Group Blog
 
All Blogs
 
ทริปแก้คัน 3 วันไปญี่ปุ่น #1 บินไปกับ Air Macau

ถือว่าเป็นทริปแก้คันความอยากไปญี่ปุ่นโดยแท้เลยล่ะครับ สำหรับทริปนี้ เพระมีแผนอยู่แล้วที่จะไปญี่ปุ่นช่วงปลายๆปี (ที่จริงก็มีแผนอย่างนี้มาสองสามปีแล้วนะครับ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้ไป) แต่ปีนี้คิดว่าจะไปแน่ๆ เลยลองพยายามขอ Visa ไปตั้งแต่กลางเดือนพฤษภาคม โดยลองขอ visa ประเภท multiple ไปซะด้วยซ้ำครับ ทั้งๆที่ก็ไม่เคยไปญี่ปุ่นสักครั้ง (ก็กะว่าจะไปตุลา) เอกสารก็ไม่ได้ยุ่งยากอะไร จะลำบากก็แค่ใบรับรองจากที่ทำงานเท่านั้น (ซึ่งเป็นราชการ ขอไปทีรู้หมดเลยว่าจะไปเที่ยวไหน) 


ไปยื่นเอกสารที่ตึกสีลมคอมเพล็กซ์ ชั้น 15 พร้อมกับเงิน 2,795 บาท (ค่าธรรมเนียม multiple visa 2,260 + ค่าบริการ 535 บาท) ยื่นไปตอน 9 โมงเช้า เที่ยงสถานทูตโทรมาถามผมแล้วครับว่า จะขอให้เป็นแบบ single visa ก่อนได้ไหมคะ เดี๋ยวจะดำเนินการคืนเงินส่วนเกินให้ด้วย แค่ได้ยินว่า visa ผ่านผมก็ดีใจ ยอมไปหมดซะทุกอย่างอยู่แล้วล่ะครับ (หารู้ไม่ว่าอีกไม่กี่เดือน ก็ไม่ต้องขอ visa ไปซะแล้ว) สรุปแล้วอีก 5 วันไปรับพาสปอร์ตคืน ก็ได้รับเงินคืนอีก 1,140 บาท (ปกติ single visa ค่าธรรมเนียม 1,120+ค่าบริการ 535 = 1,655 บาท) คราวมายื่นจ่ายเป็นราคา multiple ไป 2,795 ได้แค่ single visa 1,655 เหลือทอน 1,140 บาท ณ ตอนนั้นคิดอย่างเดียวครับว่า ก็ดีประหยัดไปตั้งพันกว่า แต่หลังจาก 1 ก.ค. ที่ญี่ปุ่นล้อฟรีปล่อยให้คนไทยไม่ต้องขอ visa เข้าประเทศได้นี่ ชักเสียดายเงิน 1,655 บาทแล้วแฮะ.. เอ๊ะยังไง


ได้ visa แล้ว ต่อไปก็คงเป็นเรื่องตั๋วเครื่องบิน ซึ่งคงเน้นถูกๆหน่อย เพราะกะไปไม่กี่วันช่วงหยุดยาวเข้าพรรษา ช่วงนั้น (พ.ค.) มีทั้งโปรการบินไทยไปญี่ปุ่น เกือบสองหมื่น โปรสายการบินใหม่ของบริษัททัวร์ยักใหญ่ของญี่ปุ่นอย่าง H.I.S. ที่เปิดมาที่ 3,990 บาท (แต่ต้องไปรอคิวข้ามวันเพื่อซื้อตั๋ว) กับโปร 9,990 บาท สำหรับคนขี้เกียจรอ ที่ทั้งสองแบบยังไม่รวมภาษีสนามบินอีกประมาณ 1,700 บาท ที่ถูกอีกตัวเลือกหนึ่ง ก็คือ Air Asia X แต่ว่าเราต้องบินลงไปกัวลาลัมเปอร์ก่อน เพื่อต่อเครื่องไปญี่ปุ่น แถมเวลาที่ถึงญี่ปุ่น (ฮาเนดะ) ก็ห้าทุ่มไปเลย ราคาตอนนั้นที่หาได้ก็ประมาณหมื่นสองนิดหน่อย


