Group Blog
 
All Blogs
 

ทริปแก้คัน 3 วันไปญี่ปุ่น #4 Shibuya, สะพาน Nijubashi, Narita Express

วันสุดท้ายของทริปสั้นๆทริปนี้กันแล้วครับ สำหรับวันนี้เรามีเวลาประมาณครึ่งวันเช้า ก่อนที่จะไปสนามบินเพื่อขึ้นเครื่องกลับในเวลา 16.00 น.ครับ ผมวางแผนแค่จะไปเดินเล่นแถบชิบูย่า ก่อนจะเที่ยวรอบๆสถานีรถไฟโตเกียว ซึ่งจะมีพระราชวังอิมพีเรียลอยู่ใกล้ๆกัน แล้วก็ขึ้นรถไฟ Narita Express ตรงจากสถานีโตเกียว ไปยังสนามบินนาริตะเลย



จากที่พักของผมที่สถานี Asakusa ก็นั่งรถไฟฟ้าใต้ดินสาย Ginza Line มาจนสุดสายทางฝั่ง Shibuya ครับ (ประมาณ 23 สถานี ใช้เวลาไม่ถึงครึ่ง ชม.ครับ) ค่าโดยสาร 230 เยน

เป้าหมายของเราคือ รูปปั้นสุนัขฮาจิโกะ ที่อยู่ตรงห้าแยกชิบูยะครับ มองหาป้าย Hachiko ได้เลย (ออกจากรถไฟให้มองทางขวาได้เลยครับ) หรือหาทางไปยังห้างโตคิว






ฮาจิโกะเป็นสุนัขสายพันธ์อากิตะ ซึ่งลืมตาขึ้นมาดูโลกเมื่อ 10 พฤศจิกายน 1923 ในจังหวัดอากิตะ โดยเมื่ออายุได้เพียง 2 เดือนเจ้าฮาจิโกะถูกส่งตัวไปอยู่กรุงโตเกียวกับเจ้านายของมันคือ เอชะบุโระ อุเอะโนะ (Hidesamuroh Ueno) ศาสตราจารย์ประจำคณะเกษตรศาสตร์ แห่งมหาวิทยาลัยอิมพีเรียล (มหาวิทยาลัยโตเกียวในปัจจุบัน) ซึ่งศาสตราจารย์รู้สึกภาคภูมิใจกับเจ้าฮาจิโกะเป็นอย่างมาก เนื่องจากมันเป็นสุนัขอากิตะสายพันธุ์แท้ซึ่งหาได้ยากในสมัยนั้น

 ในทุกๆวันที่นายต้องไปสอนหนังสือ ฮาจิโกะจะคอยส่งเจ้านายถึงประตูหน้าบ้าน โดยอุเอะโนะต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีชิบุยะ จากนั้นเมื่อถึงเวลา 15.00 น. ซึ่งเป็นเวลาเลิกงานแล้ว เจ้าฮาจิโกะจะมากระดิกหางรอพบเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟชิบุยะอยู่เสมอ


จนวันที่ 21 เดือนพฤษภาคม 1925 ศาสตราจารย์ อุเอะโนะ เกิดอาการเส้นโลหิตในสมองแตก และเสียชีวิตขณะอยู่ที่มหาวิทยาลัย อย่างไรก็ตาม ในวันนั้น ฮาจิโกะยังคงมารอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟ โดยไม่มีทางรู้ได้เลยว่า มันจะไม่ได้พบกับเจ้านายของมันอีกแล้ว เนื่องจากเขาได้จากไปอย่างไม่มีวันกลับ


หลังจากที่ศาสตราจารย์อุเอะโนะเสียชีวิต ภรรยาของเขาได้ย้ายบ้านไปและนำเจ้าฮาจิโกะไปให้กับญาติของศาสตราจารย์ที่ อยู่ห่างออกไปจากสถานีรถไฟหลายกิโลเมตร แต่ว่าเจ้าสุนัขพันธุ์อากิตะผู้ซื่อสัตย์กลับไม่ยอมอยู่กับเจ้านายใหม่ของมัน เพราะทันทีที่มันหนีหลุดออกมาได้ มันวิ่งตรงไปที่บ้านเก่าของมันแต่เมื่อไม่เจอใคร มันจึงกลับไปรอที่สถานีรถไฟเหมือนเมื่อครั้งที่เจ้านายของมันยังมีชีวิตอยู่ โดย คิคุซะบุโระ โคบายาชิ อดีตคนสวนของศาสตราจารย์ซึ่งอาศัยอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟเป็นคนคอยดูแลเจ้าฮาจิโกะแทน

ทุกวันพอถึงเวลา 15.00 น. เจ้าฮาจิโกะก็จะวิ่งไปรอเจ้านายของมันที่สถานีรถไฟไม่เคยขาด ทุกครั้งที่รถไฟเข้า มันก็จะชูคอชะเง้อมองหานายของมัน ทำแบบนั้นตรงเวลา เหมือนเดิมเช่นทุกๆ วัน ปฏิบัติแบบนั้นตลอดระยะเวลา 10 ปี หลายคนสงสัยว่าเพราะมันหิวอาหารหรือเปล่า มันจึงมาที่เดิมทุกวัน แต่เมื่อดูพฤติกรรมอย่างถ่องแท้แล้ว มันจะมาเฉพาะช่วงตอนเย็นเท่านั้น โดยเฉพาะการชะเง้อมองรถไฟขบวน เวลา 15.00 น.เมื่อเข้าจอด จึงไม่ใช่การมาเพื่อหาอาหารกินแน่ๆ ทำให้เรื่องราวความซื่อสัตย์ของมัน เริ่มเป็นที่รู้จักมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะเมื่อเรื่องราวของมันถูกตีพิมพ์ลงบนหนังสือพิมพ์ยักษ์ใหญ่ของ ญี่ปุ่นในปี 1932 ทำให้ผู้คนทั่วสารทิศเดินทางมาดู มาเล่นกับเจ้าฮาจิโกะ นอกจากนั้น ชาวญี่ปุ่นยังได้ยกให้เจ้าฮาจิโกะเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับเด็กๆอีกด้วย





ชื่อเสียงความภักดีของฮาจิได้รู้ไปถึงพระราชินีญี่ปุ่น พระองค์จึงได้ทรงให้ช่างหล่อรูปทองแดง ฮาจิโกะ ขึ้น ในเดือนเมษายน 1934 โดย อันโดะ เทะรุ ศิลปินชื่อดัง เพื่อยกย่อง และนำไปตั้งไว้ที่สถานีรถไฟชิบูยะ

อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 8 มีนาคม 1935 มีคนพบว่าฮาจิโกะนอนตายยังจุดที่มันคอยมารอเจ้านายของมัน ที่ทำมาทุกวันมานานกว่า 10 ปี ซึ่งข่าวการตายของฮาจิโกะนั้นถือว่าเป็นข่าวใหญ่มาก จนถูกตีพิมพ์ลงบนหน้า 1 ของหนังสือพิมพ์ญี่ปุ่น สำหรับร่างของฮาจิโกะนั้นถูกนำไปเก็บรักษาเอาไว้ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์ แห่งชาติ ในกรุงโตเกียว


และในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นจำเป็นต้องใช้เหล็กและโลหะเป็นอย่างมาก จนถึงกับต้องเอารูปหล่อของเจ้าฮาจิโกะมาหลอมเลยทีเดียว กระนั้นความซื่อสัตย์ของฮาจิโกะยังคงไม่เคยถูกลืมไปจากใจชาวญี่ปุ่น เพราะในเวลาต่อมาได้มีการจัดทำรูปหล่อของฮาจิโกะขึ้นมาอีกครั้งในเดือน สิงหาคม 1947 และศิลปินผู้รับหน้าที่นี้ก็คือ อันโดะ ทะเคะชิ ลูกชายของ อันโ ดะ เทะรุ ผู้ที่ทำหน้าที่สร้างรูปหล่อฮาจิโกะเมื่อครั้งแรกนั้นเอง ซึ่งปัจจุบันจุดที่รูปหล่อฮาจิโกะตั้งอยู่นั้นได้กลายเป็นจุดนัดพบยอดนิยม ของย่านชิบูยะ


สำหรับเรื่องราวของฮาจิโกะได้นำออกมาสร้างเป็นภาพยนตร์ญี่ปุ่นมาแล้ว และฮอลลี่วู๊ดก็ได้นำไปสร้างอีกครั้งในชื่อ Hachi โดยมีริชาร์ด เกียร์รับบทเป็นศาตราจารย์อุเอะโนะเจ้าของฮาจิโกะ นับเป็นหนังไม่กี่เรื่องที่ทำให้ผมน้ำตาไหลในโรงภาพยนตร์เลยล่ะครับ



เมื่อลงมาก็จะเจอห้าแยกชิบูยะที่อยู่ในหนังหลากหลายเรื่องครับ เพราะว่าเป็นย่านที่คับคั่ง ด้วยปริมาณฝูงชนที่เดินผ่านทางม้าลายบนห้าแยกชิบูยะ จึงถูกกำหนดจังหวะด้วยไฟเขียวไฟเดียว เหมือนกับเป็นคลื่นมนุษย์เลย ถ้าใครอยากชมบรรยากาศและแสงสียามค่ำคืนด้วย แนะนำให้มาช่วงเย็นๆหลังเลิกงานครับ โดยอาจจะหาที่นั่งบนชั้นสองของร้าน Starbuck ที่อยู่ตรงห้าแยกพอดีเลยก็ได้






มาตั้งไกลขอหาอะไรทานแถวนี้หน่อยครับ ผมเดินไปทางถนนหลังร้านสตาร์บัคจนไปเจอร้านที่ขายอาหารในตอนเช้า คนในร้านก็มีนั่งอยู่หลายคน (ปกติผมหิว พอเจอร้านที่น่าทานก็ทานนะครับ ไม่ได้ซีเรียสว่าต้องตามหาร้านดังอะไร) เลือกเป็นเซ็ทข้าวหน้าเนื้อแบบไม่ได้โป๊ะบนชามข้าวมาพร้อมกับซุปมิโซะ ราคา 440 เยน คุ้มค่ามากๆครับ






ว่าแล้วก็หาเรื่องไปนั่งพักขาบนชั้นสองของร้าน Starbuck ซะหน่อยครับ ยอมรับว่าเมื่อยขามากๆ เมื่อวานหลังหกโมงเย็นนี่ เรียกว่าแทบจะยืนคอยคิวเล่นเครื่องเล่นอย่างเดียวเลย โดยผมย้อนกลับไปเก็บ Tokyo Disneyland พวกเครื่องเล่นคิวยาวๆอีกที ก่อนที่จะกลับไปเล่น Toy Story Mania! ตอนสามทุ่มใน Tokyo DisneySea อีก สี่ชั่วโมงกว่ากับการยืนรอคิวอย่างเดียวเลย


นั่งละเลียดวนิลาปั่นไปพลางๆ (Peppermint Mocha Freppuchino ทำไมไม่ทำขายตลอดปีนะ ผมชอบอยู่รสนี้รสเดียว) พร้อมกับนั่งดูบรรยากาศรอบห้าแยกชิบุยะ สลับไปกับการโดนทวงของฝากจากใน  Line





ห้างที่ดังที่เน้นสินค้าเสื้อผ้าแฟชั่นในย่านนี้คงจะเป็น Shibuya 109 ที่เห็นเนี่ยแหละครับ (ถึงขนาดในเมืองไทยมีตั้งชื่อเลียนแบบเลย แต่เหลือแค่ 19) ผมไม่ได้แวะนะครับ เพราะไม่ได้กะมา Shopping ทั้งทริปนี้เลยแบกเป้มาใบเดียว




ขากลับจากสถานี Shibuya สามารถใช้ JR Yamanote Line (ในส่วนที่เป็น Inner Loop) เพื่อตรงไปยังสถานี Tokyo ได้เลยครับ ขากลับนี่คนแน่นมาก เกือบโดนเจ้าหน้าที่รถไฟอัดเข้าตู้รถไฟไปซะแล้ว ค่ารถไฟเที่ยวนี้ 190 เยน



เมื่อมาถึงสถานีรถไฟโตเกียวให้ออกมาด้านนอกเลยครับ  ตัวสถานีรถไฟด้านนอกสร้างสไตล์ยุโรปด้วยอิฐแดงรอบอาคาร ปัจจุบันนอกจากจะเป็นสถานีรถไฟสำคัญสถานีหนึ่งของโตเกียวแล้ว ยังมีโรงแรมในปีกซ้ายด้วยครับ ในส่วนของสถานีรถไฟก็จากบนผิวดินก็ยังมีชานชาลาใต้ดินลงไปอีกถึง 4 ชั้นด้วยกัน ภายในยังมีร้านค้า ร้านอาหาร ถ้าใครจะหาของฝาก โดยเฉพาะ Tokyo Banana ที่สถานีโตเกียวนี่มีให้เลือกมากมายครับ






ถ้าเราจะไปชมพระราชวังอิมพีเรียล ให้เลือกทางออก Marunouchi Central แล้วเดินตรงไปด้านหน้าสถานีได้เลยครับ (แต่ถ้าใครจะไปถ่ายรูปกับสะพานแว่นตา Nijubashi bridge ให้ใช้ทางออก Marunouchi South แทนจะเดินใกล้กว่าครับ)


เดินไปเกือบกิโลเลยมั้งครับ แถมอากาศยังร้อนมากๆด้วย ก็จะเจอกำแพงของพระราชวังชั้นนอกครับ







ผ่าน Wadakura Fountain Park



พระราชวังอิมพีเรียล หรือพระราชวังโตเกียว เป็นพระราชวังของสมเด็จพระจักรพรรดิแห่งญี่ปุ่น ซึ่งภายในพระราชวังรายล้อมไปด้วยสวนขนาดใหญ่ รวมไปถึงตำหนักใหญ่ซึ่งเป็นที่พำนักของพระราชวงศ์ ภายในพระราชวังยังเป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์ในพระองค์และสำนักพระราชวัง เดิมทีพระราชวังนี้เคยเป็นที่ตั้งของปราสาทเอะโดะ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของโชกุนตระกูลโทะกุงะวะ แต่พระราชวังเดิมถูกระเบิดทำลายลงไปมากในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และต่อมาในปี ค.ศ. 1964 ก็ได้รับการบูรณะ ซึ่งตัวพระราชวังมีขนาดที่ดินทั้งหมด 3.41 ตารางกิโลเมตร


