Group Blog
 
All Blogs
 

ทริปล้างตา/เก็บตก สิงคโปร์ #4 Jurong Bird Park,Orchard

     

มาถึงวันสุดท้ายของทริปนี้กันแล้วครับ มีเวลาทั้งวันกว่าเรื่องจะออกก็ร่วมสี่ทุ่มแน่ะ โปรแกรมวันนี้จึงหลวมๆ ผ่อนคลายนิดนึงครับ เพราะเหนื่อยมาหลายวันแล้ว ช่วงเช้าก็จะไปเดินเล่นชมนกที่ สวนนกจูร่ง ก่อนที่ช่วงบ่าย-เย็นจะแวะ shopping ที่ถนนออร์ชาร์ด ค่ำก็เตรียมตัวกลับสนามบินกันครับ

   

   

   

เดี๋ยวนี้คนมาเที่ยวสิงคโปร์ มักจะไม่ค่อยสนใจการท่องเที่ยวดูสัตว์กันซักเท่าไหร่แล้วนะครับ ในขณะที่เมื่อก่อนนี่ สวนนกจูร่งกับ Night Safari จะเป็นโปรแกรมหนึ่งที่บริษัททัวร์จะต้องบรรจุเอาไว้ในโปรแกรมเลย

   

   

สำหรับกลุ่มสวนสัตว์ในสิงคโปร์ หรือ Wildlife Reserves Singapore จะรวมสิ่งที่น่าสนใจเอาไว้ 4 อย่างครับ ก็คือ Jurong Bird Park, Night Safari, Singapore Zoo และน้องใหม่อย่าง River Safari

   

   

สำหรับ Night Safari สวนสัตว์สิงคโปร์ และการล่องเรือชมสัตว์จะอยู่ใกล้ๆกันครับ เรียกว่าจัดโปรแกรมต่อกันไปเลยยังได้ เช่น บ่ายอาจจะเดินสวนสัตว์ หัวค่ำล่องเรือ River safari แล้วค่ำๆก็ต่อด้วย Night Safari

   

   

แต่สวนนนกจูร่งจะแยกออกไปอีกทางครับ วิธีเดินทางก็ไม่ยาก เราต้องไปยังสถานี Boon Lay ครับ

   

   

   

ผมตั้งต้นจากสถานี Chinatown ก็มาเปลี่ยนสถานีที่ Outram Park เพื่อไปใช้สายสีเขียว นั่งยาวไปอีก 11 สถานีเลยล่ะครับ (ใช้เวลาประมาณ 30 นาที ค่าโดยสาร 2.1 S$/ezlink 1.68S$) เพื่อลงที่สถานี Boon Lay เมื่อออกมาจากสถานีจะเจอห้าง (ชื่อเดียวกับสถานีเลย) เราจะต้องมาต่อรถเมล์ โดยใช้ Bus Interchange ซึ่งก็หาไม่ยาก เดินตามป้ายบอกทางมาได้เลยครับ สามารถใช้รถเมล์ได้ 2 สายนั่นคือ 194 หรือ 251 ใช้เวลาสิบกว่านาที ค่ารถก็เพียง 0.83 S$ ครับ

   

   

   

   

สวนนกจูร่ง เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 8.30-18.00 ครับ ค่าเข้าชม 25 S$ (ผมซื้อมาจาก Sea Wheel อยู่ที่ 18 S$)

   

   

   

   

สำหรับคนที่อยากเที่ยวสวนสัตว์มากกว่าหนึ่งแห่ง สามารถซื้อตั๋วล่วงหน้าโดยตรงจากหน้าเวปได้นะครับ แถมยังมีส่วนลดราคาพิเศษให้อีกด้วย (ที่สำคัญจ่ายด้วยบัตรเครดิตได้ ไม่ต้องถือเงินสดไปจ่ายที่ Sea Wheel Travel)

   

   

   

ตัวสวนนกสามารถเดินชมเองได้ โดยรวมแล้วจะใช้เวลาประมาณครึ่งวันก็ครบแล้ว แต่เราสามารถทุ่นแรงได้ด้วยรถที่จะพาเราชมรอบๆสวนนก (ในอดีตจะเป็นรถไฟโมโนเรลแต่ปัจจุบันงดให้บริการ)

   

   

   

โหลดแผนที่แบบละเอียดได้ที่นี่เลยครับ //www.birdpark.com.sg/assets/pdf/parkmap.pdf

   

   

   

เมื่อเข้ามาจะพบกับเรือลำใหญ่ที่ขนเพนกวินน่ารักๆเอาไว้จัดแสดงภายในครับ

   

   

   

   

   

   

   

สระของนกฟลามิงโก้ สีชมพู

   

   

   

ด้านในสามารถเดินชมแบบใกล้ชิดกับนกได้เลยครับ แต่ก็มีสิ่งที่ต้องระมัดระวังก็คือ ขี้นก ครับ ขนาดผมเดินอยู่ดีๆ ยังเกือบโดนนกขี้ใส่ซะแล้ว (โชคดีที่นกมันไม่แม่น)

   

   

   

   

นก Shoebill แบบว่ามาให้เห็นใกล้มากๆ

   

   

สวนนกจูร่งก็พยายามเอาใจเด็กๆ ด้วยการสร้างสนามเด็กเล่นพร้อมกับเป็นสวนให้เล่นน้ำแบบเล็กด้วยครับ ชื่อว่า Birdz of Play

   

   

   

   

   

สำหรับโชว์ของสวนนกจูร่ง จะมีทั้งหมด 2 ชุดครับ (ไม่นับรวม Lunch with Parrots ที่ค่อนข้างจำกัดคนและต้องซื้อตั๋ว/อาหารอีก)

   

   

- King of the Skies Show เป็นโชว์ในกลุ่มนกอินทรีย์และเหยี่ยว เวลา 10.00 และ 16.00 โชว์ประมาณ 20 นาที

   

   

- High Flyers Show โชว์น่ารักๆและการบินของนกหลากหลายสายพันธุ์ เวลา 11.00 และ 15.00 โชว์ประมาณ 30 นาที

   

   

จะเห็นว่าโชว์จะมีในช่วงเช้าและบ่ายนั่นเอง เวลาเหลื่อมกันประมาณ 1 ชม. เรียกว่าเดิยชมนกฆ่าเวลาไปพลางๆก็มาชมอีกโชว์ได้ทันครับ

   

   

อย่างผมเข้ามาสวนนกก็ก่อน 9.00 เดินชมทางปีกขวา ซักหนึ่ง ชม. ก็มาชม King of the Skies Show รอบ 10 โมงเช้าได้ทัน จบการแสดง ก็เดินดูนกในปีกซ้ายต่ออีกซัก ครึ่ง ชม. ก็มาชม High Flyers Show ต่อได้ทันครับ

   

   

   

   

King of the Skies Show เป็นโชว์ในกลุ่มนกอินทรีย์และเหยี่ยว จะอยู่ที่โรงละคร Hawk Walk ใกล้ๆกับสนามเด็กเล่น Birdz of Play นั่นเอง

   

   

   

   

จะเป็นการโชว์นกจำพวกเหยี่ยวหลายๆสายพันธุ์ครับ รวมไปถึงนกอินทรีย์และอีแร้ง (ที่มารุมทึ้งซากควายปูน)

   

   

   

   

   

ยี่สิบนาทีก็จบการแสดงครับ มีเวลาเดินเล่น เพื่อรอการแสดงอีกรอบเวลา 11.00 ครับ

   

   

   

   

   

   

ทางฝั่งปีกซ้าย จะเป็นนกที่จัดแสดงอยู่ในกรงซะเป็นส่วนใหญ่ครับ บางส่วนสามารถให้เราเดินเข้าไปภายใน เพื่อเข้าไปใกล้ชิดกับนกได้ด้วย

   

   

   

   

   

ถึงแม้ว่า นก และสวนสัตว์ที่สิงคโปร์ จะไม่ได้มีพันธุ์นกหรือสัตว์ที่มากมายอะไรนัก (เมื่อเทียบกับบ้านเรา) แต่จุดเด่นของเขาจะเป็นในด้านการจัดการ การดูแลสัตว์เนี่ยแหละครับ อย่างที่เห็นง่ายๆก็เรื่องการดูแลสุขลักษณะนี่แหละครับ ก่อน-หลัง เข้าไปชม จะมีอ่างล้างมือ ทางเดินแช่น้ำยาฆ่าเชื้อให้เราเดินผ่าน ถ้าเป็นบ้านเราหรือครับ อ่างน้ำก็มักจะน้ำไม่ไหล ยาฆ่าเชื้อก็แห้งไม่เคยเติม

   

   

   

   

มาถึงโรงละคร Pool Amphitheatre กันแล้ว มารอชม High Flyers Show กันครับ ซึ่งจะเป็นการแสดงความน่ารักของนกต่างๆ

   

   

   

   

   

   

โชว์ลักษณะนี้บ้านเราก็มีนะครับ จะเป็นการเอานกสองตัวมาแข่งบอลกันบ้าง โชว์นกเงือกคู่รัก โชว์ทักษะการบินของนก ที่ให้นกบินไปหาผู้ชม เล่นเกมส์กัน หรือบินผาดโผนลอดห่วงอะไรยังงี้

   

   

   

   

   

   

จบการแสดงประมาณ 11.30 ผมก็กลับแล้วล่ะครับ อากาศชักร้อนขึ้นเรื่อยๆ อากาศร้อนและฝนเนี่ยเป็นอุปสรรคตัวสำคัญของการเที่ยวสิงคโปร์ซะจริงๆครับ

   

   

   

ขากลับก็ย้อนกลับไปที่ป้ายรถเมล์เดิม นั่งรถเมล์สาย 194 หรือ 251 กลับไปเหมือนเคยได้เลยครับ ค่าโดยสาร 0.83 s$ เท่ากัน

   

   

   

กลับมาถึง Jurong Point ก็ถึงเวลาหาอะไรทานครับ เล็งร้าน Wendy's เอาไว้แล้วตั้งแต่ตอนออกมาจากสถานีรถไฟฟ้า นี่ก็เป็นอีกหนึ่ง fastfood ที่เคยมาเปิดที่เมืองไทยแล้วล้มหายไป จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยไปทานถึงซีคอนสแคว์โน้น (นานขนาดไหน)

   

   

   

   

   

มื้อนี้เป็นเบอร์เกอร์เนื้อ ชุ่มเนื้อมาทาน (อยากสั่งแบบ double เนื้อสองก้อนอยู่นะครับ แต่กลัวอิ่มจุก) กับซีซาร์สลัด ชุดนนี้ 10.55 S$ ก็แปลกดีนะครับที่ในต่างประเทศแทบจะทุกร้านที่เป็น fastfood มักจะมีเมนูผักหรือสลัดหาทานได้ง่ายๆนะครับ ในขณะที่เมืองไทยอุดมสมบูรณ์ไปด้วยพืชผัก กลับหาทานผีกยากซะอย่างนั้น

   

   

   

   

เดินเล่นในห้าง Jurong Point เนี่ยน่ะแหละ ก็จัดว่าเป็นห้างในแถบชานเมืองอยู่นะครับ แต่ก็ไม่ได้เบียดเสียดคนมากอะไร เดินได้สบายๆ ยิ่งถ้าใครรักอาหารญี่ปุ่น ตรงชั้นใต้ดินเป็นโซนอาหารญี่ปุ่นโดยเฉพาะเลย

   

   

   

   

ไปๆมาๆ ไปเจอสัตว์ในตำนานอย่างเฟอร์บี้ ที่ชั้นใต้ดินไปซะได้ครับ ราคาก็ 119.90 S$ (ก็เกือบ3000บาท) พนักงานก็ใจดีทำส่วนลดให้อีก 5 S$ จากที่ร้านเลย และเรายังสามารถขอทำ Vat Refund สำหรับสินค้าที่มูลค่าเกิน 100 s$ ได้อีกครับ (Vat ของสิงคโปร์คือ 6%)

   

   

   

ไปกันต่อที่ Orchard road กันดีกว่าครับ คราวนี้นั่งรถไฟฟ้ากันยาวเลย จากสถานี Boon Lay บนรถไฟฟ้าสายสีเขียว เราจะนั่งรถไฟเข้าเมืองไป 13 สถานี เพื่อเปลี่ยนเป็นสายสีแดงที่สถานี Raffles Places (ใครจะแวะชึ้นไปสั่งลาเจ้า Merlion ก่อนก้ได้นะครับ) แล้วนั่งรถ 4 สถานีก็จะถึง Orchard ครับ นั่งรถนาน 40 นาทียังงี้ ค่ารถก็แค่ 2.2 S$ เอง (ezlink 1.77 S$)

   

     

   

   

   

     

   

ห้างเด่นบนถนนออร์ชาร์ตก็คงจะเป็น ION นี่แหละครับ ที่มีแบรนด์ดังๆไว้เกือบครบเลย ถัดไปก็จะเป็นห้าง Wisma Atria และ Ngee Ann City ที่อยู่ถัดกันไป ฝั่งจรงกันข้ามก็จะเป็น Paragon, Lucky Plaza และ Tangs

   

   

   

     

   

แต่ที่น่าสนใจก็จะเป็นคุณลุง (ซึ่งก็มีหลายคน) ทีตั้งรถขายไอศครีมแบบสิงคโปร์ ในราคา 1 เหรียญเท่านั้นเอง เหมาะกับอากาศร้อนๆอย่างนี้มากครับ

   

   

   

   

   

ขนาดแค่วันเสาร์เอง คนนี้แน่นเต็มห้างกันไปหมดครับ ผมเลยหนีไปสนามบินตั้งแต่หกโมงเย็นเลยครับ เพราะยังไงไปซื้อของที่สนามบินก็ปลอดภาษี ไม่ต้องวุ่นวายทำเรื่องคืนภาษีอีก ที่สำคัญสนามบินชางฮี ยังมีโรงหนังให้ชมฟรีด้วย ในฐานะคอหนังต้องขอไปพิสูจน์ซะหน่อยครับ