ไปๆมาๆ กลับไปเจอตั๋วของ Air Macau ครับ ไป-กลับกรุงเทพ-มาเก๊า-นาริตะ โตเกียว อยู่ที่ 10,850 บาท (เป็นโปรโมชั่นซื้อตั๋วล่วงหน้าก่อนสามสิบวันของไฟลท์จากกรุงเทพน่ะครับ) ขาไปนี่ต้องรอต่อเครื่องที่มาเก๊า 8 ชม. (ตอนแรกกะจะไปย่ำราตรีตะลุยคาสิโนมาเก๊าไปซะด้วยซ้ำ) แต่ขากลับนี่เวลาสวยเลย แถมยังเป็นสายการบินแบบเต็มรูปแบบ เลยตัดสินใจลองของดีราคาถูกซะหน่อยครับ แต่ด้วยความมึน จองไปจองมา กลายเป็นว่ามีเวลาเที่ยวไม่ถึง 48 ชม.ไปซะอย่างนั้น (นอนโตเกียว 2 คืนเอง)


ตกใจเรื่องตั๋วเครื่องบินไปไม่นาน ก็ต้องหาที่พักครับ เวลาในโตเกียวน้อยมาก เลยคิดพึ่งโฮลเทลเอาครับ เพราะกะเอาไว้ซุกหัวนอนเท่านั้น ที่เหลือจะได้ใช้เวลาเที่ยวข้างนอกแทน สุดท้ายเลือกเป็น Khaosan Tokyo Original เพราะเห็นว่าวิวด้านนอกสามารถมองเห็น Tokyo Skytree ได้กับทำเลใกล้ทางรถไฟแค่นั้นเองครับ จองผ่าน hostelworld มีค่าธรรมเนียมจอง 6.56$ (ประมาณ 210 บาท) กับต้องถือเงินสดไปจ่ายที่โฮลเทลเองอีก 3,960 เยน (ประมาณ 1,267 บาท) รวมแล้วก็ 1,477 บาทสำหรับสองคืน


สำหรับแผนการเที่ยว ครั้งนี้จะเป็นการเที่ยว Tokyo Disneyland และ DisneySea เป็นหลักเลยล่ะครับ ที่เหลือจะเป็นการเที่ยวสถานที่ใกล้กับที่พักและสถานีรถไฟที่แวะ คร่าวๆก็จะเป็น


20 ก.ค. BKK-MFM 21.50-01.15 เดินทางจากสุวรรณภูมิ

21 ก.ค. MFM-NRT 09.30-15.00 ถึงนาริตะ แล้วไป Tokyo Disneyland

22 ก.ค. เช้าเที่ยวระแวกอาซากุสะ แล้วไป DisneySea เต็มวัน

23 ก.ค. มีเวลาครึ่งวันเช้าไปชิูบูย่า แวะพระราชวังอิมพิเรียล ก่อนไปขึ้นเครื่องช่วงบ่าย NRT-MFM 16.00-19.50 ก่อนเปลี่ยนเครื่องกลับ MFM-BKK 22.30-00.30




สายการบิน Air Macau จะให้บริการอยู่ที่แถว N บริเวณประตู 7 ตั้งแต่เคาเตอร์ 1-4 เลยครับ ผมมาถึงสนามบินไวไปนะเนี่ย เพราะ Air Macau เปิดให้ Check in ก่อน เครื่องออก 2 ชม.ตรงเลยล่ะครับ ทั้งจากสุวรรณภูมิ และที่นาริตะ





เลยแวะลงไปหาอะไรรองท้องที่ Magic Food Point  บริเวณชั้น 1 ของสนามบินกันก่อนครับ ขึ้นชื่อว่าเป็นห้องอาหารราคายุติธรรมมากที่สุดในสุวรรณภูมิแล้ว ปกติผมชอบสลัดแขกของร้านซารีฟะห์ (ตรงหลังเคาเตอร์แลกคูปอง) เพราะหาสลัดแขกทานยากอยู่น่ะครับ มื้อนี้ แลกไป ร้อยนึง มีทอน 5 บาท (สลัดแขก 35 ข้าวหมกไก่ 50 น้ำเปล่า 10 บาท)