ที่เราเห็นนี่เป็นเพียงป้อมปราการด้านนอกพระราชวังเพียงเท่านั้นนะครับ ถ้าจะเข้าชมด้านในจะต้องมีการจองล่วงหน้าครับ





ทางซ้ายมือจะเป็นสวนญี่ปุ่นชื่อ Kokyo Garden ครับ เดี๋ยวเราจะเดินผ่านสวนไปทางซ้ายมือ เพื่อที่จะยังสะพาน Nijubashi กัน




Nijubashi Bridge หรือสะพานแว่นตา ที่เรียกเช่นนี้เพราะเมื่อเงาสะท้อนของสะพานในน้ำ จะดูเหมือนแว่นตานั่นเองครับ (แต่วันนี้ในน้ำตะไคร่เขียวครึ้มเลย)





เดินออกมาเพื่อที่จะกลับก็จะผ่าน Statue of Kusunoki Masashige บริเวณปีกซ้ายของสวนครับ




Kusunoki Masashige เป็น Samurai และขุนนางในสมัย Kamakura วีรกรรมที่สำคัญก็คือ จุดจบของชีวิตเค้าคือหลังจากต่อสู้อย่างทรหดเป็นเวลา 6 ชั่วโมงเต็มในสงครามครั้งหนึ่งที่ถูกทหารของฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนจนจนมุม Kusunoki Masashige พร้อมกับน้องชายจึงฆ่าตัวตาย เพื่อไม่ให้ตกเป็นเชลยของฝ่ายตรงข้าม


ในยุคฎิวัติวัฒนธรรมในสมัยเมจิ มีการค้นหาซามูไรในอดีตเพื่อเป็นตัวแทนในการบ่งบอกถึงความเป็นนักรบผู้เสียสละ จงรักภักดี กล้าหาญ และมีเกียรติของชายชาวญี่ปุ่น Kusunoki Masashige จึงได้รับการคัดเลือก และมีการสร้างอนุสาวรีย์ขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ซามูไรผู้ภักดีต่อจักรพรรดิ ซึ่งในสงครามโลกครั้งที่สองการต่อสู้ของทหารญี่ปุ่น รวมถึงการขับเครื่องบินชนเรือของศัตรูแบบ kamikaze ล้วนเป็นการยอมตายแบบมีเกียรติเพื่อจักรพพรดิเช่นเดียวกับ Kusunoki Masashige นั่นเองครับ




เดินตากแดดเปรี้ยงๆกลับมาที่สถานีโตเกียวกันดีกว่าครับ ร้อนมากๆจัดกระทิงแดง (No Sugar) ไปซะหนึ่ง



เผลอเข้ามาชั้นใต้ดินของรถไฟ Narita Express ไปซะได้ครับ ร้านอาหารที่เล็งๆไว้ ตอนไป-กลับ Disneyland เลยไม่ได้แวะเลย แถมผ่านร้านที่ขายกะเพราไก่ไข่ดาว ส้มตำซะด้วย เลยขอไปหาพวกข้างกล่องหรือ bento มาทานดีกว่าครับ ร้านค้าก็มีให้เลือกหลายแบบ คงสำหรับซื้อไปเป็นของฝากอีกทีน่ะครับ




ในสถานียังมีมุมที่ให้เรานั่งทานอาหารแบบนี้ด้วยครับ ซึ่งคนญี่ปุ่นหลายๆคนก็เอาอาหารกล่องของตัวเองออกมานั่งทานบริเวณนี้ด้วยเหมือนกันนะครับ ได้บรรยากาศญี่ปุ่นซะจริงๆ




เบนโตะชุดนี้ 1000 เยนครับ รวมอาหารทะเล ทั้งหอยเซลล์ ปูอัด



ได้เวลาเดินทางกลับกันแล้วล่ะครับ จากวันแรกที่ผมซื้อตั๋ว Suica+N’EX เอาไว้ที่ราคา 5500 เยน เราจะต้องใช้ตั๋วที่สำรองขากลับไว้ มาจองที่นั่งอีกครั้งครับ (สามารถทำได้ที่ตู้ซื้อตั๋วเองเลย ในคู่มือจะบอกอย่างละเอียด) และต้องเก็บตั๋วที่สำรองที่นั่ง กับตั๋วเลขที่นั่งจริงๆไว้ด้วยกัน เพื่อสอดในประตูทางเข้าและทางออกทั้งคู่นะครับ


ว่าแล้วก็มารอที่ชานชาลาครับ



รถไฟมาตรงเวลามากๆ




ภายในตู้จะมีที่วางกระเป๋าเดินทางใบใหญ่เอาไว้ด้านนอกที่นั่งโดยสารครับ ภายในจะเป็นตู้โดยสาร อย่าลืมนั่งให้ตรงกับหมายเลขของที่นั่งของเรานะครับ





นอกจากนี้จะมีจอแสดงเวลาขึ้นลงของแต่ละสายการบิน ทั้งสอง Terminal ครับ ทำให้เราทราบสถานะของเที่ยวบินที่เราจะเดินทาง



ไปสำรวจห้องน้ำกันครับ แยกออกเป็นห้องที่มีโถฉี่ และห้องน้ำ ส่วนด้านนอกจะเป็นอ่างล้างมือ นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นรถไฟ คงนึกว่าเ็นห้องน้ำในโรงแรมหรูๆนะเนี่ย





จากสถานีโตเกียวใช้เวลา 56 นาทีก็ถึงสนามบินนาริตะ Theminal 2 ครับ ขาออกเราจะต้องเสียบบัตรรถไฟทั้งสองใบพร้อมกัน แล้วมันจะคืนมาหนึ่งใบ เพื่อให้เราเอาใบที่ได้คืนมาเสียบออกกับที่กั้นอีกอันครับ




สายการบินไหน ใช้ Terminal อะไรไปดูกันครับ



สำหรับ Air Macau จะให้บริการเช็คอินอยู่ที่แถว I ครับ เรียกว่า ขึ้นมาจากบันไดเลื่อนนี่ออกมาก็เจอกันเลย แต่กว่าจะให้เริ่มเช็คอินก็ 2 ชม.ตรงก่อนเวลาเครื่องออกนะครับ (ทั้งจากสุวรรณภูมิและนาริตะ) ซึ่งผมว่ามันก็กระชั้นชิดไปหน่อย สำหรับไฟลท์ที่บินต่างประเทศนะครับ


สำหรับคนที่มีกระเป๋าจะโหลด ก็สามารถไปรอรับกระเป๋าได้เลยที่ปลายทางอย่างสุวรรณภูมินะครับ (น้ำหนักกระเป๋า 20 กก.) เพราะ Air Macau เป็นสายการบินที่ให้บริการเต็มรูปแบบ ไม่ใช่ Low Cost Airline




รอเวลาเช็คอิน เลยได้ขึ้นมาด้านบนที่รวมร้านค้า ร้านของฝากที่ชั้นบนครับ




ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้า KitKat ชาเชียวนี่ กลายมาเป็นของฝากยอดนิยมจากญี่ปุ่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ แต่ก่อนเราอาจจะคิดถึง Tokyo Banana แต่เดี๋ยวนี้คิทแคทมาแรงแซงทางโค้งมากๆ แต่ก็สะดวกดีครับ สำหรับการซื้อไปเป็นของฝาก อย่างที่สนามบิน ห่อแบบ 12 ซองเล็ก ยอดนิยม อยู่ที่ 525 เยน (ลดเหลือ 420 เยนด้วย) และแบบกล่อง (ด้านในมี 3 ซองเล็ก) อยู่ที่ 157 เยน แถมซื้อยกแพ็ค 10 กล่อง 1570 เยน ยังแถมอีกหนึ่งกล่องด้วยครับ เสียอย่างเดียว ร้านนี้รับแต่เงินสด


ไปรอกันที่หน้าเกทดีกว่าครับ ไกลมากเกทที่ 85 ต้องนั่งรถโมโนเรลมาอีกทีนึง



ผมก็ไม่รู้ว่าเจ้า KitKat ชาเชียวนี่ กลายมาเป็นของฝากยอดนิยมจากญี่ปุ่นไปตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ แต่ก่อนเราอาจจะคิดถึง Tokyo Banana แต่เดี๋ยวนี้คิทแคทมาแรงแซงทางโค้งมากๆ แต่ก็สะดวกดีครับ สำหรับการซื้อไปเป็นของฝาก อย่างที่สนามบิน ห่อแบบ 12 ซองเล็ก ยอดนิยม อยู่ที่ 525 เยน (ลดเหลือ 420 เยนด้วย) และแบบกล่อง (ด้านในมี 3 ซองเล็ก) อยู่ที่ 157 เยน แถมซื้อยกแพ็ค 10 กล่อง 1570 เยน ยังแถมอีกหนึ่งกล่องด้วยครับ เสียอย่างเดียว ร้านนี้รับแต่เงินสด


ไปรอกันที่หน้าเกทดีกว่าครับ ไกลมากเกทที่ 85 ต้องนั่งรถโมโนเรลมาอีกทีนึง




ได้เวลากลับกันแล้วครับ NX861 NRT-MFM 16.00-19.50



บนเครื่องเล่นฉายหนังจีนเกี่ยวกับอาหาร เล่นเอาผมหิวซกๆเลย แต่กว่าจะได้ทานก็ร่วมหกโมงเย็นแน่ะ



ประมาณทุ่มกว่าๆ ก็เริ่มลดระดับการบินลงครับ เห็นเกาะฮ่องกงด้วย



เครื่องถึงมาเก๊าตามกำหนดเวลานะครับ ไฟลท์ต่อไปของผมจะเป็น NX880 MFM-BKK 22.30-00.30 (รอเวลาต่อเครื่องอีกสองชั่วโมงครึ่ง) ขากลับนี่เวลาสวยกว่าขาไปมากๆครับ สองชั่วโมงครึ่งนี่เรียกว่า เล่นเน็ตแป๊ปเดียวก็หมดเวลาแล้ว แถมสนามบินมาเก๊ายังมี Free Wifi ให้บริการด้วย เลยเหมือนไม่นานครับ แต่แล้วประมาณสามทุ่ม ก็เริ่มประกาศว่าเครื่อง Delay แล้วล่ะครับ ผมเลยไปหาอะไรทานแก้เซ็งที่ห้องอาการด้านบน



สรุปแล้ว เครื่องดีเลย์ไปประมาณ 40 นาทีครับ กว่าเครื่องจะออกก็ห้าทุ่มกว่าๆ และเวาเสริฟ์อาหารก็กลายเป็นตอนเที่ยงคืนพอดี



กว่าจะถึงสุวรรณภูมิก็ตีหนึ่งสิบหน้านาทีไปแล้วครับ ยอมรับว่าเหนื่อย แต่ก็ Happy กับทริปนี้มากครับ ถึงจะมีเวลาน้อย ที่ตั้งใจจะไป Tokyo Disneyland และ DisneySea ก็ไปเที่ยวได้ครบ





มาลองสรุปค่าใช้จ่ายทั้งทริปนี้กันครับ


ค่าตั๋วเครื่องบิน 10,850 บาท

ค่าที่พักโฮลเทล 2 คืน 1,477 บาท

ซื้อบัตร Suica+N'EX 5500 เยน

ตั๋วเข้า Disneyland วันแรก, DisneySea วันที่สองและ Disneyland วันที่สอง 3300+6200+3300=12,800 เยน


ค่ารถไฟ/ค่าอาหาร วันแรก

bento บนรถไฟ 1100 เยน

Tokyo->Maihama 210 เยน

Hotdog ที่ Disneyland 1200 เยน

Maihama->Tokyo->Ueno->Asakusa 210+160+160=530 เยน


ค่ารถไฟ/ค่าอาหาร วันที่สอง

แกงกะหรี่+โซบะ 500 เยน

Asakusa->Ueno->Tokyo->Maihama 160+160+210=530 เยน

ตั๋วรถไฟใน Disneyland 650 เยน

Pop Corn ไอติม ใน DisneySea 300+300+300=900 เยน

แซนวิชมื้อเย็น ใน DisneySea 1200 เยน

Maihama->Tokyo->Ueno->Asakusa 210+160+160=530 เยน


ค่ารถไฟ/ค่าอาหาร วันที่สาม

Asakusa->Shibuya 230 เยน

ข้าวหน้าเนื้อมื้อเช้า 440 เยน

Starbuck 450 เยน

Shibuya->Tokyo 190 เยน

bento ในสถานีรถไฟ 1000 เยน

ชีสเค็ก+beer ที่สนามบินมาเก๊า 79 MOP (316 บาท)


นอกจากนี้ผมยังได้เติมเงินลงไปในบัตร Suica อีก 2000 เยนเพื่อซื้อพวกน้ำดื่มที่ตู้กดน้ำอีกด้วย และกดเพลินเลยล่ะครับ เพราะอากาศร้อนจริงๆ (เครื่องดื่ม 500cc. ราคาประมาณ 150 เยนครับ ถ้าน้ำเปล่าจะอยู่ที่ 100-120 เยน)


เฉพาะค่าใช้จ่ายที่เป็นเงินเยน ก็ 29,960 เยน  (ปัจจุบัน 100 เยน=32 บาท) ประมาณ 9,588 บาทครับ


รวมแล้วทั้งทริปนี้ ใช้จ่ายไปประมาณ 22,231 บาทครับ




 

Create Date : 15 สิงหาคม 2556    
Last Update : 15 สิงหาคม 2556 7:29:19 น.
Counter : 6001 Pageviews.  

