Group Blog
 
All Blogs
 

brussels day10-11 แวะ Antwerp ก่อนบินกลับบ้าน

ทริปยุโรป Paris-Rome-Brussels ใกล้มาถึงวันกลับแล้วล่ะครับ สำหรับวันที่10 นี้ ออกจะเป็นการเดินทางแบบส่วนตัวเพื่อไปเยื่ยมคนรู้จักที่เปรียบเสมือนญาติที่เมือง Antwerp ครับ

หลังจากทานอาหารเช้า และ Check out ที่โรงแรมแล้ว ผมก็มุ่งหน้ามายังสถานี Gare du Midi เพื่อขึ้นรถไฟไปยัง Antwerp ซึ่งสถานีเป็นสถานีใหญ่ 1 ใน 3 ของบรัสเซลส์ การซื้อตั๋วก็ทำได้สะดวก เพราะนอกจากจะมีเคาเตอร์ขายตั๋ว ยังมีตู้บริการอัตโนมัติให้เลือกใช้ด้วย แต่สำหรับคนที่จะซื้อตั๋วเพื่อเดินทางไปยังประเทศอื่น ควรติดต่อซื้อตั๋วรถไฟที่เคาเตอร์มากกว่านะครับ



ค่ารถไฟจาก Brussels-Antwerp ราคา 6.60 ยูโรครับ ใช้เวลาเดินทางเพียง 40 นาที ที่จริง Antwerp ก็ห่างจากบรัสเซลส์เพียง 29 ไมล์ (ประมาณ 46 กม.) เองนะครับ



มาดูภายในรถไฟของเบลเยี่ยมกันหน่อยครับ ด้านในสะอาด เบาะสีแดงตัดดำ





ระยะระหว่างที่นั่ก็กว้างสบายพอสมควรครับ เพียงแต่ปรับเบาะไม่ได้แค่นั้นเอง



รถไฟเริ่มแล่นออกเดินทางแล้วครับ โดยจะผ่านจอดไปทาง Central Station ก่อน



มาดูห้องน้ำกันบ้างครับ ถ้าไม่บอกว่าเป็นรถไฟ ก็คงคิดว่าเป็นห้องน้ำบนเครื่องบินเลยนะครับเนี่ย



อ่างล้างมือ ที่ดูยังไง ก็เหมือนบนเครื่องบินมากกว่า



เริ่มออกนอกเมืองบรัสเซลส์แล้วครับ บรรยากาศก็จะเป็นชานเมืองยุโรป ที่มีบ้านเมืองรวมตัวเป็นกลุ่มๆ โดยจะมีโบสถ์เป็นศุนย์กลางซะส่วนใหญ่





เตาปฎิกรณ์ปรมนูที่พบเห็นได้เรื่อยๆในเบลเยี่ยมครับจัดว่าเป็นพลังงานสะอาดรูปแบบหนึ่ง ที่หลายประเทศในยุโรปเลือกใช้



นอกจากนี้บนรถไฟยังมีบริการปลั๊กสำหรับชาร์จไฟด้วยนะครับ



เผลอแป๊ปเดียวก็มาถึง สถานี Centraal ของ Antwerp



สถานี Centraal มีหลายชั้นมากครับ เพราะรองรับทั้งรถไฟเชื่อมต่อเมืองต่างๆ และยังเป็นสถานีรถไฟ Thalys ที่เป็นรถไฟความเร็วสูงที่วิ่งผ่านประเทศต่างๆด้วย (เดี๋ยวผมจะนั่งขากลับไปปารีสครับ)



ภายในสนานีรถไฟที่เก่าแก่ และมีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม





ด้านนอกของสถานี ทางด้านขวามือ ก็จะเป็นสวนสัตว์เมือง Antwerp เนื่องจากวันนี้เป็นวันอาทิตย์ จะเห็นพ่อแม่พาลูกๆมาเที่ยวกันไม่น้อยเลย



สำหรับเมือง Antwerp เป็นเมืองใหญ่อันดันสองของเบลเยี่ยม รองจากบรัสเซลส์ครับ ที่นี่เคยเป็นเมืองท่าใหญ่แห่งหนึ่งของยุโรป แต่สิ่งที่ทำให้ Antwerp เป็นที่รู้จัก ก็น่าจะเป็นเรื่องการเจียระนัยเพชร ที่เป็นอันดับหนึ่งของยุโรปครับ

หันกลับมามองสถานี Centraal นิดนึงครับ



ภายในเมือง Antwerp จะมีรถราง และรถเมล์คอยวิ่งให้บริการขนส่งคมนาคมให้คนภายในเมืองครับ



สถานี Centraal จากรถรางที่อยู่ด้านหน้า



สำหรับวันนี้ไม่ได้ไปเที่ยวไหน เพียงแต่มาเยี่ยมและมาทานมื้อกลางวันกับชาวเบลเยี่ยมที่รู้จักและเปรียบเสมือนญาติกันไปแล้ว สุดท้ายก็เป็นการดื่มไวน์และคุยกันไปตลอดบ่าย





บาลูหมาน้อยตัวกลม



บรรยากาศบ้านเมือง Antwerp ที่จะเป็นตึกแถวสูงๆต่ำๆ ทรงเพียว ที่ก็แปลกตาดี





แล้วก็มาถึงสถานี Antwerp Cntraal ผมชอบตรงเสาสี 4 สีที่เขาจะตั้งไว้ในแทบทุกสถานีรถไฟหลักๆของเมืองนี่ล่ะครับ ทำให้ดูโดดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ดี



ค่าตั๋วรถไฟ Thalys จาก Antwerp ไปยัง ปารีส นี่ค่อนข้างแพงครับ ราคาคนละ 95 ยูโรแน่ะ (ตั๋วเครื่องบินมาบรัสเซลส์สองคนแค่ร้อยกว่ายูโรเองนะครับ) ถือว่าเป็นการลองนั่งรถไฟ ความไวกว่า 200 กม/ชม.ครับ เพราะคงหาโอกาสนั่งรถไฟในบ้านเราอย่างนี้ได้ยากซะแล้ว (เพิ่งได้ข่าวลาวจะมีรถไฟความเร็วสูงไปยังจีนแล้วมันจุกๆในท้องยังไงก็ไม่รู้เหมือนกันครับ)



บริเวณชานชาลารอรถไฟครับ สำหรับปลายทางที่ปารีส คือสถานี Paris Nord ครับ



รถไฟเที่ยวไป Amsterdam เพิ่งผ่านไปเลยครับ ความไว 200 กว่ากิโลเมตรต่อชั่วโมงนี้ไวจริงๆครับ





ภายในรถไฟครับ ค่อนข้างสบาย เพราะว่าเป็นรถไฟชั้น 1 ทั้งขบวนครับ แถมคนใช้บริการก็เยอะน่าดู แถมมี wifi ให้ใช้ฟรีซะด้วยครับ

สำหรับ Thalys จะเป็นรถไฟความเร็วสูงที่เชื่อมต่อระหว่าง Paris-Brussels-Amsterdam โดยจะจอดเมืองใหญ่ๆ อย่าง Antwerp และ Rotterdam ด้วยครับ โดย Brussels-Paris จะใช้เวลาเพียง 1 ชม. 22 นาที (ให้บริการถึงวันละ 27 เที่ยวเลยทีเดียว) และสำหรับ Antwerp-Paris จะใช้เวลา 2 ชม. 4 นาทีครับ



บรรยากาศด้านนอก ถึงจะไว 200กม./ชม. แต่ก็แล่นได้นุ่ม สบายมาก จนเผลอหลับไปเลยล่ะครับ (สงสัยจะเพราะฤทธิ์ไวน์ด้วย)



เพียง 2 ชม.กว่า ก็มาถึงปารีส ที่สถานี Gare du Nord ครับ





นั่งรถไฟใต้ดินมายังโรงแรม Ibis Montmare Ornano Nord ครับ เพราะว่าก่อนจะไปโรมผมได้ฝากกระเป๋าใบใหญ่ทิ้งไว้ที่นี่และจองห้องเอาไว้นอนอีกเป็นคืนสุดท้ายก่อนจะนั่งเครื่องกลับเมืองไทยในวันรุ่งขึ้น





รุ่งเช้าเพื่อความสะดวก เลยใช้บริการ taxi ไปยังสนามบินครับ เพราะมีกระเป๋าใบใหญ่ และหนัก จากการซื้อของฝาก

โรงแรมที่พักของผมอยู่ในเขตมงมาร์ต เลยไม่ไกลจากสนามบิน CDG เท่าไหร่ครับ ทางกลับยังผ่านสนามที่ใช้จัดการแข่งขันฟุตบอลโลกด้วยเสียดายที่ควักกล้องออกมาถ่ายภาพไม่ทัน





เข้าเขตสนามบิน CDG



เครื่องบินคองคอร์ดของฝรั่งเศสตั้งเด่นสะดุดตาเลยเชียวครับ ว่าแล้วก็ฝันเล็กๆอยากนั่งเจ้านี่เหมือนกันนะ



หอควบคุมการบิน ที่ยังไงหอที่สุวรรณภูมิก็ดูสูงกว่า สวยกว่าครับ



terminal 1



รถไฟที่วิ่งเชื่อมต่อระหว่าง terminal (ให้บริการฟรีครับ)



สำหรับการบินไทย จะใช้ Terminal 1 และ check in ที่ Hall 3 ครับ





สำรวจราคา iPhone ที่สนามบินปารีสนิดหน่อยครับ ราคาแพงเหลือเกิน



บรรยากาศด้านใน มีของให้เลือกซื้อไม่ค่อยมากนะครับ แต่ก็ยังพอมีร้านขายกระเป๋าพวก Long Champ ให้เลือกหาแต่ไม่มากรุ่นเท่าไหร่ ถือว่าพอกล้อมแกล้มซื้อเก็บตกไปได้ครับ



มีเครื่องเช็ค Gate ที่เครื่องจะออกให้บริการด้วยครับ แต่เอา boarding pass ไป scan มันก็จะบอก gate ให้ครับ



วินาทีสุดท้ายกับของฝากที่ซื้อในสนามบิน



The Last Magahong ที่ผมใช้เหรียญที่เหลือทั้งหมดซื้อทานรอเวลา



ไฟลท์กลับ TG931 CDG-BKK 13.40-5.55 พร้อมแล้วครับ



ลาก่อนปารีส หวังว่าที่ไปยืนอธิฐานตรงสะดือปารีสจะสัมฤทธิ์ผลให้ได้กลับมาอีกนะ



ขณะที่บินอยู่กัปตันประกาศว่าเราบินผ่านเทิอกเขาแอลป์ด้วยนะครับ โชคดีที่ผมนั่งฝั่งซ้ายพอดีเลยนะเนี่ย



เครื่องลงตี 5 กว่าๆ รับกระเป๋า นั่ง taxi ถึงบ้านก่อน 8 โมงเช้าหน่อยๆ หลังจากหาอะไรทานก็สลบเลยครับ ถือเป็น Jet lag ครั้งแรกของผมเลย เพราะครั้งนี้ถือว่าเป็น trip แรกที่เดินทางไปไกลถึงยุโรปที่เวลาต่างจากบ้านเรา 5-6 ชม. (เคยไปไกลสุดก็เกาหลียังไม่กลับมา jet lag ขนาดนี้เลย) ที่สำคัญ biological clock เวลาในร่างกายนี่แปรปรวนไปร่วมอาทิตย์เลยล่ะครับ เวลากินไม่หิว เวลานอนนอนไม่หลับประมาณนั้นน่ะครับ ถือว่าเป็นประสบการณ์ส่งท้ายกลับมาจาก trip อีกอย่างครับ




 

Create Date : 21 ธันวาคม 2553    
Last Update : 21 ธันวาคม 2553 6:33:12 น.
Counter : 5499 Pageviews.  

