ยน ซะจนไม่ใช่อาหารไทยไปนะครับ (ภาพที่เห็นบนจานน่ะใช่ แต่รสชาติมันไม่ใช่น่ะครับ) อย่างยำเนื้อ ก็มีรสหวานซะเกินกว่าที่จะเป็นยำ ผัดไทย ก็ไม่มีใบกุยช่าย อะไรประมาณนี้ครับ สุดท้ายก็นั่งทานไป ขำไป นี่ขนาดได้รางวัลมาประดับข้างฝานะเนี่ย




Create Date : 01 ธันวาคม 2553
Last Update : 1 ธันวาคม 2553 9:36:49 น. 8 comments
Counter : 6626 Pageviews.

 
ดีค่ะ ไปปารีสต่อด้วยค่ะ
หอไอเฟลพวงกุญแจไปซื้อมาได้5อัน1ยูโรค่ะ แอบดีใจ
แต่น่าเสียดายไม่มีโอกาสไปเดินเล่นแบบนี้
วันนี้เข้ามาชมบล็อคเหมือนได้ไปเองเลยค่ะ
ละเอียดทั้งข้อมูลและรูป


โดย: apple.007 วันที่: 1 ธันวาคม 2553 เวลา:10:26:37 น.  

 
สวยจังเลยนะค่ะ


โดย: Roseshadow วันที่: 1 ธันวาคม 2553 เวลา:14:36:38 น.  

 
เหมือนได้ไปเที่ยวเองจริงๆค่ะ ละเอียดมากค่ะ


โดย: Sai Eeuu วันที่: 1 ธันวาคม 2553 เวลา:14:51:03 น.  

 
ละเอียดมากคะ อยู่เบลเยียมมา 6 ปี ใกล้ปารีสมากยังไม่เคยไปเลย ว่าง ๆ จะตามรอยไปนะคะ ตั้งใจว่าปีหน้าจะไปคะ


โดย: We Are FroM BeLGiUM วันที่: 4 ธันวาคม 2553 เวลา:4:48:51 น.  

 
ขอบคุณนะคะที่รีวิวได้ละเอียดมาก มีประโยชน์กับคนที่จะไปเที่ยวฝรั่งเศสมากค่ะ


โดย: Lee IP: 119.160.212.59 วันที่: 7 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:13:52:07 น.  

 
อ่านซะสนุกสนานเลย...ทำให้มีความมั่นใจก่อนไปเที่ยว (ตัวคนเดียว) เพิ่มขึ้น..จะพยายามเที่ยวตามรอยและเอาตัวรอดในดินแดนปารีส..^__^

ขอบคุณมากๆ ที่ช่วยรีวิวเป็นประโยชน์สุดๆ..วันหลังถ้าไปเที่ยวที่อื่นอีก จะตามมาเกาะ Blog นะคะ..


โดย: Mej IP: 124.121.42.204 วันที่: 12 มิถุนายน 2554 เวลา:21:48:53 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ คุณทำให้คนไม่มีโอกาสไป ได้มีโอกาสเห็น..ปารีส


โดย: จะตามไป IP: 180.180.140.87 วันที่: 4 เมษายน 2557 เวลา:12:24:11 น.  

 
หลังจากพลาดเข้า Verseille แล้ว ยังมาพลาดเข้า Louvre อีก เลยสรุปเอาเองค่ะ ว่าคุณตั้งใจไม่เข้าเอง เพราะนักท่องเที่ยวมืออาชีพอย่างคุณ เรื่องแบบนี้ไม่น่าพลาดได้อย่างง่ายๆ แบบนี้ เป็นไปไม่ได้.....คือ เสียดายแทน อะค่ะ..
อิ อิ


โดย: daranee (สมาชิกหมายเลข 799077 ) วันที่: 1 สิงหาคม 2560 เวลา:22:16:05 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.