ทริปแก้คัน 3 วันไปญี่ปุ่น #3 วัดเซนโซจิ, Tokyo DisneySea

เช้าวันใหม่ ผมตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีห้ากว่าๆเลย อาการเจ็บคอและน้ำมูก ก็ไม่ค่อยมีแล้ว (สงสัยเพราะอัดยามาเต็มที่ และนอนอัดมาเยอะมาระหว่างเดินทาง) เช้าวันนี้เป็นวันเดียวที่มีเวลาเที่ยวได้เต็มวันครับ เดี๋ยวเราจะออกไปถ่ายรูปกับอาคารเบียร์อาซาฮี และ Tokyo Skytree กันครับ


โฮสเทลที่ผมเลือกเข้าพักก็คือ Khaosan Tokyo Original ครับ ถ้าดูจากแผนที่จะเห็นว่าใกล้กับประตูสายฟ้าคามินาริมอน และวัดเซนโซจิมากๆ แถมยังเห็นวิวของ Tokyo Skytree กับอาคารเบียร์อาซาฮีอีก ถือว่าเป็นการเที่ยวรอบๆที่พักแบบรวบรัดไปเลยละกันครับ


เดินออกมาจากซอยของที่พัก ก็จะเจอทางเข้ารถไฟสาย Ginza Line ตรงนี้คือ Exit 4 ที่เราออกมาเมื่อคืนน่ะเองครับ


เมื่อมองออกไป ก็จะเจอกับอาคารที่มีรูปร่างสีทองเหมือนฟองเบียร์ที่ล้นออกจากแก้ว นั่นคือ อาคารสำนักงานใหญ่ของเบียร์อาซาฮีนั่นเองครับ ตัวอาคารนี้ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศสชื่อ Phillippe Starck ครับ


สำหรับอาคาร Tokyo Skytree เป็นอาคารเพื่อส่งสัญญาณวิทยุและโทรทัศน์แห่งใหม่ครับ ที่ใช้แทน Tokyo Tower ที่มีอาคารสูงๆบดบังการส่งสัญญาณทำให้การทำงานของอาคารเดิมลดประสิทธิภาพลง ใจผมน่ะอยากขึ้นไป Tokyo Skytree มากๆ แต่ด้วยเวลาจำกัดจริงๆครับ



แม่น้ำที่เห็นก็คือ แม่น้ำ Sumida ที่มีเรือให้บริการชมวิว และสามารถไปลงที่โอไดบะได้ด้วยครับ


เดี๋ยวเราจะเดินไปยังประตูสายฟ้ากันครับ ให้เดินผ่านร้าน Burger King's แล้วเลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนครับ


เดินไปเล็กน้อยก็จะเจอประตูสายฟ้าที่ฝั่งตรงข้ามแล้วล่ะครับ




ประตูสายฟ้าคามินาริมอน มีลักษณะเด่นก็คือ โคมไฟยักษ์ที่สูงถึง 4 เมตร (หนักกว่า 670 กก.) ด้านหน้าเขียนด้วยอักษรคันจิ เป็นชื่อของประตู  Kaminarimon ข้างประตูทั้งสองข้างคือ เทพแห่งสายลม ฟูจิน และเทพแห่สายฟ้า ไรจิน ที่คอยดูแลรักษาวัด สำหรับด้านหลังของโคมไฟ จะเขียนด้วยอักษรคันจิ เป็นชื่อเก่าของประตู นั่นคือ Furaijinmon ครับ




สำหรับถนนทางเข้าวัดเซนโซจิ ก็คือถนนนากามิเซะ ที่รวบรวมร้านค้าต่างๆย้อนยุคเอโดะ ในระยะทาง 250 เมตรนี่ก็มีร้านค้าร่วมร้อยร้านเลยล่ะครับ แต่ว่าแวะมาเดินแต่ตอนเช้าๆอย่างนี้ ร้านค้ายังไม่เปิดเลย แต่ได้บรรยากาศคนญี่ปุ่นหลายๆคนมาวิ่ง มาเดินออกกำลังกาย แถมพาน้องหมาออกมาเดินเล่นกันไปด้วยแทนครับ



เดินมาไม่ไกลนักก็จะถึงวัดเซนโซจิกันแล้วครับ



วัดเซนโซจิเป็นวัดเก่าแก่ที่สุดในโตเกียวครับ สร้างมาตั้งแต่ปี ค.ศ.645 ด้านหน้าก็คือประตู Hozomon



วิธีไหว้พระขอพร ในวัดญี่ปุ่นทั่วๆไปก็จะเริ่มจากการล้างมือ ป้วนปาก ชำระร่างกายตรงบ่อน้ำทางเข้าวัด ตามรูป ก็จะให้เราใช้มือขวาตักน้ำล้างมือซ้าย แล้วใช้มือซ้ายถือกระบวยตักน้ำล้างมือขวาบ้าง แล้วใช้มือขวาตักน้ำใส่มือซ้ายเพื่อบ้วนปากอีกครั้ง ก่อนจะวางกระบวยเก็บ



ต่อไปก็เป็นการโบกควันจากกระถางธูปเข้าหาตัวเราครับ นำโชคลาภและสุขภาพดีไปกับตัวเรา (ตอนเช้า คนเพิ่งมาไหว้ไม่กี่คน ควันน้อยไปหน่อยครับ)


ต่อไปก็ขึ้นมาไหว้องค์พระประธานครับ แล้วโค้งคำนับ เขาว่าให้โยนเหรียญ 5 เยนลงในกล่องบริจาคด้วย (เพราะเหรียญ 5 เยน ออกเสียงว่า go-en พ้องเสียงกับคำว่า ผูกพัน เขาว่ากันว่า เราจะได้ผูกพันกับพระพุทธเจ้า)


แต่ผมไม่มีเหรียญ 5 เยน เลยโยนเหรียญ 10 เยนลงไป นี่จะผูกพัน 2 เท่าเลยไหมเนี่ย


หลังจากนั้นก็ โค้งคำนับสองครั้ง ปรบมือสองครั้ง ก่อนที่จะตั้งจิตอธิฐานขอพร แล้วโค้งคำนับ จบครับ



น้องหมาเรียบร้อยมาก รอคุณยายที่มาไหว้พระ


ถ้าใครเสี่ยงเซียมซี ก็สามารถรับคำทำนายได้ในราคาใบละ 100 เยนครับ แต่ถ้าใครได้คำทำนายไม่ดี ก็สามารถแก้เคล็ดได้โดยผูกคำทำนายทิ้งไว้ที่วัดก็ได้ครับ



นอกจากนี้ยังมีร้านขายพวกเครื่องรางพกติดตัวสไตล์ญี่ปุ่นหลากหลายแบบครับ แต่มาเช้ายังงี้ ยังไม่มีส่วนไหนเปิดเลย


เก็บบรรยากาศรอบๆวัดกันหน่อยครับ









เดินย้อนกลับมาที่ทางเข้าสถานีรถไฟทางเดิมครับ จะมีร้านอาหารหลายร้านที่เปิดแล้วล่ะครับ ผมเลยเลือกร้านตรงหัวมุม ที่มีตู้หยอดเหรียญหน้าร้าน ผมเลือกเป็นเมนูที่ 9 ครับ (ที่แนะนำด้านบนเลย) ก็ใส่แบงค์เข้าไป 1000 เยน เครื่องก็ทอนเงินมา 500 เยนพร้อมกับตั๋วอาหารที่เราสั่ง แล้วเราก็เข้าไปในร้าน เอาตั๋วนี่ให้คุณลุงที่ทำอาหารอยู่ได้เลยครับ





เป็น 500 เยนที่คุ้มค่ามาก แค่ข้างแกงกะหรี่ก็อิ่มแล้วล่ะครับ นี่มาคู่กับโซบะ อีก ชามหลังนี่ผมทานไม่หมดเลยนะครับ รู้สึกผิด   สำหรับน้ำดื่มบริการตัวเองได้เลยครับ มีแก้วตั้งไว้ด้านหน้า และกระติกน้ำร้อน เหยือกน้ำเย็น




อิ่มเรียบร้อยกันแล้ว เดี๋ยวเราจะไปตะลุย Tokyo DisneySea กันครับ


ตอนนี้เราอยู่ที่สถานี Asakusa บน Ginza Line เราก็นั่งรถไฟไปลงที่สถานี Ueno (160เยน)

ที่สถานี Ueno เราจะต่อรถไฟสาย JR Yamanote Line เพื่อไปยังสถานี Tokyo (160เยน)

และที่สถานี Tokyo เราจะใช้รถไฟสาย JR Keiyo Line หรือ JR Musashino Line เพื่อไปลงที่สถานี Maihama (210เยน)


วันนี้เราจะไป DisneySea พอออกจากสถานี Maihama ให้เลี้ยวซ้ายเลยครับเพื่อต่อรถไฟของดีสนีย์



สำหรับการเดินทางภายในโครงการ Tokyo Disneyland resort จะมีรถไฟฟ้าโมโนเรลสำหรับเดินทางภายในครับ ค่าโดยสารก็ค่อนข้างแพง (เพราะลงทุนสร้างเองเลย) อยู่ที่เที่ยวละ 250 เยน (เด็กอายุต่ำกว่า 11 ขวบ 130 เยน) สำหรับคนที่จะเที่ยว Tokyo Disneyland ก็ไม่จำเป็นต้องใช้รถไฟฟ้านี้หรอกครับ เพราะจากสถานีรถไฟ Maihama จะมีทางเดินเชื่อมมาถึงด้านหน้าสวนสนุกอยู่แล้ว (ประมาณ 300-400 เมตร) แต่การจะไปเล่น Tokyo DisneySea นี่ ถ้าเดินไปก็จะร่วมหนึ่งกิโลเมตรได้ครับ แนะนำให้เซฟแรงขา แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปดีกว่าครับ


สำหรับคนที่คิดจะกลับมาเก็บเครื่องเล่นทั้งสองสวนสนุก (อย่างผม) แนะนำให้ซื้อเป็นตั๋ววันเลยครับ ในราคา 650 เยน (เด็ก 330 เยน) หรือใครอยากได้บัตรรถไฟเป็นที่ระลึกน่ารักแบบนี้ ถ้าไป-กลับ DisneySea ก็ 250x2=500 เยนแล้วครับ ซื้อตั๋ววันไปเลยก็นึกว่าซื้อบัตรที่ระลึกก็ได้ครับ



เตรียมขึ้นรถไฟกันครับ




ดูคิวคนที่รอจะเข้า Tokyo Disneyland กันซะหน่อยครับ เยอะมากกกก


แป๊ปเดียวก็ถึงด้านหน้า Tokyo DisneySea ครับ คิวด้านหน้าก็เยอะไม่แพ้กันครับ ตั้งแต่คิวรอซื้อตั๋ว คิวรอเข้าสวนสนุก ดีที่ผมเตรียมตัวซื้อตั๋วมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว



เอาราคาตั๋วมาบอกกันอีกทีละกันครับ



หลังจากที่ Tokyo Disneyland ได้เปิดทำการมาตั้งแต่ปี 1983 ก็ได้รับความนิยมจากคนญี่ปุ่นเป็นอย่างสูง จึงเกิดความคิดที่จะเปิดสวนสนุกเพิ่มในพื้นที่ที่เหลืออยู่ จึงเกิดโครงการ Tokyo DisneySea ขึ้นมาครับ โดยเปิดบริการมาตั้งแต่ปี 2001 โดยใช้ธีมของทะเลและชายฝั่งต่างๆทั่วโลกมารวมเอาไว้ ปัจจุบัน Tokyo DisneySea ได้แบ่งออกเป็น 7 โซนได้แก่ Mediterranean Harbor, Mysterious Island, American Waterfront, Port Discovery, Lost River Delta, Arabian Coast และ Mermaid Lagoon



Mediterranean Harbor ท่าเรือเมดดิเตอร์เรเนียน ที่เป็นทางเข้าสู่สวนสนุกนอกจากเป็นแหล่งรวมร้านค้าของฝาก ของที่ระลึกแล้ว ยังมีโรงแรม Hotel MiraCosta ตั้งอยู่ด้านหน้าด้วยครับ





ตรงท่าเรือ Mediterranean นี้นอกจากท่าเรือใหญ่ที่จะเป้นการแสดงโชว์หลักด้านหน้า ยังมีภูเขาไฟ Mount Prometheus ตั้งอยู่ตรงกลาง (เปรียบเหมือนกับปราสาทที่ตั้งอยู่ตรงกลางของ disneyland น่ะเองครับ) แถมเจ้าภูเขานี่ เดี๋ยวก็มีลาวาไหล เดี๋ยวก็มีเสียงร้องคำราม ต้องคอยสังเกตุกันดีๆครับ



สำหรับเครื่องเล่นในโซนนี้ จะเป็นการนั่งเรือ ล่องเรือครับ ตั้งแต่


- DisneySea Transit Steamer Line เป็นเรือกลไฟลำใหญ่ที่แล่นรอบหาด



- Venetian Gondolas นั่งเรือกอนโดล่า แบบในเมืองเวนิช แต่ว่าเป็นหมู่คณะมากกว่า



- Fortress Explorations เข้ามาสำรวจภายในป้อมปราการ และเรือใบที่อยู่ในอ่าวครับ



Mysterious Island ตรงกลางของ DisneySea จะเป็นเกาะลี้ลับที่มี Mount Prometheus ตั้งอยู่ และมีเครื่องเล่นที่ให้เราได้เข้าไปสำรวจใต้โลก และใต้สมุทร ได้แก่


Journey to the Center of the Earth ด่ำดิ่งลงไปสำรวจใต้โลกกับยานที่ออกแบบโดยกัปตันนีโม่กันครับ





20,000 Leagues Under the Sea หลังจากที่ไปสำรวจใต้โลกกันแล้ว คราวนี้มานั่งเรือดำน้ำลำเล็กเพื่อลงไปสำรวจโลกใต้สมุทรกันบ้างครับ






ทั้งสองเครื่องเล่นนี้ สามารถใช้ FastPass ได้นะครับ แต่แนะนำให้กดใช้กับ Journey to the Center of the Earth ดีกว่าครับ เพราะสนุกกว่ากันมา อันหลังออกจะเป็นการนั่งชมวิวเฉยๆ




แล้ว FastPass คืออะไร FastPass คือการกดบัตรคิวเพื่อจองเครื่องเล่นไว้ล่วงหน้าน่ะครับ โดยเราจะต้องใช้บัตรผ่านประตูของเรา นำไปสอดใส่เครื่องสำหรับกด FastPass (ที่ญี่ปุ่นนี่เป็นการ scan บัตรที่เครื่อง) แล้วเราจะได้บัตร FastPass ออกมาครับ ในบัตรก็จะบอกเวลาที่ให้เราย้อนกลับมาเล่นที่เครื่องเล่นนี้ว่าต้องมาเวลาเท่าไหร่ เมื่อถึงเวลาเราก็จะสามารถลัดคิวเข้าไปเล่นได้เลยครับ นอกจากนี้ในบัตรยังจะบอกเวลาที่ให้เราไปกดคิว FastPass ได้อีกครั้งตอนกี่โมงด้วย ดังนั้นเก็บบัตรนี้ไว้ให้ดีครับ