brussels day 9 หนึ่งวันใน Brussels

ประเทศเบลเยียม มีชื่อเต็มว่าราชอาณาจักรเบลเยียม มีระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภาโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ เป็นประเทศขนาดเล็กในยุโรปตะวันตกเฉียงเหนือ ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าประเทศไทย 17 เท่า (มีพื้นที่ 32,545 ตารางกิโลเมตร) เบลเยียม มีพรมแดนติดต่อกับประเทศเนเธอร์แลนด์ เยอรมนี ลักเซมเบิร์ก ฝรั่งเศส และทะเลเหนือ (รวมเรียกประเทศเบลเยี่ยม เนเธอร์แลนด์และลักเซมเบิร์กว่า Benelux) เมืองหลวงของ เบลเยียม คือ กรุงบรัสเซลส์ (Bussels)

คำว่าเบลเยียม (Belgium ในภาษาอังกฤษ België และ Belgique ในภาษาดัตช์และฝรั่งเศส) มีที่มาจาก Gallia Belgica ซึ่งเป็นจังหวัดในยุคโรมัน ที่มีกลุ่มชาว Belgae อยู่อาศัย

เบลเยียมมีความหลากหลายทางภาษาค่อนข้างสูง ภาษาราชการมีถึง 3 ภาษา คือ ฝรั่งเศส เฟลมมิช(หรือดัตช์) และเยอรมัน ประชาชนจะใช้ภาษาแตกต่างกัน ทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับแต่ละชุมชน เช่น ชาวเฟลมมิช (Flemish) คือชนที่มีถิ่นอาศัยในแถบทะเลเหนือหรือฟลันเดอร์ (Flanders) จะใช้ภาษาดัตช์หรือเฟลมมิชเป็นหลัก ส่วนชาววัลลูน (Wallons หรือWallonia) จะใช้ภาษาฝรั่งเศส สำหรับบรัสเซล เมืองหลวงของเบลเยียม ถึงแม้ตั้งอยู่ในเขตฟลันเดอร์ ก็มีการใช้ทั้งภาษาเฟลมมิชและฝรั่งเศส นอกจากนี้ยังมีชุมชนที่พูดภาษาเยอรมันในทางตะวันออกของวัลโลเนียด้วย

ภูมิอากาศของเบลเยียมมีลักษณะเหมือนกับทางยุโรปตอนเหนือ คือเป็นแบบชายฝั่งทะเล จะค่อนข้างอบอุ่นและชุ่มชื้น ซึ่งประกอบไปด้วย 4 ฤดู โดยฤดูร้อน จะเริ่มตั้งแต่เดือนมิถุนายน ฤดูใบไม้ร่วง เริ่มตั้งแต่เดือนกันยายน ฤดูหนาว เริ่มตั้งแต่เดือนธันวาคม ส่วนฤดูใบไม้ผลิ จะเริ่มตั้งแต่เดือนมีนาคม โดยมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยตลอดปีประมาณ 5-30 องศาเซลเซียสส่วนทางตอนใต้ของประเทศ จะมีอุณหภูมิโดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 30-39 องศาเซลเซียส และมีฝนตกเกือบตลอดทั้งปี (ในช่วงฤดูร้อน เวลาที่เบลเยียมจะช้ากว่าประเทศไทย 5 ชั่วโมง ส่วนในฤดูหนาว เวลาของที่นี่จะช้ากว่าของบ้านเรา 6 ชั่วโมง)



ในบรัสเซลส์จะมีสถานีรถไฟใหญ่อยู่ 3 สถานีครับ นั่นคือ Gare du Midi (South Station), Gare du Nord (North Station) และ Gare Central (Central Station) ทั้ง 3 สายนี้จะมีรถไฟไปยังเมืองต่างๆ รวมถึงประเทศใกล้เคียง อีกทั้งยังเป็นสถานีรถไฟใต้ดินด้วยครับ

ผมมาเริ่มที่ Gare du Midi เพื่อหาซื้อตั๋วรถไฟไป Antwerp สำหรับวันพรุ่งนี้ก่อนจะออกเที่ยวในวันนี้ครับ



รถไฟใต้ดิน (metro) ในบรัสเซลมีทั้งหมด 6 สาย โดยจะมี premetro ที่เป็นรถรางแต่จะวิ่งลงใต้ดินเพื่อเชื่อมกับรถบบรถไฟใต้ดินด้วยครับ



ค่าตั๋วรถไฟใต้ดินเริ่มที่ 1.70 ยูโรต่อเที่ยว ยังมีทางเลือกอีกสำหรับตั๋วชุด 5 เที่ยว 7.50 ยูโร และตั๋วชุด 10 เที่ยว 12.30 ยูโร หรือใครชอบซื้อเหมาเป็นตั๋ววันก็จะแค่เพียง 4.50 ยูโรต่อวันและ ตั๋วสามวันก็เพียง 9.50 ยูโรครับ



เมื่อซื้อตั๋วแล้วจะได้ตั๋วเป็นกระดาษอ่อนขนาดเล็กกว่าบัตรเครดิตเล็กน้อยครับ โดยจะใช้ตั๋วเสียบเข้าไปในทางเข้ารถไฟใต้ดินแบบนี้ สำหรับรถรางก็จะมีตู้เสียบตั๋วแบบนี้เหมือนกันแต่มักไม่ได้อยู่ตรงประตูทางเข้า แต่ตั้งอยู่ในตัวรถรางน่ะแหละครับ

จะสังเกตุเห็นว่าจะไม่มีประตูกั้นทางเข้ารถไฟใต้ดินเลยใช่ไหมครับ เท่าที่ได้คุยกับคนบรัสเซลส์จะทำให้ทราบว่า ที่จริงการบริการขนส่งสาธารณะอย่างนี้ เหมือนกับเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งของเขาครับ (เบลเยี่ยมเป็นประเทศหนึ่งที่เก็บภาษีแพงและมีสวัสดิการต่างๆอย่างดีเยี่ยมนะครับ) เพราะฉนั้นเหมือนให้บริการฟรีก็ไม่เชิง เพราะเท่าที่เห็น ก็มีคนมาตอกตั๋วที่ตู้ส้มนี้ไม่เท่าไหร่เลยนะครับ ยอมรับว่าบางเที่ยวผมก็นั่งรถไฟใต้ดินฟรี เพราะเราหาตู้ส้มตอกตั๋วนี่ไม่เจอครับ เพราะบางทีตู้ส้มมันก็ไม่ได้อยู่ที่ทางเข้า อาจจะอยู่ที่ผนังหรือไม่ก็ในชานชาลาเลยก็มีครับ ใครจะซื้อตั๋วเที่ยวเดียวเที่ยวได้ทั้งวันก็สามารถทำได้นะครับ (ถ้ากล้าทำ)



เมื่อเปรียบเทียบรถไฟใต้ดินทั้ง 3 เมืองที่ผมใช้บริการในทริปนี้ รถไฟใต้ดินของบรัสเซลส์นี่สะอาดที่สุดเลยล่ะครับ



สำหรับสถานที่แรกที่ผมจะไป วางแผนไว้ว่าจะไปชมสัญลักษณ์ของบรัสเซลส์ที่ทุกคนจะนึกถึงเป็นอันดับแรก ก็คือรูปปั้นเจ้าหนูน้อยยืนฉี่ แต่ในระหว่างที่ใช้บริการรถไฟ premetro ที่เป็นรถรางลงใต้ดินก่อนจะขึ้นมาเป็นรถรางบนดิน ก็เจอตำรวจขี่ม้ามาปิดสถานีข้างหน้าซะก่อน ผู้โดยสารเลยลงกันทั้งขบวน แถมมาพูดภาษาดัชต์ (เฟลมมิช) ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจ แต่จากการสังเกตุ เห็นมีขบวนตำรวจอารักขามากขนาดนี้ คิดว่าคงจะมีการเสด็จพระราชดำเนินของราชวงศ์เบลเยี่ยมน่ะครับ เลยได้โอกาสเดินชมเมืองแทนซะเลย





ในบรัสเซลส์มีสิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างหนึ่งคือ ภาพวาดลวดลายการ์ตูนขนาดใหญ่บนผนังตึก เพราะบรัสเซลส์เปรียบเสมือนเมืองหลวงของการ์ตูนยุโรปเลยทีเดียว



มื้อกลางวันรองท้องด้วยไก่ทอดแบรนด์ไม่คุ้นตาร้านหนึ่งครับ ที่จริงจะอาศัยเข้าห้องน้ำฟรีซะมากกว่า เพราะส่วนใหญ่ห้องน้ำด้านนอกนี่มักจะเสียเงินครับ



ที่จริงสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญในบรัสเซลส์ก็อยู่ใกล้ๆกันครับ สามารถเดินถึงกันได้ไม่ยากเท่าไหร่ ถึงแม้ผมจะโดนตำรวจมาปิดเส้นทางรถไฟ ก็ยังสามารถเดินมาแถบย่าน Lower Town ที่เป็นเมืองเก่าได้ไม่ยากครับ โดย Lower Town จะมีจัตุรัสกรองด์ปราชเป็นศูนย์กลาง ใกล้ๆกันก็จะเป็นรูปปั้นหนูน้อยยืนฉี่ โดยเลือกลง metro สถานี Bourse/Beurs หรือ สถานี Centraal Station/Gare Centrale ก็ได้ครับ ทั้งสองสถานีจะอยู่ระหว่างย้าน Lower Town พอดี



เมื่อพูดถึงบรัสเซลส์สิ่งแรกที่คนจะนึกถึงก็คือ รูปปั้นเด็กยืนฉี่ ที่เรียกว่า Manneken Pis

รูปปั้นเด็กยืนฉี่ Manneken Pis ที่เห็นในปัจจุบัน เป็นรูปหล่อด้วยทองบรอนซ์ สร้างขึ้นเมื่อปี 1619 โดยการออกแบบของ Jerome Duquesnoy ที่มีความสูงเพียง 61 ซม. (24 นิ้ว)

แต่เดิมเล่ากันว่ามีรูปแกะสลักหินเด็กผู้ชายในบรัสเซลส์มาตั้งแต่คตวรรษที่14 แล้ว มีตำนานเล่าว่าหนูน้อยเมนเนเกน พิส คือลูกเศรษฐีที่หลงทางกับพ่อแม่ ภายหลังมีผู้พบหนูน้อยกำลังยืนฉี่รดกองไฟที่กำลังจะไหม้เมืองบรัสเซลส์ ทำให้ไฟได้ดับลงเสียก่อนที่จะลุกลามไปใหญ่ อีกตำนานก็เล่าว่า เด็กน้อยเมนเนเกน พิสฉี่รดระเบิดที่คนร้ายเอามาวางไว้จนทำให้ระเบิดด้าน เมืองบรัสเซลส์จึงปลอดภัยจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น

ในช่วงศตวรรษที่ 18 มีคนพยายามขโมยรูปปั้นเด็กฉี่นี้ด้วย ภายหลังถูกจับได้ถึงกับต้องโทษจำคุกตลอดชีวิตกันเลยทีเดียวครับ



ด้วยขนาดของรูปปั้นแค่ 2 ฟุต (ความสูงเพียง 61 ซม. หรือ 24 นิ้ว) ทำให้นักท่องเที่ยวทุกคนอึ้งและตะลึงกับความ เล็กของรูปปั้นนี้แทบทุกคนละครับ แถมบางคนก็ขำซะด้วยซ้ำ ว่ามันเล็กมากแต่ยังเป็นสิ่งที่ไม่มาดูก็แสดงว่าไม่ถึงบรัสเซลส์นะครับ





เนื่องจากรูปปั้นเด็กยืนฉี่ Manneken Pis มีความโด่งดังและเป็นแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมาก ในปี 1987 กลุ่มเจ้าของร้านอาหารและภัตตาคารบนถนนขายเนื้อ (Rue des Bouchers) จึงได้ร่วมกันสร้างรูปหล่อบรอนซ์เด็กผู้หญิงนั่งฉี่ ที่ชื่อว่า Jeanneke Pis ไว้ตรงสุดถนน เพื่อให้อีกแหล่งดึงดูดนักท่องเที่ยว แต่ชาวบรัสเซลส์ส่วนใหญ่มักจะอับอายและไม่ค่อยพูดถึงเท่าไหร่ครับ (ผมว่าผมก็เห็นด้วยนะ)