   

   

       

   

จาก Orchard ผมเลือกที่จะไปเปลี่ยนรถไฟฟ้าที่สถานี City Hall เพื่อที่จะเปลี่ยนไปใช้รถไฟสายสีเขียวเพื่อตรงไปยังสนามบิน โดยเราจะต้องไปเลี่ยนขบวนรถไฟที่สถานี Tanah Merah ก่อนเพื่อเปลี่ยนขบวนรถเข้าสนามบินครับ ทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 41 นาที ค่าโดยสาร 2.1 S$ (ezlink 1.69 S$)

   

   

สัญลักษณ์ของ Terminal 1 ก็คงจะเป็น Kinetic Rain บริเวณ Lobby Check In นั่นเองครับ ซึ่งเป็นหยดฝนทำมาจากทองแดง 1.216 หยด ที่จะเคลื่อนตัวไปตลอดทั้งวัน

   

   

       

   

สำหรับใครที่จะขอ Vat Refund สามารถให้เจ้าหน้าที่ประทับตราก่อนผ่าน ตม.ได้ที่ด้านนอกนี้เลยครับ (แต่ถ้าใครลืม หลัง ตม.ก็ยังมีจุดประทับแบบนี้นะครับ ก่อนที่จะไปถึงเคาเตอร์คืนเงิน)

   

   

     

   

หลังผ่าน ตม.แล้ว ผมขอตัวไป Terminal 2 ก่อนเลยครับ เพราะโรงหนังจะอยู่ที่ T2 การเดินทางมาก็ง่ายครับ ภายในสนามบินก็มีรถไฟฟ้าให้บริการ

   

   

   

         

ก็เป็นโรงหนังขนาดเล็ก ประมาณ 40-50 ที่นั่งได้ เหมือนโรงหนังทั่วไป วนฉายอยู่ทั้งวันทั้งคืนครับ บางเรื่องก็ยังไม่ได้ฉายในบ้านเรานะครับ

   

   

ช่วงนี้ใครที่ซื้อของภายใน Dutyfree ของสนามบินชางฮี ยังมีสิทธิลุ้นรางวัลกับเกมส์อีกด้วยครับ รางวัลใหญ่ถึง 1,000,000 เหรียญสิงคโปร์เลย (25 ล้านบาทไทยเลยเชียว) แค่ซื้อของ แล้วมาลงทะเบียนที่ตู้นี้ รูด passport ผ่านเครื่อง ก็ได้ลุ้นรางวัลกันแล้วครับ

   

     

   

   

   

   

     

   

ภายใน Termainal 1 ยังมี The Social Tree เข้ากับยุตสมัยนี้จริงๆ

   

   

     

   

เที่ยวสิงคโปร์มาตั้ง 4 วัน แต่ลืมครับ ลืมกินข้าวมันไก่สิงคโปร์ O_o พลาดอย่างแรง พอจะหาทานที่ food court ในสนามบิน ก็ดันหมดเสียนี่ เลยได้ทานเป็นข้าวมันกับไก่อบแทน พร้อมเครื่องดื่ม ชุดนี้อยู่ที่ 7.5 S$ เป็นการใช้เศษเหรียญที่เหลืออยู่ให้หมดไปครับ

   

   

   

   

มาสรุปค่าใช้จ่ายสำหรับทริปล้างตา/เก็บตก สิงคโปร์ 4 วัน 3 คืนกันครับ

   

   

ค่าตั๋วเครื่องบิน Air Asia 4080 บาท

   

ค่าโฮลเทล 3 คืน 2122.50 บาท

   

   

บัตร Ez-link (12S$) และเติมเงินลงบัตรอีก 40 S$ รวม 1300 บาท

   

ซิมโทรศัพท์ 300 บาท

   

   

บัตรค่าเข้าสถานที่ต่างๆ

   

Sands Skypark (20S$) 500 บาท

   

Gardens by the Bay+Skywalk (28+5 S$) 825 บาท

   

Singapore River Cruise (ปกติ 18S$/ 8S$ Sea Wheel) 200 บาท

   

Night Safari (ปกติ 35S$/ 26S$ Sea Wheel) 650 บาท

   

Jurong Bird Park (ปกติ 25S$/ 18S$ Sea Wheel) 450 บาท

   

Legoland Malaysia (ปกติ 140 RM) ซื้อล่วงหน้าจากเวป 1120 บาท

   

รถทัวร์ไป-กลับ Legoland (20S$) 500 บาท

   

Universal Studios Singapore (ปกติ 74S$)

   

S.E.A. aquarium (ปกติ ปกติ 33s$)  USS+S.E.A.ซื้อล่วงหน้าจากเวป 2300 บาท

   

   

รวม 14,347.50 บาทครับ เรียกว่าจัดหนักจริงๆ

   

   

สำหรับอาหารและของกินทั้งหลาย 4 วัน ผมทานไปรวม 3,800 บาทครับ หาร 12 มื้อ ก็มื้อละประมาณ 300 กว่าๆ สำหรับค่าครองชีพสิงคโปร์ก็ไม่ถูกไม่แพงจนเกินไปครับ

   

   

รวมแล้วก็ทั้งทริปก็ประมาณ 18,000 ถือว่าเยอะนะครับ แต่พอดีว่าจัดหนักหลายสถานที่ท่องเที่ยวด้วยล่ะ

   

   

                             

   

สำหรับค่ารถไฟฟ้าในสิงคโปร์ เมื่อใช้บัตร Ez-link ก็ถือว่าทั้งทริปนี้ถูกกว่าประมาณ 6 เหรียญ ก็คุ้มกับค่าบัตรในราคาห้าเหรียญแล้วล่ะครับ ที่สำคัญยังได้บัตรกลับมาเป็นของที่ระลึกอีก ยังไงภายใน 5 ปีนี้ เดี๋ยวก็ต้องได้แวะกลับไปอีกจนได้ล่ะครับ ผมเชื่อว่าอย่างนั้นนะ

 




 

Create Date : 07 สิงหาคม 2556    
Last Update : 7 สิงหาคม 2556 17:34:10 น.
Counter : 3210 Pageviews.  

ทริปล้างตา/เก็บตก สิงคโปร์ #3 Universal Studios Singapore, S.E.A.aquarium

มาถึงวันที่ 3 ของทริปสิงคโปร์กันแล้วครับ วันนี้จัดให้ Universal Studios Singapore กันเต็มๆวันไปเลยครับ ถึงแม้ว่าผมจะเคยมา USS แล้วเมื่อครั้งที่สวนสนุกเพิ่งเปิดใหม่ๆ แต่ครั้งนั้นเครื่องเล่นหลายชิ้นก็ยังไม่ได้เปิดให้บริการ ที่สำคัญคราวก่อนก็มีเวลาเที่ยวแค่สี่โมงเย็นเองด้วย กลับมาคราวนี้จึงเป็นการเก็บตก USS อย่างสมบูรณ์แบบครับ


แผนการท่องเที่ยวของวันนี้คร่าวๆก็คือ


ไปถึงเกาะ Sentosa แต่เช้า แวะเดินเล่นแถวชายหาด และ Merlion ตัวใหญ่ซักหน่อย

10.00 Universal Studios Singapore เปิด เข้าไปเล่นตั้งแต่เช้าเลย ให้เวลากับที่นี่เต็มที่

บ่าย ให้เวลากับ S.E.A. Aquarium ซักประมาณ 2 ชั่วโมง ที่เหลือก็ย้อนกลับเข้าไปใน USS

19.00 USS ปิด แวะกลับมาหาอะไรทานและเดิน Shopping ที่ห้าง Vivo City

21.00 กลับไปฝั่ง Sentosa ใหม่ (ประหยัดได้ด้วยการใช้ทางเดิน) เพื่อชมแสงสี Crane Dance

21.30 ชมแสงสีของน้ำพุ Lake of Dreams

22.00 แวะไป Mustafa Centre ก่อนกลับเข้าที่พัก


ยอมรับว่าวันนี้นอนตื่นสาย ตื่นมาเกือบ 7.30 แน่ะครับ รีบอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟันด่วนเลย อาหารเช้าที่โฮลเทลก็ไม่ได้แตะอีกแล้ว


ผมนั่งรถไฟฟ้าจากสถานี Chinatown ไปยังสถานี Harbourfront ก็แค่สองสถานีเองครับ ใช้เวลาไปแค่ 5 นาที ค่าโดยสารก็ 1.5 S$ (ezlink 0.98S$) เมื่อมาถึงปลายทางแล้วให้เลือกทางออกใต้ห้าง Vivo City เลยครับ สถานีรถไฟจะไปเชื่อมกับชั้น 2B ของห้างพอดี


กองทัพต้องเดินด้วยท้อง เลยหาอะไรทานซะก่อนครับ เห็นร้าน Toast Box มีเซ็ทเมนูแกงไก่ ในราคา 8.5 S$ เลยเอามารองท้องซะหน่อย รสชาติแกงเหมือนจะเป็นมัสมั่นแต่ไม่ออกรสหวานอย่างบ้านเรา ชุดนี้อยู่ท้องนานมาก




เคล็ดลับ : สำหรับคนที่ขี้เกียจเดินขึ้นบันไดเลื่อนถึง 5 ชั้น (สถานีรถไฟอยู่ที่ชั้น 2B แต่สถานี Sentosa Station อยู่บนชั้น 3) ให้มองหาร้าน Subway เลยครับ จะมีลิฟต์อยู่ใกล้ๆ กดขึ้นไปชั้น 3 ออกมาก็จะเจอรถไฟโฒโนเรลเลย


ย้ำอีกครั้งว่า ค่ารถไฟโมโนเรลเข้าเกาะ Sentosa ขึ้นราคาแล้วเป็น 4 S$ (100บาท) จ่ายแค่ครั้งเดียวก่อนเข้าเกาะ ถ้าใครจะประหยัดสามารถใช้ Broadwalk อันเป็นทางเดิน (ผสมทางเลื่อน) ที่ยาวครึ่งกิโลเมตรกว่าก็ได้ครับ จะจ่ายเพียง 1 S$


สถานีรถไฟลอยฟ้าของ sentosa จะมีทั้งหมด 4 สถานีครับได้แก่

- Sentosa station อยู่บนห้าง VivoCity เป็นสถานีต้นทาง

- Waterfront Station สถานีที่รวมโครงการ Resort World Sentosa เอาไว้ทั้งหมด USS, S.E.A.aquarium,Crane Dance, Lake of Dream อยู่สถานีนี้ทั้งนั้น

- Imbiah station สถานีที่รวมจุดน่าสนใจ เครื่องเล่นสนุกๆบนเกาะตั้งแต่สมัยก่อน Merlion ตัวใหญ่จะอยู่สถานีนี้

- Beach station สถานีปลายทาง ลงสู่ชายหาด Song of the Sea จะอยู่สถานีนี้


แต่เดิมเกาะ sentosa เป็นหมู่บ้านชาวประมง ที่ต่อมาเกิดโรคระบาดจนทำให้ชาวประมงล้มตายเป็นจำนวนมาก จึงตั้งชื่อเกาะว่า เกาะแห่งความตาย (Balakang Mati, ภาษามลายู) ในช่วงสงครามล่าอาณานิคม เกาะ sentosa ยังเป็นป้อมปืนใหญ่ของกองทัพอังกฤษเพื่อปกป้องการโมตีจากทางน่านน้ำ จนเมื่อสิงคโปร์ได้รับเอกราช ทางรัฐบาลจึงพัฒนาเกาะที่มีเพียงชายหาดไว้พักผ่อน ให้กลายเป็น เกาะ Sentosa อันหมายถึง เกาะแห่งสันติภาพและความสงบ ปัจจุบัน sentosa ตั้งนิยามให้ตัวเองว่าเป็น Asian’s Favourite Playground และต่อมากลุ่ม Resorts World (เจ้าของเดียวกันกับเก็นติ้งที่มาเลเซีย) ได้ขอเข้ามาพัฒนาพื้นที่ในส่วนติดแผ่นดินใหญ่ จึงเกิดเป็นโครงการ Resorts World Sentosa ที่มีทั้งโรงแรม สวนน้ำ และดึงเอา Universal Studios มาไว้ที่นี่ จนกลายเป็นแหล่งดึงดูหลักของเกาะไปแทน


เสียตังค์ค่าเข้าเกาะตั้งร้อยนึงขอใช้รถไฟให้คุ้มหน่อยก็แล้วกันครับ เลยมาลงสถานีแรกที่ Beach Station จะเห็นเครื่องเล่น iFly Singapore อยู่ใกล้ๆครับ เครื่องนี้จะเป็นการจำลองการโดดร่ม และการบินครับ


เมื่อลงมาจากสถานีก็จะพบ ชายหาดที่จัดแสดง Songs of the Sea ครับ ปัจจุบันราคาตั๋วอยู่ที่ 12 S$ มีรอบการแสดงเวลา 19.40 และ 20.40 ต้องจองมาล่วงหน้านิดนึงครับ เพราะทัวร์มักลงที่นี่


ถ้าเราจะเดินชายหาด เมื่อหันหน้าออกทะเล ซ้ายมือจะเป็น Palawan Beach ส่วนขวามือจะเป็น Siloso beach ครับ ผมขอเดินไปแค่ทางหาด palawan ก็แล้วกันครับ


ชายหาดที่นี่ถือเป็นชายหาดแห่งเดียวของสิงคโปร์นะครับ ที่ลงเล่นน้ำได้ แต่สภาพก้ไม่น่าลงเล่นเท่าไหร่หรอกครับ