แต่สำหรับวันที่ผมไปเล่นนี่ คนเยอะมาก ผมสามารถกดใช้ FastPass ได้แค่ 2 เครื่องเล่นเอง นั่นคือ Journey to the Center of the Earth กับ Tower of Terror เพราะหลังบ่ายโมง เครื่องกด FastPass ก็ปิด ไม่ให้เราเข้าไปกดบัตรคิวล่วงหน้าแทบจะทุกเครื่องแล้วล่ะครับ เพราะคนเยอะมาก คิวล่วงหน้านี่ยาวไปถึงสามทุ่มแล้ว แต่ไม่เป็นไรครับ การได้เล่นเครื่องเล่นไวๆนอกจากใช้ FastPass แล้ว เรายังสามารถใช้สิทธิ Single Riders ได้อีกด้วยครับ (ซึ่งไม่ต้องกดบัตรอะไร แถมคิวยังไวกว่ากันมากๆ)


American Waterfront มาถึงโซนชายฝั่งอเมริกัน ที่มีเครื่องเล่นยอดนิยม และคิวยาวมากที่สุดเลยล่ะครับ


ถึงแม้ว่า Tokyo Disneyland และ DisneySea ไม่มีโซน Toy Story Land เหมือนอย่างที่ฮ่องกงและปารีส แต่ก็มีมุมเล็กๆ (แต่คิวยาว) อย่าง Toyville Trolley Park อยู่ในโซน American Waterfront ครับ ซึ่งเหมือนกับเป็นหมู่บ้านของคาวบอยวู๊ดดี้และเพื่อนๆของเล่นในห้องของแอนดี้ครับ




American Waterfront มาถึงโซนชายฝั่งอเมริกัน ที่มีเครื่องเล่นยอดนิยม และคิวยาวมากที่สุดเลยล่ะครับ


ถึงแม้ว่า Tokyo Disneyland และ DisneySea ไม่มีโซน Toy Story Land เหมือนอย่างที่ฮ่องกงและปารีส แต่ก็มีมุมเล็กๆ (แต่คิวยาว) อย่าง Toyville Trolley Park อยู่ในโซน American Waterfront ครับ ซึ่งเหมือนกับเป็นหมู่บ้านของคาวบอยวู๊ดดี้และเพื่อนๆของเล่นในห้องของแอนดี้ครับ



กว่าผมจะได้เล่นก็ต้องยอมมาต่อคิวช่วงสามทุ่มน่ะครับ แถมกว่าจะได้เล่นก็สี่ทุ่มกว่าๆไปแล้ว



มันคือเกมส์ยิงเป้าแบบ interactive และ 3 มิติครับ คือเราจะใส่แว่นสามมิติ เพื่อเข้าไปในฉากต่างๆของเกมส์ เพื่อยิงทำคะแนนแข่งกับเพื่อน แถมแต่ละฉากก็มันส์และเล่นกับฉากแบบสามมิติได้ดีครับ ถือเป็นการรอคิวชั่วโมงกว่าๆที่ถือว่าคุ้มค่าอยู่ครับ



บริเวณรอบๆก็จะประกอบไปด้วย




นอกจากนี้ยังมีซุ้มเครื่องเล่น ในสไตล์สวยสนุกคานิวัลแบบอเมริกันด้วยครับ





American Waterfront เข้ามาโซนชายฝั่งอเมริกันกันจริงๆซะทีครับ ด้านหน้าก็จะเป็นการตกแต่งเหมือนนิวยอร์คในอดีต




เราจะพบกับรถไฟ DisneySea Electric Railway ที่ใช้เชื่อมระหว่างโซน American Waterfront กับโซน Port Discovery ซึ่งรถไฟสายนี้มีประโยชน์มากๆสำหรับผมครับ เนื่องจากเครื่องเล่นคิวยาวๆมักจะอยู่โซนอเมริกัน เราสามารถนั่งรถไฟจากสถานีข้างใน (เพราะคิวไม่ถึงสิบนาที) เพื่อออกมาเล่นหรือชมการแสดงที่โซนนี้สะดวกครับ ไม่ต้องเปลืองแรงวิ่งหรือเดินออกมาด้วยครับ อย่างผมใช้ไป 4 เที่ยวเลย






Big City Vehicles เป็นรถชมวิวรอบๆเมืองนิวยอร์กครับ


Broadway Music Theatre โรงละครที่มีโชว์ของวง Big Band Beat เป็นวงแจ๊สสวิงพร้อมกับนักร้องและมีการแสดงบนเวทีร่วมกับตัวการ์ตูนของดีสนีย์ครับ





ด้านหน้าของ Tower of Terror ยังเป็นลานน้ำพุ Waterfront Park ให้เด้กๆได้เล่นน้ำกันด้วย




Tower of Terror เครื่องเล่นระทึกใจอีกชิ้นหนึ่งครับ ให้เราเข้าไปในโรงแรมร้าง ที่อดีตเจ้าของโณงแรมเป็นนักสำรวจและชอบสะสมของเก่า แล้วมาวันหนึ่งเขาได้นำตุ๊กตาเครื่องรางจากแอฟริกามาไว้ที่โรงแรม แต่เจ้าตุ๊กตาเครื่องรางนั้นกลับเอาชีวิตของทุกคนในโรงแรมไป






ผ่านห้องที่เล่าตำนาน แล้วเราจะได้เข้าไปในลิฟต์ของโรงแรมครับ ก่อนที่เราจะเคลื่อนขึ้นด้านบน ก่อนที่ลิฟต์จะตกลงมาให้ระทึกใจครับ



บรรดาเหล่าตัวการ์ตูนออกมาถ่ายรูปกับคนที่มาเที่ยวครับ






ทางด้านเรือลำใหญ่อย่าง S.S.Columbia นอกจากจะเป็นภัตตาคารแล้ว อีกด้านหนึ่งยังมีเครื่องเล่นอย่าง Turtle Talk ที่เป็นตัวเต่าทะเลออกมาคุยและทักทายคนในห้อง (แบบ interactive) แล้วพาเราออกไปสำรวจทะเล เป็นเครื่องเล่นที่คิวยาวมากเหมือนกันครับ (ร่วมชั่วโมง) เพราะเป็นเครื่องเล่นเหมาะกับเด็กๆที่มาพร้อมพ่อแม่ผู้ปกครอง แถมเป็นภาษาญี่ปุ่นซะด้วยนะ




อีกมุมหนึ่งของเรือ S.S.Columbia ก็ยังเป็นเวทีการแสดงกลางแจ้ง Dockside Stage ที่มีการแสดงที่นำทีมโดย ลูมิแอร์ (เชิงเทียนจากเรื่อง Beauty And the Beast) มากับเพลง Be Out Guest ภาคภาษาญี่ปุ่น และมีกู๊ฟฟี่และคนอื่นๆมาโซโล่เต้นร่วมกับอาหารญี่ปุ่นต่างๆครับ





ผ่าน Cape Cod ก็จะออกไปสู่โซน Port Discovery ครับ




Port Discovery ท่าเรือแห่งการค้นพบและการสำรวจครับ



นอกจากรถไฟที่เชื่อมกับท่าเรืออเมริกันแล้ว เครื่องเล่นอีกสองชิ้นในโซนนี้ก็สนุกมากๆครับ




StormRider นั่งยานสำรวจเข้าไปในพายุกันเลยครับ จะคล้ายกับการนั่งชมหนังแบบสี่มิติน่ะแหละครับ แต่เก้าอี้โยกสั่นกว่ามากๆ เสียอย่างเดียวที่ถ้าต้องรอคิวด้านหน้านี่ร้อนมากๆครับ เพราะให้รอคิวด้านนอกที่แดดเปรี้ยงๆนี่เลย


ห้อง build อารมณ์ที่เล่าถึงยานและภารกิจที่เราจะต้องขึ้นไปสำรวจวันนี้




Aquatopia มานั่งเรือในอนาคต ที่สามารถขับเคลื่อนไปด้วยตัวเองได้ครับ แถมเจ้าเรือนี่ เดี๋ยววิ่งใส่น้ำวน วิ่งใส่น้ำพุ เรียกว่าเปียกไม่รู้ตัวเลยล่ะครับ แล้วแต่ดวงจริงๆ แต่สนุกดีครับ



Lost River Delta บริเวณพื้นที่สามเหลี่ยมปากแม่น้ำในป่าของทวีปอเมริกากลางที่มีแหล่งอารยธรรมโบราณซ่อนตัวอยู่ เครื่องเล่นในโซนนี้นอกจากจะระทึกใจ ใช้ FastPass ได้ ยังเป็นสองเครื่องเล่นที่ใช้สิทธิ Single Riders ได้อีกด้วยครับ ทำให้เราสามารถเก็บเครื่องเล่นในโซนนี้ได้อย่างรวดเร็ว


แวะที่โรงละคร Hangar Stage กันก่อนครับ


จะเป็นการแสดงในธีมป่า ที่ใช้ผีเสื้อตัวหนึ่งเป็นตัวดำเนินเรื่องครับ ว่าไปเจอกับสัตว์ต่างๆและเทพที่ดูแลรักษาป่า เจอทั้งไฟ ทั้งฝนครับ (การแสดงเป็นภาษาญี่ปุ่นล้วนครับ แต่ก้เข้าใจได้ด้วยภาษากายและการแสดงครับ)





เดี๋ยวเราไปเล่นเครื่องเล่นกันครับ





Indian Jones Adventure: Temple of the Crystal Skull นั่งรถผจญภัยไปกับอินเดียน่า โจนส์ เพื่อตามหาหัวกะโหลกคริสตัลเหมือนในภาพยนตร์ครับ





Raging Spirits รถไฟเหาะที่วิ่งในรางไม้ ที่แอบตีลังกาหนึ่งรอบก่อนจบด้วยครับ



ทั้งสองเครื่องเล่นนี้ ถ้าเรามาคนเดียว (หรือแยกกันเข้ามาเล่นคนเดียว) เราสามารถเข้าแถวของ Single Riders (แถวกลาง ไม่มีคนเลย) ได้ครับ คิวสั้นกว่าคนที่กด FastPass (ช่องซ้าย) เข้ามาซะด้วยซ้ำครับ ส่วนช่องขวาคือแถวที่รอคิวธรรมดาครับ



สุดท้ายคือ DisneySea Transit Steamer Line เรือที่ล่องชมวิวในโซนนี้ครับ




Arabian Coast ชายฝั่งอาหรับ สำหรับคนที่ชื่นชอบตำนานอาหรับไม่ว่าจะเป็นอะลาดินหรือซินแบดครับ เป็นโซนนี่อยู่ลึกเข้ามาหน่อย คิวคนเล่นเลยไม่เยอะมากเท่าไหร่ รอคิวไม่ถึง 20 นาทีดีครับ




เพิ่งก็เพิ่งได้รองท้องด้วย pop corn รสแกงกะหรี่ ที่โซนนี้นะครับ ทั้งๆที่ตู้ขาย pop corn มีกระจายอยู่ทั่วไปในสวนสนุกแต่คิวคนซื้อก็เยอะมากครับ



popo corn ราคาปกติก็ 300 เยนต่อกล่อง (อย่างน้อยๆมันก็ถูกกว่า pop corn ของ major cineplex) ถ้าใครอยากได้เป็นกล่องตัวการ์ตูน (ซึ่งมารีฟิลทีหลังได้ในราคาพิเศษอีก) ก็ 1800 เยนครับ รีฟิลอีกครั้งละ 500 เยน




Jasmine's Flying Carpets นั่งพรมวิเศษและเหาะไปกับเจ้าหญิงจัสมินครับ




Sindbad's Storybook Voyage ออกเรือไปกับซินแบดและเจ้าเสือน้อยคู่ใจกันครับ แล้วร่วมผจญภัยไม่ว่าจะเจอกับคนป่า ปิศาจและยักษ์ ก่อนที่จะนำสมบัติกลับมายังหมู่บ้านของตนครับ





เดี๋ยวเราจะไปดูหนังสามมิติกันบ้างครับ ด้านหน้าก็มีวงดนตรีมาเล่นโชว์




The Magic Lamp Theater โรงละครในตะเกียงวิเศษของยักษ์จินนี่ ซึ่งใช้การแสดงของคนจริงๆด้านหน้า ร่วมกับภาพบนจอหนังที่เป็นสามมิติ เล่าเรื่องของจินนี่ก็ยังตกอยู่กับนักมายากลเจ้าเล่ห์คนหนึ่ง โดยช่วงเล่นกลนี้เอง จินนี่ก็แกล้งและป่วนนักมายากลเจ้าเล่ห์นี้คืนบ้างน่ะครับ





และเครื่องเล่นสุดท้ายในโซนนี้ Caravan Carousel ม้าหมุนสองชั้นสไตล์อาละดิน




Mermaid Lagoon จำลองบรรยากาศมาจากเรื่อง Little Mermaid เหมือนเมืองใต้บาดาล ของเงือกน้อยแอเรียลครับ โซนนี้ส่วนใหญ่จะเป็นสวนสนุกในร่มที่เย็นสบายครับ จะมีเพียงสองเครื่องเล่นที่อยู่ด้านนอกครับ



Flounder's Flying Fish Coaster นั่งรถไฟเหาะที่น่ารักของปลาการ์ตูนอย่างฟาวเดอร์




Scuttle's Scooters นั่งม้าหมุนที่เป็นบรรดาสัตว์ทะเลไม่ว่าจะเป็นหอย ปู ปลา




แล้วเราก็เข้ามาในโดมด้านในกันครับ






สิ่งที่ไม่ควรพลาดสำหรับโดมด้านในก็คงจะเป็น Mermaid Lagoon Therter ครับ ที่เป็นการแสดงของแอเรียลเงือกสาวที่ใช้คนแสดงๆจริงๆ ที่นำเพลงและเนื้อเรื่องจากภาพยนตร์มาเล่าในรูปแบบละครครับ




ด้านในโรงละคร เวทีตรงกลาง ที่นั่งชมทั้ง 360 องศาเลยครับ





Jumpin' Jellyfish นั่งกระเช้าแมงกะพรุนกันครับ



Blowfish Balloon Race




The Whirlpool อ่าวน้ำวนที่เป็นถ้วยหมุนนั่นเอง



Ariel's Playground สวนสนุกของเจ้าหญิงแอเรียลที่เป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ





เล่นสนุกจนเพลินลืมหิวไปเลยล่ะครับ กว่าผมจะได้หาอะไรทานเป็นมื้อกลางวันก็เลยไปถึงบ่ายสี่โมงแล้วน่ะครับ ผ่านไปยัง American Waterfront พอดี เลยหาอะไรรองท้องเป็นแซนวิชกับแรตทาทูอี้สลัดครับ มื้อนี้ประมาณ 1200 เยนครับ






ผมกำลังจะข้ามฝั่งกลับไปเล่นเครื่องเล่นที่ Disneyland น่ะครับ แต่ก็ยังทันโชว์ The Legend of Mythica บริเวณด้านหน้า Mediterranean Harbor อยู่ครับ ในรอบ 16.30





ยังเจอกระรอกสาวด้านหน้าทางออกมาทักทายแฟนๆด้วย



ตอนสามทุ่ม ผมยังกลับเข้ามาเล่น Toy Story Mania! นะครับ ถึงแม้จะต้องรอคิวถึงชั่วโมงกว่า ทำให้ออกมาจากเครื่องเล่นสี่ทุ่มครึ่งเข้าไปแล้ว ทิ้งบรรยากาศยามค่ำคืนของ Tokyo DisneySea เอาไว้ตรงนี้ก็แล้วกันครับ





ขนาดสี่ทุ่มครึ่งแล้ว Mount Prometheus ยังคงพ่นลาวาและร้องคำรามอยู่เลยครับ เหนื่อยแต่มีความสุขมากๆครับ (ก่อนที่จะไปปวดขาในวันพรุ่งนี้) เหลืออีกตอนเดียวก็จะจบทริปนี้แล้ว อย่าลืมติดตามนะครับ





 

Create Date : 14 สิงหาคม 2556    
Last Update : 14 สิงหาคม 2556 6:59:19 น.
Counter : 3570 Pageviews.  