เนื่องจากรูปปั้นเด็กฉี่ Manneken Pis เป็นรูปเด็กเปลือยกาย จึงมีคนปรารถนาดีเอาเสื้อผ้ามาใส่ให้มากมายหลายแบบ ตามเทศกาล ทั้ยังมีชุดประจำชาติต่างๆให้สวมใส่ด้วย แต่ที่ผมขำมากก็คงจะเป็นชุด Elvis นี่แหละครับ ถ้าใครอยากให้ Manneken Pis ใส่ชุดอะไร ก็สามารถส่งชุดไปให้เขาพิจารณาได้นะครับ (อย่างเมืองไทย ควรจะส่งชุดไหนไปดีล่ะครับ ระหว่างกางเกงมวยกับชุดราชประแตนเนี่ย)



รอบๆ Manneken Pis ก็จะมีร้านค้ามากมายรองรับนักท่องเที่ยว แต่ที่น่าสนใจก็คงจะเป็นร้านช็อกโกแลต Godiva ที่ถือว่าเป็นร้านค้าอันดับหนึ่งในเรื่อช็อกโกแลตเบลเยี่ยมก็ว่าได้ครับ แถมตั้งอยู่ตรงข้าม Manneken Pis เลย



ช็อกโกแลตเบลเยียม ได้ชื่อว่าเป็นช็อกโกแลตระดับพรีเมี่ยม ช๊อกโกแลตของที่นี่ถือว่ามีคุณภาพสูสีกับช็อกโกแลตสวิส ซึ่งโดดเด่นในเรื่องความเข้มข้นของปริมาณช็อกโกแลต วัตถุดิบ และ ส่วนผสมต่างๆที่มีคุณค่าและเต็มไปด้วยความสร้างสรรค์อีกทั้งยังมีหลายรูปแบบให้เลือกซื้อและลองชิมครับ



สำหรับสินค้าอีกอย่างที่เป็นที่รู้จักในบ้านเรา ที่มีต้นกำเนิดมาจากเบลเยี่ยม ก็กระเป๋า Kipling ที่มีสัญลักษณ์เป็นรูปลิงน่ะเองครับ โดยมี outlet อยู่นอกเมืองบรัสเซลส์ไปหน่อยครับ (ผมไม่ถนัด shopping เลยพาไม่ได้พาไปนะครับ)



สำหรับผมของลองเป็น สตอเบอรร์รี่กับมัลเบอร์รี่ เคลือบดาร์กช็อกโกแลตครับ ราคา 4 ชิ้น 5.60 ยูโร หารแล้วก็ชิ้นละเกือบ 60 บาทได้ครับ





รูปปั้นเด็กฉี่ Manneken Pis ตั้งอยู่ระหว่างถนน Rue de l'Etuve ตัดกับถนน Rue du Chene (อยู่ห่างจากกรองด์ปราชไปเพียง 4 ช่วงตึก) สำหรับรถไฟใต้ดิน ให้ลงที่สถานี Bourse/Beurs แล้วเดินออกทางถนน BD.Anspachlaan จะเจอป้ายบอกทางไปครับ





สินค้าที่ระลึกเกี่ยวกับการ์ตูนจะเจอได้มากมายตามแนวถนนระหว่างรูปปั้น Manneken Pis กับกรองด์ปราชเลยล่ะครับ



มองเห็นปลายยอดแหลมๆนั่นไหมครับ นั่นแหละคือ ยอดของศาลาว่าการ (Hotel de Ville) ที่อยู่ในบริเวณกรองด์ปราช เดินไปเพียง 4 ช่วงตึกจาก Manneken Pis ครับ



Grote Markt (กรองด์ปลาช) หรือ Grand Place คือจัตุรัสกลางเมืองบรัสเซลส์ที่ได้รับการยกย่องว่าเป็นจัตุรัสที่สวยงามและมีเสน่ห์อีกแห่งของยุโรปครับ และ UNESCO ยังได้ประกาศให้กรองด์ปราชเป็นมรดกโลกมาตั้งแต่ปี 1998 โดยในสมัยคตวรรษที่ 14 กรองด์ปราชเป็นตลาดกลางเมืองที่ปราชาชนออกมาซื้อหาอาหารกัน ดังนั้นถนนรอบๆกรองด์ปราชจึงมีชื่อบอกถึงสินค้าที่ขายอยู่ในถนนสายนั้น เช่น Rue des Bouchers (ถนนขายเนื้อ) Rue du Marche aux Fromages (ถนนขายเนยแข็ง) Rue du Marche aux Poulets (ถนนขายไก่) เป็นต้น

อาคารรอบกรองด์ปราชเป็นสถาปัตยกรรมที่มีทั้งสไตล์บารอก โกธิก และหลุยส์ที่ 14 ครับ ที่เป็นอาคารเก่าแก่จริงๆก็คือ ศาลาว่าการเมือง (Hotel de Ville) ส่วนอาคารอื่นๆโดยรอบจะถูกทำลายไปหมดตั้งแต่สมัยกองทัพฝรั่งเศสเข้ามาโจมตีเมื่อปี 1695 (สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่ 14) ส่วนใหญ่อาคารโดยรอบจะเป็นอาคารที่ทำการของสมาคมอาชีพต่างๆ สังเกตุได้จากสัญลักษณ์บนหน้าจั่วหรือบนประตูครับ แต่ปัจจุบันอาคารเหล่านี้ได้แปรสภาพเป็นร้านค้าหรือโรงแรมไปแล้ว

สำหรับการเดินทางมา Grote Markt (กรองด์ปลาช) สามารถลงรถไฟใต้ดินทั้งที่สถานี Centraal Station/Gare Centrale และ Bourse/Beurs ครับ (แต่ผมว่าลงสถานี Bourse หาง่ายกว่านะ)



ศาลาว่าการเมือง (Hotel de Ville de Bruxelles) เป็นอาคารที่สร้างขึ้นในคตวรรษที่ 14 ทั้งยังเป็นอาคารเดียวในจัตุรัสกรองด์ปราชที่ไม่ถูกทำลายไม่ว่าจะเป็นสมัยสงครามกับฝรั่งเศสในปี 1695 หรือในสงครามโลกทั้ง 2 ครั้ง ศาลาว่าการเมืองแห่งนี้สร้างด้วยสถาปัตยกรรมโกธิกที่ยังสมบูรณ์แบบ ด้านหน้าของตัวอาคารตกแต่งด้วยหน้าต่างโค้งและรูปปั้นต่างๆ ยอดแหลมที่สูงที่สุดของอาคารยังมีความสูงถึง 215 ฟุต

ความแปลกอย่างหนึ่งของอาคารก็คือ ถ้านับจำนวนหน้าต่างของปีกทางซ้ายและทางขวา จะพบว่ามีจำนวนไม่เท่ากันครับ ซึ่งข้อบกพร่องนี้มีตำนานเล่ากันว่า สถาปนิกผู้ออกแบบถึงกับเสียใจในความผิดพลาดของตนเอง จนถึงกับกระโดนฆ่าตัวตายลงมาจากยอดแหลมของอาคารเลยล่ะครับ

สำหรับคนที่อยากเข้าชมด้านใน ก็จะมีห้องเก็บสมบัติของเจ้าอาณานิคมที่เคยปกครองเบลเยี่ยมจัดแสดงด้วยครับ โดยค่าเข้าชมอยู่ที่ 3 ยูโร





บริเวณโดยรอบครับ



ตึกทางขวามือที่มีรูปหงส์เป็นสัญลักษณ์ คือตึกของสมาคมขายเนื้อในอดีตครับ





จัตุรัสกรองด์ปราชยังเป็นศูนย์กลางการจัดงานเทศกาลทุกอย่างของบรัสเซลส์ครับ (ซึ่งส่วนใหญ่เข้าชมได้ฟรี) มีกิจกรรมและการแสดงเป็นประจำในทุกๆเดือนอย่างสิ้นปีในเดือนธันวาคม ก็จะมีต้นคริสต์มาสใหญ่ตั้งประดับครับ

สำหรับผมที่ไปเที่ยวในช่วงปลายกันยายนต้นตุลาคม แถมเป็นวันเสาร์ตรงจัตุรัสก็จะกลายเป็นตลาดขายต้นไม้ ดอกไม้ ที่มีชีวิตชีวา แถมผมยังได้ซื้อหัวดอกไม้กลับมาเมืองไทยตั้งเยอะครับ



ในย่าน Lower Town ยังมีตึกเก่าๆสวยงามอีกมากมายครับ หลายๆแห่งก็ทำเป็นศูนย์การค้า ที่ยังคงอนุรักษ์รูปแบบตึกดั้งเดิมเอาไว้อย่าลงตัวครับ เสียดายที่บ้านเรา ไม่ค่อยมีการอนุรักษ์ของเก่าอย่างนี้ไว้เท่าไหร่นะครับ อึกอักก็ทุบของเก่า สร้างของใหม่ตลอดเลย





แถมเจอหนัง ลุงบุณมี มาฉายที่นี่ด้วย น่าภูมิใจนะครับเนี่ย เขาว่าเป็นหนังของผู้กำกับคนนี้ที่ดูง่ายที่สุด แต่ผมได้ชมแล้ว ก็มึน ไม่เข้าใจเท่าไหร่หรอกครับ ขนาดตามดูผลงานมาหลายเรื่องแล้วนะเนี่ย T_T





เดินเล่น ชมเมืองไปเรื่อยๆครับ อากาศก็ขมุกขมัว เจอฝนปรอยๆเป็นระยะ แถมอากาศหนาวอีก





ในบรัสเซลล์นี่ยังมีบริการจักรยานให้เช่าอยู่หลายจุดนะครับ สามารถหยอดเหรียญเอาจักยานออกมาใช้ได้ แล้วก็นำไปคืนตามจุดที่ให้บริการอีกจุดได้ครับ ผมจำราคาชั่วโมงแรกได้ไม่แม่นครับ ไม่รู้ว่าเริ่มที่ ชม.ละ ครึ่งหรือหนึ่งยูโรกันแน่ แต่ก็เป็นอีกบริการที่น่าสนใจครับ



โบสถ์ Cathedrale หรือจะเรียกว่าโบสถ์โนตราดามแห่งบรัสเซลส์ก็ได้ครับ เมื่อเจอโบสถ์ให้เลี้ยวซ้ายเดินไปตามถนนครับ



เมื่อเดินมาถึงถนน Bd. Pachecolaan จะเจอรูปปั้นการ์ตูนรูปใหญ่ ให้เดินลงไปตามทางด้านหลังเลยครับ



Belgian Comic Strip Center หรือ ศูนย์การ์ตูนช่องของเบลเยี่ยม (จะเรียกว่า พิพิธภัณฑ์การ์ตูน ก็ไม่น่าจะผิดนะครับ) มีพื้นที่มากกว่า 4,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในอาคาร Waucquez Warehouse ที่เคยเป็นห้างสรรพสินค้ามาก่อน ตึกนี้สร้างขึ้นในปี 1906 เป็นสถาปัตยกรรมแนวอาร์ตนูโว ฝีมือการออกแบบของสถาปนิก Victor Horta



ตัวอาคารอาจไม่ค่อยโดดเด่น หรือมีสัญลักษณ์อะไรนะครับ เพราะกฎหมายของที่นี่ไม่ให้ตั้งป้ายหรือประดับอะไรที่บดบังตัวอาคารเดิม ให้สังเกตุป้ายตั้งพื้นนี้ที่จะอยู่ในอาคารด้านขวาครับ



ถึงแม้ว่าการ์ตูนช่องจะมีต้นกำเนิดมาจากหนังสือพิมพ์ในอเมริกา แต่ศิลปินของเบลเยี่ยมก็ได้สร้างสรรค์การ์ตูนขึ้นมามากมายครับ จนสามารถเรียกได้ว่าเบลเยี่ยมเป็นเมืองหลวงของการ์ตูนยุโรป