ย้อนกลับไปที่สถานี Imbian ดีกว่าครับ


แต่ก่อนสถานีนี้ ถือเป็นสถานีหลักที่รวบรวมเครื่องเล่นเลยนะครับ แถมมีตั้ง 10 อย่างแน่ๆ


1.The Merlion 2. Images of Singapore 3.Tiger Sky Tower 4.Butterfly park & Insect kingdom 5. Cable car

6.Sentosa 4D Magic 7.Sentosa CineBlast 8.Desperados 9.Extreme Log Ride! 10.Sentosa Luge & Skyride



ปัจจุบัน คนมักให้เน้นเที่ยวแต่ USS ส่วนหน้ากันมากกว่าครับ ในโซนนี้เลยเงียบมากๆ แต่ถ้าใครมีเวลาซัก 2 วัน สำหรับ Sentosa ก็สามารถซื้อตั๋วรวมราคาพิเศษได้นะครับ ช่วงนี้เห็นโปรเยอะมาก



หรือถ้าใครจะเน้นแต่เครื่องเล่นเก่าๆไม่เอาส่วน resorts world ก็มีโปรให้ครับ


The Merlion หรือสิงโตทะเลตัวพ่อ (ที่สูงถึง 37 เมตรแน่ะ) นี่ดูหงอยไปเลยครับ คนไม่ค่อยแวะเข้ามาเท่าไหร่


พวกเราคอยคุณๆอยู่นะครับ



Merlion Walk เป็นทางเดินด้านหลังรูปปั้น Merlion เป็นน้ำพุทำจากโมเสกสีสันต่างๆมาประดับ บนทางเดินที่ยาว 120 เมตร นอกจากนี้ยังทำเป็นสัตว์ประหลาดหลายๆอย่างตามตำนานของชาวเรือครับ


เดินย้อนมาอีกหน่อย ก็จะถึง Lake of Dreams ครับ


Universal Studios Singpore เปิดให้บริการระหว่าง 10.00-19.00 ครับ ปัจจุบันค่าตั๋วอยู่ที่ 74 S$ และมี Express pass จำหน่ายเพิ่มอีก 30S$ (เป็นบัตรช่วงทางด่วนเล่นเครื่องเล่นได้เลยไม่ต้องรอ)


สำหรับทริปนี้ ผมซื้อตั๋ว USS (ปกติ 74S$) และ S.E.A.aquarium (ปกติ 33S$) ล่วงหน้ารวมมาในราคา 92 S$ ครับ โดย print ตั๋วแล้วนำมาใช้ scan ทางเข้าด้านหน้าได้เลยทันที


ใกล้สิบโมงเช้าแล้ว เตรียมตัวกันครับ


สวนสนุกแบ่งออกเป็น 7 โซน เครื่องเล่นทั้งหมดมี 20 กว่าชิ้น ตาม List นี้เลยครับ



Hollywood บริเวณทางเดินเข้าที่เนรมิตรถนนฮอลลีวู๊ดมาไว้ที่นี่ สองข้างทางเต็มไปด้วยร้านค้าและตัวการ์ตูนที่จะคอยออกมาถ่ายรูปกับเรา





นอกจากนี้ยังมีโชว์การแสดงด้านนอก ด้วยด้านหน้าร้านอาหาร



สำหรับเครื่องเล่น/โชว์ของโซนนี้ จะมีเพียงอย่างเดียวครับ นั่นคือ Monster Rock ที่โรงละคร Pantages Hollywood Theater


โดยเป็นการแสดงร้องและเต้นในธีมของผีและปิศาจ โดยมีเด็กหนุ่มคนหนึ่งได้ปลุกชีพผีหลายๆตัวขึ้นมาจากกล่อง แล้วผีแต่ละตัวก็อยากจะร้องอยากจะเต้นกันทั้งนั้น สนุกและมันส์ไปกับเสียงเพลงที่เราคุ้นๆหูกันดี ถึงจะมีเพลงล้าสมัยอย่าง Nobody อยู่บ้างก็เถอะครับ อีกอย่างก็คือ ไหงคาแรคเตอร์ของ Phantom of the Opera ช่างแต๋วแตกซะขนาดนั้น


ยังไงก็เช็ครอบการแสดงจากแผ่นพับด้านหน้าด้วยนะครับ และเข้ามานั่งรอก่อนการแสดงซักเล็กน้อย เพราะเมื่อเริ่มแสดงแล้ว เราจะไม่สามารถเข้าไปในโรงละครได้เลยครับ เพราะจะเป็นการรบกวนสมาธิของนักแสดง






New York


จำลองบรรยากาศของเมืองหลวงของโลกอย่างนิวยอร์ค จำลองถนน โรงละคร และห้องสมุดเอาไว้ที่โซนนี้ครับ




เครื่องเล่นในโซนนี้ จะมีอยู่ 2 ชิ้นครับ ที่เปิดใหม่เลยก็คือ


Sesame Street Spaghetti Space Chase นั่งไปในการผจญภัยของเซซามิ สตรีทกันครับ เมื่อสปาเก็ตตี้ทั่วโลกโดนขโมยไป เราต้องออกไปหาตามและนำสปาเก็ตตี้กกลับมาสู่โลกให้ได้





มันดูเด็กมากนะครับ แต่ก็สนุกดี ด้านนอกยังมีตัวการ์ตูนออกมาคอยถ่ายรูปด้วย


กับ Cookie Monster


เครื่องเล่นอีกชิ้น เรียกว่าเป็นการโชว์เทคนิคการถ่ายทำดีกว่าครับ


Lights, Camera, Action! Hosted by Steven Spielberg ผู้กำกับสตีเว่น สปีลเบิร์ก จะนำเราเข้าสู่กองถ่ายทำหนัง จำลองฉากหนึ่งของท่าเรือในนิวยอร์ค ที่กำลังจะโดนพายุถล่ม ซึ่งจะมีทั้งลม ฝน ไฟ เอฟเฟ็คต่างๆ ที่น่าตื่นตาครับ




ห้อง build อารมณ์ก่อนที่จะเข้าสู่ฉากที่จำลองของจริงครับ



ทางด้านหน้าโรงละคร ยังมีโชว์ B boy คอยเล่นกับคนที่เดินผ่านไปผ่านมาด้วยครับ


สำหรับผมต้องแก๊งส์ Sesame Street ครับ อย่าง Bert, Oscar The Grouch และ Cookie Monster




Sci-Fi City


เมืองแห่งอนาคต เป็นโซนที่รวมรวมเครื่องเล่นมันส์ๆเอาไว้ด้วยกันเลยล่ะครับ


อุ่นเครื่องกันก่อนด้วยจานหมุน Accelerator




เจ้ารถ Bumber B จากหนังดัง Transformers



ถัดไปเป็นเครื่องเล่นที่คิวยาวที่สุดนั่นคือ TRANSFORMERS The Ride : The Ultimate 3D Battle ที่ให้เรานั่งไปในรถ พร้อมกับสวมแว่นสามมิติ ให้บรรยากาศเหมือนเราได้ผจญภัยไปในภาพยนตร์จริงๆครับ เครื่องเล่นนี้พลาดไม่ได้เลยล่ะครับ สนุกมาก



Battlestar Galactica: CYLON (รางสีฟ้า) และ Battlestar Galactica: HUMAN (รางสีแดง)


เป็นรถไฟเหาะ รางคู่ที่สูงที่สุดในโลก โดยรางสีแดง HUMAN จะเป็นรถไฟเหาะชนิดเท้าติดพื้น วิ่งด้วยความเร็ว 82 กม./ชม. ในขณะที่รางสีฟ้า CYLON เป็นรถไฟเหาะชนิดปล่อยเท้าผู้นั่งให้เป็นอิสระ และหมุนควงมากกว่ารางสีแดงหลายเท่าครับ รถไฟทั้งสองรางจะปล่อยออกไปพร้อมๆกัน และวิ่งสวนกันไปมาเพิ่มความเสียวเข้าไปอีก สำหรับผมแนะนำให้เล่นรางสีแดงก่อนครับเป็นการอุ่นเครื่อง ก่อนจะไปเสียวสุดเหวี่ยงกับรางสีฟ้าครับ






สำหรับการจะเล่นรถไฟเหาะทั้งสองขบวนนี้ เราต้องฝากของแทบจะทุกอย่างลงในตู้ Locker ที่มีบริการฟรี (ุ60นาที) บริเวณด้านข้างครับ เพื่อป้องกันอันตรายที่เกิดจากของที่ติดตัวเราจะหล่นไปในรางก่อนนะครับ ก่อนจะเล่นพนักงานจะ scan ตัวเราละเอียดเลยล่ะ


Ancient Egypt


ผจญภัยไปในดินแดนอียิปต์โบราณ ในธีมของภาพยนตร์เรื่อง The Mummy กันครับ


Revenge of the Mummy เข้าในภาพยนตร์ The Mummy เพื่อตามหา Book of Death ก่อนที่ฮิมโมเทพผู้ชั่วร้ายจะมาแย่งไปครับ ด้านในจะเป็นรถไฟเหาะแล่นในความมืด พร้อมกับเอฟเฟ็คของภาพยนตร์เล็กน้อย


ก่อนจะเข้าไปเล่น ก็จะมีการ scan ตัวและฝากของในตู้ locker กันก่อนนะครับ (ฟรี 40 นาที)



Traesure Hunters นั่งรถเข้าไปผจญภัยหาสมบัติในทะเลทรายกันครับ เนื่องจากเป็นเครื่องเล่นเด็กๆที่เล่นได้ทั้งครอบครัว คิวจะยาวเป็นพิเศษครับ แต่บางครั้งเจ้าหน้าที่อาจจะต้องการคนที่มาคนเดียว เพื่อจัดให้เต็มรถ อย่าลืมรีบแสดงตัวตัวเลยครับ single rider นี่มักจะได้รับการลัดคิวจัดลงรถก่อนเสมอ






The Lost World


ยังจำภาพยนตร์ที่ทำให้สัตว์ดึกดำบรรพ์อย่างไดโนเสาร์มามีชีวิตอยู่บนแผ่นฟิล์มได้ไหมครับ ในโซนนี้ก็จะพาเราไปพบประสบการณ์เช่นนั้นเหมือนกันครับ



Canopy Flyer นั่งเรือเหาะแบบส่วนตัว(4ที่นั่ง) เพื่อสำรวจบรรยากาศโดยรอบกันก่อนครับ ใครที่มาคนเดียวอย่าลืมแสดงตนและเข้าช่องทางพิเศษได้เลยครับ




Dino-Soarin นั่งเจ้าไดโนเสาร์บินได้กันครับ




Jurassic Park Rapids Adventure ล่องแก่งไปในพื้นที่เพาะพันธุ์ไดโนเสาร์ ก่อนที่เราจะเปียกจากการผจญภัย






เปียกออกมาก็มีตู้เป่าลมร้อน จ่ายครั้งละ 5S$ ให้บริการอยู่นะครับ แต่ว่าก็มักจะมีนักท่องเที่ยวคนอื่นคอยมาแจมใช้ฟรีกับเราอยู่เรื่อย



นอกจากนี้ยังมีหน้าผาไต่จำลองที่ต้องจ่ายเงินเพิ่มอีกนะครับ นั่นคือ Amber Rock Climb


สำหรับในโซนนี้จะมีแอคชั่นโชว์ที่เป้นไฮไลท์อย่าง WaterWorld ครับ



การเลือกที่นั่ง จะมีทั้งโซนเปียกและโซนแห้งนะครับ ระมัดระวังก่อนเลือกที่นั่งนิดนึง โซนเปียกนี่นักแสดงเขาจะลงมาเล่นกับเรา มีการฉีดน้ำใส่ ยังไงก็เปียกครับ ที่นั่งหลังๆจะแห้งครับ


สำหรับการแสดง จะเล่าไปในยุคที่ทั้งโลกปกคลุมไปด้วยน้ำทะเล เหมือนภาพยนตร์ Water World ก่อนที่ตัวร้ายจะออกมายึดฐานที่มั่นและนางเอกเอาไว้ พระเอกที่เป็นมนุษย์หลายพันธุ์ครึ่งปลาครึ่งมนุษย์ (เพราะมีเหงือกหายใจในน้ำได้) ต้องออกมาช่วยนางเอกไว้ครับ


ในอดีตนี่ Water World จัดว่าเป็นภาพยนตร์ที่ใช้ทุนสร้างมหาศาลเรื่องนึงนะครับ (ก่อนยุค Titanic จะมาดัง) แถมหนังก็ไม่คอยประสบความสำเร๊จในบ้านเกิดอย่างอเมริกาซักเท่าไหร่ ทำเงินไปยังไม่พอทุนสร้างเลย แต่กลับมาทำรายได้นนอกอเมริกาพอได้ชักทุนคืนหน่อย ทำให้ในสมัยนั้นออลลีวู๊ด เริ่มมองตลาดนอกอเมริกากันมากขึ้น สำหรับพระเอกของเรื่องอย่างเควิน คอสเนอร์ (เด็กสมัยนี้จะรู้จักไหมน่ะ) หลังจากหนังเรื่องนี้เรียกว่าเป็นขาลงของเขาเลยล่ะครับ




สำหรับร้านอาหารในโซน The Lost World นี่น่าทานที่สุดแล้วล่ะครับ เพราะว่าจะเป้นเมนูเอเชีย พวกข้าวต่างๆ ข้าวมันไก่ก็อยู่ในร้านนี้ครับ แต่ว่าวันนี้คิวยาวมา ผมไม่อาจรอได้ครับ



เลยได้เป็น Hotdog รองท้องไปก่อน ซึ่งราคาก็เอาเรื่องเหมือนกัน 11.43 S$ (286บาท) 