แหล่งพักใจถัดหลังจากผ่าน ตม.มาเรียบร้อยก็จะเป็น King Power Lounge ครับ สิทธิใช้ห้องรับรองภายในสนามบินสุวรรณภูมิของสมาชิกบัตร King Power Dutyfree ที่สมัครบัตรเพียง 500 บาท ก็ใช้สิทธิเข้าห้องรับรองได้เลย (แถมค่าสมัคร 500 บาทนั้นก็นำไปใช้ซื้อของได้ด้วยครับ เรียกว่าไม่เสียอะไรเลย มีแต่ได้)


เดินหาศาลาไทยทางด้านซ้ามือครับ แล้วเลี้ยวซ้ายอีกครั้ง ก็จะเจอเลาจน์ ซึ่งอาจจะมีอาหาร ขนมรับรองน้อยกว่าเลาจน์การบินไทย แต่ความสงบและปริมาณคนก็ไม่เยอะจนล้นเท่าของการบินไทยครับ แถมหาที่เสีบยชาร์จแบตโทรศัพท์ง่ายกว่าด้วย




ขนมวันนี้มีไม่ค่อยเยอะ แต่ว่ามีข้าวต้มไก่ให้ทานด้วย แต่ผมแทบไม่ได้แตะเลยครับ ยังอิ่มกับมื้อเย็นเมื่อครู่อยู่มาก ได้เข้ามาจิบน้ำพร้อมกับทานยาแก้ปวดหัว/ลดน้ำมูก/แก้เจ็บคอ กับชาร์จแบตเตอร์รี่โทรศัพท์ก็เท่านั้นเอง





ใกล้ถึงเวลา broading แล้วครับ เตรียมไปที่เกทกัน


เครื่อง boarding ตอนสามทุ่มพอดีครับ


เครื่องที่ใช้ไปมาเก๊าเป็นเครื่อง Airbus A321 (ลำสีส้ม) มีที่นั่ง Business class 8 ที่นั่ง ที่นั่งปกติ ลืมนับ 555 ส่วนของผมนั่งหลังประตูฉุกเฉินหนึ่งแถวครับ



ที่นั่งก็กว้างใช้ได้นะครับ สำหรับคนสูง 173 ซม.อย่างผม ขยับแข้งขาได้ นั่งไขว้ห้างก็ยังสบายๆ มีจอทีวีรวมด้วย




เริ่มเสิร์ฟอาหารประมาณสี่ทุ่มครึ่งได้ครับ มีแซลมอน (ที่ผมไม่ได้เลือก) กับเจ้านี่ (นี่มันผัดไทกุ้งชัดๆ 555)



ได้ถ่ายคุณเครื่องบินเมื่อตอนถึงมาเก๊าเอง ที่คิดว่าตลกอีกอย่างก็คือ หนังที่ฉายบนเครื่องน่ะครับ ทั้งๆที่เครื่องบินออกจากสุวรรณภูมิแท้ๆ ดันฉายหนังจีนเรื่อง Lost in Thailand เนี่ยนะ แทนที่จะฉาย build อารมณ์ผู้โดยสารขามาแทน


มาถึงสนามบินมาเก๊าตอนตีหนึ่งกว่าๆ สนามบินเงียบมาก ผมรู้สึกเจ็บคอ เริ่มมีน้ำมูก แผนที่กะจะไปตะลุยคาสิโนมาเก๊าเลยล้มเลิกไปครับ เพราะลองมองดูด้านนอกตรงที่จอดรถ ซึ่งจะมีรถของแต่ละคาสิโนที่คอยจอดให้บริการรับ-ส่ง อยู่ก็ไม่มี เลยตัดสินใจขึ้นบันไดเลื่อ Transit มารอบนสนามบินเลย (หารู้ไม่ว่า ย้อนกลับไป ตม.ไม่ได้แล้ว เพราะเป็นบันไดเลื่อนขาเดียว)