ทริปแก้คัน 3 วันไปญี่ปุ่น #2 Tokyo Disneyland

ถ้าจะบอกว่าเหตุผลจริงๆของการไปญี่ปุ่นครั้งนี้ คือการไปเที่ยว Tokyo Disneyland กับ Tokyo DisneySea จะมีใครว่าผมบ้าไหมเนี่ย  คือมันเป็นปมเล็กๆในใจของเด็กที่เพิ่งได้ไปเที่ยวสวนสนุกตอนช่วงวัยรุ่น ประกอบกับความที่เป็นคนชอบดูหนัง (โดยเฉพาะการ์ตูนอนิเมชั่น) ของผม ทำให้เกิดอาการชื่นชอบสวนสนุกและ Theme Park ลักษณะนี้เป็นอย่างสูง ความฝันเล็กๆจึงหวังว่าจะมีโอกาสได้ไปเยี่ยมเยียน Disneyland ทั้ง 5 แห่งนั่นแหละครับ



แล้วตอนนี้ Disneyland ทั้งหมดในโลกนี้ อยู่ที่ไหนกันบ้างเอ่ย ก็จะมีที่ สหรัฐอเมริกาอยู่ 2 แห่งนั่นคือ Disneyland (Anaheim,California) กับ Disneyworld (Orlando, Florida) ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และฮ่องกง ครับ


Disneyland ที่เมือง Anaheim California เป็นดีสนีย์แลนด์แห่งแรกที่ก่อตั้งขึ้นตามความคิดของ Walt Disney โดยเปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1955 (พ.ศ.2498 ก่อนอันธพาลครองเมืองซะอีก) ปัจจุบัน ดีสนีย์แลนด์แคลิฟอร์เนีย จะมีสวนสนุกอยู่ 2 สวนครับ นั่นคือ

- Disneyland Park

- Disney California Adventure Park


สิบปีถัดมาหลังจากเปิด Disneyland ได้มีโครงการพัฒนาที่จะสร้างสวนสนุกและ entertainment complex ขึ้นบริเวณทะเลสาบ Buena Vista (ปัจจุบันการจัดจำหน่ายหนังทั่วโลกของดีสนีย์ก็ใช้ชื่อทะเลสาบนี้เป็นชื่อบริษัทจัดจำหน่ายหนัง) ของเมือง Orlando ในรัฐ Florida จนสามารถเปิดบริการได้ในปี 1971 (แต่น่าเสียดายที่ Walt Disney ได้เสียชีวิตลงก่อนในปี 1966)

DisneyWorld (Orlando, Florida) ในปัจจุบันประกอบไปด้วยสวนสนุก 6 สวนได้แก่

- Magic Kingdom Park

- Epicot

- Disney's Hollywood Studios

- Disney's Animal Kingdom Park

- Disney's Blizzard Beach (สวนน้ำ)

- Disney's Typhoon Lagoon (สวนน้ำ)


Tokyo Disneyland เป็นสวนสนุกของดีสนีย์ที่อยู่นอกอเมริกาแห่งแรก โดยบริษัทของญี่ปุ่นได้ทำการซื้อลิขสิทธิ์ของดีสนีย์มา และเปิดให้บริการในปี 1983 โดยตัว Disneyland จะเป็นการผสมระหว่าง Disneyland ใน California และ Magic Kingdom ของ DisneyWorld Florida ปัจจุบันที่โตเกียวมีสวนสนุกของดีสนีย์ 2 สวนคือ

- Tokyo Disneyland

- Tokyo DisneySea


Disneyland Paris หรือ Euro Disneyland เป็นสวนสนุกดีสนีย์แห่งที่สี่ของโลก และถือว่าเป็นสวนสนุกนอกอเมริกาแห่งแรกที่ทางดีสนีย์บริหารเอง เปิดให้บริการมาตั้งแต่ปี 1992 ในปัจจุบันมี 2 สวนสนุก คือ

- Disneyland Park

- Walt Disney Studios Park


Hongkong Disneyland ก็จะคล้ายๆกํบที่โตเกียวนั่นคือเป็นการซื้อสิขสิทธิ์ของดีสนีย์มาเปิดเช่นกันครับ โดยสวนสนุกเปิดให้บริการในปี 2005 และเป็นแห่งล่าสุดของโลก ถ้าเทียบขนาดพื้นที่ (ผมเพิ่งเคยไปเที่ยวมาก็ 3 สถาที่หลัง) ฮ่องกงดีสนีย์แลนด์จัดว่ามีขนาดเล็กกระทัดรัดที่สุดเลยล่ะครับ


ท้าวความอีกนิดครับ สำหรับคนที่ลงสนามบินนาริตะ และมีแผนจะไป Tokyo Disneyland สามารถใช้บริการรถบัสจากสนามบินได้เลยนะครับ ค่าบริการเที่ยวละ 2400 เยน แถทใช้เวลาประมาณ 1 ชม.เอง


ตารางเวลาของเที่ยวรถก็มีหลากหลายให้เลือกครับ โดยตอนแรก ผมลงเครื่องประมาณ 15.00 กะว่าจะใช้บริการรถบัสในเที่ยว 17.05 อยู่เหมือนกันครับ แต่ไปๆมาๆ อยากลองของ นั่งรถไฟเข้าไปเอง (ค่ารถไฟไฟ 2 ต่อ ถูกกว่ากันนิดหน่อยด้วย) โดยหวังว่าจะทำเวลาได้ไวกว่ารถบัส ถึงแม้จะเพียงครึ่ง ชม.ก็ยอมเหนื่อย



ไม่อยากบอกว่าต่อรถไฟไปเอง ก็ถึงหน้า Disnleyland ตอนหกโมงเย็น พอๆกับนั่งรถบัสน่ะแหละครับ


จากสถานีรถไฟ โตเกียว เราต้องใช้สาย Keiyo Line (สีแดง) เพื่อที่จะไปสถานี Maihama (ก็เพียง 6 สถานี จากสถานีโตเกียวครับ)




เดินตามลูกศรไปเรื่อยๆ หารู้ไม่ว่า จาก Narita Express ที่ชานชาลาอยู่บนชั้นบนดินปกติของสถานี เราต้องเดิน เดินและเดิน ลงไปอีก 4 ชั้น (สถานีโตเกียวมีทั้งหมด 5 ชั้นบนดิน 1 ใต้ดินอีก 4) และไม่ต้องกลัวหลงเลยครับ เพราะขนาดเย็นๆอย่างนี้ ยังมีเด็กๆ หรือครอบครัวที่พาลูกๆไปเที่ยวดีสนีย์แลนด์อยู่ ซึ่งเป็นจุดสังเกตุให้เราเดินตามขึ้นรถไฟไปได้อย่างไม่หลงครับ (หรือจะตามขึ้น-ลงลิฟท์ก็ร่นระยะทางเดินในสถานีรถไฟไปได้ครับ)


ใช้เวลาประมาณ 15 นาที ค่าโดยสาร 210 เยน (Narita Express ราคาพิเศษ 1750+210=1960 เยน) ผมว่านั่งรถบัสตรงมาจากสนามบินนาริตะ 2400 เยน แต่ไม่ต้องเดินเปลี่ยนสถานีรถไฟนี่ก็น่าคุ้มนะครับ เพราะยังไงก็ถึง Disneyland พอๆกันเลย



ออกจากสถานีแล้วเลี้ยวขวาไปเลยครับ เดินประมาณ 300 เมตรจากสถานี Maihama


และราคาค่าตั๋ว


ตอนแรกผมวางแผนว่าจะซื้อเป็น 2 days passport ที่ราคา 10700 เยนครับ แต่ว่า ลุงคนขายตั๋วไม่ยอมขายให้ แนะนำว่าให้ซื้อเป็น After 6 passport 3300 เยน + 1 day passport 6200 เยน แทน ซึ่งก็ประหยัดไปตั้งพันเยนแน่ะ (ดีจัง รักษาผลประโยชน์ของคนมาเที่ยวด้วย)


สรุปว่าผมได้ตั๋วเที่ยวสองวันที่ราคา 9500 เยน (ประมาณ 3,040 บาท)


Tokyo Disneyland จะประกอบไปด้วย 7 โซนครับ เริ่มตั้งแต่ World Bazaar, Adventureland, Westernland, Critter Country, Fantasyland, Toontown และ Tomorrowland



เนื่องจากการใช้เวลาเที่ยวแค่ 4 ชั่วโมงในวันแรกทำให้ผมไม่สามารถเก็บเครื่องเล่นและบรรยากาศตอนที่ยังมีแสง (ต้องยอมรับว่าผมยังใช้กล้องดิจิตอลคอมแพ็กที่ยังถ่ายรูปกลางคืน หรือสถานที่ที่มีแสงน้อยอย่างเครื่องเล่นต่างๆยังไม่ค่อยดี) ผมเลยซื้อตั๋ว Naruto 5 passport 3300 เยน ซึ่งเป็นตั๋วเข้า disneyland หลังห้าโมงเย็นวันธรรมดาเพิ่มด้วยครับ เลยอาจจะทำให้ภาพที่ใช้รีวิวมีทั้งภาพมืดและภาพสว่างปนๆกันนะครับ


สำหรับ Fastpass แทบจะไม่มีประโยชน์สำหรับคนที่ซื้อตั๋วเข้ามาในรอบเย็นเลยครับ เพราะเครื่องเล่นแทบทุกชิ้นที่มี Fastpass ให้กด ถูกปิดหมดแล้วเนื่องจากมีคิวเต็มไปจนถึง 4 ทุ่มแล้ว ดังนั้นการเล่นเครื่องเล่นหลัง 6 โมงเย็นอย่างนี้ต้องอาศัยความพยายามในการรอคิวอย่างเดียวครับ


สำหรับคนที่มาคนเดียว ก็ยังมีระบบ Single Riders ที่ทำให้เราได้เล่นเครื่องเล่นได้เร็วมากๆ เร็วกว่า FastPass ซะอีกครับ เรียกว่า เดินตรงเข้าช่วงนี้ไปแทบจะถึงต้นคิวและได้เล่นเลยทันที เสียดายเพียงแต่ว่า ทางฝั่ง Disneyland จะมีเครื่องเล่นเดียวที่ยอมให้คนมาคนเดียวลัดคิวไปเลยได้ ก็คือ Splash Mountain ครับ (ทางฝั่ง DisneySea จะมี 2 เครื่องเล่น)


ช่วงนี้ ยังคงเป็นธีมเฉลิมฉลอง Tokyo Disneyland ครบรอบ 30 ปีกันอยู่นะครับ (ฉลองมาจะครบปีแล้วมั้งเนี่ย)



World Bazaar เปรียบได้กับตลาดด้านหน้าของสวนสนุกที่รวบรวมร้านค้าของที่ระลึกลิขสิทธิ์ของดีสนีย์เป็นหลักครับ และร้านอาหาร เครื่องเล่นในส่วนนี้ก็จะมีเพียง Omnibus ที่เป็นรถบัสขับวนรอบๆวงเวียนหน้าปราสาทซินเดอเรลล่า





เมื่อออกมาเราก็จะพบกับรูปปั้นของ Walt Disney และการ์ตูนที่ชื่อดังที่ท่านได้สร้างสรรค์ขึ้นมาอย่าง มิกกี้เมาส์ ครับ ที่มีฉากหลังเป็นปราสาทของซินเดอเรลล่า


เกร็ดเล็กน้อยสำหรับปราสาทครับ ที่ Tokyo Disneyland จะเป็นปราสาทของซินเดอเรลล่า ในขณะที่ Disneyland Paris และ Hongkong Disneyland จะเป้นปราสาทของเจ้าหญิงนินทรา (แต่สองปราสาทหลังก็รูปร่างปราสาทไม่เหมือนกันนะครับ)



Advantureland ดินแดนแก่งการผจญภัย ล่องเรือไปในแม่น้ำป่าลึกแถบแอฟริกา และผจญภัยไปกับโลกของโจรสลัด


Pirates of the Caribbean นั่งเรือออกไปผจญภัยในโลกของโจรสลัดกันครับ โดยมีกัปตันแจ็ค สแปโร่ เป็นกัปตันเรือของเรา ผ่านท่าเรือหลากหลาย และเจอการสู้รบ (ยิงปืนใหญ่) ระหว่างเรือกันด้วยให้ตื่นเต้นครับ เครื่องเล่นนี้อยู่ชิ้นแรกทางซ้ายมือของ World Bazaar เลย





Theatre Orleans จะเป็นโรงละครกลางแจ้ง ที่มีโชว์เป็นรอบๆไปครับ ช่วงที่ไปเป็นโชว์ของกูฟฟี่พอดีครับ


Jungle Cruise นั่งเรือล่องไปตามแม่น้ำ เพื่อพบกับสัตว์ป่า คนป่า และเข้าไปยังอารายธรรมเก่าๆ ที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าด้วย เป็นการล่องเรือที่ยาวนานพอสมควรเลยล่ะครับ เสียดายที่ผุ้โดยสารส่วนใหญ่เป็นคนญี่ปุ่น คนขับเรือก็จะเล่น และคุยเป็นภาษาญี่ปุ่นทั้งหมด