นอกจากนี้ยังมีได้โนเสาร์ (หุ่นยนต์) ที่เหมือนมีชีวิตจริงๆมาเล่นกับคนด้วย มันจะงับหัวผมด้วยครับ เด็กบางคนนี่กลัวไปเลยนะครับ เหมือนจริงมากๆ




Far Far Away


อาณาจักรฟาร์ฟาร์อเวย์ของเจ้าหญิงฟีโอน่า ซึ่งนับว่าเป็นปราสาทแห่งแรกในโลกจากภาพยนตร์เรื่อง Shrek เลยนะครับ ในโซนนี้จึงเต็มไปด้วยเทพนิยายจากเรื่องต่างๆที่มายำรวมกันอย่างสนุกสนาน (คนละอารมณ์กับปราสาทของดีสนีย์ล่ะครับ) 



เลี้ยวไปทางขวาของปราสาทก่อน จะพบกับ Donkey LIVE เวทีการแสดงของเจ้าลาพูดมากเพื่อนพระเอกอย่างเจ้า Donkey ครับ ที่คราวนี้จะมาวาดลวดลายบนเวที (ในจอภาพยนตร์) และเล่นสนุกแบบสดๆไปกับคนดูในห้องด้วย



มานั่งรอกันในห้อง build อารมณืก่อนเข้าไปในเวทีจริงๆกันครับ




ในร้านขายของที่ระลึก จะมีชิงช้าสวรรค์ตัวเล็กอย่าง Magic Portion Spin ของนางฟ้า



Shrek 4-D Adventure ในตัวปราสาทจะเป็นโรงหนัง 4D ครับ ที่เล่าเรื่องราวของเชร็คและเจ้าหญิงฟีโอน่าช่วงที่จะไปฮันนี่มูนกัน แต่ระหว่างทางเจ้าหญิงถูกตัวร้ายอย่างลอร์ดฟาร์ ควอด (จากภาคหนึ่งที่ตายไปแล้ว) จับตัวไป โดยลอร์ดฟาร์ ควอดวางแผนให้เจ้าหญิงฟีโอน่าตายโดยการตกจากน้ำตก เพื่อที่จะได้ครองรักกับตนที่เป็นวิญญาณ เชร็คและดองกี้จึงต้องตามไปช่วยเหลือครับ



ห้อง build อารมณ์ครับ จำลองปราสาทของลอร์ดฟาร์ ควอดที่ปัจจุบันกลายเป็นวิญญาณไปแล้ว ในที่นี้พีน็อคคีโอ และหมูสามตัวโดนจับมาทรมานอยู่ ก่อนที่จะย้ายเข้าไปชมภาพยนตร์จริงๆในอีกห้องครับ



Enchanted Airways สายการบินของเหล่าเทพนิยายครับ เป็นรถไฟเหาะมังกรสีชมพูแบบน่ารัก




บริเวณอื่นของ Far Far Away ครับ


แล้วก็ไม่ลืมบ้านของเชร็คที่อยู่ในหนองน้ำ


ส่งท้ายด้วยไก่ทอดของร้านอาหารในโซนนี้ซักหน่อยครับ ชุด mama bear ไก่ทอด 2 ชิ้น อยู่ที่ 13.7 S$ (342.50บาท) มีชุด Papa bear ด้วยครับ เป็นไก่ 3 ชิ้น



Madagascar


โซนสุดท้ายกันแล้วครับ สนุกสนานผจญภัยไปกับตัวละครจากภาพยนตร์การ์ตูน Madagascar กันครับ


Madagascar: A Creature Adventure เครื่องเล่นที่จะพาเราเข้าไปผจญภัยในภาพยนตร์กันครับ


จากสวนสัตว์ใน Central Park ของนิวยอร์ค สิงห์โต อเล็กซ์, ม้าลาย มาร์ตี้, ยีราฟ เมลแมน และฮิปโปโปเตมัสสาว กลอเรีย หลังจากทำเรื่องป่วนเมือง จนคนคิดว่าพวกสัตว์ป่าบ้าคลั่ง ทั้งสี่จึงถูกส่งขึ้นเรือเดินสมุทร ปลายทางก็คือแอฟริกา แต่ด้วยความป่วนของแก๊งส์เพนกวิน ทำให้ทุกตัวหลงไปติดเกาะอยู่ที่มาดาร์กัสการ์ไปซะได้ จนมาพบกับแกีงส์สัตว์ป่าเจ้าถิ่นที่กวนโอ๊ย อย่าง คิงจูเลี่ยน 





King Julien's Baech Party-Go-Round งานปาร์ตี้ส่วนตัวของคิงจูเลี่ยนครับ ที่เอาสัตว์ทุกตัวมาร้องรำทำเพลง เป็นม้าหมุนกัน ใครๆก็นึกถึงทำนองเพลงนี้ออกใช่ไหมครับ I like to move to move it.





ครบทั้งหมดทุกเครื่องเล่นแล้วล่ะครับ เสียดายที่ไม่ทันแก๊งส์เพนกวินออกมาโชว์ตัวนะครับ



ประมาณบ่ายสี่โมงก็สามารถเล่นเครื่องเล่น ดูโชว์ได้ครบแล้วล่ะครับ สำหรับวันธรรมดาอย่างนี้ (ที่จริงก็มีกรุ๊ปทัวร์เข้ามาหลายกลุ่มเหมือนกันนะครับ)


เทคนิคการเล่นเครื่องเล่นของผมก็คือ


เมื่อสวนสนุกเปิดให้วิ่งเข้าไปเล่นที่โซน Sci-Fi City ก่อนเลยครับ TRANSFORMERS The Ride จะเป็นเครื่องเล่นที่คิวยาวเสมอ ให้เล่นเครื่องนี้ก่อนเลย และถ้ามาคนเดียวสามรถเข้าช่อง Single Ride ได้เลยครับ (มีค่าเท่ากับการซื้อ Express Pass เลย) เพราะเครื่องเล่นนี้จะต้องจัดคนให้ครบ 8 คนถึงจะปล่อยเครื่องแต่ละครั้ง ถ้าเราไปคนเดียว พนักงานสามารถจัดเราให้เข้าไปนั่งเล่นได้เลยแทนที่นั่งที่ว่างน่ะครับ


ถัดมาให้เล่น รถไฟเหาะรางคู่อย่าง Battlestar Galactica เพราะเป็นเครื่องเล่นที่เสียวที่สุด ช่วงเช้าก่อนเที่ยงยังไมีมีคิวมากนักครับ แนะนำให้เล่นรางสีแดง HUMAN ก่อน เพราะมันเสียวน้อยกว่า แล้วค่อยไปเสียวสุดๆกับรางสีฟ้า CYLON จะดีกว่าครับ (แต่ทำไมหลายคคนชอบแนะนำรางสีฟ้าก่อนตลอดผมละไม่เข้าใจ) และอาจจะเก็บ Accelerator ไปด้วยเลย


เล่นทั้งสาม/สี่ อย่างนี้ ถ้ามาตั้งแต่ 10 โมงเช้า ไม่เกิน 10.30 ก็เก็บหมดครับ แล้วค่อยย้อนกลับไปทางโซน New York เล่นเครื่องเล่น Sesame Street กับ Lights, Camera,Action! ไปพลางๆเพื่อรอชมโชว์ Monster Rock ประมาณ 11 โมงกว่าๆครับ หลังจากจบโชว์จะใกล้เที่ยงได้ ถ้าหิวอาจจะแวะทานอาหารก่อน แล้วเตรียมไปดูโชว์ Water World ในรอบแรกอยู่ที่ประมาณเที่ยงครึ่งครับ


หลังจบ Water World อาจจะแวะทานข้าว (ถ้ายังไม่ทาน) เก็บเครื่องเล่นในโซน The Lost World ให้หมด และถ้ารู้จักใช้ Single Ride จะทำให้เราเล่นได้เร็วมากครับ โดยเฉพาะ Jurassic Park Rapids Adventure (ถึงมากับเพื่อน ก็แยกกันชั่วคราวเล่นจะไวกว่าครับ)


หลังจากนี้ก็สามารถไล่เล่นแต่ละอย่างไปได้สบายๆครับ คิวไม่ยาวมากเท่าใน Sci-Fi City แต่ควรเผื่อเวลาสำหรับ Shrek 4-D Adventure กับ Donkey LIVE หน่อยครับ เพราะต้องเสียเวลาเข้าแถวรอเข้าชม


โดยรวมแล้วบ่ายสี่โมงก็เล่นได้ครบแล้วครับ



อีกวิธีนึงที่จะแนะนำ คือการมาเล่นหลังสี่โมงเย็นไปเลยครับ เพราะช่วงนี้ พวกที่มาเป็นกรุ๊ปทัวร์เริ่มที่จะเรียกรวมตัวกันแล้ว ทำให้ประมาณคนที่รอคิวลดลงไปมาก ยิ่งเวลาหลังหกโมงเย็นนี่ กลุ่มที่มาเป็นครอบครัวมีลูกเล็กๆหรือเด็กๆ จะรีบกลับครับ ช่วงก่อนหกโมงเย็นหน่อยๆนี่ผมยังกลับมาเล่นเครื่องเล่นซ้ำได้อีกตั้งหลายอย่างเลยล่ะครับ (แต่พวกโชว์นี่อาจจะหมดรอบไปบ้างแล้ว) เรียกว่าเป็นการเก็บตกที่คุ้มค่ามาก


ก่อนบ้ายสี่โมงนิดหน่อย ผมก็ออกมาจาก Universal Studios Singapore ครับ โดยพนักงานจะถามว่าเราจะกลับเข้ามามั้ย ถ้าจะเข้ามาอีก เขาก็จะปั๊มที่แขนเราด้วยหมึกใส ชนิดเรื่องแสงฟลูโอเรสเซ็นต์เอาไว้ตรวจสอบเวลาเข้ามาใหม่เท่านั้นเองครับ


มีเวลาเผื่อไว้ให้ S.E.A. Aquarium ครับ โดยที่นี่จะเปิดให้บริการเวลา 10.00-19.00 (เหมือนกับ USS) โดยมีค่าเข้า 33 S$ (825บาท) ด้านในจะเป็นการแสดงพันธุ์ปลาและสัตว์น้ำโดยทั่วไป




ต้อนรับเราด้วยอุโมงค์ของทะเลในแถบอันดามันและมะละกา


ภายในมีการจัดแสดงพันธุ์สัตว์น้ำ และนิทรรศการที่เกี่ยวข้องกับสัตว์น้ำหลายๆอย่าง



ถามว่า เยอะไหม ผมว่าก็ยังมีสัตว์น้ำไม่เยอะ หรือไม่หลากหลายมากเท่าไหร่นะครับ อย่างฉลามก็มีไม่กี่พันธุ์ ในฐานะที่เคยไป Chiangmai Aquarium มาแล้ว ผมว่าของที่เชียงใหม่ยังดูเยอะกว่าเลยนะครับ แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือ การจัดการครับ ของที่นี่ดีกว่ามาก และฉลาดที่จะสร้างไฮไลท์ของตัวเองขึ้นมา




ไฮไลท์ที่ว่านั่นคือ World's Largest Aquarium and World's Largest Acrylic Viewing Panel ตู้อะควอเลี่ยมที่ใหญ่ที่สุดในโลกที่มีผนังอะคริลิกให้มองปลาได้มุมมองใหญ่ที่สุดในโลกนั่นเอง





ซึ่งเข้าชมแล้ว มันก็ให้บรรยากาศที่ยิ่งใหญ่จริงๆครับ ขนาดปลาในตู้ยังมีไม่มากเท่าไหร่ แต่ขนาดของผนังนี่ก็กินขาดมากๆ นอกจากนี้อีกฝั่งหนึ่ง (ที่เป็นช่องสี่เหลี่ยมอีกด้าน) ยังจัดเป็นห้องพักของโรงแรมอีกด้วย เรียกว่าสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่จริงๆ



ถือว่าเป็นการมาดู ให้ได้รู้ ได้เห็นครับ แต่ความประทับใจมากน้อยแค่ไหนนั้น เก็บไว้ในใจก็แล้วกันครับ


ที่จริงผมย้อนกลับไป Universal Studios อีกนะครับ (กลับไปเล่นเครื่องเล่นซ้ำสอง) และเล่นต่อจนถึงเวลาปิดนั่นคือทุ่มนึงเลย แต่ตัดต่อซะเหมือนไปรวดเดียวเลย


แผนที่วางไว้ก็คือ จะย้อนกลับไปหาอะไรทานที่ Vivo City พร้อมกับเดินดูของ shopping ไปด้วย กลายเป็นว่า ผมติดอยู่บนรถไฟฟ้าถึงครึ่งชั่วโมง ไปยืนอัดกันอยู่บนรถไฟฟ้านั่นแหละครับ ครึ่งชั่วโมง เพราะว่าระบบรถไฟฟ้าเป็นอะไรไปก็ไม่รู้ จึงทำให้หยุดการเดินรถชั่วคราว หลายคนก็หัวเสียเลยล่ะครับ เจ้าหน้าที่คอยจัดคิวขึ้นรถก็กลายเป็นแพะรับบาปไปเลย โดนผู้โดยสารหลายๆคนบ่นและด่ากระหน่ำไปเลย เพราะหลายๆคนมุ่งหน้าจะกลับบ้านแล้วไงล่ะครับ เลยอารมณ์เสียกันเป็นพิเศษ


ส่วนผม ตอนแรกคิดจะเดินกลับไปทางฝั่ง Vivo City เหมือนกัน แต่ก็ขี้เกียจเมื่อยครับ เลยหาอะไรทานฝั่งนี้ซะเลย ไปเจอร้านอาหารสไตล์ฟาสฟู๊ดอย่าง ruyl (เห็นแปลว่า เมฆที่เพิ่งผ่านฟ้าครึ้มมากำลังจะเจอแดดสดใส เหมือนชีวิตคนเรา) สั่งเป็นชุดบะหมี่ราดด้วยหมูสับ พร้อมน้ำและเจลลี่มะม่วง ชุดนี้ 8.5 S$ (212บาท) แล้วก็รอเวลาสำหรับกิจกรรมยามค่ำคืนบนเกาะ Srntosa ครับ