การ์ตูนที่โด่งดังของเบลเยี่ยมก็คือ Tin Tin (แต็งแต็ง) ผลงานของ George Remi ที่ใช้นามปากกาว่า Herge โดย Tin Tin เป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ได้เดินทางไปผจญภัยทั่วโลก ตั้งแต่อเมริกา อียิปต์ ทิเบต รัสเซีย ไม่เว้นแม้กระทั่งโลกใต้น้ำ และดวงจันทร์ คู่หูของ Tin Tin คือสุนัขสีขาวที่ชื่อ Snowy

เมื่อก้าวเข้ามาในพิพิธภัณฑ์ สิ่งแรกที่พบคือ รูปหล่อบรอนซ์ของ Tin Tin ขนาดเท่าตัวคนโดยมี Snowy อยู่ข้างๆ มีจรวดสีแดงสลับขาวอันเลื่องชื่อ







เมื่อเดินขึ้นบันไดมาถึงชั้นบนจะเจอ Tin Tin ในชุดอวกาศสีส้ม และชั้นนี้นี่เองที่เป็นนิทรรศการแสดงพัฒนาการของTin Tin



ในพิพิธภัณฑ์นี้นอกจาก Tin Tin ยังมีเรื่องราวของการ์ตูนอีกหลายๆเรื่องไม่ว่าจะเป็น Gaston Lageffe, Spirou & Fantasio รวมไปถึงสเมิร์ฟ (The Smurfs) ที่บ้านเราน่าจะรู้จักกันดีครับ

เปิดทุกวันยกเว้นวันจันทร์ ในเวลา 10.00-18.00 น. ค่าตั๋ว (ราคาใหม่สำหรับปี 2011) ผู้ใหญ่คนละ 8 ยูโร ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปและเยาวชน 12-18 ปี 6 ยูโร เด็กอายุต่ำกว่า 12 ปี 3 ยูโร







อีกสถานที่ท่องเที่ยวหนึ่งที่ตอนแรกผมว่าจะแวะไป แต่เผอิญมันตั้งอยู่ออกไปนอกเมืองบรัสเซลส์เล็กน้อย ที่สำคัญผมใช้เวลากับในเมืองไปทั้งวันแล้วก็คือ Atomium ครับ

Atomium เป็นแลนด์มาร์คในงาน Brussels World Fair ในปี 1958 ออกแบบโดย Andre Waterkeyn มีความสูง 335 ฟุต (102 เมตร) ได้กลายมาเป็นอีกหนึ่งสัญลักษณ์ของบรัสเซลส์ ตัว Atomium จำลองรูปร่างของคริสตัลโมเลกุลที่ทำด้วยอลูมิเนียมกับเหล็ก มียอดแหลมชี้ไปบนท้องฟ้า เป็นตัวแทนของแต่ละอะตอม ภายในของ Atomium เป็นห้องจัดแสดงและพิพิธภัณฑ์ โดยมีบันไดเลื่อนและลิฟท์เชื่อมกันอยู่ สำหรับอะตอมสูงสุดจะเป็นจุดชมวิวและจำหน่ายของที่ระลึก

สำหรับการเดินทางไป Atomium ให้ลงที่สถานี Haysel/Heizel บน metro สาย 6 ก่อนถึงสถานีปลายทาง Koning Boudewijn/Roi Baudouin หนึ่งสถานีครับ (ซึ่งออกไปนอกเมืองบรัสเซลส์พอสมควร)



ว่าแล้วก็กลับมาที่สถานี Schuman ที่ใกล้กับโรงแรมที่พักครับ บริเวณนี้จะเป็นสำนักงาน ตึกของ EU หลายๆตึก จึงเรียกย่านนี้ว่า EU Quatre ครับ



ด้านหลังวงเวียนเล็กๆนี้ก็ถึงโรงแรมแล้วครับ



ที่จริงติดใจร้าน Meet Meat บนถนน Stevinstraat ที่ทาน dinner เมื่อวานน่ะครับ เลยกะมาซ้ำซะหน่อย แต่ที่ไหนได้ ร้านปิดครับ แถมปิดทั้งเสาร์และอาทิตย์เลย ที่สำคัญร้านอาหารหลายๆก็มักจะปิดในช่วงวันหยุดอย่างนี้นะครับ



ตัวเลือกต่อไปก็เลยกลายเป็นร้านอาหารอิตาเลี่ยนติดกัน ที่ไม่ได้ปิดครับ แถมมีลูกค้า(ที่เป็นนักท่องเที่ยว) เยอะซะด้วยสิครับ เพราะเป็นร้านเดียวที่เปิดขายอาหารในระแวกนี้



บรรยากาศภายในร้าน L'Anchois Vert ครับ สไตล์อิตาเลี่ยนสบายๆ เพราเป็นกิจการของครอบครัว





ขอไวน์แดงมาก่อนเลยครับ แล้วอาหารมื้อนี้ก็เป็นซุปเรียกน้ำย่อย ตามด้วยสลัด และสเต็กตามลำดับครับ








 

Create Date : 20 ธันวาคม 2553    
Last Update : 20 ธันวาคม 2553 9:32:02 น.
Counter : 11108 Pageviews.  

rome day 8 Ciampino Airportจากโรม-->สู่บรัสเซลCharleroi Airport

วันนี้เป็นวันที่ 8 ของทริปแล้ว ตามแผนผมต้องเดินทางจากโรมไปยังบรัสเซล ที่ไม่เพียงแต่จะเป็นเมืองหลวงของเบลเยี่ยม ยังเปรียบเสมือนเป็นเมืองหลวงของสหภาพยุโรปอีกด้วย





การเดินทาง เริ่มต้นจากสถานี Termini ที่เป็นเหมือน หมอชิต+หัวลำโพง ของกรุงเทพ เพราะตรงสถานีนี้ จะเป็นศูนย์รวมการขนส่งไม่ว่าจะเป็นรถไฟหรือรถยนต์ ใครจะนั่งรถไฟไปยังเมืองต่างๆ หรือประเทศต่างๆก็ต้องมาเริ่มที่ Roma Termini นี้เหมือนกันครับ

สำหรับผม จะต้องนั่งรถไฟเพื่อไปสนามบิน Ciampino ที่อยู่ทางใต้ห่างไปประมาณ 15 กม.จากกรุงโรม โดยจะต้องนั่งรถไฟไปลงที่สถานี Ciampino ก่อนจะต่อรถ shuttle bus เข้าสู่สนามบิน





การซื้อตั๋ว สามารถทำได้สะดวกครับด้วยตู้ซื้อตั๋วอัตโนมัติ เพื่อหลีกเลี่ยงการคุยไม่รู้เรื่องกับพนักงานที่ขายตั๋วน่ะเอง (ผมไม่ค่อยสันทัดภาษาอิตาเลี่ยนซะด้วย)

ค่าตั๋ว 2 คนแค่ 2.60 ยูโร แถมยังจ่ายสะดวกด้วยบัตรเครดิตครับ





หนังสือท่องเที่ยวหลายๆเล่มจะบอกให้มาประทับตั๋วที่ตู้สีเหลืองๆนี้ครับ หาตู้นี้ได้ไม่ยากในชานชาลา



บรรยากาศในตู้รถไฟ ค่อนข้างสะอาดนะครับ





บรรยากาศรอบๆทางรถไฟครับ ผมชอบซากปรักหักพังที่พบเห็นได้เรื่อยๆในยุโรปอย่างนี้จัง



จากสถานี Roma Termini ไม่ถึง 20 นาทีดี ก็มาถึงสถานี Ciampino แล้วครับ





จากชานชาลา ต้องเดินลอดใต้รางรถไฟ เพื่อเข้าไปยังตัวสถานีครับ



ก่อนจะขึ้นบันไดตามทางไปเลยครับ สนามบิน Ciampino หาไม่ยากเลยครับ มีป้ายบอกทางไปตลอด



ย้อนกลับไปดูสถานีรถไฟ Ciampino หน่อย




เมื่อออกมาจากสถานี เราจะเจอตึกที่อยู่ของผู้คน ให้มองทางซ้ายมือไว้ จะเจอป้ายรถประจำทาง ที่จะจอด shuttle bus ไปยังสนามบินครับ



ตารางเวลาของ shutle bus ครับ



โฉมหน้ารถ shuttle bus ไปยังสนามบิน





ค่าตั๋วก็ถูกครับแค่ 1.20 ยูโรเอง



รถ shuttle bus จะวิ่งเข้าไปในหมู่บ้าน (แต่ไม่ได้จอดที่ไหนนะครับ)



ก่อนจะไปวนรอบทางต่างระดับนอกหมู่บ้านนิดหน่อย



ก่อนที่จะเข้าเขตของสนามบินครับ



มาถึงอาคารผู้โดยสารสนามบิน ciampino ใช้เวลาประมาณ 15 นาทีได้ครับ (มองจากบนรถไฟ สนามบินจะอยู่ใกล้ๆเกือบติดทางรถไฟเลยล่ะครับ แต่ shuttle bus ต้องขับวนไปบนทางด่วนเลยใช้เวลาเดินทางมากไปนิด)





จุดที่รถ shuttle bus จะมาจอดและรอรับผู้โดยสารไปยังสถานีรถไฟครับ



สำหรับสนามบิน Ciampino เป็นสนามบินรองของโรม ที่รองรับสายการบินโลวคอสต์อย่าง Ryan Air และ EasyJet เป็นหลักเลยล่ะครับ อารมณ์ก็ประมาณสนามบินดอนเมืองบ้านเรานี่เอง





มื้อกลางวันเลยจัดการที่สนามบินนี่เลยครับเป็นอาหารฝรั่งมากๆแถมไม่ค่อยถูกปากซะอีก เลือกเป็นอาหาร 3 อย่างในถาด ที่สปาเก็ตตี้ ก็ไม่ค่อยอร่อย ข้าวสไตล์ฝรั่งก็แฉะไม่ค่อยน่าทาน อีกอย่างก็เป็นลาซานย่าเย็นๆ แถมปริมาณก็ให้เยอะชนาดคนยุโรปทานเลย





ได้สลัด กับไก่อบนี่แหละครับ ที่พอทานได้หน่อย



อีกหนึ่งทางเลือกก็จะมีร้านอาหารที่หน้า gate รอขึ้นเครื่องอีกร้านหนึ่ง คือ chef express แต่ข้อเสียคือ ไม่มีเก้าอี้ให้นั่งทานนะครับ



บรรยากาศด้านในครับ



ตัวอาคารผู้โดยสารก็มีแค่ชั้นเดียว คืออยู่ติดกับพื้นรันเวย์เลยเนี่ยแหละครับ






เห็นเส้นทางบินของ Ryan Air แล้วน่าสนเหมือนกันครับ



ใครยังไม่มีของฝาก ด้านในยังมี duty free อยู่ 1 ร้าน ที่ใหญ่และมีสินค้าพอสมควรเลยล่ะครับ ไม่ว่าจะบุหรี่ สุรา ช็อกโกแลต ขนม น้ำหอม



เที่ยวบินของผมเป็น Rome Ciampino (CIA) - Brussels Charleroi (CRL) 15.50-17.55 ราคา 64.98 ยูโร (สำหรับ 2 คน)

พอใกล้เวลา boading ผู้โดยสารแทบจะทุกคนรีบมาจับจองเข้าแถวกันแล้วล่ะครับ เพราะ Ryan Air ยังคงใช้ระบบเก้าอี้ดนตรี ที่ใครขึ้นเครื่องก่อน ก็มีสิทธิจับจองที่นั่งก่อนครับ

แถมยังได้เห็นเทคนิคแพรวพราวของบรรดาฝรั่งในการแซงคิวด้วยครับ ไม่ว่าจะทำเนียนโทรศัพท์ แล้วเข้ามาแทรก หรือทำเป็นทักเหมือนจะรู้จักกับคนในแถว แล้วเข้ามาแทรก ที่สำคัญเครื่อง delay ไปอีกชั่วโมงนึงได้ครับ ยืนรอในแถวจนขาแข็งเลย