ทางด้านเหนือของ Jungle Cruise ก็จะเป็นสถานีรถไฟ Western River Railroad ที่จะพาเราไปชมทิวทัศน์รอบๆ Adventureland และ Westernland ครับ (แปลกดีที่ไม่มีสถานีที่ Westernland เหมือนอย่างดีสนีย์แลนด์ที่อื่น)


ฝั่งตรงข้ามก็จะเป็น Swiss Family Treehouse ที่จำลองบ้านต้นไม้ของครอบครัวโรบินสัน ที่เผอิญเรือแตกแล้วมาสร้างบ้านไว้ในป่า จะมีทั้งห้องนอน ห้องอาหาร ระบบประปา เครื่องเล่นนี้ให้เราเดินขึ้นมาสำรวจด้วยตัวเองครับ ก็จะเป้นการเดินขึ้นบ้านต้นไม้ที่มีความสูงนิดนึง




แต่ด้วยความสูงนี่เองครับ ที่ทำให้เราได้มีโอกาสเห็นปราสาทซินเดอเรลล่าในมุมสูงอย่างนี้



บรรยากาศโดยรอบของ Adventureland ครับ



ไอติมนี่ 300 เยนครับ อร่อยมาก


สุดท้ายจะเป็น The Enchanted Tiki Room: Stitch Presents "Aloha E Komo Mai!" เป็นโชว์ของเจ้าสตริชที่เล่นกับคนดู (เหมือนในฮ่องกงน่ะครับ) แต่ที่นี่จะมีรอบภาษาญี่ปุ่น จีน และอังกฤษ ครับ



Westernland ดินแดนคาวบอยตะวันตก และชนเผ่าพื้นเมืองของอเมริกัน โซนนี้มีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่างนะครับ แต่เป็นเครื่องเล่นหวาดเสียวจริงๆก็อย่างเดียงเอง


Westernland Shootin' Gallery เกมส์ยิงปืนนั่นเองครับ สำหรับส่วนนี้เราต้องเสียตังค์เพิ่มถ้าเข้ามายิงปืนนะครับ




Tom Sawyer Island Rafts ให้เราล่องแพไปยังเกาะของทอม ซอเยอร์ ตัวเองจากนวนิยายดังครับ เพื่อเดินเล่นและผจญภัยบนเกาะด้วยตัวเอง



เมื่อขึ้นมาถึงบนเกาะแล้ว ก็จะมีแผนที่ให้หยิบเพื่อเดินสำรวจบริเวณต่างๆครับ ไม่ว่าจะเป็นบ้านต้นไม้ของทอม ซอเยอร์



หรือจะข้ามไป Castle Rock Ridge ก็ได้ครับ



ในบริเวณเดียวกันก็ยังมี Mark Twain Riverboat เป็นเรือล่องลำน้ำของอเมริกาสมัยก่อนครับ ก็จะวนรอบเกาะของทอมซอเยอร์ และรอบๆบริเวณ Westernland



เครื่องเล่นสุดเสียวหนึ่งเดียวของโซนนี้ก็คือ Big Thunder Mountain ครับ จะเป็นรถไฟเหาะในรูปแบบผจญภัยไปในเหมืองแร่ในยุคคาวบอยครับ (คิวยาวมาก) ถ้ามีโอกาสก็อย่าลืมกด Fastpass กันก่อนก็แล้วกันครับ ผมมารอบค่ำนี่ ก็รอประมาณ 45 นาทีครับ




Critter Country ส่วนเล็กตรงมุมพอดีของ Tokyo Disneyland ที่จำลองบรรยากาศของริมฝั่งแม่น้ำอเมริกาเอาไว้ มีสิ่งน่าสนใจสองอย่างครับ แบบเสียเหงื่อกับแบบเปียกชุ่มฉ่ำ นั่นคือ




Splash Mountain ล่องแก่งแบบเพลินๆไปตามริมฝั่งแม่น้ำ ก่อนที่จะตกลงมาสู่ที่สูงกันครับ




จะบอกว่า ตอนที่ตกลงมานี่แทบจะไม่ได้เปียกจากน้ำที่กระแทกตัวแพนี่หรอกครับ แต่เปียกแบบนิดหน่อย เพราะมีตัวยิงน้ำใส่คนนั่งน่ะแหละครับ 55



อีกเครื่องเล่นหนึ่ง ก็คือ Beaver Brothers Explorer Canoes ก็จะเป็นเรือแคนู ที่ให้เราได้ลองพายและล่องไปในแม่น้ำ (แม่น้ำเดียวกับที่ Mark Twain Riverboat แล่นไปด้วยน่ะแหละครับ) จัดเป็นเครื่องเล่นที่ เหนื่อยและเสียเหงื่อมาก ใครกำลังแขนไม่ดีไม่แนะนำเลยครับ ผมล่ะสงสารพนักงานมาก เพราะต้องพายเรือตั้งกี่รอบแน่ะ แถมเหงื่อนี่เต็มหลังตลอดเลย




Fantasyland ดินแดนแห่งจินตนาการและเทพนิยาย ที่รวมตัวการ์ตูนคลาสสิคของดีสนีย์เอาไว้มากมายครับ ทั้งสโนไวท์ พีน็อคคีโอ ปีเตอร์แพน รวมไปถึงเจ้าหมีพูร์


Peter Pan's Flight นั่งไปในเรือโจรสลัดของกัปตันฮุคจากเรื่องปิเตอร์แพน เพื่อผจญภัยไปเนเวอร์แลนด์กัน



Snow White's Adventure นั่งรถเข้าไปผจญภัยในนิทานของสโนไวท์กันบ้างครับ ตั้งแต่เธอโดนแม่มดใจร้าย จนไปเจอกัยคนแคระทั้ง 7





Cinderella's Fairy Tale Hall บริเวณใต้ของปราสาทซินเดลเรลล่า ก็ยังมีส่วนห้องโถงที่เล่าเรื่องตำนานของเธออยู่ด้วยครับ (ที่ปารีสก็จะเป็น hall เล่าเรื่องของเจ้าหญิงนิทราเช่นกัน) แนะนำให้มาก่อนที่การแสดงด้านหน้าปราสาทจะแสดงครับ เพราะเขาจะปิดส่วนนี้เพื่อเตรียมการแสดงไปด้วย




Mickey's Phihar Magic เป็นโรงหนังสามมิติครับ โดยมิกกี้เมาส์ให้โดนัลดักส์เฝ้าเครื่องดนตรีและหมวกวิเศษ แต่โดนัลดั๊กกลับขัดคำสั่งลองสวมหมวกวิเศษ ทำให้เกิดความวุ่นวายขึ้น หมวดเจ้ากรรมก็หนีไปตามการ์ตูนเรื่องต่างๆครับ อย่าง Little Mermaid, Beauty and the Beast, Aladin เป็นต้น ก่อนที่มิกกี้เม้าส์จะมาแก้ปัญหานี้ได้ครับ หนังก็เหมือนกันทั้งปารีส ฮ่องกงและโตเกียวครับ เพียงแต่ว่าที่นี่ เสียงพากษ์ญี่ปุ่นล้วนๆครับ ตอนจบก็ได้เห็นบั้นท้ายของโดนัลดั๊กเหมือนกันอีกด้วย






Pinocchio's Daring  Journey นี่ก็คล้ายสองเครื่องเล่นแรกครับ แต่เปลี่ยนเป็นการผจญภัยไปในเรื่องพีน็อคคีโอ้แทน


กับร้านขายขอที่ระลึก



Dumbo The Flying Elephant บินไปกับช้างน้อยดัมโบ้หูโตครับ



Castle Carrousel ม้าหมุนที่มีแต่ม้าสีขาว เหมือนม้าของอัศวินและเจ้าชายในเทพนิยายครับ




Haunted Mansion ปราสาทผีสิงในสไตล์โกธิค ที่ว่ากันว่ามีวิญญาณถึง 999 ตัวอยู่ภายในปราสาทครับ


build อารมณ์กันก่อนด้วยการฟังตำนานของปราสาท


ก่อนที่จะเข้าไปยังห้องที่สอง อันเป้นลิฟท์พาเราลงไปยังชั้นใต้ดินครับ (เหมือนที่ปารีสทุกอย่าง ยกเว้นพวกรายละเอียดเล็กๆน้อย)


แล้วเราก็จะนั่งเหมือนกระเช้านี่ เพื่อสำรวจในส่วนต่างๆของปราสาทกันครับ (นั่งไปให้ผีหลอก) แต่ก็ไม่ได้น่ากลัวหรอกครับ เป็นการเล่นกับพวกภาพต่างๆ ที่สำคัญกระเช้านั่งนี่ จัดชิดกันมากกว่าปารีสมากๆครับ สงสัยเพื่อรองรับคนที่มาเที่ยว เพราะคิวที่นี่ก็เยอะมากเล่นกันครับ (ใช้ Fastpass ได้นะครับ)




It's A Small World ล่องเรือไปในโลกใบเล็กๆของเรากันครับ ด้วยการเล่าเรื่องของตัวการ์ตูนชนชาติต่างๆ






Alice's Tea Party ถ้วยน้ำชาหมุนของอลิซจาเรื่อง อลิซในแดนมหัศจรรย์ครับ




Pooh's Hunny Hunt เข้าไปช่วยหมีพูร์หาน้ำผึ้งกันครับ เครื่องเล่นนี้คิวยาวที่สุดใน Fantasyland เลยล่ะครับ (ใช้ Fastpass ได้ด้วยนะครับ) ใครที่เคยเล่นที่ฮ่องกงมาแล้ว ขอบอกว่าที่นี่ยิ่งใหญ่ๆและสนุกกว่ามากๆครับ ขนาดรถที่นั่ง ก็ใหญ่มากกว่าอยู่แล้ว แถมฉากข้างในก็อลังการกว่ามากๆครับ






นอกจากจะมีเครื่องเล่นมากที่สุดแล้ว (เพื่อเอาใจคุณหนูๆ) ยังมีมุมให้ถ่ายรูปมากมายเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะเป็น Queen Heart ของเรื่องอลิซในแดนมหัศจรรย์ที่เป็นร้านค้า ตัวมุมปราสาทในยามค่ำคืนก็ยังมีเสน่ห์มากๆเลยล่ะครับ






Toontown เมืองหรรษาของบรรดาตัวการ์ตูนดีสนีย์ครับ เรียกว่าเป็นแหล่งรวมบ้านของบรรดาเซเลบตัวการ์ตูนดัง ที่จะแวะเวียนมาโชว์ตัวในบ้านของตัวเองให้เราถ่ายรูปด้วยได้ครับ



ไม่ว่าจะเป็นบ้านของมิกกี้เมาส์




Minnie's House มินนี่แฟนสาวของมิกกี้เมาส์



Chip'n Dale's TreeHouse บ้านต้นไม้ของชิบกะเดล ที่เหมือนสนามเด็กเล่นเล้กๆให้เด็กๆปีนขึ้นไปเล่นได้



Gadget's Go Coaster รถไฟเหาะในขนาด Toon-size ครับ เห็นเล็กๆอย่างนี้ ก็สนุกดีนะครับ




Donald's Boat บ้านของโดนัลดั๊กที่เป็นเรือสนามเด็กเล่นของเด็กๆ



มีทั้งมิกกี้ มินนี่ โดนัลดั๊กก็แล้ว จะขาดกู๊ฟฟี่ไปได้อย่างไรครับ


Goofy's Paint 'n' Play House บ้านเด็กเล่นจำลองมาจากบ้านของกู๊ฟฟี่นั่นเองครับ



Roger Rabbit's Car Spin นั่งรถแท็กซี่การ์ตูนเข้าไปผจญภัยในเมืองการ์ตูนของโรเจอร์แรบบิทกันครับ





Toon Park จำลองเมืองการ์ตูนเอาไว้ในโซนนี้ครับ








Tomorrowland บินสู้โลกจินตนาการแห่งอนาคตด้วยการเดินทางในอวกาศกันครับ โซนนี้ถือว่าเป็นโซนที่คนคับคั่งที่สุดเลยล่ะครับ เพราะมีทั้งเครื่องเล่นหวาดเสียว และเครื่องเล่นจากคาแรคเตอร์ที่เด็กๆชื่นชอบ การรอคิวในโซนนี้จึงนานเป็นพิเศษเลยล่ะครับ เรียกว่าอะไรที่รอน้อยกว่า 1 ชม.นึ่งถือว่าน้อยแล้วนะครับ


Monster, Inc. Ride & Go Seek เข้าไปคนหาเหล่าสัตว์ประหลาดที่หลบซ่อนอยู่ ด้วยการใช้ไฟฉายส่อง เมื่อเราส่องโดนสัญลักษณ์ของบริษัท สัตว์ประหลาดก็จะปรากฏตัวออกมาครับ (คิวยาวพอๆกับ Space mountain เลยล่ะครับที่หนึ่งชั่วโมงกว่าๆ)






Star Tours: The Adventures Continue สำหรับแฟนๆของ Star wars ครับ โดยจะเป็นการจำลองการโดยสารยานอวกาศ โดยในยานจะมีนักโทษหลบหนีการจับกุมขึ้นมากับเราด้วย ดังนั้นยานของเราต้องขับเพื่อหนีการจับกุมไปด้วยครับ สนุกเร้าใจ และไม่ควรพลาดครับ



เจ้าหุ่น R2 และ D2 เข้ามาคอยต้อนรับเราครับ


ข้อสังเกตุของยาน (ห้องที่เราเข้าชม) ของ Star Tours ก็คือ ที่ญี่ปุ่นมียานถึง 6 ลำในขณะที่ปารีสมีแค่ 4 ลำเองนะครับ แสดงว่า รองรับคนเยอะกว่ามากๆ




Space Mountain ผจญภัยไปในอวกาศกับรถไฟเหาะความเร็วสูงกันครับ





Buzz Lightyear's Astro Blasters มาช่วยกัปตันบัซไลเยียร์ ต่อสู้กับหุ่นยนต์ของนายพลเชิร์ก



Captain EO ภาพยนตร์เพลงสามมิติที่นำแสดงโดย ไมเคิล แจ็คสัน เล่าเรื่องการผจญภัยในอวกาศครับ นอกจากนี้ยังได้ จอร์จ ลูคัส มาเป็น Producer และกำกับโดย ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า สำหรับคราวนี้ไม่ได้ชมครับ เพราะว่าปิดปรับปรุงอยุ่ (แต่ผมเคยชมที่ปารีสมาแล้ว)