ถ้าจะให้สรุปกิจกรรมยามค่ำคืนของเกาะ Sentosa ก็จะมี


19.40 และ 20.40 Songs of the Sea แสดงทางฝั่งชายหาด เสียค่าเข้าชม 12 S$

21.00 Crane Dance เครนนกกระเรียนเต้นรำ บริเวณช่องแคบหันหน้าไปทาง Vivo City (ยกเว้นวันอังคาร,พุธ) ชมฟรี

21.30 Lake of Dreams น้ำพุเต้นระบำบริเวณลานกลางลาน Resorts World ชมฟรีเช่นกันครับ แต่ก็เหมือนไม่ค่อยมีอะไร


บริเวณหน้าคาสิโนมีระบำน้ำพุอย่างนี้ด้วยครับ



Crane Dance 





ปริมาณผู้ชมก็เยอะพอสมควรเลยล่ะครับ



ย้ายมาฝั่ง Lake of Dreams กันบ้างครับ





กว่าจะจบการแสดงก็ประมาณ 21.45 ได้ครับ รถไฟก็กลับมาวิ่งได้ตามปกติแล้ว คืนนี้ยังเหลือที่หมายสุดท้ายอีกหนึ่งที่ครับ นั่นคือ Mustafa Centre อันเป็นห้างสรรพสินค้าที่เปิดขายกันตลอด 24 ชม. (แต่รถไฟฟ้าหมดตอนเที่ยงคืนนะครับ อย่าเพลิน ค่า Taxi ยิ่งดึกยิ่งแพง)


จากสถานี Harbourfront นั่งรถไฟฟ้าไปอีก 6 สถานีครับ ลงที่สถานี Farrer Park ได้เลยครับ จะใกล้ห้าง Mustafa Centre มากที่สุด (อย่าไปลงที่สถานี Little India นะครับ เดินยาวตั้งแต่ต้นถนนมาถึงท้ายถนนเลย) ใช้เวลาเดินทางประมาณ 13 นาที ค่าโดยสาร 1.7S$ (ezlink 1.26S$)


ผมก็ไม่เข้าใจว่าทำไมหลายๆคนชอบมุสตาฟากันนะครับ เพราะคนสิงคโปร์แท้ๆเองก้ไม่ค่อยจะมาเดินแถวนี้ซะด้วยซ้ำ แต่ยอมรับว่าของหลายอย่างก็ถูกจริงๆครับ ข้อดีอีกประการก็คงเป็นเรื่องเปิด 24 ชม.เนี่ยแหละ ไม่รู้จะไปไหน แวะมาที่นี่ก็ยังได้ครับ แต่สำหรับความเข้าใจของผมแล้ว


Mustafa centre = ร้านเจ๊เล้ง


นั่นเองครับ เพียงแต่ไม่มีเสียงของเจ๊เล้งคอยเปิดกล่อมแนะนำสินค้าในร้านนั่นเอง






เที่ยวแน่นๆมาทั้งวัน ได้เวลากลับโฮลเทลกันแล้วล่ะครับ จาก Farrer Park ไปลง Chinatown ก็แค่สี่สถานี ใช้เวลาแค่ 7 นาที ค่าโดยสารก็ 1.5S$ (ezlink 0.98 S$) วันนี้เหนื่อย หลับเป็นตายอีกคืนครับ




 

Create Date : 06 สิงหาคม 2556    
Last Update : 6 สิงหาคม 2556 6:20:22 น.
Counter : 5330 Pageviews.  

ทริปล้างตา/เก็บตก สิงคโปร์ #2 Legoland Malaysia

วันที่สองของทริป ที่ผมมีแผนที่จะข้ามไปฝั่งมาเลเซีย เพื่อที่จะไปเที่ยว Legoland Malaysia บนรัฐยะโฮร์ ซึ่งก็เป็นเขตแดนที่ติดต่อกับสิงคโปร์ ซึ่งในตอนแรกผมมีแผนที่คิดจะนอน Tune Hotel Danga Bay Johor บนฝั่งยะโฮร์ซักคืนอยู่นะครับ เพราะว่าราคาห้องประมาณพันต้นๆเอง แต่พอได้เดินทางข้ามแดนดูแล้วก็เห็นว่า คิดถูกแล้วล่ะ ที่นอนโฮลเทลทั้ง 3 คืนที่สิงคโปร์เนี่ย


แผนการเที่ยวของวันนี้ก็ง่ายๆครับ


เช้า หาขนมปังปิ้งสไตล์สิงคโปร์ทานเป็นมื้อเช้าที่ Ya Kun Kaya Toast

9.00 นั่งรถทัวร์ใต้ Singapore Flyer ไปยัง Legoland Malaysia

เย็น เดินเล่นในห้างใกล้ Marina bay

20.00 รอชมแสงสีของ Marina Bay Sands

เริ่มต้นวันใหม่ด้วย ขนมปังปิ้งสไตล์สิงคโปร์ที่ขึ้นชื่อของร้าน Ya Kun Kaya Toast ซึ่งก็เดินไปไม่ยากครับ


จากโฮลเทลที่ผมพัก (Pillow & Toast Herritage) เลี้ยวขวาออกมาจากหน้าโฮลเทลได้เลยครับ เดินตรงไปทาง Upper Cross Street ไปทางสี่แยก จะผ่านห้าง China Square Centre เดินไปอีกนิดจะเจอแยก ให้มองซ้ายได้เลยครับ จะเจอ Far East Square เดินเข้าไปจะเจอร้านเลยครับ


ผมสั่งเป็นชุดอาหารเช้า ประกอบด้วยขนมปังไส้เนย 2 คู่ ไส้สังขยา 2 คู่ ไข่ลวก 2 ฟอง กับเครื่องดื่ม ชุดนี้ราคา 4.50 S$ (112.50บาท)



อิ่มท้องแล้ว พร้อมเดินทางกันครับ

ผมต้องไปขึ้นรถทัวร์ที่ Singapore Flyer ดังนั้น เราเริ่มเดินทางด้วยสถานี Chinatown (รถไฟฟ้าสายสีม่วง) มายังสถานี Dhoby Ghaut แล้วเปลี่ยนไปใช้รถไฟสายสีเหลือง (Circle Line) เพื่อที่จะไปลงที่สถานี Promenade ใช้เวลาประมาณ 13 นาที ค่าโดยสาร 1.5 S$ (ezlink 0.98 S$) ใช้ทางออก A เลยครับ


รถทัวร์ที่จะไป Legoland Malaysia จะเป็นของบริษัท WTS Travel ครับ ตอนซื้อตั๋วน้องพนักงานแนะนำไว้แล้วครับว่า ควรจะมาก่อนเวลาที่รถจะออกอย่างน้อยครึ่งชม.นะครับ เพราะเขาจะเช็คชื่อกันอีกที เมื่อมาถึงก็เข้าแถวเตรียมรับเอกสารขึ้นรถกันได้เลย


สำหรับใครที่จะตรวจสอบเวลารถ ตรวจสอบได้จากหน้าเวปของ Legoland ได้เลยครับ


สภาพภายในรถก็ประมาณนี้ครับ


เมื่อขึ้นรถมาได้สักพัก ก็จะมีพนักงานบนรถคอยแนะนำการผ่านด่านทั้งสองประเทศ และจุดจอดรอรถในแต่ละด่าน (ซึ่งก้ไม่ไกลจากจุด ตม.เท่าไหร่ครับ) พนักงานจะเขียนหมายเลขทะเบียนรถให้ทุกคนในเอกสารเพื่อไม่ให้เราหลงขึ้นรถผิดคันไป ก่อนและหลังขึ้นและลงก็จะนับผู้โดยสาร ก็ถือว่าไม่น่าเป็นห่วงอะไรครับ รถจะใช้เวลาประมาณ 40 นาทีได้ครับ กว่าจะถึงด่านฝั่งสิงคโปร์ 


ขาออกนี่ไม่ยากครับ ปั๊มผ่าน ใช้เวลากลับขึ้นรถไม่นานเท่าไหร่ แต่พอจะเข้ามาเลเซียเนี่ยแหละครับ เริ่มช้าแล้ว เพราะบางคนซื้อของมาก็ต้องผ่านศุลกากรอีก ซึ่งในจุดดนี้จะมีปัยหามากกว่าการผ่าน ตม. เพราะ ตม.มาเลย์นี่ แทบจะปั๊ม passport ให้ผ่านง่ายๆแทบทุกคนนะครับ


เอาภาพห้องน้ำฝั่ง ตม.มาเลย์มาฝาก เรียกว่าฟ้ากับดินของห้องน้ำของทาง ตม.สิงคโปร์เลย



พอเข้าประเทศมาเลเซียมาแล้ว พนักงานบนรถก็จะขึ้นมาแนะนำรัฐยะโฮร์เล็กน้อยครับ ทั้งเรื่องการแลกเปลี่ยนเงิน แนะนำร้านอาหารราคาถูกในห้างตรงกันข้ามกับ Legoland (ที่จริงอาหารในเลโก้แลนด์ก็ไม่ได้แพงนะครับ) ที่ย้ำมากๆก็คือ จุดจอดรถเพื่อรับพวกเรากลับ และที่สำคัญคือ เมื่อเราจองรถเที่ยวใดกลับแล้ว เราควรกลับให้ตรงกับเวลารถที่เราจองไว้ เพราะหากเราไปแทรกคิวของคนอื่น เขาจะจับเราไปรถเที่ยวหลังๆแทน ซึ่งแต่ละเที่ยวอาจจะห่างกันตั้งแต่ ครึ่ง-หนึ่ง ชม.ได้ครับ สำหรับผม จองรถเที่ยว 16.30 เอาไว้ขากลับ ตอนแรกคิดว่าไวไปนะครับ แต่ที่จริง เวลานี้ก็เหมาะสมแล้ว เพราะตั้งแต่บ่ายสองก็ไม่รู้จะเล่นอะไรแล้ว


จุดจอดรถจุดแรกและ มีหลายคนแวะเที่ยวก็คือ Hello Kitty Indoor Theme Park ครับ ซึ่งตอนแรกผมก็คิดจะแวะนะครับ แต่คิดถี่ถ้วนแล้ว ไม่น่าเหมาะกัยวัยซักเท่าไหร่นะ


รถ start จาก Singapore Flyer มาเมื่อ 9.00 กว่าจะมาถึง Legoland Malaysia ก็ประมาณ 10.30 พอดีครับ โดยรถจะมาจอดด้านหลังของสวนสนุก เราต้องเดิน..เดิน..เดิน ประมาณ 600 เมตรได้มั้งครับ เพื่อมาถึงปากทางเข้าสวนสนุก


คำนวณขนาดจากการเดิน และบริเวณรอบๆของ Legoland Malaysia แล้ว ขนาดจะประมาณ Hongkong Disneyland นั่นแหละครับ ไม่ได้ใหญ่โตอะไร


สำหรับตั๋ว 1 day pass จะอยู่ที่ 140 ริงกิตมาเลยเซีย (ประมาณ 1400 บาท) ผมซื้อเป็นตั๋วล่วงหน้า 7 วันโดยซื้อโดยตรงกับเวปของเลโก้แลนด์ได้ราคาที่ 112 RM ก็ประมาณ 1200 บาทครับ


เวลาเปิดของ Legoland Malaysia คือ 10.00 ส่วนเวลาปิดจะเป็น 18.00 ในวันธรรมดา 20.00 ในวันเสาร์อาทิตย์ และ 22.00 ในวันพิเศษอื่นๆ ยังไงก็สามารถตรวจสอบเวลาอย่างแน่นอนจากทางเวปได้เลยครับ เพราะบางวันยังมีปิดซ่อมบำรุงอยู่นะครับ



สำหรับ Legoland Malaysia เป็นเลโก้แลนด์ลำดับที่ 6 ของโลก และเป็นแห่งแรกของเอเชีย


Legoland Billund (Billund, Denmark) 1968

Legoland Sierksdorf (Sierksdorf, Germany) 1973-1976 ปัจจุบันกลายเป็น  Hansa-Park

Legoland Windsor (Windsor, England, United Kingdom) 1996

Legoland Deutschland (Günzburg, Germany) 2002

Legoland California (Carlsbad, San Diego County, California, USA) 1999

Legoland Florida (Winter Haven, Florida, USA) 2011

Legoland Malaysia (Nusajaya, Johor, Malaysia) 2012


สำหรับ Legoland Malaysia แบ่งออกเป็น 7 โซนครับ เริ่มตั้งแต่ปากทางเข้า หรือ The Beginning เป็นทางเข้าและร้านค้าขายตัวต่อเลโก้ ขนาดใหญ่ครับ



เดี๋ยวเราจะไล่ย้อนเข็มนาฬิกาไปที่โซน Lego Technic กันก่อนครับ


อย่างแรกที่เราเห็นทางซ้ายมือนั่นคือ Technic Twister ถ้วยหมุนในรูปเลโก้นั่นเอง


Project X เป็นเครื่องเล่นที่เสียวที่สุดในโซนนี้แล้วล่ะครับ เป็นรถไฟเหาะ 4 ที่นั่ง ที่แล่นวนเวียนไปมาก่อนจะแล่นลงมาให้เสียวเล็กๆ เจ้าเครื่องนี้เป็นเครื่องเล่นที่รอคิวนานมากที่สุดแล้วละมั้งครับ คือ 20 นาที (ซึ่งก็ไม่ได้นานมากอะไร) คงเพราะจัดที่นั่งได้เพียงสี่คนด้วยเนี่ยแหละครับ เลยเสียเวลาหน่อย