เครื่องบินของ Ryan Air เป็น Boeing 737-800 ครับ



หลังจากยืนรอเครื่องเพิ่มอีก 1 ชั่วโมง ก็ได้ขึ้นเครื่องมาเล่นเก้าอี้ดนตรีครับ โชคดี ได้นั่งหน้าหน่อย จะให้วิจารณ์ตัวเครื่องของ Ryan Air ผมว่าตัวเครื่องก็ออกจะเก่าอยู่นะครับ ลำก็ไม่ใหญ่เท่าไหร่



เครื่อง take off แล้ว





เตรียม Landing แล้วครับ



และแล้วก็มาถึงสนามบิน Charleroi





สนามบิน Charleroi หรือชื่อเต็มๆคือ Brussels South Charleroi Airport เป็นสนามบินรองของบรัสเซลที่รองรับสายการบินโลวคอสต์ต่างๆ จะเห็นว่าตัวสนามบินจะค่อนข้างใหม่มากๆขนาดห้องน้ำ ยังให้ไปใช้ข้างนอกเลย



บริเวณด้านในสนามบินก็เรียบง่ายครับ แต่ก็ดูโอ่โถงครับ



บริเวณ lobby สำหรับ check in



เครื่อง delay ไปชั่วโมงนึง ทำให้มาถึงทุ่มกว่าๆ ฟ้าเริ่มมืด+อากาศที่หนาว ตอนแรกจะตัดใจใช้ taxi แต่ก็เห็นป้ายบอกวิธีเดินทางเข้าเมืองที่ค่อนข้างสะดวกและประหยัดกว่า นั่นก็คือ Shuttle bus ครับ



ทางไป shuttle bus ก็หาง่ายครับ จะมีแถบสีบอกทางไปอย่างนี้จนถึงเคาเตอร์จำหน่ายตั๋วเลยล่ะครับ



ค่าโดยสารเข้าเมือง คนละ 13 ยูโรครับ



บรรยากาศตอนหัวค่ำ เห็นเตาปฎิกรณ์ปรมนูประดับไฟซะสวยเด่นเลยล่ะครับ ซึ่งทางยุโรปหลายประเทศหันมาใช้พลังงานรูปแบบนี้กันเยอะเลย



Shuttle bus ใช้เวลาประมาณ 50 นาที ก็มาจอดที่จุดแรก คือสถานี Gare du Midi ที่เป็นสถานีรถไฟใหญ่ เป็นที่รวมทั้งสถานีรถไฟไปเมืองต่างๆ (และประเทศต่างในยุโรป) รวมทั้งรถไฟใต้ดินในเมืองบรัสเซลด้วยครับ





ค่าโดยสารรถไฟใต้ดินจะอยู่ที่ 1.70 ยูโรต่อเที่ยวครับ



ภายในสถานีรถไฟใต้ดินของบรัสเซลที่สะอาดมากๆครับ เมื่อเทียบกับโรมและปารีส





ทางเข้าของรถไฟใต้ดิน



สำหรับ 2 คืนในบรัสเซลผมเลือก Hotel Silken Berlaymont Brussels ครับ ที่อยู่ใกล้สถานี Schuman อันเป็นย่านสถานที่ราชการของสหภาพยุโรป

สำหรับห้องพัก 2 คืน (รวมภาษี) อยู่ที่ 201 ยูโรครับ

บริเวณด้านหน้าโรงแรม (รูปถ่ายช่วงเช้าครับ)





Lobby ด้านหน้า



ตึกใหญ่ๆนี่แหละครับที่เป็นตึกราชการหนึ่งของสหภาพยุโรป





ด้านหน้าของโรงแรม (ช่วงเช้า) ก็จะพบเห็นบ้านไตล์เบลเยี่ยมที่เป็นอาคารทรงสูงแบบนี้ครับ



เมื่อผ่าน lobby จะเจอทางเดินไปสู่ห้องพัก ทางซ้ายมือเป็นห้องสำหรับประชุม สัมมนาครับ

โรงแรมค่อนข้างจะเน้นแนวทันสมัยครับ มีศูนย์ธุรกิจ มี Gallery แสดงภาพอีกทั้งยังอยู่ใกล้ศูนย์กลางราชการของ EU ในตัวโรงแรมจึงมีห้องสัมมนามากหลายๆห้องเพื่อรองรับคนมาทำธุรกิจที่นี่ครับ



กลับมาดูในห้องพักดีกว่าครับ



ภายในห้องโดยรวม



ด้านประตูทางเข้าครับ



ภายในห้องน้ำครับ



อ่างอาบน้ำและฝักบัว ขวดที่ติดอยู่ที่ฝาผนังเป็นทั้งแชมพูและครีมอาบน้ำครับ



บริเวณอ่างล้างหน้าที่มี bath kit ให้ครบครัน




ขอ review อาหารเช้าที่อลังการด้วยเลยละกันครับ

hall ทางเดินไปยังห้องอาหาร



บริเวณห้องอาหารก็แบ่งพื้นที่ใช้สอยได้สวยงามครับ ส่วนกลางของห้องจะเป็นบาร์อาหารเช้าแบบเย็นที่ประกอบไปด้วย



เนยต่างๆ



ไส้กรอก แฮมและเนื้อสัตว์ต่างๆ (แบบเย็น cold cut)



ผลไม้



ผักสลัด



อีกมุมของห้องอาหาร จะเป็นโต๊ะยาววางอาหารอีกหลากหลายครับ ไม่ว่าจะเป็นขนมปังและเบเกอร์รี่ต่างๆ



อาหารร้อนต่างๆ



ซีเรียลต่างๆ



น้ำผลไม้ทั้งแบบผสมและส้มให้เราคั้นสดๆทานได้เลย

อีกทั้งยังมีไวน์ให้ดื่มได้แต่เช้าอีกต่างหาก ผมว่าคุ้มสุดก็คงจะเป็นอาหารเช้าที่นี่น่ะแหละครับ



โต๊ะอาหาร





dinner มื้อแรกของบรัสเซล ผมเลือกหาอะไรทานใกล้ๆโรงแรมครับเพราะตอนที่มาถึงโรงแรมก็ค่ำมากแล้ว 2 ทุ่มกว่าๆได้ ทั้งมืดทั้งหนาว แถมมาเจอฝนตกปรอยๆรับการมาบรัสเซลซะอีก

เห็นป้ายแสงไฟบนถนน Stevinstraat ก่อนถึงโรงแรมนิดหน่อยมีร้านอาหารหลายร้านเลย หลังากได้ห้องพักแล้วเลยมาสำรวจดูครับ

ที่น่าสนใจเป็นร้าน steak & wine house ชื่อร้าน Meet Meat (กลับมาถ่ายรูปหน้าร้านตอนกลางวันให้ครับ) เพราะคำว่า wine house นี่แหละครับ





ไวน์แดงเรียกน้ำย่อย ที่อร่อยมาก สมกับเป็น wine house จริงๆครับ



บรรยากาศในร้าน คนแน่นน่าดูครับ โชคดีที่ walk in เข้ามาแล้วยังพอมีที่นั่งแต่ก็ได้โต๊ะเป็นเคาเตอร์สูงครับ





จานแรกเป็นสลัดกุ้ง ที่น้ำสลัดอร่อยมาก พอได้ทานกับผักสดๆและกุ้งย่างหอมๆนี่ยั่วน้ำลายจริงๆครับ



steak แบบ well done ของเขานี่ก็ย่างได้มืออาชีพมากครับ คือ ถ้าหั่นเนื้อออกมาจะเห็นสุกทั้งชิ้นเหลือเป็นเส้นแดงๆ (ที่เนื้อยังไม่สุก) ประมาณ 1 มิลลิเมตรได้ครับ ที่สวยมาก (เสียดายที่กล้องผมถ่ายในที่มืดไม่ค่อยชัด) สำหรับมื้อนี้เลยกลายเป็นมื้อต้อนรับการมาบรัสเซลที่ประทับใจเชียวครับ ทั้งอาหารอร่อยและไวน์รสดี






 

Create Date : 08 ธันวาคม 2553    
Last Update : 8 ธันวาคม 2553 10:21:58 น.
Counter : 3739 Pageviews.  

rome day 7 Vatican City วาติกันและปราสาท Saint Angelo Castle

นครวาติกัน (Vatican City) เป็นรัฐที่เล็กที่สุด มีพื้นที่เพียง 500,000 ตารางเมตร เป็นรัฐอิสระปกครองตนเองโดยมีพระสันตปาปาเป็นองค์ประมุข พระสันตะปาปาองค์ปัจจุบันคือ สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ซึ่งทรงปกครองประชากรประมาณ 900 คนเท่านั้น แต่ทรงเป็นศูนย์รวมจิตใจของคริสต์ศาสนิกชนทั่วโลก

พื้นที่ของวาติกัน ซึ่งรวมมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ พิพิธภัณฑ์วาติกัน หอสมุดวาติกัน และทีประทับขององค์สันตะปาปาด้วย ภายในบริเวณดังกล่าวยังมีอุทยานวาติกันอันงดงาม มีสถานีวิทยุของวาติกัน มีที่ทำการไปรษณีย์วาติกัน สถานีรถไฟวาติกัน ธนาคารวาติกัน และร้านค้าของวาติกัน (ซึ่งปลอดภาษีทุกชนิด) แม้นครรัฐวาติกันจะมีการติดต่อทางการทูตกับประเทศต่างๆ ทั่วโลก รวมทั้ง ประเทศไทยด้วย แต่ในนครรัฐวาติกันหามีที่ตั้งสถานทูตไม่ เพราะทูตประจำวาติกันมักจะได้แก่ ทูตประจำประเทศหนึ่งในยุโรป ทูตประจำนครรัฐวาติกันจึงมีที่พำนักอยู่นอกเขตวาติกันทั้งสิ้น



ศาสนจักรวาติกันมีรายได้หลักจากการสนับสนุนทางการเงินขององค์กรคริสต์ศาสนานิกายโรมันแคธอลิคทั่วโลก เงินรายได้นี้เรียกว่า "Peter's Pence" นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากการลงทุนต่างๆ ภายใต้การบริหารของหน่วยงาน The Patrimony of the Holy See ค่าธรรมเนียมการเข้าชมพิพิธภัณฑ์รายได้จากการจำหน่ายหนังสือ สิ่งพิมพ์ ดวงตราไปรษณียากร ของที่ระลึกสำหรับนักท่องเที่ยว



ปกติแล้วจะไม่มีคนเชื้อชาติวาติกันในโลก มีแต่พลเมืองสัญชาติวาติกันเท่านั้น นครรัฐวาติกันมีพลเมืองประมาณ 900 คน ประมาณ 200 คนเป็นสตรี และมีคนทำงานในนครวาติกัน 1,300 คน พลเมืองอันประกอบด้วยองค์สันตะปาปา คาร์ดินัล ผู้ปกครองนครรัฐ วาติกัน เจ้าหน้าที่ประจำวาติกัน รวมไปถึงทหารสวิส (Swiss Guard) ซึ่งเป็นองครักษ์ของสันตะปาปาประมาณ 100 คน พลเมืองวาติกันเหล่านี้จะมีสัญชาติวาติกันเฉพาะในขณะดำรงตำแหน่งหรือเป็นภรรยาของพลเมืองวาติกัน หรือเป็นบุตรที่มีอายุไม่เกิน 25 ของพลเมืองวาติกัน บุตรคนใดอายุถึง 25 ปี ต้องกลับคืนสัญชาติเดิม ผู้ถือสัญชาติวาติกัน หากพ้นตำแหน่งเมื่อใดก็ต้องคืนสู่สัญชาติเดิมของตน พร้อมด้วยบุคคลทุกคนในครอบครัวที่ถือสัญชาติวาติกัน หากชาติเดิมของตนไม่ยอมรับให้ขอสัญชาติอิตาลีซึ่งรัฐบาลอิตาลีมีข้อผูกมัดต้องรับเสมอ