StarJets ขับยานบินด้วยตัวเอง กับยานหมุน ที่เพิ่มลูกเล่นด้วยการ่อคิวก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปเล่นด้านบนอีกที



เครื่องเล่นสุดท้ายจะเอาใจเด้กๆหน่อยครับ กับ Grand Circuit Raceway เป็นสนามแข่งรถในอนาคตที่จำลองขึ้นมา




ในโซนนี้ยังมีการแสดงอีกหนึ่งชุดคือ One Man Dream II (เล่าถึงความฝันของวอล์ท ดีสนีย์ ในการสรรสร้างตัวการ์ตูนต่างๆ) ที่โรงละคร Showbase ด้วยนะครับ แต่ผู้ที่จะเข้าชมจะต้องไปกดล็อตเตอรรี่เสี่ยงดวงที่จะเข้าดูก่อนด้วยครับ



สำหรับโซนนี้สามารถกด Fastpass ได้หลายอย่างครับ ไม่ว่าจะเป็น Monster, Inc. , Star Tours, Space Moutain, Buzz Lightyear และ Captain EO สำหรับคนที่มาเที่ยวแต่เช้า พยายามมากด FastPass ฝั่งนี้ก่อนก็แล้วกันครับ เพราะมาเย็นๆอย่างผม จะเจอยังงี้ครับ นั่นคือเครื่องงดให้กดไปซะแล้ว



สิ่งที่น่าตื่นตาต่อไปก็คือ Tokyo Disneyland Electric Parade Dreamlights ในช่วงสองทุ่มครับ




ส่งท้ายในช่วงสามทุ่ม ก็จะเป็นการแสดง Soryo Kobu บริเวณด้านหน้าของปราสาทครับ พร้อมกับการแสดงแสงสี แและมีพ่นน้ำด้วย ใครที่นั่งด้านหน้านี่มีเปียกด้วยนะครับ



หลังการแสดงนี่ น้ำแฉะด้านหน้ากันไปเลย




พอใกล้สี่ทุ่มคนก็เริ่มกลับกันแล้วล่ะครับ




ผมก็เที่ยวเล่นแบบจัดหนักเรียกว่า ไม่มีเวลาหาอะไรทานเลยล่ะครับ (มื้อสุดท้ายก็บนรถไฟไง) สี่ทุ่มแล้วยังพอมีร้านอาหารที่ยังขายของอยู่นะครับ สุดท้ายก็ได้เป็น Hotdog พร้อมสลัดมารองท้อง สำหรับมื้อเย็นวันนี้



บ๊าย..บาย Disneyland เดี๋ยวพรุ่งนี้มาใหม่นะครับ




ขอแถมรีวิว Khaosan Tokyo Original เล็กน้อยก็แล้วกันครับ เนื่องจากผมนอนเพียงแค่ 2 คืน แถมกว่าจะกลับไปนอนก็เกือบเที่ยงคืน พอหกโมงเช้า ผมก็ออกมาข้างนอกแล้ว


สำหรับขากลับ จากสถานี Maihama ผมไปลงที่สถานีโตเกียวครับ (210 เยน)

แล้วมองหารถไฟสาย JR Yamanote Line เพื่อที่จะไปยัง Ueno (160 เยน) โดยใช้ชานชาลาที่ 4 ครับ


พอถึงสถานี Ueno ก็ลงไปที่รถไฟสาย Ginza Line ครับ เพื่อที่จะไปลงสถานี Asakusa (160 เยน)




เลือกทางออกที่ประตูที่ 4 แล้วเลี้ยวขวาก็จะเจอถนน ให้เราเดินเข้าไปได้เลยครับ



เดินเข้าไปประมาณ 200-300 เมตรได้ครับ ก็จะเจอกับ Khaosan Tokyo Original


อันนี้รูปตอนเช้าครับ






เปิดเข้ามาก็จะเจอห้องรับรอง พร้อมกับเช็คอินที่ตรงนี้เลย ปกติจะมีพนักงานอยู่ถึงแค่สามทุ่มนะครับ ถ้าใครจะเช็คอินหลังสามทุ่มอย่างผม ให้อีเมล์ไปบอกเขาก่อนได้ครับ พนักงานกะดึกจะรับเรื่องและเตรียมกุญแจเอาไว้ให้เรา สำหรับค่าห้องผมถือเงินสดมาจ่ายด้วยที่นี่เองอีก 3960 เยนครับ


ผมขอผ้าเช็ดตัวด้วย ก็เสียตังค์เพิ่มแค่ 50 เยนครับ


เสียดายที่ผมไม่สามารถถ่ายรูปห้องพักมาด้วยได้นะครับ เพราะผมเข้าห้องมาเป็นคนสุดท้ายแล้ว (จองเป็นห้อง 4 คนไว้) คนอื่นๆก็หลับกันไปหมดแล้ว ข้อเสียที่ผมเจอก็คือ แต่ละเตียงจะไม่มีปลั๊กไฟส่วนตัวครับ ปลั๊กไฟจะอยู่ในห้องนั่นเองซึ่ง ผมว่าไม่พอเสียบนะ เพราะผมเข้ามาทีหลังด้วยละมั้ง ทำให้คนอื่นๆเสียบชาร์จ (ทั้งโทรศัพท์ แบตสำรอง และกล้องถ่ายรูป) ไปกันหมดแล้ว


สำหรับห้องน้ำ มีแชมพู และสบู่เหลวให้บริการอยู่นะครับ พร้อมน้ำอุ่น แต่มีห้องน้ำห้องนึงที่ชั้นสอง ออกจะมีกลิ่นเหมือนชักโครก (คาดว่าน่าจะเป็นการเอาปูนโบกทับชักโครกไปเลยเพื่อต่อเติมห้องอาบน้ำ อย่างห้องที่เห็น) แต่ก็สามารถหลบเลี่ยงไปใช้ห้องื่นได้ครับ



เหตุผลเดียวที่ผมเลือก Khaosan Tokyo Original นี่ก็เพราะว่าเขามีวิวแบบนี้ล่ะครับ เมื่อมองออกไปด้านนอกจะเห็น Tokyo Skytree และตึกเบียร์อาซาฮี เลย และชั้นบนสุดของตึก ตั้งแต่ 8.30 ยังสามารถขึ้นไปชมวิวได้ด้วยล่ะครับ (แต่พอดผมออกตั้งแต่หกโมงเช้าทุกวันเลยไม่ได้ขึ้นไปดูเลย)





 

Create Date : 13 สิงหาคม 2556    
Last Update : 13 สิงหาคม 2556 6:45:50 น.
Counter : 9641 Pageviews.  

ทริปแก้คัน 3 วันไปญี่ปุ่น #1 บินไปกับ Air Macau

ถือว่าเป็นทริปแก้คันความอยากไปญี่ปุ่นโดยแท้เลยล่ะครับ สำหรับทริปนี้ เพระมีแผนอยู่แล้วที่จะไปญี่ปุ่นช่วงปลายๆปี (ที่จริงก็มีแผนอย่างนี้มาสองสามปีแล้วนะครับ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้ไป) แต่ปีนี้คิดว่าจะไปแน่ๆ เลยลองพยายามขอ Visa ไปตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม โดยลองขอ visa ประเภท multiple ไปซะด้วยซ้ำครับ ทั้งๆที่ก็ไม่เคยไปญี่ปุ่นสักครั้ง (ก็กะว่าจะไปตุลา) เอกสารก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร จะลำบากก็แค่ใบรับรองจากที่ทำงานเท่านั้น (ซึ่งเป็นราชการ ขอไปทีรู้หมดเลยว่าจะไปเที่ยวไหน) 


ไปยื่นเอกสารที่ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 15 พร้อมกับเงิน 2,795 บาท (ค่าธรรมเนียม multiple visa 2,260 + ค่าบริการ 535 บาท) ยื่นไปตอน 9 โมงเช้า เที่ยงสถานทูตโทรมาถามผมแล้วครับว่า จะขอให้เป็นแบบ single visa ก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวจะดำเนินการคืนเงินส่วนเกินให้ด้วย แค่ได้ยินว่า visa ผ่านผมก็ดีใจ ยอมไปหมดซะทุกอย่างอยู่แล้วล่ะครับ (หารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่เดือน ก็ไม่ต้องขอ visa ไปซะแล้ว) สรุปแล้วอีก 5 วันไปรับพาสปอร์ตคืน ก็ได้รับเงินคืนอีก 1,140 บาท (ปกติ single visa ค่าธรรมเนียม 1,120+ค่าบริการ 535 = 1,655 บาท) คราวมายื่นจ่ายเป็นราคา multiple ไป 2,795 ได้แค่ single visa 1,655 เหลือทอน 1,140 บาท ณ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวครับว่า ก็ดีประหยัดไปตั้งพันกว่า แต่หลังจาก 1 ก.ค. ที่ญี่ปุ่นล้อฟรีปล่อยให้คนไทยไม่ต้องขอ visa เข้าประเทศได้นี่ ชักเสียดายเงิน 1,655 บาทแล้วแฮะ.. เอ๊ะยังไง


ได้ visa แล้ว ต่อไปก็คงเป็นเรื่องตั๋วเครื่องบิน ซึ่งคงเน้นถูกๆหน่อย เพราะกะไปไม่กี่วันช่วงหยุดยาวเข้าพรรษา ช่วงนั้น (พ.ค.) มีทั้งโปรการบินไทยไปญี่ปุ่น เกือบสองหมื่น โปรสายการบินใหม่ของบริษัททัวร์ยักใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง H.I.S. ที่เปิดมาที่ 3,990 บาท (แต่ต้องไปรอคิวข้ามวันเพื่อซื้อตั๋ว) กับโปร 9,990 บาท สำหรับคนขี้เกียจรอ ที่ทั้งสองแบบยังไม่รวมภาษีสนามบินอีกประมาณ 1,700 บาท ที่ถูกอีกตัวเลือกหนึ่ง ก็คือ Air Asia X แต่ว่าเราต้องบินลงไปกัวลาลัมเปอร์ก่อน เพื่อต่อเครื่องไปญี่ปุ่น แถมเวลาที่ถึงญี่ปุ่น (ฮาเนดะ) ก็ห้าทุ่มไปเลย ราคาตอนนั้นที่หาได้ก็ประมาณหมื่นสองนิดหน่อย


ไปๆมาๆ กลับไปเจอตั๋วของ Air Macau ครับ ไป-กลับกรุงเทพ-มาเก๊า-นาริตะ โตเกียว อยู่ที่ 10,850 บาท (เป็นโปรโมชั่นซื้อตั๋วล่วงหน้าก่อนสามสิบวันของไฟลท์จากกรุงเทพน่ะครับ) ขาไปนี่ต้องรอต่อเครื่องที่มาเก๊า 8 ชม. (ตอนแรกกะจะไปย่ำราตรีตะลุยคาสิโนมาเก๊าไปซะด้วยซ้ำ) แต่ขากลับนี่เวลาสวยเลย แถมยังเป็นสายการบินแบบเต็มรูปแบบ เลยตัดสินใจลองของดีราคาถูกซะหน่อยครับ แต่ด้วยความมึน จองไปจองมา กลายเป็นว่ามีเวลาเที่ยวไม่ถึง 48 ชม.ไปซะอย่างนั้น (นอนโตเกียว 2 คืนเอง)


ตกใจเรื่องตั๋วเครื่องบินไปไม่นาน ก็ต้องหาที่พักครับ เวลาในโตเกียวน้อยมาก เลยคิดพึ่งโฮลเทลเอาครับ เพราะกะเอาไว้ซุกหัวนอนเท่านั้น ที่เหลือจะได้ใช้เวลาเที่ยวข้างนอกแทน สุดท้ายเลือกเป็น Khaosan Tokyo Original เพราะเห็นว่าวิวด้านนอกสามารถมองเห็น Tokyo Skytree ได้กับทำเลใกล้ทางรถไฟแค่นั้นเองครับ จองผ่าน hostelworld มีค่าธรรมเนียมจอง 6.56$ (ประมาณ 210 บาท) กับต้องถือเงินสดไปจ่ายที่โฮลเทลเองอีก 3,960 เยน (ประมาณ 1,267 บาท) รวมแล้วก็ 1,477 บาทสำหรับสองคืน


สำหรับแผนการเที่ยว ครั้งนี้จะเป็นการเที่ยว Tokyo Disneyland และ DisneySea เป็นหลักเลยล่ะครับ ที่เหลือจะเป็นการเที่ยวสถานที่ใกล้กับที่พักและสถานีรถไฟที่แวะ คร่าวๆก็จะเป็น


20 ก.ค. BKK-MFM 21.50-01.15 เดินทางจากสุวรรณภูมิ

21 ก.ค. MFM-NRT 09.30-15.00 ถึงนาริตะ แล้วไป Tokyo Disneyland

22 ก.ค. เช้าเที่ยวระแวกอาซากุสะ แล้วไป DisneySea เต็มวัน

23 ก.ค. มีเวลาครึ่งวันเช้าไปชิูบูย่า แวะพระราชวังอิมพิเรียล ก่อนไปขึ้นเครื่องช่วงบ่าย NRT-MFM 16.00-19.50 ก่อนเปลี่ยนเครื่องกลับ MFM-BKK 22.30-00.30




สายการบิน Air Macau จะให้บริการอยู่ที่แถว N บริเวณประตู 7 ตั้งแต่เคาเตอร์ 1-4 เลยครับ ผมมาถึงสนามบินไวไปนะเนี่ย เพราะ Air Macau เปิดให้ Check in ก่อน เครื่องออก 2 ชม.ตรงเลยล่ะครับ ทั้งจากสุวรรณภูมิ และที่นาริตะ





เลยแวะลงไปหาอะไรรองท้องที่ Magic Food Point  บริเวณชั้น 1 ของสนามบินกันก่อนครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นห้องอาหารราคายุติธรรมมากที่สุดในสุวรรณภูมิแล้ว ปกติผมชอบสลัดแขกของร้านซารีฟะห์ (ตรงหลังเคาเตอร์แลกคูปอง) เพราะหาสลัดแขกทานยากอยู่น่ะครับ มื้อนี้ แลกไป ร้อยนึง มีทอน 5 บาท (สลัดแขก 35 ข้าวหมกไก่ 50 น้ำเปล่า 10 บาท)