ตัวถัดไป คือ Aquazone Wave Racers เป็นเรือหมุนในน้ำ ที่ยังไงก็เปียกครับ



ผมเริ่มเปียกตั้งแต่เครื่องนี้เลย หารู้ไม่ว่า เดี๋ยววันนี้ฝนจะตกเกือบทั้งวัน ได้เปียกตลอดวันแน่ๆครับ



นอกจากนี้ยังมี Lego Academy อันเป็นแหล่งกำเนิดการสรรสร้างตัวต่อเลโก้ให้เป้นแบบต่างๆภายในสวนสนุก และมีมุมให้น้องๆหนูๆได้ทดลองต่อเลโก้ด้วยตัวเองด้วย (ประมาณว่าให้ลองต่อ จะได้ขายของ)




LEGO Kingdom จำลองบรรยากาศยุคอัศวินกันครับ


ซ้ายมือจะเป็น The Forestman's Hideout สถานที่หลบภัยของคนที่เข้ามาหาของป่า เป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆครับ ซึ่งสนามเด็กเล่นทำนองนี้ แทบจะมีในทุกโซนของเลโก้แลนด์เลย เพียงแต่จะแตกต่างกันไปในแต่ละธีมของโซน


ส่วนทางขวามือ ได้แก่ Dragon's Apprentice รถไฟเหาะตัวน้อย ของบรรดาลูกมังกรที่กำลังฝึกหัดบินครับ




ในอาณาจักรนี้ไม่ได้มีรถไฟเหาะมังกรเพียงรางเดียวนะครับ ยังมีรถไฟเหาะที่สูงกว่า ไวกว่า อยู่อีกหนึ่งราง ให้เราเข้าไปค้นหาภายในปราสาทใหญ่อีกครับ


The Dragon





ต่อไปเป็นเครื่องเล่นเอาใจคุณหนูๆครับ กับ Royal Joust ให้เด็กๆนั่งบนรถม้าองอัศวินที่มีทวนเป็นอาวุธให้ต่อสู้กัน




ในยุคอัศวิน จะขาดพ่อมดอย่างเมอลินก็คงไม่ได้นะครับ พ่อมดเมอลินคราวนี้มาในรูปยานหมุนครับ กับ Merlin Challenge



IMAGINATION ดินแดนแห่งจินตนาการและการเรียนรู้


Kids Power Tower หอคอยที่ให้เด็กๆกับครอบครัวสาวเชือกเพื่อให้ขึ้นไปด้านบน


Build & Test สถานีสำหรับสร้างและทดลองเล่นตัวต่อเลโก้อีกสถานีนึงครับ


ถัดไปจะเป็น Observation Tower หอคอยสำรวจ เมื่อขึ้นไปด้านบนสุดจะมองเห็นสวนสนุกโดยรอบได้ชัดเจนครับ เสียดายแต่ว่าวันนี้ฝนตกปรอยๆทั้งวัน ภาพที่ถ่ายออกมาเลยมีแต่เม็ดฝนครับ เลยอดเก็บบรรยากาศโดยรอบเลย



ไฮไลท์ของโซนนี้ก็คงจะเป็น โรงภาพยนตร์ 4 มิติเนี่ยแหละครับ


LEGO Studio 4D


หนังที่ฉายจะมีทั้งหมด 3 เรื่องครับ สลับกันไปทั้งวัน


จากโรงหนังนี้เองครับ ที่ทำให้เห็นการจัดการแบบแปลกๆของมาเลย์ (หรือจะเป็นทุกที่ของเลโก้แลนด์อันี้ผมก็ไม่รู้นะครับ) คือ ถ้าเป็น Disneyland หรือ Universal Studio ก่อนจะเข้าไปชมในโรงหนัง มักจะมีส่วนยืนรอเข้าคิวก่อน 1 ส่วน พร้อมกับแจกแว่นตา ก่อนที่เราจะเข้าไปรอ(ด้วยการ Build อารมณ์ด้วยเหตุการณ์หรือหนังตัวอย่างอะไรซักหน่อย) ก่อนจะเข้านั่งในโรงหนังจริงๆ ซึ่งเจ้าส่วน Build อารมณ์นี่มักจะเป็นห้องปรับอากาศ ช่วยปรับอุณหภูมิร่างกายและความสว่างของสายตาก่อนที่จะเข้าโรงนะครับ แต่สำหรับเลโก้แลนด์ที่นี่ เข้าแถว รับแว่น แล้วมายืนรอในส่วน Build อารมณ์ ด้านนอก ร้อนๆยังงี้เลย (ทั้งๆที่เมาเลย์เป็นเมืองร้อนมากๆ) แล้วค่อยเข้าโรง ยิ่งวันที่ผมไปเที่ยวนี่ มีฝนปรอยๆด้วยแล้ว ละอองฝนบางส่วนยังถึงคนที่รอด้านนอกเลยครับ




ขอบอกว่า คุณภาพของหนังค่อนข้างหยาบมากครับ แต่ effect ค่อนข้างดี ไมว่าจะละอองน้ำ ฝน (จากหนัง) ไปจนถึงหิมะ และที่สำคัญ คุณเปียกแน่ๆครับ


ผมได้ดูไป 2 เรื่องจาก 3 เรื่องครับ แค่นี้ก็ปวดตาพอสมควรเลยล่ะครับ


ต่อไปเป็นสนามเด็กเล่นและรถไฟของเด็กๆครับ สนับสนุนโดย Duplo อันเป็นแบรนด์รองของ LEGO ที่เน้นจับกลุ่มเด็กเล็กๆน่ะเองครับ


DUPLO Playtown



DUPLO Express


ด้านนอกจะมีร้านอาหาร Pizza Mania อันนี้ผมได้ลองพิซซ่าถาดเล็กของเด็กด้วย ราคาชุดละ 15 RM (150 บาท) รอเวลาดูหนังสี่มิติน่ะครับ


บรรยากาศน่ารักๆในโซนนี้ครับ





LAND OF ADVENTURE ดินแดนแห่งการผจญภัย ที่มีทั้งอาณาจักรอินคาและอิยิปต์รวมอยู่ด้วยกัน


Dino Island ล่องแก่งเข้าไปในเกาะของไดโนเสาร์ครับ ก่อนที่จะโดนระเบิดออกมาตกลงสู่สายน้ำอย่างเปียกโชกอีกตามเคย



Pharaoh's Revenge เป็นสนามเด็กเล่นของเด็กๆ ที่มีปืนลมเอาไว้ยิงใส่กัน



Beetle Bounce เต่าทองเด้งดึ๋ง


Lost Kingdom นั่งรถเข้าไปสำรวจอาณาจักรที่หายสาบสูญไป โดยให้เรายิงปืนเลเซอร์เพื่อเก็บคะแนนไปด้วยครับ


ตาลุงนี่มาจากไหนก็ไม่รู้ ผมว่าจะนั่งคนเดียวซะหน่อย




LEGO CITY เมืองเลโก้ โซนนี้แทบจะเป็นโซนของเด็กเล็กๆโดยแท้ล่ะครับ เพราะว่ามีแต่เครื่องเล่นเอาใจเด็กๆ ใครอยากหัดขับรถ ขับเรือ หรือแม้แต่ขับเครื่องบิน ก็มีให้ทดลองขับ


มีใครอยากขับเครื่องบินไหมครับ LEGO CITY Airport


Rescue Academy สถานีดับเพลิง ที่สามารถแข่งปั๊มน้ำให้รถเคลื่อนที่ไปได้



LEGO City Stage โรงละครของเมืองครับ ปกติจะมีโชว์วันละ 1 รอบตอน 14.30 แต่วันนี้งดไป เลยไม่รู้ว่าเป็นโชว์อะไรครับ


LEGOLAND Express สถานีรถไฟของเลโก้แลนด์ที่จะขับพาเราเที่ยวรอบๆ Miniland เมืองจำลองที่สร้างขึ้นมาจากเลโก้




The Shipyard สนามเด็กเล่นอีกแห่งครับ เป็นรูปเรือ




Boating School ใครอยากขับเรือบ้างครับ




Driving School โรงเรียนสอนขับรถและกฎจราจรเบื้องต้นให้แก่เด็กๆ



เนื่องจากมันว่างจัดครับ เก็บเครื่องเล่นได้หมดตั้งแต่บ่ายสองแล้ว บางอย่างก็เล่นซ้ำ (ทั้งๆที่ฝนตก เครื่องเล่นบางอย่างปิดช่วงฝนตกด้วยนะ) เวลาที่เหลือจึงอุทิศให้แก่การกินครับ




MINILAND เมืองจำลองที่สร้างขึ้นมาจากตัวต่อเลโก้ล้วนๆ ซึ่งอันนี้ถือว่าเป็นหัวใจหลักของ Legoland เลยล่ะครับ สำหรับ Legoland Malaysia จะเป็นการจำจองสถานที่สำคัญๆของประเทศในกลุ่มอาเซี่ยน โดยจะเน้นของมาเลเซียเป็นหลัก (ซึ่งหลายๆที่ก็เคยได้ไปมาแล้วนะครับ) ตามมาดูกันครับว่ามีอะไรบ้าง


ฟิลิปปินส์



วิหารธานาล็อต บาหลี อินโดนีเซีย


มัสยิดสีทอง บรูไน


สะพานแดง เมืองฮอยอัน (ใช่ไหมครับ ไม่แน่ใจ)


ปราสาทนครวัด กัมพูชา


ประตูชัย ลาว


พระราชวังต้องห้าม และกำแพงเมืองจีน


สิงคโปร์ นี่มีหลายชิ้นครับ ตั้งแต่ บริเวณปากแม่น้ำ Riverside Point (ก็เพิ่งไปล่องเรือมาเมื่อวานนี้เองนะครับ)





ทัชมาฮาล อินเดีย


พระราชวังกลางน้ำ พม่า


วัดอรุณราชวราราม ไทย


ปุตราสแควร์ และมัสยิดสีชมพู ของเมืองใหม่ปุตราจายา มาเลเซีย


อาคารรัฐสภาหลังใหม่ ในปุตราจายา มาเลเซีย


กัวลาลัมเปอร์ KL tower มาเลเซีย


สถานีรถไฟกัวลาลัมเปอร์เก่า


มัสยิดจาเม็ก ตั้งอยู่บริวเณจุดบรรจบของแม่น้ำกลัง (Sungai Klang) และแม่น้ำกอมบัค (Sungai Gombak) อันเป็นจุดที่เริ่มต้นของชุมชนชาวมาเลย์ที่มาตั้งหลักปักฐานจนกลายมาเป็นเมืองกัวลาลัมเปอร์


ตึกแฝดเปโตรนัส


นอกจากนี้ ยังมี สนามบิน KLIA ท่าเรือ และสถานที่ราชการสำคัญของมาเลเซียอีกหลายแห่งเลยล่ะครับ รวมไปถึงโซนการเดินเรือ โจรสลัดอีกด้วย

สำหรับ Legoland ยังมีการก่อสร้างโรงแรมด้านหน้า และ สวนน้ำ Legoland Water Park ด้านบนอีกนะครับ คาดว่าจะเสร็จในปีหน้า



โดยรวมแล้วผมมีเวลาเที่ยวตั้งแต่ 10.30 ประมาณบ่ายสองกว่าๆ ก็เล่นเครื่องเล่นได้ครบ (ยกเว้นที่มันสำหรับเด็กจริงๆ) ซึ่งก็มีเวลาเหลือเฟือ สำหรับการกลับไปสิงคโปร์ในรถเที่ยว 16.30 ครับ ยอมรับว่าพื้นที่ไม่ใหญ่โตอะไรนะครับ แต่ยังมีที่ว่างอีกมากที่จะเพิ่มเติมเครื่องเล่นในอนาคตได้ ปัญหาหลักคงเป็นเรื่องความร้อน ฝน และต้นไม้เนี่ยแหละครับ เพราะต้นไม้ยังไม่ใหญ่พอที่จะให้ร่มเงา ถ้าเจอวันที่แดดร้อนๆมากๆนี่ มีเกรียมกันได้เลย ในขณะที่วันที่ฝนตก ก้ไม่ค่อยจะมีร่มเอาไว้หลบฝนเท่าไหร่เลย อย่างวันนี้เป็นต้น



16.30 ก็ได้เวลานั่งรถกลับไปฝั่งสิงคโปร์แล้วล่ะครับ ขากลับนี่สิที่ผมได้เจอปัญหาบ้างเข้าให้แล้ว ตอนแรกผ่านด่านมาเลเซีย แทบทุกคนไม่มีปัญหาเลยล่ะครับ พอมาถึงด่านสิงคโปร์ ผมที่ลงจากรถเป้นคนแรก ก็รีบวิ่งเข้าไปที่ ตม. เพราะคิดว่าจะมีเคาเตอร์ให้กรอกเอกสารผ่านแดน (ที่ได้รับแจกมาจากบนรถทัวร์) ที่หน้า ตม.กลับไม่มีซะได้ ผมเลยต้องวิ่งหาปากกา โชคดีที่ได้หยิบยิมของ รปภ.ด้านหน้ามาได้ เท่านั้นแหละครับ พอถึง ตม. ประทับตราบน passport แล้ว โดนเรียกเข้าห้องเลยครับ ก็โดนซักนิดหน่อย ว่ามาทำงานที่สิงคโปร์เหรอ ผมก็ตอบว่าเปล่า พร้อมกับแสดงบัตรข้าราชการไป ก็โดนไปปั๊มลายนิ้วมือที่ด่านนี้เอาไว้นิดหน่อย พร้อมกับปล่อยตัวออกมา ซึ่ง ตม.ก็ไม่พูดอะไรซักคำนอกจาก Thank You ?!? ผมเสียเวลาไปไม่ถึง 10 นาทีดีครับ ก็กลับมาขึ้นรถทัวร์ แต่ก็มีบางคนที่เสียเวลามากหน่อย เพราะโดนศุลกากรอีก (ตามเคย)