การเที่ยวชมวาติกัน จะแบ่งออกได้เป็น 3 ส่วนคือ 1.)พิพิธภัณฑ์วาติกัน 2.)โบสถ์ซิสติน(Sistine Chapel) และ 3.)วิหารและจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Basilica & St.Peter Square) นอกจากนี้ในวาติกันยังมีสวนและโบสถ์อีกหลายแห่ง รวมไปถึงสำนักงานต่างๆ ที่นักท่องเที่ยวอาจจะไม่สามารถเข้าไปได้ครับ

การเดินทางมาวาติกัน สามารถใช้รถไฟใต้ดิน metro สาย A โดยลงได้ 2 สถานี สำหรับสถานี Cipro Musei Vaticani จะลงใกล้กับพิพิธภัณฑ์วาติกันมากกว่า สถานี Ottaviano San Pietro ที่จะลงใกล้จตุรัสเซนต์ปีเตอร์มากกว่า (การเข้ามาด้านหน้าจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ไม่ต้องเสียเงินเข้ามาแต่อย่างใด การเข้าชมพิพิธภัณฑ์เท่านั้น ที่จะเสียค่าเข้าชมครับ)


สำหรับพิพิธภัณฑ์วาติกัน เปิดให้บริการในวันจันทร์-เสาร์ ระหว่าง 9.00-18.00 (ตั๋วจำหน่ายถึง 16.00)
สำหรับวันอาทิตย์ เปิด 9.00-14.00 (ตั๋วจำหน่ายถึง 12.30)

ค่าเข้าชม 15 ยูโร (ฟรีสำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ปี) สำหรับในวันอาทิตย์สุดท้ายของเดือนจะเข้าฟรีครับ

สามารถซื้อตั๋วลวงหน้า และตรวจสอบวันหยุดได้ที่ //mv.vatican.va/ ครับ


ผมตัดสินใจที่จะเข้าวาติกันโดยเริ่มจากเดินชมพิพิธภัณฑ์ ที่อยู่ทางด้านหลังก่อน แล้วเดินออกมาทางจัตุรัสเซนต์ปิเตอร์ครับ อย่างที่ร่ำลือ เรื่องการต่อแถวเข้าคิว Vatican Museum เนี่ย ว่ารอนานถึง 2-3 ชม.ได้ ก็เป็นเรื่องจริงครับ ผมไปสายหน่อย ใช้เวลาต่อคิวตั้งแต่กำแพงวาติกันที่ติดถนน Via Leone IV มาจนถึงฝั่งถนน Viale Vaticano ที่เป็นทางเข้าพิพิธภัณฑ์ ก็เกือบ2 ชม.ครับ ในขณะที่ยืนจะมีไกด์มาคอยขายทัวร์เที่ยวชมวาติกัน รวมไปถึงขายน้ำดื่ม โปสเตอร์ต่างๆ พอให้เป็นสีสันครับ



แถวจะยาวตามแนวกำแพงวาติกันไปเรื่อยๆ





มาถึงด้านหน้าพิพิธภัณฑ์กันแล้วครับ





ส่วนหนึ่งที่แถวยาว ก็เพราะต้องเดินผ่านเครื่องตรวจโลหะ เพื่อตรวจอาวุธนั่นเองครับ หลังจากผ่านจุดตรวจ คนที่ยังไม่มีตั๋ว สามารถหาซื้อได้ที่เคาเตอร์จำหน่ายครับ



เมื่อผ่านเข้ามาด้านใน จะเห็นโดมของมหาวิหารเซนต์ปิเตอร์ (Saint Peter's Basilica) โดดเด่นอยู่ด้านหน้าครับ



สวน





ผลจากการรอคิวอันยาวนาน ทำให้ได้ทานมื้อกลางวันด้านข้างตึกของพิพิธภัณฑ์นี้เอง ทานเอาแรงอย่างเดียวครับ หารสชาติไม่ได้เลย



ตอนแรกเดินหลงมาในชั้นใต้ดิน ที่เป็นโรงเก็บพระราชรถของพระสันตปาปาแต่ละพระองค์ด้วย



มาตั้งต้น เดินเข้าสู่พิพิธภัณฑ์วาติกันกันครับ





ลูกโลกโลหะด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ ทีถือว่าเป็นลัญลักษณ์ของที่นี่



บริเวณรอบๆสวนด้านหน้า จะแสดงชาร์ตและตารางภาพเขียนสำคัญต่างๆในแต่ละส่วนด้วยครับ ว่าอยู่ที่ส่วนใด เพราะในบางส่วน จะงดถ่ายภาพซะด้วยซ้ำไป



ส่วนใหญ่จะเป็นภาพบนผนัง



ผมขอออกตัวก่อนนะครับว่า ไม่สันทัดกับการเดินชมพิพิธภัณฑ์แบบนี้เท่าไหร่ แถมคนที่เข้าชมยังมาก บางครั้งการเดินเลยเหมือนไหลตามคนหมู่มากเข้าไปเรื่อยๆ แถมบางจุด บางห้องก็มีการงดถ่ายรูปซะอีก





ทางเดินด้านในของพิพิธภัณฑ์

สำหรับพิพิธภัณฑ์วาติกัน จะจัดให้เราเดินไปตามลูกศร (ห้ามเดินย้อนศร) เพื่อชมการแสดงสมบัติต่างๆที่พระสันตปาปาทรงได้รับมา สำหรับในส่วนนี้ จะเป็นรูปปั้นในยุคสมัยโรมัน ที่นิยมปั้นให้เทพเจ้ามีเรือนร่างคล้ายคลึงกับมนุษย์มากที่สุด รูปปั้นหลายๆรูปจะมาจากตำนานกรีก หรือไม่ก็เป็นรูปปั้นของกษัตริย์จักรพรรดิท่านต่างๆ ช่วงปลายทางก็จะเป็นห้องเก็บสมบัติจากอียิปต์ และห้องพรมตามลำดับ นอกจากความสวยงามของรูปปั้นเหล่านี้แล้ว การมองดูจิตรกรรมฝาผนัง อีกทั้งเพดาน ที่มีจิตรกรชื่อดังมาวาดประกอบไว้ ก็ทำให้การชมพิพิธภัณฑ์วาติกันเพลิดเพลินได้ไม่น้อยครับ





ออกมาในส่วน



รูปปั้นของเพอซีอุส บุตรของซูส ผู้ฆ่าเมดูซ่า



ออกมาทางนี้ก่อนจะเดินต่อไปยัง ห้องเก็บสมบัติจากอิยิปต์และห้องพรม



ห้องพรม ที่แสดงเรื่องราวในคริสตศาสนา



ห้องพรมอีกเช่นกันครับ แต่พรมในห้องนี้จะแสดงเป็นแผนที่ของแคว้นต่างๆในอิตาลี ที่ศาสนจักรเป็นใหญ่



สุดปลายทางจะมีจุดจำหน่ายโปสการ์ด ภาพบางภาพที่ไม่สามารถถ่ายรูปได้ เพราะหลายๆสว่นก็ไม่ให้ถ่ายรูป สามารถหาซื้อโปสการ์ดที่ระลึกแทนได้ที่นี่ครับ



สำหรับในส่วนโบสถ์ซิสทิน (Sistine Chapel) จะมีภาพวาดบนฝาผนังที่เป็นผลงานของไมเคิลแองเจโล่และศิลปินอื่นๆอีกนับสิบท่าน ภาพที่สำคัญๆบนเพดานได้แก่ Adam and Eve, Last Judement เป็นต้น หอสวนซิสทินนอกจากมีศิลปะอันงดงามแล้ว ยังใช้เป็นสถานที่เลือกพระสันตปาปาองค์ใหม่อีกด้วยครับ

เนื่องจากหอสวนซิสทิน จะเป็นห้องเพดานสูงที่มีผนังหินขนาบทั้งสองด้าน ดังนั้นการเข้าไปด้านในจึงค่อนข้างอึดอัด เพราะอากาศถ่ายเทไม่ค่อยดี (สำหรับการให้นักท่องเที่ยวจำนวนมากๆเข้าไปชม) ที่สำคัญจุดนี้ยังเป็นจุดหนึ่งที่เข้มงวดเรื่องการใช้เสียง และถ่ายรูปครับ ในขณะที่คนมากับไกด์ทัวร์จะคอยอธิบายรูปบนฝาผนัง ก็จะมีผู้คุมคอยเตือนและเอ็ดตลอดเลยล่ะครับ ว่าให้เงียบ





ทางเข้ามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ คนที่ต่อคิวเยอะมากครับ

สำหรับในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ก็มีผลงานศิลปะมากมายให้ได้ชมกันครับ ที่สำคัญก็คงจะเป็นรูปปั้นหินอ่อน Pieta ของไมเคิลแองเจโล่ ที่เป็นรูปพระแม่มารีอุ้มร่างของพระเยซูหลังจากที่ท่านถูกตรึงไม่กางเขน



ออกมาทางด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์






ทหารสวิส (SwissGuard) จะมีหอกโบราณเป็นอาวุธประดับเกียรติ ซึ่งเป็นองครักษ์ของสันตะปาปาประมาณ 100 คน มีมาตั้งแต่ ค.ศ. 1506 การแต่งกายของทหารสวิส กล่าวกันว่าเครื่องแบบออกแบบโดย “มีเกลันเจโล” (ไมเคิลแองเจโล่ที่คนไทยรู้จัก) แต่แท้จริงแล้ว "ราฟาเอล" คือบุคคลที่พัฒนาชุดตามอิทธิพลทางศิลปะยุคเรเนซองและภาพเขียนของเขา ทหารสวิสทุกคนเป็นชาวสวิส และเป็นคาทอลิกที่ดีทหารสวิสแต่ละคนจะประจำการชั่วระยะหนึ่ง



ด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Basilica)





บริเวณ จัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Square) มีการจัดวางเก้าอี้ ไม่ทราบเหมือนกันครับว่า มีงานอะไร





ด้านหน้าของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ (Saint Peter's Basilica)



ตรงกลางของ Saint Peter's Square จะมีเสาโอบิลิสตั้งหระหง่าน ปลายยอดตกแต่งด้วยไม้กางเขน สัญลักษณ์ของคริสตจักร





เดินออกมาทางถนน Via Della Conciliazione พร้อมกับมุมสวยๆของ มหาวิหารเซนต์ปีเตอร์



ถนนด้านหน้าของจัตุรัสเซนต์ปีเตอร์ Via Della Conciliazione จะทอดยาวมาจนถึง Saint Angelo Castle ที่เป็นปราสาททรงกลมสูงริมแม่น้ำ Tiber สร้างขึ้นโดยกษัตริย์ Hadrian เพื่อใช้เป็นที่เก็บพระศพของพระองค์เองและสมาชิกในครอบครัว ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นที่ตั้งกองทหารรวมไปถึงที่คุมขังนักโทษ

จนถึงในสมัยสมเด็จพระสันตปาปานิโคลัสที่ 3 (Nicholas III)ได้มีการสร้างทางเชื่อมระหวางปราสาทนี้กับวิหารเซนต์ปิเตอร์ เพื่อใช้เป็นทางหนีหากเกิดเหตุร้ายขึ้นกับพระสันตปาปา ทำให้เราสามารถมองเห็นกำแพงทอดยาวไปถึงตัววิหารเซนต์ปีเตอร์ ปัจจุบันปราสาทนี้เป็นที่ตั้งของพิพิธภัณฑ์แห่งชาติ (Museo Nazionale di Castel Sant' Angelo)

ด้านข้างของปราสาท (ทางไปวาติกัน) บนถนน Via Della Conciliazione ก็จะมีตู้ Tourist Information ที่สามารถหาซื้อ Roma Pass ได้ครับ





เนื่องจากผมเพิ่งใช้ Roma Pass ไปเพียงครั้งเดียว (ที่โคลอสเซียม) เลยได้ใช้ประโยชน์เข้าที่นี่ได้ฟรีครับ

ค่าเข้าชมปราสาท 8 ยูโร

(คิดแล้ว เหมือนว่าจะคุ้มมั้งครับ ซื้อ Roma Pass มา 25 ยูโร ใช้รถไฟใต้ดินและขนส่งอื่นฟรี 3 วัน + ค่าเข้าโคลอสเซียม 12 ยูโร +เข้าที่นี่อีก 8 ยูโร)