ขึ้นมาหน้าเกทก็หาที่นอนได้ไม่ยากครับ เยอะแยะไปหมด ที่สำคัญค่อนข้างสงบ แต่แอร์ช่วงกลางคืนอาจจะหนาวไปซักนิดอย่าลืมเตรียมเครื่องกันหนาวมาด้วยครับ อย่างผมก็หยิบยืมผ้าห่มจากเครื่องเมื่อตะกี้มาใช้ซะหน่อย ได้นอนยาวไปจนถึงเช้าเลยล่ะครับ




สำหรับจุดชาร์จแบตเตอร์รี่อุปกรณ์ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์มือถือ แบตสำรอง กล้องถ่ายรูป สนามบินมาเก๊ามีให้ครบครันครับ แถมด้วย Free Wifi แบบไม่มีเงื่อนไขอะไรให้ครั้งละ 1 ชม. พอครบก็สามารถต่อใช้ได้ไปเรื่อยๆครับ ถือเป็นความสะดวกสบายและทำให้การรอต่อเครื่องถึงร่วม 8 ชม. ไม่น่าเบื่อเท่าไหร่




เสียแต่เรื่องห้องอาหาร (ที่อยู่ชั้นบน) เท่านั้นครับที่เปิดสายพอสมควร 8 โมงกว่าถึงจะเปิดแน่ะ ผมเลยตัดสินใจแบกท้องขึ้นไปทาน brunch บนเครื่องแทน แต่ที่จริงถ้าจะผ่าน ตม.ออกไปก่อน แล้วหามุมนอนในสนามบิน (ก่อนจะผ่าน ตม.เข้ามาอีกที) ในสนามบินมาเก๊ายังพอมีร้านสะดวกซื้อ และ Mc Donald ที่ให้บริการ 24 ชม.อยู่นะครับ (ผมก็แลกเงินฮ่องกงมาเผื่อเอาไว้ใช้แล้วด้วยซ้ำ) แต่ด้วยสภาพร่างกาย ณ ขณะนั้น ผมเลยเลือกที่จะไม่ออกมาด้านนอก เพราะอยากจะนอนพักผ่อนอย่างเต็มที่แทน


ประมาณ 9.00 ก็เริ่ม broading ไฟลท์ที่จะไปนาริตะครับ สังเกตุได้ว่าใช้ code share กับ ANA



คราวนี้นั่ง Airbus A319 ไปโตเกียวกันครับ ตลอดทริปนี้ ได้นั่งทั้ง A319 A320 และ A321 ผมว่าที่แตกต่างกันจะเป็นแค่จัดที่นั่ง Business class ที่มี 4,6,8 ที่นั่งที่ต่างกันเท่านั้นเอง ส่วนที่นั่ง economy อย่างผมก็ไม่มีอะไรแตกต่างเท่าไหร่นะครับ แต่ประทับใจขาไปญี่ปุ่นนี่ก็เพราะ ขนาดนั่งที่นั่ง 7A ก็ยังได้นั่งคนเดียวทั้งแถว เลยนอนยาวสบายไปเลยน่ะครับ ขาไปญี่ปุ่นนี่ คนน้อยพอสมควรครับ (ต่างกับขากลับที่คนจะแน่นมาก)


อาหาร Brunch ของผมกว่าจะเสริฟก็ร่วม 11.00 เกือบหน้ามืด แล้วเจ้าหมี่เย็นที่อยู่ในกล่องเล็กด้านบน จะเจอกับเธอไปอีก 3 มื้อบนเครื่องบินเลยล่ะครับ


ได้นอนบนเครื่องอีกหนึ่งอิ่มครับ เพราะมีเวลาบินตั้ง 5 ชั่วโมง ก่อนที่จะเตรียมตัวร่อนลงที่สนามบินนาริตะ สำหรับ Air Macau จะลงที่ Terminal 2 นะครับ


เทียบงวงถึงหน้าเกทแล้ว เกทไกลมากกกก ต้องนั่งรถโมโนเรลของสนามบินเข้ามาตัวอาคารหลังอีกครับ