สรุปว่า เสียเวลาขากลับอีกรวมแล้วประมาณหนึ่งชั่วโมงครึ่ง กว่าจะมาถึง Singapore Flyer ก็ร่วมหกโมงเย็นครับ คิดแล้วก็ไม่เสียใจเลยที่ไม่จองโรงแรม Tune ทางฝั่งยะโฮร์ แค่เดินทางวันละร่วมสามชั่วโมงนี่ก็เหนื่อยแล้ว แถมต้องมาลุ้นตรง ตม.ซะอีก

มีเวลาว่างตั้งสองชั่วโมงน่ะครับ จาก Singapore Flyer เลยเดินมาทาง Suntec City น้ำพุแห่งโชคลาภ ยังคงปิดซ่อมอยู่นะครับ


ผมก็เดินเล่นจากทางเดินใต้ดินของ Suntec ไปจนถึงสถานี City Hall ครับ แบบว่าขนาดหกโมงเย็นแล้วข้างบนยังแดดร้อนอยู่เลย เลยไ่อยากโผล่มาข้างบน แล้วก็นั่งรถไฟฟ้าจาก City Hall ไปยังสถานี Raffles Place สถานีเดียวก็ 1.10S$ (ezlink 0.73S$) เพราะมันค่อนข้างไกลครับ ขี้เกียจเดิน


ออกมาทาง exit C เพื่อที่จะออกมาทาง Merlion park แต่ก็เพิ่งทุ่มเดียวเอง เลยแวะ Burger's King ฆ่าเวลาด้วยเบอร์เกอร์เมนูใหม่ที่บอกว่าเป็นรสของสิงคโปร์แท้ๆ ซึ่งมันไม่อร่อยเลย.. เสียไป 7.35 S$ เพราะอยากลองรสใหม่ๆเนี่ยแหละ


แนะนำสำหรับคนที่อยากจะไปถ่ายรูป Merlion และชมแสงสีตอน 20.00 พอขึ้นมาจากสถานี Raffles Place แล้วให้เดินมาทางโรงแรม The Fullerton Bay Hotel เลยครับ โดยผ่านทาง QUE Tower มันจะมีทางข้ามถนน ซึ่งจะมีร้านค้าด้วย พอลงมาก็จะเจอทางลงอย่างนี้ครับ


แล้วเราจะเดินตัดหน้า The Fullerton Bay Hotel นิดหน่อยครับ จนพบกับทางเดิน



ก่อนจะถึงตัว merlion จะเจอร้านอาหารและร้านกาแฟทั้ง Starbuck และ Coffee bean ที่คนจะแน่นตลอด ผมเลือกร้านหลังนี้ อยู่หัวมุมพอดี คนน้อยกว่า Starbuck


แล้วก็จะเจอคุณ Merlion  แม่-ลูกครับ


Merlion ในสิงคโปร์นี่ มีถึง 3 ตัวเลยทีเดียว คือ ตัวใหญ่ยักษ์ (The Merlion บนเกาะ sentosa) แล้วก็ตัวเล็กอีก 2 ตัว(แม่-ลูก)จะอยู่ที่ Merloin Park ตรงนี้น่ะเองครับ


เจ้า Merlion ตัวเล็ก จะหันหน้าเข้าเมือง มีความสูงแค่ 2 เมตร หนัก 3 ตัน ทำจากซีเมนต์ Fundu ส่วนผิว ทำจากจานลายคราม ส่วนตาทำจากถ้วยชาสีแดง


สำหรับ Merlion ตัวใหญ่ ที่เป็นสัญลักษณ์สำคัญของสิงคโปร์ (ใครไม่ได้มาถ่ายรูปกับเจ้าตัวนี้ เขาว่ามาไม่ถึงสิงคโปร์นา) เจ้าสิงโตทะเลทั้งสองตัว สร้างขึ้นโดย Lim Nang Seng ศิลปินที่มีชื่อเสียงของสิงคโปร์ในสมัยนั้น และได้รับการออกแบบโดย Fraser Brunner ครับ ตั้งแต่ปี ค.ศ.1964 เพื่อใช้เป็นสัญลักษณ์ของคณะกรรมการส่งเสริมการท่องเที่ยวสิงคโปร์ แต่ไปๆมาๆ ก็กลายมาเป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาจนถึงปัจจุบันไปแล้ว



ได้เวลา 20.00 ก็เริ่มมีความเคลื่อนไหวของตึก Marina Bay Sands กันแล้วครับ เป็นการแสดงแสงสีที่สำคัญ ฟรี (ปกติในสิงคโปร์เนี่ย ไม่ค่อยจะมีอะไรที่ฟรีซะหน่อย ว่ามั้ยครับ)




เต็มอิ่มกันแล้ววันนี้ ขอตัวกลับไปนอนก่อนนะครับ วันนี้เดินทางไปซะไกลเลย ขากลับจากสถานี Raffles Place นั่งรถไฟฟ้าไปอีก 2 สถานีแล้วไปเปลี่ยนไปขึ้นสายสีม่วงที่สถานี Dhoby Ghaut นั่งไปอีก 2 สถานีก็ถึง Chinatown ครับ ใช้เวลาประมาณ 9 นาที ค่าโดยสารก็ 1.2 S$ (ezlink 0.78 S$)


แถมท้ายด้วยบรรยากาศตลาดกลางคืนของ Chinatown ก็แล้วกันครับ






 

Create Date : 05 สิงหาคม 2556    
Last Update : 5 สิงหาคม 2556 6:29:59 น.
Counter : 3747 Pageviews.  

ทริปล้างตา/เก็บตก สิงคโปร์ #1 Marina Bay, Gardens by the Sea, River Cruise, Night Safari

ทำไมต้องไปสิงคโปร์อีกเหรอ ประเทศนิดเดียวไม่ได้เห็นจะมีอะไร 


ก็คำว่าประเทศนิดเดียวเนี่ยแหละครับ ที่ทำให้สิงคโปร์เขาสามารถพัฒนาประเทศของเขาได้อย่างรวดเร็ว เดี๋ยวสร้างโน้น สร้างนี่ เรียกว่าไม่ได้แวะมาสิงคโปร์ซัก 2-3 ปีนี่ มีอะไรใหม่ๆให้เราแวะกลับไปเที่ยวไปดูอีกเยอะแยะเลยล่ะครับ


สำหรับทริปนี้ เกิดขึ้นได้เพราะว่าเมื่อครั้งไปฮ่องกงเมื่อปลายเดือนมีนาคม ผมได้ถูกเด็กๆสูบวิญญาณจนหมดสิ้นจากการพาพวกเขาไปเที่ยวฮ่องกงดีสนีย์แลนด์ และการพาไปตะลุยซื้อของเล่น ทำให้อยากจะหาทริปล้างตาเที่ยวอะไรบ้าๆบอๆสนุกๆบ้าง แต่จะให้กลับไปฮ่องกงอีกก็กระไรอยู่ ผลเลยมาออกที่สิงคโปร์ครับ เพราะว่าตอนนี้ Universal Studio Singapore ก็เปิดเรียกว่าเต็มร้อยแล้ว แถมยังมีเครื่องเล่นใหม่ๆที่ผมยังไม่เคยเล่น ถึงแม้ว่าจะเคยมาเมื่อครั้งเปิดใหม่ๆเมื่อสามปีที่แล้ว การมาซ้ำเก็บเครื่องเล่นก็น่าจะมาอยู่ อีกเหตุผลคือ อยากแวะเที่ยว Legoland Malaysia ด้วย ซึ่งตั้งอยู่ในรัฐยะโฮร์ ตอนเหนือของสิงคโปร์เล็กน้อย เรียกว่านั่งรถบัสจากสิงคโปร์ไปยะโฮร์ก็ใช้เวลาแค่ชั่วโมงเดียวเอง เมื่อมีเหตุผลน่าไป ขั้นต่อไปก็เสาะหาตั๋วตั๋วเครื่องบินกันครับ



โชคดีที่การหาตั๋วเครื่องบินไปสิงคโปร์ราคาถูกนั้นไม่ยากเท่าไหร่ เรียกว่ามีโปรมาเรื่อยๆตลอดทั้งปี ยิ่งสายการบิน Low Cost ยิ่งมีหลายเจ้าครับ ไม่ว่าจะ Air Asia(เที่ยวบินเยอะสุด 5 เที่ยวบินต่อวัน), Jet Star, Tiger Airways และ Scoot (เวลาบินไม่ค่อยดีแต่มักมีราคาโปรที่ถูกกว่าเจ้าอื่นเสมอ) ราคาตั๋วไป-กลับก็จะประมาณ 3,000 บาทขึ้นไป แล้วแต่จังหวะของแต่ละโปรโมชั่นครับ


อย่างผมเลือกบินกับ Air Asia โดยซื้อตั๋วเมื่อต้นเดือนเมษายนช่วงโปร 690 บาท (ขากลับได้ราคา 990 บาท) เดินทางต้นกรกฎาคม ราคาตั๋วรวมค่าธรรมเนียมต่างๆออกมาที่ 4080 บาท ผมถือว่ารับได้กับราคานี้ก็เลยเลือกครับ เพราะอย่างน้อยๆเดินทางจากดอนเมืองก็สะดวกใกล้บ้าน(รังสิต) แล้วพอใกล้ๆวันเดินทางก็เพิ่มอาหารอีกสองเมนู รวมแล้วเป็นค่าตั๋ว 4290 บาท


สำหรับที่พักในสิงคโปร์มีหลายย่านที่ราคาถูกไม่ว่าจะเป็นเกลัง Little   India แต่โดยส่วนตัวผมชอบพักในย่าน Chinatown มากกว่าครับ เพราะสะอาดและกลางคืนก็ไม่พลุกพล่านอย่างย่านที่แขกอยู่ สำหรับคราวนี้จะเป็นครั้งแรกที่ลองนอนโฮสเทลด้วยครับ เพราะมองดูแผนการเที่ยวคร่าวๆแล้ว ออกเช้ากลับดึกตลอด คงมีเวลาอยู่ในห้องน้อยไม่คุ้มค่าโรงแรมซักเท่าไหร่ สุดท้ายเลยเลือก Pillow & Toast Heritage เพราะดูจากในเวปแล้วหมอนกับที่นอนดูน่านอนมาก ที่ดีไปกว่านั้นก็คือ ทำเลดีมากครับ ขึ้นจากรถไฟฟ้ามาปุ๊บเห็นโฮสเทลเลย ราคาที่พัก 2122.57 บาทสำหรับ 3 คืน จองผ่านทาง agoda ครับ


สำหรับแผนการเที่ยวคร่าวๆของ ทริปล้างตา/เก็บตกสิงคโปร์ 4 วัน 3 คืน คร่าวๆก็จะเป็น

วันแรก เครื่องถึงสิงคโปร์ 10.25 จองตั๋วรถทัวร์ข้ามไปมาเลย์(ที่สำนักงานใต้ Singapore Flyer) เที่ยวสิ่งใหม่ๆบน Marina Bay ; โรงแรม Sands และ Garden By The Bay

วันที่ 2 ข้ามฝั่งไปมาเลย์เพื่อ Legoland Malaysia หนึ่งวัน

วันที่ 3 ข้ามไปเกาะ Sentosa เพื่อ Universal Studio Singapore และ S.E.A. aquarium เต็มวัน

วันที่ 4 เที่ยวสวนสัตว์ในสิงคโปร์หรือสวนนกจูร่ง ซักหนึ่งที่ ก่อนจะเดินเล่นถนน Orchard แล้วเตรียมตัวขึ้นเครื่องกลับไฟลท์ 22.10


ตั๋วพร้อม ที่พักมี แผนเที่ยวรัดกุม งั้นเดินทางกันเลยครับ


บ้านอยู่รังสิตครับ ออกเดินทางตอนตี 5 อุตส่าห์เตรียมเงินไทยไว้ติดตัวร้อยนึงไว้ขาไป-กลับ Lucky โชคดีได้นั่งรถเมล์ฟรีแต่เช้าเลยวุ้ย..อิอิ มาถึงดอนเมืองก่อนตีห้าครึ่ง ฝูงชนมารอเช็คอินกันแล้ว



แต่ผมไม่สนใจครับ เที่ยวครั้งนี้ ตัวเปล่า เป้ใบเดียว ขอใช้บริการที่ตู้ kios ก็แล้วกันไวกว่ากันเยอะ



พอผ่านเข้าไปสู่ตรวจคนเข้าเมืองนี่แหละครับ ที่เริ่มเครียด มี ตม.ปฎิบัติงานอยู่แค่ 5 คน (ณ เวลา 5.30) โดยแบ่งเป็นสำหรับ passport ไทย 2 นาย สำหรับ passport ต่างประเทศ 2 นาย และสำหรับลูกเรืออีก 1 นาย เรียกว่า คิวยาวจนเลี้อยเป็นงูกันเลยทีเดียว (เสียดายที่ถ่ายรูปมาไม่ได้) แถมด้านหน้าผมยังมีดราม่าคนจีนมาขอแซงคิว ตม.อีก เพราะเธอตกใจที่เวลา boarding time นั้น 5.40 ซึ่งมันได้เวลาแล้ว โชคดีที่เจ้าหน้าที่ ตม.หน้าผม เห็นเหตุการณ์เข้าเลยไม่ให้เธอแซงหน้าผม (เพราะที่จริงเพิ่ง boarding time เองเธอยังมีเวลาอีกครึ่ง ชม.ได้เลยนะสำหรับการต่อคิว!!!)