การเดินในปราสาท ตอนแรกจะเดินผ่านเส้นทางมืดๆของตัวอาคาร ก่อนที่จะออกมาถึงชั้นบนอย่างนี้ครับ หลายๆจุดก็จะมีอาวุธ (ที่ใช้มนอดีตจริงๆ) ตั้งเอาไว้



ด้านนอกของปราสาทก็จะเป็นสะพาน Ponte St.Angelo ที่ข้ามผ่านแม่น้ำไทเบอร์ จุดนี้ ถือเป็นแหล่งซื้อสินค้าของที่ระลึกราคาถูกได้ดีอีกจุดหนึ่งเลยครับ



สะพานสำหรับหลบภัย ที่ทอดยาวจากตัวปราสาท ไปยังมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์



ด้านบนของปราสาท ยังมีร้านค้าให้บริการอาหาร กาแฟและเครื่องดื่มอื่นๆ ที่บรรยากาศร่มรื่นใต้เถาองุ่น และสามารถชมวิวของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ในมุมสูงจากตรงนี้ได้ด้วย



อีกมุมสวยของปราสาท จากในสวนรอบๆ



หลังจากนั้นก็เดินชมเมือง



หลังจากยังไม่ได้ทานอะไรเป็นชิ้นเป็นอันในมื้อกลางวัน ก็หาอะไรรองท้องตอนบ่ายแก่มากๆ ในร้าน Borgo Nouvo



เป็นเนื้อย่าง (ผมจำชื่อภาษาอิตาเลี่ยนไม่ได้ซะแล้ว) มาพร้อมกับผีกและซีสขูด แน่นอนครับ ต้องทานคู่กับไวน์ 55



อีกจานเป็นหอยแมลงภู่





ของหวานเป็นขนมที่มาจากสรวงสวรรค์อย่าง



และแล้วก็เดินกลับที่พักกันก่อนครับ



หลังจากกลับไปห้องพัก พร้อมกับเผลองีบไปพักใหญ่ (ผมมีอาการเหมือนจะเป็นหวัดตั้งแต่ไปลุยฝนใน disneyland ไหนจะเจออากาศเย็นของปารีสอีก) ก็ออกมาเดินเล่นรอบๆที่พัก เดินเลยไปจนใกล้ๆสถานี Cipro Musei Vatacani ซึ่งเลยไปก็จะเป็นแถบที่อยู่อาศัยของชาวเมือง ในรูปแบบห้องแบบอพารต์เมนต์และยังมีโรงเรียน โบสถ์ที่อยู่ใกล้ๆกัน

มื้อค่ำ จึงกลายเป็นแซนวิชเบาๆ (เพราะยังอิ่มจากการนอนและมื้อบ่ายแก่ๆอยู่) ที่ร้านแซนวิชไอเดียเก๋ที่ชื่อ Le Scalette

ที่ว่าไอเดียเก๋ก็เพราะ แซนด์วิชแต่ละอัน จะมีชื่อเรียกตามดาราภาพยนตร์มากมายครับ ทั้งสมัยเก่า และปัจจุบัน ตามลักษณะของแซนด์วิชในแต่ละแบบ



เมนูที่ว่าเก๋



บรรยากาศของร้านอยู่ใกล้ชุมชน ทำให้เห็นวิถีชีวิตของคนที่นี่ได้ไม่น้อยเลย



มื้อนี้จึงเป็นการร่ำสุรา (ไวน์) ไปซะ 2 ขวด อีกหนึ่งมื้อครับ




 

Create Date : 07 ธันวาคม 2553    
Last Update : 7 ธันวาคม 2553 9:39:42 น.
Counter : 6857 Pageviews.  

rome day 6 รอบโรม Trevi fountain-Pantheon-Colosseum

หลังจากพักผ่อนกันเต็มที่ จากการเดินทางปารีส-โรมในวันเมื่อวาน วันนี้ก็สดชื่น พร้อมตะลุยกรุงโรมกันแล้วครับ

ถ้ามองจากแผนที่ จะเห็นว่า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจะอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก ดังนั้นการเดินเล่นในโรมจึงทำได้ไม่ยากครับเพราะกว่าจะถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ มักจะมีน้ำพุ หรือจัตุรัสต่างๆ ให้เราพักผ่อนหย่อนใจ มองดูวิถีชีวิต ตลาดบ้านเมือง ของโรมไปเรื่อยๆครับ อย่างที่มีคนเคยพูดว่า มาโรมให้มาดูน้ำพุเนี่ยแหละครับ



แผนภาพที่เที่ยวหลักๆภายในกรุงโรมครับ



สำหรับคนที่จะอาศัยบริการรถไฟใต้ดิน สำหรับกรุงโรม จะมีรถไฟใต้ดินหลักเพียง 2 สาย คือ metro A และ B ที่มีสถานีลงอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอยู่ครับ แถมแผนที่ในรถไฟใต้ดิน จะบอกเลยว่า แต่ละสถานีเมื่อลงแล้วจะเจอแหล่งท่องเที่ยวใด ทำให้การท่องเที่ยวด้วยตนเอง ไม่ยากเลยสำหรับนักท่องเที่ยว

สำหรับค่าโดยสาร metro จะราคาเพียง 1 ยูโร ต่อเที่ยว โดยไม่จำกัดระยะทาง (แต่จำกัดเวลาอยู่ในระบบได้เพียง 75 นาที) สำหรับตั๋ววัน และตั๋ว 3 วันจะอยู่ที่ 19 และ 25 ยูโร ตามลำดับ (สำหรับตั๋วประเภทนี้จะรวมการโดยสารทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส รถรางและรถไฟเอาไว้ร่วมกัน)

ถ้าให้ผมแนะนำ ให้ซื้อเป็นเที่ยวไปดึกว่าครับ เพราะถูกกว่าตั๋ววันมาก แถมซื้อตั๋วก็สะดวกด้วยตู้อัตโนมัติ


สำหรับคนที่มีแผนจะเข้าพิพิธภัณฑ์ การใช้ Roma Pass น่าจะคุ้มที่สุดครับเพราะสามารถใช้เดินทางโดยขนส่งมวลชนทุกระบบในโรมได้ภายใน 3 วัน แถมยังเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ฟรีอีก 2 แห่งครับ โดยแห่งที่ 3 เป็นต้นไปจะมีส่วนลดพิเศษ Roma Pass ราคา 25 ยูโร และหาซื้อได้ที่ Tourist Information ที่สนามบิน และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆครับ (ที่แน่ๆสามารถใช้ Roma Pass เข้าโคลอสเซี่ยมได้ แต่พิพิธภัณฑ์วาติกันกลับใช้ไม่ได้ครับ)



สำหรับที่พักของผม จะอยู่ใกล้วาติกัน ตรงกับสถานี Ottaviano San Petro (บน metro สาย A) นั่งรถไฟอีก 2 สถานีก็จะถึงสถานี Flaminio Del Popolo



เมื่อมาถึงแล้วจะเจอประตูใหญ่แบบนี้ เราต้องเดินเข้าไปอีกทีครับ



รถรางก็มาถึงที่นี่ครับ






ทางเข้าของจัตุรัส Piazza del Popolo ครับ



Piazza del Popolo เป็นจัตุรัสที่หรูหราของกรุงโรมมาตั้งแต่ปี 1538 ซึ่งแต่แรกเป็นเพียงจัตุรัสรูปสี่เหลี่ยมคางหมูธรรมดา ต่อมาในปี 1589 พระสันตปาปาซิกตุสที่ 5 รับสังให้โดเมนีโก ฟอนตานาสร้างน้ำพุ ประดับด้วยเสาโอบีลิสของอียิปต์ (เสาโอบีลีสอายุกว่า 3,200 ปี ถูกขนย้ายมาในสมัยที่เข้าไปรุกรานอิยิปต์ เสาโอบีลิสนี้สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์ราเมเซสที่ 2 ของอียิปต์) ต่อมาจักรพรรดินโปเลียนได้ว่าจ้างให้ จูดเซปเป วาลาดีแยร์ แปลงโฉมจัตุรัสในช่วงปี 1811-1824 จนเป็นศิลปะนีโอคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน เป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ ซึ่งอ้อมขึ้นเนินเขาปินซิโอที่สูงชัน ไปตามถนนคดเคี้ยว วาลาดีแยร์ยังเพิ่มรูปปั้นสิงโตให้กับน้ำพุอีกด้วย

สำหรับจัตุรัส Piazza del Popolo จะขึ้นชื่ออีกเรื่องเกี่ยวกับการเป็นจตุรัสที่มีศิลปินเปิดหมวก เข้ามาเปิดทำการแสดงให้ชมอยู่ไม่น้อยครับ แต่ผมมาแต่เช้า เลยมีมาไม่กี่เจ้าเอง



สิงโตทั้ง 4 มีแต่คนแย่งกันขี่ แย่งกันถ่ายรูป





มุมหนึ่งจะเป็นเนินเขาปินซิโอ ด้านบนก็เป็นสวนสาธารณะ



เช้านี้มีเพียงหุ่นเทพีเสรีภาพมาทำมาหากินครับ



ว่าแล้วก็กลับลงรถไฟใต้ดินครับ



นั่งรถไฟใต้ดินต่อมาอีก 2 สถานี (ยังอยู่บน metro สาย A เช่นกัน) จะถึงสถานี Barberini-Fontana di Trevi เพื่อไปชมน้ำพุเทรวี น้ำพุชื่อดังที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องแวะเวียนมาที่นี่

และสำหรับจุดนี้ ผมวางแผนจะเดินชมบ้านเมืองไปเรื่อยๆ จนถึงโคลอสเซียมเลยครับ

เมื่อออกจากสถานี Barberini-Fontana di Trevi จะพบน้ำพุ Barbertini ให้พยายามมองพื้นที่น้ำพุตรงนี้ให้เหมือนกับลูกศร แล้วเดินไปตามปลายแหลมของลูกศร (หรือทางทิศตะวันตกเลยครับ)



เดินมาจะเจอป้ายบอกทางไปน้ำพุเตรวีแปะอยู่บนตึกอย่างนี้ครับ เนื่องจากน้ำพุจะอยู่ในแหล่งชุมชน บางคนอาจคิดว่าหาทางไปลำบาก ต่อให้มากับกลุ่มทัวร์ ก็ต้องเดินเข้าไปอีกครับ (เพราะรถเข้าไปถึงน้ำพุได้ค่อนข้างลำบาก) ดังนั้นการเดินตามกลุ่มทัวร์(ฝรั่ง) ไปเรื่อยๆ ก็จะช่วยให้เราไม่หลงทางครับ 55 เพราะใครๆก็มุ่งหน้าไปน้ำพุเตรวี



เห็นไหมครับว่า นักท่องเที่ยวล้นหลามเลยล่ะครับ



Trevi Fountain น้ำพุเตรวีสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์อากริปปาเมื่อ 19 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นการสร้างน้ำพุอยู่ตรงปลายสะพานส่งน้ำของน้ำพุธรรมชาติที่ได้ค้นพบ การออกแบบสถาปัตยกรรมรอบๆโดยฝีมือสถาปนิก Nicola Salvi เป็นแบบสถาปัตยกรรมบาร็อก

ส่วนกลางของน้ำพุเป็นรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูนขี่รถม้าติดปีก อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักรนั่นเองครับ






สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ การยืนกลับหลัง โยนเหรียญข้ามไหล่ แล้วอธิษฐาน เพื่อที่จะจะได้กลับมาเยือนที่โรมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่มีพลาดหรอกครับ



สำหรับมื้อกลางวันวันนี้ขอดื่มด่ำบรรยากาศน้ำพุเตรวี ด้วยร้าน Golden Bar ติดกับน้ำพุเตรวี