เมื่อมาถึง ตม. ที่ญี่ปุ่นค่อนข้างจะจัดระเบียบดีมากๆนะครับ คือ มีตั้งแต่พนักงานช่วยตรวจเอกสาร ว่าเรากรอกใบ ตม. มาเรียบร้อยแล้วหรือยัง และใบศุลกากร(สีเหลือง) พอจะถึงหน้าเคาเตอร์ ตม. ก็จะมีพนักงานช่วยชี้ทางให้ไปช่องที่มีคิวสั้น คอยจัดระเบียบให้ พอมาถึงหน้าเคาเตอร์ ตม.แล้ว พอสแกน passport เราไปแล้ว หน้าจอมอนิเตอร์ ที่จะสื่อสารกับเรา ให้เราคอยมองกล้องเพื่อถ่ายรูป และเตรียมนิ้วมือเพื่อปั๊มลายนิ้วมือไว้ ทั้งหมดนี้ เป็นภาษาไทยหมดครับ เจ๋ง ดีจริงๆ แถมพอเสร็จสิ้นกระบวนการ ตม.ยังทักทาย ขอบคุณ เป็นภาษาไทยซะด้วยครับ เรียกว่าได้ใจนักท่องเที่ยวไปเลย


ตอนผ่าน ตม.น่ะ ไม่เสียเวลาเท่าไหร่ (สำหรับผม) แต่ดันมาเสียเวลาก็ที่ ศุลกากรเนี่ยแหละครับ คือผมแบกเป้มาใบเดียว ก็ไม่มีอะไรต้องแสดงอยู่แล้ว พอยื่นเอกสารพร้อมใบศุลกากร ลุงศุลกากรดันชวนคุยแฮะ ไหงยูมาญี่ปุ่นน้อยจัง 3 วันเอง (ตรูพลาดจองตั๋วผิดวันไปนิดหน่อย) ประเทศไอมีที่เที่ยวเยอะนะ (รู้..รู้ลุง เอาไว้มาเก็บคราวหน้าน่ะ) ฯลฯ ลุงอย่าชวนคุย เวลาเที่ยวมีน้อย เดี๋ยวพลาดรถไฟ


หนีลุงศุลกากรมาได้ ก็หาป้ายบอกทางไปรถไฟเลยครับ


แผนแรกที่จะไป Tokyo Disneyland ด้วยรถบัสตรงไปจากสนามบินเลย ก็มาเปลี่ยนกระทันหันเลยล่ะครับ เพราะไปเห็นโปรโมชั่น บัตร Suica + NEX (Narita Express) ราคาคุ้มค่าอยู่ครับ เพราะถ้านั่งรถบัสไปก็ราคา 2400 เยนเข้าไปแล้ว



แต่ถ้าซื้อบัตร Suica + NEX ก็ราคา 5500 เยน โดยจะได้บัตร Suica มูลค่า 2000 เยน (มัดจำในบัตร 500 เยน ใช้งานได้จริงๆ 1500 เยน) กับสามารถขึ้นตั็วรถไฟ Narita Express เที่ยวไป-กลับ เฉลี่ยแล้วเที่ยวละ 1750 เยนเองครับ ถูกกว่ารถบัสก็เลยเปลี่ยนแผนไปทางรถไฟ



เมื่อลงมาถึงชั้นใต้ดิน เราจะพบสำนักงานบริการของ JR ทั้งซ้ายและขวามือเลย โดยถ้าใครจะหาซื้อบัตร Suica + NEX ให้มองทางซ้ายมือเลยครับ



เมื่อเข้ามารอคิว จะมีพนักงานมาคอยเตรียมและให้เราเลือกว่าจะซื้อตั๋วแบบใด และตรวจพาสปอร์ตเล้กน้อยครับ (เพราะตั๋วพวกนี้เป้นตั๋วพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยว) แล้วก็จะกรอกใบเล็กๆเอาไว้ให้เราถือ เพื่อความรวดเร็วเมื่อเราถึงหน้าเคาเตอร์ครับ