แหล่งพักใจถัดหลังจากผ่าน ตม.มาเรียบร้อยก็จะเป็น King Power Lounge ครับ สิทธิใช้ห้องรับรองภายในสนามบินสุวรรณภูมิของสมาชิกบัตร King Power Dutyfree ที่สมัครบัตรเพียง 500 บาท ก็ใช้สิทธิเข้าห้องรับรองได้เลย (แถมค่าสมัคร 500 บาทนั้นก็นำไปใช้ซื้อของได้ด้วยครับ เรียกว่าไม่เสียอะไรเลย มีแต่ได้)


เดินหาศาลาไทยทางด้านซ้ามือครับ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ก็จะเจอเลาจน์ ซึ่งอาจจะมีอาหาร ขนมรับรองน้อยกว่าเลาจน์การบินไทย แต่ความสงบและปริมาณคนก็ไม่เยอะจนล้นเท่าของการบินไทยครับ แถมหาที่เสีบยชาร์จแบตโทรศัพท์ง่ายกว่าด้วย




ขนมวันนี้มีไม่ค่อยเยอะ แต่ว่ามีข้าวต้มไก่ให้ทานด้วย แต่ผมแทบไม่ได้แตะเลยครับ ยังอิ่มกับมื้อเย็นเมื่อครู่อยู่มาก ได้เข้ามาจิบน้ำพร้อมกับทานยาแก้ปวดหัว/ลดน้ำมูก/แก้เจ็บคอ กับชาร์จแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ก็เท่านั้นเอง





ใกล้ถึงเวลา broading แล้วครับ เตรียมไปที่เกทกัน


เครื่อง boarding ตอนสามทุ่มพอดีครับ


เครื่องที่ใช้ไปมาเก๊าเป็นเครื่อง Airbus A321 (ลำสีส้ม) มีที่นั่ง Business class 8 ที่นั่ง ที่นั่งปกติ ลืมนับ 555 ส่วนของผมนั่งหลังประตูฉุกเฉินหนึ่งแถวครับ



ที่นั่งก็กว้างใช้ได้นะครับ สำหรับคนสูง 173 ซม.อย่างผม ขยับแข้งขาได้ นั่งไขว้ห้างก็ยังสบายๆ มีจอทีวีรวมด้วย




เริ่มเสิร์ฟอาหารประมาณสี่ทุ่มครึ่งได้ครับ มีแซลมอน (ที่ผมไม่ได้เลือก) กับเจ้านี่ (นี่มันผัดไทกุ้งชัดๆ 555)



ได้ถ่ายคุณเครื่องบินเมื่อตอนถึงมาเก๊าเอง ที่คิดว่าตลกอีกอย่างก็คือ หนังที่ฉายบนเครื่องน่ะครับ ทั้งๆที่เครื่องบินออกจากสุวรรณภูมิแท้ๆ ดันฉายหนังจีนเรื่อง Lost in Thailand เนี่ยนะ แทนที่จะฉาย build อารมณ์ผู้โดยสารขามาแทน


มาถึงสนามบินมาเก๊าตอนตีหนึ่งกว่าๆ สนามบินเงียบมาก ผมรู้สึกเจ็บคอ เริ่มมีน้ำมูก แผนที่กะจะไปตะลุยคาสิโนมาเก๊าเลยล้มเลิกไปครับ เพราะลองมองดูด้านนอกตรงที่จอดรถ ซึ่งจะมีรถของแต่ละคาสิโนที่คอยจอดให้บริการรับ-ส่ง อยู่ก็ไม่มี เลยตัดสินใจขึ้นบันไดเลื่อ Transit มารอบนสนามบินเลย (หารู้ไม่ว่า ย้อนกลับไป ตม.ไม่ได้แล้ว เพราะเป็นบันไดเลื่อนขาเดียว)



ขึ้นมาหน้าเกทก็หาที่นอนได้ไม่ยากครับ เยอะแยะไปหมด ที่สำคัญค่อนข้างสงบ แต่แอร์ช่วงกลางคืนอาจจะหนาวไปซักนิดอย่าลืมเตรียมเครื่องกันหนาวมาด้วยครับ อย่างผมก็หยิบยืมผ้าห่มจากเครื่องเมื่อตะกี้มาใช้ซะหน่อย ได้นอนยาวไปจนถึงเช้าเลยล่ะครับ




สำหรับจุดชาร์จแบตเตอร์รี่อุปกรณ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แบตสำรอง กล้องถ่ายรูป สนามบินมาเก๊ามีให้ครบครันครับ แถมด้วย Free Wifi แบบไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ครั้งละ 1 ชม. พอครบก็สามารถต่อใช้ได้ไปเรื่อยๆครับ ถือเป็นความสะดวกสบายและทำให้การรอต่อเครื่องถึงร่วม 8 ชม. ไม่น่าเบื่อเท่าไหร่




เสียแต่เรื่องห้องอาหาร (ที่อยู่ชั้นบน) เท่านั้นครับที่เปิดสายพอสมควร 8 โมงกว่าถึงจะเปิดแน่ะ ผมเลยตัดสินใจแบกท้องขึ้นไปทาน brunch บนเครื่องแทน แต่ที่จริงถ้าจะผ่าน ตม.ออกไปก่อน แล้วหามุมนอนในสนามบิน (ก่อนจะผ่าน ตม.เข้ามาอีกที) ในสนามบินมาเก๊ายังพอมีร้านสะดวกซื้อ และ Mc Donald ที่ให้บริการ 24 ชม.อยู่นะครับ (ผมก็แลกเงินฮ่องกงมาเผื่อเอาไว้ใช้แล้วด้วยซ้ำ) แต่ด้วยสภาพร่างกาย ณ ขณะนั้น ผมเลยเลือกที่จะไม่ออกมาด้านนอก เพราะอยากจะนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่แทน


ประมาณ 9.00 ก็เริ่ม broading ไฟลท์ที่จะไปนาริตะครับ สังเกตุได้ว่าใช้ code share กับ ANA



คราวนี้นั่ง Airbus A319 ไปโตเกียวกันครับ ตลอดทริปนี้ ได้นั่งทั้ง A319 A320 และ A321 ผมว่าที่แตกต่างกันจะเป็นแค่จัดที่นั่ง Business class ที่มี 4,6,8 ที่นั่งที่ต่างกันเท่านั้นเอง ส่วนที่นั่ง economy อย่างผมก็ไม่มีอะไรแตกต่างเท่าไหร่นะครับ แต่ประทับใจขาไปญี่ปุ่นนี่ก็เพราะ ขนาดนั่งที่นั่ง 7A ก็ยังได้นั่งคนเดียวทั้งแถว เลยนอนยาวสบายไปเลยน่ะครับ ขาไปญี่ปุ่นนี่ คนน้อยพอสมควรครับ (ต่างกับขากลับที่คนจะแน่นมาก)


อาหาร Brunch ของผมกว่าจะเสริฟก็ร่วม 11.00 เกือบหน้ามืด แล้วเจ้าหมี่เย็นที่อยู่ในกล่องเล็กด้านบน จะเจอกับเธอไปอีก 3 มื้อบนเครื่องบินเลยล่ะครับ


ได้นอนบนเครื่องอีกหนึ่งอิ่มครับ เพราะมีเวลาบินตั้ง 5 ชั่วโมง ก่อนที่จะเตรียมตัวร่อนลงที่สนามบินนาริตะ สำหรับ Air Macau จะลงที่ Terminal 2 นะครับ


เทียบงวงถึงหน้าเกทแล้ว เกทไกลมากกกก ต้องนั่งรถโมโนเรลของสนามบินเข้ามาตัวอาคารหลังอีกครับ


เมื่อมาถึง ตม. ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างจะจัดระเบียบดีมากๆนะครับ คือ มีตั้งแต่พนักงานช่วยตรวจเอกสาร ว่าเรากรอกใบ ตม. มาเรียบร้อยแล้วหรือยัง และใบศุลกากร(สีเหลือง) พอจะถึงหน้าเคาเตอร์ ตม. ก็จะมีพนักงานช่วยชี้ทางให้ไปช่องที่มีคิวสั้น คอยจัดระเบียบให้ พอมาถึงหน้าเคาเตอร์ ตม.แล้ว พอสแกน passport เราไปแล้ว หน้าจอมอนิเตอร์ ที่จะสื่อสารกับเรา ให้เราคอยมองกล้องเพื่อถ่ายรูป และเตรียมนิ้วมือเพื่อปั๊มลายนิ้วมือไว้ ทั้งหมดนี้ เป็นภาษาไทยหมดครับ เจ๋ง ดีจริงๆ แถมพอเสร็จสิ้นกระบวนการ ตม.ยังทักทาย ขอบคุณ เป็นภาษาไทยซะด้วยครับ เรียกว่าได้ใจนักท่องเที่ยวไปเลย


ตอนผ่าน ตม.น่ะ ไม่เสียเวลาเท่าไหร่ (สำหรับผม) แต่ดันมาเสียเวลาก็ที่ ศุลกากรเนี่ยแหละครับ คือผมแบกเป้มาใบเดียว ก็ไม่มีอะไรต้องแสดงอยู่แล้ว พอยื่นเอกสารพร้อมใบศุลกากร ลุงศุลกากรดันชวนคุยแฮะ ไหงยูมาญี่ปุ่นน้อยจัง 3 วันเอง (ตรูพลาดจองตั๋วผิดวันไปนิดหน่อย) ประเทศไอมีที่เที่ยวเยอะนะ (รู้..รู้ลุง เอาไว้มาเก็บคราวหน้าน่ะ) ฯลฯ ลุงอย่าชวนคุย เวลาเที่ยวมีน้อย เดี๋ยวพลาดรถไฟ


หนีลุงศุลกากรมาได้ ก็หาป้ายบอกทางไปรถไฟเลยครับ


แผนแรกที่จะไป Tokyo Disneyland ด้วยรถบัสตรงไปจากสนามบินเลย ก็มาเปลี่ยนกระทันหันเลยล่ะครับ เพราะไปเห็นโปรโมชั่น บัตร Suica + NEX (Narita Express) ราคาคุ้มค่าอยู่ครับ เพราะถ้านั่งรถบัสไปก็ราคา 2400 เยนเข้าไปแล้ว



แต่ถ้าซื้อบัตร Suica + NEX ก็ราคา 5500 เยน โดยจะได้บัตร Suica มูลค่า 2000 เยน (มัดจำในบัตร 500 เยน ใช้งานได้จริงๆ 1500 เยน) กับสามารถขึ้นตั็วรถไฟ Narita Express เที่ยวไป-กลับ เฉลี่ยแล้วเที่ยวละ 1750 เยนเองครับ ถูกกว่ารถบัสก็เลยเปลี่ยนแผนไปทางรถไฟ



เมื่อลงมาถึงชั้นใต้ดิน เราจะพบสำนักงานบริการของ JR ทั้งซ้ายและขวามือเลย โดยถ้าใครจะหาซื้อบัตร Suica + NEX ให้มองทางซ้ายมือเลยครับ



เมื่อเข้ามารอคิว จะมีพนักงานมาคอยเตรียมและให้เราเลือกว่าจะซื้อตั๋วแบบใด และตรวจพาสปอร์ตเล้กน้อยครับ (เพราะตั๋วพวกนี้เป้นตั๋วพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว) แล้วก็จะกรอกใบเล็กๆเอาไว้ให้เราถือ เพื่อความรวดเร็วเมื่อเราถึงหน้าเคาเตอร์ครับ



จะบอกว่า รอคิวซื้อตั๋วนี่ นานมากกว่ารอคิวที่ ตม.ซะอีกนะครับ



เมื่อได้ตั๋วมาแล้ว สามารถให้พนักงานช่วยจองตั๋วรถไฟสำหรับเข้าเมืองไปได้เลยทันทีครับ สำหรับตั๋วขากลับพนักงานจะออกตั๋วให้หนึ่งใบก่อน และเราต้องไปสำรองที่นั่งล่วงหน้า ในสถานีที่เราจะกลับอีกทีครับ ซึ่งสามารถจองผ่านเครื่องอัตโนมัติได้ไม่ยาก หนังสือคู่มือ ที่ได้รับมาพร้อมกับบัตรจะบอกอย่างละเอียดครับ


แล้วก้ไปรอรถไฟที่ชานชาลากันครับ แนะนำว่าถ้าไม่แน่ใจในสายรถไฟ สามารถสอบถามพนักงานที่ชานชาลาได้ทั้งนั้นนะครับ ถึงภาษาอังกฤษจะเป็นอุปสรรคของคนญี่ปุ่น แต่เขาก็พยายามที่จะช่วยเหลือเต็มที่ครับ อย่างขบวนที่ผมจะใช้ ก็มีคู่สามีภรรยาถามคุณลุงเจ้าหน้าที่รถไฟที่ยืนอยู่ที่สถานี ถึงคุณลุงจะอธิบายไม่ได้ แต่พอรถไฟมาถึง คุณลุงแกก็จะพยายามบอกให้คู่สามีภรรยานี้ขึ้นรถไฟขบวนของเขาน่ะครับ



ใครมีกระเป่าใบใหญ่ ก็มีพื้นที่ให้วางกระเป๋าเดินทางครับ


ที่นั่งก็สบายครับ ปรับเบาะได้อีก ทั้งขบวนก็สะอาดมาก



บนรถไฟยังมีบริการ Wifi ให้ฟรีด้วยนะครับ ลองศึกษาจากเบาะที่นั่งได้เลย


เนื่องจากเวลาที่เดินทาง เริ่มใกล้มื้อเย็นแล้ว เลยได้มีโอกาสทดลองอาหารกล่อง (bento) ของรถไฟครับ เป็นการรวมสุดยอดอาหารของอะไรบ้างก็ไม่แน่ใจ เห็นในป้ายโฆษณาเหมือนจะกล่าวถึง พร้อมกับชาเชียว (ชาจริงๆที่ไม่ไช่กากชาเติมน้ำตาลอย่างบ้านเรา) คู่นี้ 1,100 เยนครับ กินรองท้องก่อนไปสู้ศึกที่ดีสนีย์แลนด์ 555



พอเริ่มเข้าเขตโตเกียว ก็จะเห็น Tokyo Skytree แล้ว


ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจากสนามบินนาริตะ ก็ถึงสถานีโตเกียวครับ จะบอกว่าของฝากขึ้นชื่ออย่าง Tokyo Banana นี่หาได้ง่ายมากๆๆๆที่สถานีนี้ เรียกว่ามีแทบจะทุกร้านเลย





 

Create Date : 12 สิงหาคม 2556    
Last Update : 12 สิงหาคม 2556 17:34:48 น.
Counter : 9327 Pageviews.  


prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.