เลือกไวน์มาเรียกน้ำย่อย พร้อมกับสปาเก็ตตี้ meat ball ครับ






The Pantheon วิหารโบราณที่มีสภาพความสมบูรณ์มากที่สุด วิหารแพนธีออน หมายถึง ที่อยู่ของเทพเจ้าทั้งปวง ลักษณะของวิหารเป็นรูปทรงกลม มีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบโดมด้านบนของอาคาร โดยเว้นเป็นช่องวงกลมเพื่อให้แสงแดดส่งอเข้ามาได้ ที่เชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าบนสวรรค์ ตัวอาคารมีความกว้าง 43 เมตรและสูง 43 เมตรเช่นกัน ทางเข้าเป็นเสาหินใหญ่ 20 ต้น เพดานด้านบนประดับด้วยทองสำริดหนัก 20 ตัน ด้านหน้าจั่วสลักอักษรโรมัน "M.AGRIPPA.L.F.COS.TERTIUM.FECIT" หมายถึง กษัตริย์อากริปปาเป็นผู้สร้างวิหารนี้มาตั้งแต่ 27 ปีก่อนคริสตกาล





ช่องว่างบนหลังคา ที่ออกแบบให้แสงส่องเข้ามาด้านในตัววิหาร เป็นความชาญฉลาดของคนในสมัยโบราณที่ไม่ต้องใช้ไฟส่องสว่างด้านในวิหารเลย แต่ถ้าเกิดฝนตก ภายในวิหารก็มีช่องระบายน้ำออกเล็กอยู่บนพื้นทางเดินนะครับ สามารถสังเกตุกันได้






ความยิ่งใหญ่ของภายในวิหารครับ





ด้านหน้าของวิหารจะเป็นน้ำพุที่แกะสลักเพิ่มเติมภายหลังในปี 1575 ก่อนจะเพิ่มเติมเสาโอบีลิสของกษัตริย์ราเมเซสที่ 2 ในปี 1711




Piazza Navona สำหรับจัตุรัสนาโวนาเป็นจัตุรัสวงรียาวที่สร้างอยู่บนสนามกีฬาโบราณของจักรพรรดิโดมีเชียน ปัจจุบันนอกจากจะเป็นจัตุรัสที่รวมรวมผลงานศิลปะของศิลปินหน้าใหม่ๆที่มาโชว์ผลงาน ยังเป็นย่านของเก่าและมีคาเฟ่น่านั่งหลายๆร้าน ด้านข้างคือ โบสถ์ San Luigi dei Francesi ที่เป็นโบสถ์ประจำชาติฝรั่งเศสในกรุงโรม

น้ำพุตรงกลางของจัตุรัสคือ Fountain of th Four Rivers

ยังมีน้ำพุอีก 2 อัน นั่นคือ Fountain of Neptune ผลงานของ Giacomo della Porta ทางทิศเหนือ สำหรับทางทิศใต้คือ Fountain of Moor ออกแบบโดย Giovanni Lorenzo





Fountain of th Four Rivers น้ำพุที่อยู่กลางจัตุรัสนาโวนา มีรูปปั้นเทพเจ้าประจำอยู่ 4 ด้าน อันเป็นตัวแทนของแม่น้ำสายสำคัญ 4 สายในแต่ละทวีป คือ 1)แม่น้ำดานูบ (Danube) ทีไหลผ่านยุโรปตะวันออก ด้วยรูปปั้นเทพเจ้ากำลังพยุงเสาหินให้นิ่ง 2)แม่น้ำคงคา (Ganges) ในอินเดีย ด้วยรูปปั้นเทพเจ้าที่ดูผ่อนคลาย 3)แม่น้ำไนล์ (Nile) ในอียิปต์ ด้วยรูปปั้นเทพเจ้ามุดหัว และ 4)แม่น้ำ Rio de la Plata ในอเมริกาใต้ ด้วยรูปปั้นเทพเจ้าหัวล้านหมุนวน



รูปปั้นของเทพเจ้าทั้ง 4 ครับ






รูปปั้นของ Marco Minghetti หน้า Museo di Roma





แดดวันนี้ค่อนข้างแรงมาก เหมาะกับการเดินเที่ยวจริงๆ แถมอากาศก็ประมาณ 20 องศา สิ่งหนึ่งที่หาทานได้ง่ายก็ไอติมอิตาเลี่ยนสไตล์เจลาติโน่นี่แหละครับ ราคาถูกกว่าบ้านเรามากมาย ถ้วยละไม่ถึง 2 ยูโรดี






Campo de'Fiori หรือ ทุ่งดอกไม้ จัตุรัสนี้เป็นตลาดดอกไม้ และตลาดสดในช่วงกลางวัน มีอนุสาวรีย์คนสวมเสื้อคลุมมีฮู๊ดท่าทางบึกบึน ที่ก้มหน้ามองไปในบริเวณจัตุรัส สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์ดาโน บรูโน นักเทววิทยาผู้ถูกมัดกับหลักแล้วเผาทั้งเป็น ด้วยความเห็นนอกรีต ในช่วงปี 1600 ระหว่างการต่อต้านดารปฏิรูป






เดินมาถึงจัตุรัสเวเนเซีย (Piazza Venezia) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจัตุรัสสำคัญกลางกรุงโรม ด้านหน้าของจัสตุรัสนี้คือ อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II) กษัตริย์พระองค์แรกของอิตาลี ผู้รวมรวมชาติอิตาลีเข้าไว้ด้วยกัน ตัวอนุสาวรีย์จะตั้งอยู่บนเนินเขาแคปปิทอลไลน์ (Capitoline Hill) สร้างขึ้นในปี 1895-1911 ออกแบบโดย Giuseppe Sacconi ตัวอาคารเป็นหินอ่อน รายล้อมด้วยเสาหินขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นรูปปั้นกษัตริย์เอ็มมานูเอลที่ 2 ทรงม้า นอกจากนี้ด้านในของอาคารยังเป็นที่ฝังศพของเหล่าทหารทั้งหลายที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1

เนินเขา Capitoline Hill ถือว่าเป็นจุดที่เริ่มเข้าสู่พื้นที่ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของโรมันเลยล่ะครับ



อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II)






ที่นี่ก็แปลกอีกอย่างครับ คือ คุณลุง (น่าจะ รปภ.) ชอบเป่านกหวีดไม่ให้คนนั่งด้านหน้าอนุสาวรีย์นี่เลย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร จะว่านักท่องเที่ยวบางคนใส่กระโปรงสั้นๆ เมื่อนั่งแล้วอาจจะดูไม่สุภาพก็เป็นได้ เพราะอนุสาวรีย์นี้ค่อนข้างสูงชัน เมื่อเงยหน้ามอง สามารถเห็นอะไรต่อมิอะไรได้เหมือนกันครับถ้านั่งใส่กระโปรงสั้น แต่ผมใส่กางเกงยีนส์ขายาว ลุงแกยังเป่าเลย แค่จะพักเท้าซักหน่อยเองนะ





ด้านหน้าของอนุสาวรีย์นั่นคือ จัตุรัสเวเนเซีย (Piazza Venezia) ที่เอาไว้จัดงานต่างๆ



เมื่อเดินมาตามถนน Via del Fori Imperiali จากทางด้านซ้ายของ อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II) เราก็จะเข้าสู่บริเวณซาเมืองเก่าแก่สมัยโรมัน และถนนเส้นนี้จะนำเราไปสู่หนึ่งในสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ระดับโลกนั่นคือ โคลอสเซียม



Roman Forum เป็นซากเมืองปรักหักพัง จัตุรัสเก่าแก่ของชาวโรมันที่เป็นศูนย์กลางการค้า การเมืองที่มีอดีตยาวนานนับพันปี สร้างในสมัยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่งปกครองจักรวรรดิโรมันเป็นคนแรก ซึ่งนับว่าพระองค์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าเมืองจากก้อนอิฐให้เต็มไปด้วยหินอ่อน



ด้านหลังตึกสูงสีขาวก็คือ อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II) ด้านหน้าก็คือซากเมืองเก่าโรมันนั่นเอง



Roman Forum บนเนินเขา Capitoline Hill



เริ่มเจอนักรบโรมันโบราณ มารอให้บริการถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวแล้วครับ



เดินมาจาก Roman Forum ไม่ไกลนักก็จะเจอ Colosseum



โคลอสเซียม เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.72 ในสมัยองจักรพรรดิติตุส (Titus) โดยใช้ระยะเวลาในการก่อสรางเพียง 8 ปีด้วยแรงงานของนักโทษชาวยิว 12,000คน

ตัวอาคารของโคลอสเซียมมีลักษณะเป็นวงรี คลอบคลุมพื้นที่ 19,000 ตารางเมตร ยาว 188 เมตร กว้าง 156 เมตร สูง 48.50 เมตร โดยแบ่งออกเป็น 4 ชั้น แต่ละชั้นมีประตูโค้งทั้งหมด 80 บาน สามารถจุคนได้มากถึง 50,000 คน

โคลอสเซียมถือว่าเป็นสนามกีฬา ที่ใช้แข่งขันต่อสู้กันระหว่างนักสู้กับสัตว์ดุร้าย หรือระหว่างนักสู้ด้วยกันเอง โดยนักสู้เหล่านี้ ที่เรียกว่า Gladiator จะใช้ชีวิตอยู่ชั้นล่างสุด (Gladiator มาจากคำว่า Gladius ที่แปลว่า ดาบ) โดย Gladiator นี้อาจจะมาจากนักโทษ อาชญากร หรือเป็นบุคคลทั่วไปก็ได้ เกมกีฬานี้ถือเป็นเกมส์ที่ถูกกฎหมายจนถึงปี ค.ศ. 523

การเดินทางมาโคลอสเซียม สามารถใช้รถไฟใต้ดิน metro B สายสีน้ำเงิน เลือกลงที่สถานี Colosseo ได้เลยครับ จะออกมาเจอตัวโคลอสเซียมเลย



ช่องทางเข้าสู่โคลอสเซียมด้านในครับ





เมื่อเข้ามาจะเจอป้ายทางเข้าสำหรับกลุ่มทัศนศึกษา คนที่จองตั๋วมาแล้วจะอยู่ทางซ้าย ทางขวาจะเป็นคนที่ยังไม่มีตั๋ว



สำหรับค่าเข้าโคลอสเซียมอยู่ที่ 12 ยูโร สำหรับคนใช้ Roma Pass จะมีช่องพิเศษ (ไวกว่าคิวปกติมาก) ให้แตะบัตรผ่านเช้าไปได้เลย

สำหรับคนต้องการไกด์สามารถเพิ่มค่าไกด์ได้อีกที่ 4 ยูโร โดยมีรอบของแต่ละภาษาให้ดังนี้เลยครับ



เมื่อผ่านทางเข้ามาแล้ว



เดี๋ยวเราจะเดินขั้นไปชั้นบนกันก่อน



ด้านบนของโคลอสเซียม





มองผ่านลงไปจะเห็นด้านล่าง และชั้นใต้ดินที่เป็นที่อยู่ของบรรดา Gladiator



ประตูชัยคอนสแตนติน (The Arc of Constantine) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 312 เพื่อเป็นที่ระลึกแด่จักรพรรดิคอนสแตนตินที่รบชนะ Maxentius ที่สะพานมิลวิโอ (Ponte Milvio)



อีกฝั่งครับ



ภาพวาดแสดงบรรยากาศในอดีต



มุมล่างของโคลอสเซียม






มุมด้านหลังของโคลอสเซียม



เมื่อเดินเลยโคลอสเซียมไปตามถนน Via Labicana จะพบโบสถ์ San Clemente เป็นโบสถ์ขนาดเล็กที่มีตำนานและเส้นทางเดินลี้ลับใต้ดิน ที่สามารถมองเห็นลำดับชั้นของเมืองเก่าแก่และวัฒนธรรมอันล้ำค่าของกรุงโรม ย้อนไปสมัยกรุงโรมมีอายุประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งยังค้นพบอาคารในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 1



ภาพในโบสถ์ที่สงบ






ขากลับผมได้เดินผ่านสวนสาธารณะตรงข้ามโคลอสเซียม เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Cavour






 

Create Date : 03 ธันวาคม 2553    
Last Update : 3 ธันวาคม 2553 13:09:57 น.
Counter : 9794 Pageviews.  

1  2  3  

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.