จะบอกว่า รอคิวซื้อตั๋วนี่ นานมากกว่ารอคิวที่ ตม.ซะอีกนะครับ



เมื่อได้ตั๋วมาแล้ว สามารถให้พนักงานช่วยจองตั๋วรถไฟสำหรับเข้าเมืองไปได้เลยทันทีครับ สำหรับตั๋วขากลับพนักงานจะออกตั๋วให้หนึ่งใบก่อน และเราต้องไปสำรองที่นั่งล่วงหน้า ในสถานีที่เราจะกลับอีกทีครับ ซึ่งสามารถจองผ่านเครื่องอัตโนมัติได้ไม่ยาก หนังสือคู่มือ ที่ได้รับมาพร้อมกับบัตรจะบอกอย่างละเอียดครับ


แล้วก้ไปรอรถไฟที่ชานชาลากันครับ แนะนำว่าถ้าไม่แน่ใจในสายรถไฟ สามารถสอบถามพนักงานที่ชานชาลาได้ทั้งนั้นนะครับ ถึงภาษาอังกฤษจะเป็นอุปสรรคของคนญี่ปุ่น แต่เขาก็พยายามที่จะช่วยเหลือเต็มที่ครับ อย่างขบวนที่ผมจะใช้ ก็มีคู่สามีภรรยาถามคุณลุงเจ้าหน้าที่รถไฟที่ยืนอยู่ที่สถานี ถึงคุณลุงจะอธิบายไม่ได้ แต่พอรถไฟมาถึง คุณลุงแกก็จะพยายามบอกให้คู่สามีภรรยานี้ขึ้นรถไฟขบวนของเขาน่ะครับ



ใครมีกระเป่าใบใหญ่ ก็มีพื้นที่ให้วางกระเป๋าเดินทางครับ


ที่นั่งก็สบายครับ ปรับเบาะได้อีก ทั้งขบวนก็สะอาดมาก



บนรถไฟยังมีบริการ Wifi ให้ฟรีด้วยนะครับ ลองศึกษาจากเบาะที่นั่งได้เลย


เนื่องจากเวลาที่เดินทาง เริ่มใกล้มื้อเย็นแล้ว เลยได้มีโอกาสทดลองอาหารกล่อง (bento) ของรถไฟครับ เป็นการรวมสุดยอดอาหารของอะไรบ้างก็ไม่แน่ใจ เห็นในป้ายโฆษณาเหมือนจะกล่าวถึง พร้อมกับชาเชียว (ชาจริงๆที่ไม่ไช่กากชาเติมน้ำตาลอย่างบ้านเรา) คู่นี้ 1,100 เยนครับ กินรองท้องก่อนไปสู้ศึกที่ดีสนีย์แลนด์ 555



พอเริ่มเข้าเขตโตเกียว ก็จะเห็น Tokyo Skytree แล้ว


ใช้เวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงจากสนามบินนาริตะ ก็ถึงสถานีโตเกียวครับ จะบอกว่าของฝากขึ้นชื่ออย่าง Tokyo Banana นี่หาได้ง่ายมากๆๆๆที่สถานีนี้ เรียกว่ามีแทบจะทุกร้านเลย





Create Date : 12 สิงหาคม 2556
Last Update : 12 สิงหาคม 2556 17:34:48 น. 4 comments
Counter : 9325 Pageviews.

 
อ่านเรื่องของคุณ แล้วได้ความรู้ จะไปบ้าง


โดย: สุมาลี สยาม IP: 58.9.142.190 วันที่: 12 พฤษภาคม 2557 เวลา:15:43:05 น.  

 
ทริปละเอียดดีครับ มีประโยชน์มาก ขอบคุณครับ


โดย: Popz IP: 58.97.3.82 วันที่: 2 กรกฎาคม 2557 เวลา:14:54:05 น.  

 
ค่ะ ชอบ ๆ เป็นประโยชน์มาก ๆขอบคุณค่ะ


โดย: มาลิน IP: 125.24.7.30 วันที่: 13 กรกฎาคม 2557 เวลา:18:16:44 น.  

 
พี่ครับ ขออีเมล ได้ไหมครับ มีเรื่องสอบถามเยอะเลยครับ อีเมลผม preecha_sit@truecorp.co.th ทักผมมาก็ได้นัครับ จะเป็นพระคุณมาก


โดย: aof Pree IP: 171.101.32.109 วันที่: 19 ตุลาคม 2557 เวลา:14:44:02 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.