ผ่าน ตม.มาพร้อมกับเวลาที่เหลือเฟือ (ใครจะมาบินไฟล์เช้าก็เผื่อเวลาสำหรับ ตม.หน่อยนะครับ เพราะเจ้าหน้าที่เขามีน้อยจริงๆ) รองท้องซะหน่อยด้วยกาแฟยามเช้า (ชุดนี้ 245 บาท)


ยังมีเวลาเข้าห้องน้ำ ทำธุระ อัพ FB อีกนิดหน่อยครับหน้า Gate 25 ก่อนจะเรียกขึ้นเครื่อง



อาหารที่สั่งไว้บนเครื่องสำหรับไฟลท์บินไปสิงคโปร์ก็เป็น ข้าวแกงเขียวหวานครับ ข้าวสวยร้อนๆหอมพริกแกงหน่อยๆ รสชาติเผ็ดนิดๆ ไม่หวานมาก เป็นมื้อเช้าที่ใช้ได้เลยล่ะครับ กล่องนี้รับประกันโดย ร้านสีฟ้า (120 บาท)


มีเวลาบนเครื่องประมาณ 2 ชม.ครึ่ง มาปรีฟข้อมูลเล็กน้อยที่ควรรู้สำหรับนักท่องเที่ยวแบบเร่งที่จะไปสิงคโปร์ก็คือ

-เวลาสิงคโปร์ไวกว่าเมืองไทย 1 ชม. อย่าลืมปรับเวลา

-ค่าเงินของสิงคโปร์คือ Singapore Dollar (S$) ปัจจุบัน 1 S$ จะประมาณ 24 บาทกว่าๆ คิดง่ายๆ 1S$=25 บาทไทย

-ปลั๊กไฟ เป็นแบบ ปลั๊กสามขาแบบขาเหลี่ยม

-อากาศ สิงคโปร์อยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตร อากาศร้อนชื้นและมีฝนได้ตลอดปี เลือกเสื้อผ้าที่โปร่งสบาย ระบายเหงื่อได้ดีเหมาะสมที่สุด

-สิงคโปร์ขึ้นขื่อว่าเป็น fine city (fine=ค่าปรับ) จะทำอะไรไม่ว่าจะเป็นทิ้งขยะ  ป้วนน้ำลาย เคี้ยวหมากฝรั่ง  สูบบุหรี่ต้องเป็นที่เป็นทางครับ ไม่งั้นเจอค่าปรับแพงสุดๆ


ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชม.ครึ่งก็ถึงสิงคโปร์กันแล้ว 


สายการบิน Thai Air Asia จะลงจอดที่ Terminal 1 ของสนามบินชางฮี (จากทั้งหมด 3 Terminal)


วิธีการเข้าเมืองก็ไม่ยากครับ รถไฟฟ้าที่จะเข้าเมืองจะอยู่ที่ Terminal 2 เราก็แค่เดินตามป้าย จะมีบริการรถไฟฟ้าฟรี (Skytrain) สำหรับการเดินทางไปแต่ละ Terminal อยู่แล้วครับ


เรียนรู้เรื่องรถไฟฟ้าในสิงคโปร์กันนิดครับ


รถไฟฟ้าก็ไม่ได้ยุ่งยากครับ มีเพียงแต่ 4 สาย เรียกชื่อตามทิศต้นทางกับทิศปลายทางนั่นแหละครับ หรือถ้าจะให้จำง่ายๆ เรียกตามสีได้เลยครับ


- North South Line สายสีแดง จากจูร่งตะวันออกมายังมาริน่าเบย์

- East West Line สายสีเขียว เส้นยาวสุดจากทิศตะวันออกจรดทิศตะวันตก ตั้งแต่จูคุนจนถึง Pasir Ris และมีแยกไปสนามบินชางฮีด้วยครับ

- North East Line สายสีม่วง จากเหนือสุดทาง Punggol ไปจนถึง Harbourftont (ห้าง Vivo ที่เราจะข้ามไปเกาะ Sentosa นั่นเอง)

- Circle Line สายสีเหลือง เป็นสายที่เพิ่งตัดใหม่ล่าสุด วิ่งเป็นวงกลมรอบๆเมืองผ่านที่ท่องเที่ยวสำคัญเยอะครับ ตั้งแต่ Marina Bay ไปยัง Harbourfront


ถ้านั่งรถไฟฟ้า BTS MRT บ้านเราเป็น หลับตานึกว่าสิงคโปร์เป็นกรุงเทพ ก็ไม่ได้ต่างกันครับ สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจะมีสถานีรถไฟฟ้าอยู่ใกล้ๆอยู่แล้ว จำแค่ว่าลงสถานีไหน สายอะไร แล้วพอถึงสถานี มองหาป้ายทางออกแค่นั้นเองครับ ไม่ยุ่งยากอะไร


เมื่อมาถึงรถไฟฟ้าเข้าเมือง สามารถเลือกได้ครับว่าจะซื้อตั๋วรถไฟเป็นเที่ยวๆไป ที่เรียกว่า Standard ใบสีเขียวหรืออย่างผมเลือกที่จะซื้อเป็นบัตร Ezlink เอาครับ ซึ่งเป็นบัตรเติมเงินค่าโดยสารไว้ล่วงหน้า และสามารถใช้ซื้อของตามร้านสะดวกซื้อได้ด้วย (เหมือนบัตร Octopus ของฮ่องกง)



โดยบัตร Ezlink เปิดบัตรครั้งแรกต้องเสีย 12 S$ เป็นค่าเปิดบัตร 5 S$ ที่คืนไม่ได้ บวกกับมูลค่าในบัตรไว้ใช้งานอีก 7 S$ โดยปกแล้วการเดินทางด้วยรถไฟฟ้าในสิงคโปร์ ค่าโดยสารมักจะอยู่ที่ 1-2 S$ โดยประมาณครับ ดังนั้นถ้าคุณไม่ได้เดินทางบ้าระห่ำมากมาย การซื้อตั๋ววัน(Tourism Pass)ย่อมไม่ค่อยจะคุ้มค่าซักเท่าไหร่ครับ แต่ที่ควรเติมเงินเผื่อไว้ก็คงเป็นพวกค่าน้ำดื่มน่ะแหละครับ เพราะราคาน้ำดื่มในสิงคโปร์ค่อนข้างแพง อย่างขวด 500 cc. มันจะอยู่ที่ 1.80 S$ ดังนั้นผมจึงเติมเงินเพิ่มใน Ezlink ไปอีก 20 S$ ครับ สำหรับซื้อน้ำดื่มในทริปนี้


สำหรับ Singapore Tourism Pass จะมีราคา 10/16/20 S$ สำหรับ 1/2/3 วันตามลำดับครับ โดยจะมีค่ามัดจำบัตรอีก 10 S$ ซึ่งจะรับคืนได้เมื่อคืนบัตรภายใน 5 วันครับ แต่ถ้าใครลืมคืนบัตรภายในกำหนด สามารถเก็บบัตรไว้เป็นที่ระลึกได้ และยังสามารถเติมเงินเพื่อใช้เป็น ezlink ปกติก็ได้ครับ


พร้อมแล้วเดินทางกันดีกว่าครับ จุดหมายแรกของผมจะไปที่ Singapore Flyer เพื่อที่จะหาซื้อตั๋วรถทัวร์เพื่อไป Legoland Malaysia ในวันพรุ่งนี้ครับ และเริ่มเที่ยวในโซน Marina Bay


จากสนามบิน Changi Airport เราจะนั่งรถไฟฟ้า (สายสีเขียว) ไปอีกสองสถานี แล้วไปเปลี่ยนรถไฟที่สถานี Tanah Merah เพื่อจะเข้าเมืองครับ นั่งไปอีก 4 สถานีลงที่สถานี Paya Lebar เพื่อเปลี่ยนไปสาย Circle Line สายสีเหลือง สำหรับสายนี้จะมีสถานีปลายทาง 2 ฝั่งนะครับ คือเข้าไป Dhoby Ghaut กับตรงไปยัง Marina Bay (ส่วนใหญ่จะไปยังอ่าวมากกว่า) ยังไงก็พยายามฟังประกาศหรือดูที่จอบอกรถไฟที่เข้าชานชาลาก่อนก็ดีครับ จะได้ไม่เสียเวลา แต่ครั้งนี้เราจะลงที่สถานี Promenade ซึ่งก็ก่อนถึงทางแยกของทั้งสองปลายทางครับ


จาก Changi Airport ไปยัง Promenade ใช้เวลาประมาณ 37 นาที ค่าโดยสาร 2.20S$ (ezlink 1.74)


เมื่อถึงสถานี Prominade ให้เลือกทางออก A จะเจอ Singapore Flyer ครับ (ถ้าใครอยากแวะน้ำพุแห่งโชคลาภ ที่ Suntec City ก็ออกทาง C แทนนะครับ)


เลี้ยวซ้าย แล้วเลี้ยวขวา จะเจอทางเดินและป้ายบอกทางไปครับ ตอนแรกผมลองเดินขึ้นสะพานลอย เพื่อเก็บภาพ เล่นเอาเหงื่อซกเลย ที่สำคัญสะพานลอยจะพาข้ามไปทาง Marina Bay เลย ดังนั้น พยายามเดินแต่ทางพื้นราบนะครับ



สำนักงานขายตั๋วรถทัวร์ต่างๆจะอยู่ใต้ Singapore Flyer นั่นเองครับ แต่อยู่อีกฝั่งทางเข้า



สำหรับตั๋วรถทัวร์ที่จะไป Legoland Malaysia จะมีของบริษัท WTS Travel ซึ่งเราจะต้องเลือกรถเที่ยวไปและกลับก่อนเลยนะครับ ในราคา 20S$ (500 บาท) ที่จริงผมมาถึงนี่ก็ก่อนเวลา 11.30 เล็กน้อยนะครับ ตอนแรกก็กะว่าจะไปมาเลย์ตั้งแต่วันแรกเลย แต่พอดีว่าวันนี้ Legoland Malaysia เขาปิดซ่อมบำรุง ผมก็เปลี่ยนแผนไปวันที่สองโดยการซื้อตั๋วเข้า park ในราคาพิเศษจาก internet เอาไว้ล่วงหน้าแล้ว


ได้ตั๋วเรียบร้อยแล้ว ใกล้เที่ยง ท้องเริ่มร้องแล้ว ขนาดเวลาสิงคโปร์เร็วกว่าไทยตั้งชั่วโมง แต่ร่างกายนี่ปรับตามไวจริงๆ เจอร้านไก่ทอด (มี่ในอดีตเมืองไทยเคยมี) อย่าง Popeye ใต้ Singapore Flyer แทบจะวิ่งใส่เลยครับ คิดถึงมากกกก.. จัดชุดไก่ 2 ชิ้นมาซะ พร้อมกับบิสกิตที่คิดถึง มื้อนี้ 9S$ ครับ



สำหรับ Singapore Flyer เป็นชิงช้าสวรรค์ที่สูงที่สุดในโลก (World’s Largest Giant Observation Wheel) โดยสูงถึง 165 เมตร เทียบเท่ากับตึก 42 ชั้น ในแต่ละรอบจะใช้เวลาประมาณ 30 นาที เหมือนเจ้า London Eyes ที่อังกฤษน่ะแหละครับ แต่ครั้งนี้ผมขอผ่านครับ เพราะเคยขึ้นแล้วเมื่อครั้งที่แล้ว ใครสนใจค่าตั๋วก็ 33 S$ แต่สามารถหาราคาพิเศษได้อยู่ที่ประมาณ 20S$ (500 บาท) ก็ร้าน Sea Wheel Travel น่ะแหละ


มีแรงแล้วเดินกันต่อครับ เราจะออกจาก Singapore Flyer ไปทางปากแม่น้ำ แล้วเดินข้ามสะพานเฮลิกซ์ (Helix bridge) ไปโรงแรม Marina Bay Sands กัน





เราจะเดินผ่านอัถจรรย์ลอยน้ำที่ใช้เป็นสถานที่เปิด-ปิดการแข่งขัน Youth Olympic ที่สิงคโปร์เป็นเจ้าภาพไปเมื่อปี 2010 ปัจจุบันใช้เป็นเวทีการแสดงและงานคอนเสิร์ตหลายๆงานครับ



เดินบน Helix bridge ไปจนถึง The Shoppers at Marina Bay Sands ซึ่งเป็นห้างสรรพสินค้าที่มีแบรนด์ชั้นนำอยู่มาก ที่สำคัญราคาแพงระยับ ไม่ค่อยปลอดภัยต่อกระเป๋าตังค์เราๆท่านๆซะเท่าไหร่ครับ




โดยปกติแล้ว ผมเป็นคนที่ชื่นชอบการขึ้นไปดูวิวบนที่สูงๆเป็นที่สุด (ดูจากรีวีวเก่าๆได้) การขึ้นไป Sands Skypark จึงเป็นเหตุผลหนึ่งของทริปนี้ การจะขึ้นไปชมวิวด้านบน เราต้องเดินผ่านไปทาง Lobby ของตัวโรงแรม ก่อนที่จะเดินลงไปยังชั้นใต้ดืน ที่จะเป็นที่จำหน่ายตั๋ว และลิฟท์ความเร็วสูงที่จะพาเราขึ้นไปยังชั้น 56 ครับ (ชั้น 57 จะเป็นร้านอาหาร)



ค่าตั๋ว 20S$ (500บาท) สามารถใช้เวลาอยู่ด้านบนได้ไม่จำกัด ในพื้นที่เล็กๆด้านหน้าหัวเรือของโรงแรมนั่นแหละครับ บางคนอาจจะว่าไม่คุ้มแต่ไหนๆนานๆมาทีเอาซะหน่อย




ด้านบนจะมีร้านอาหารให้บริการอยู่ด้วยครับ



ส่วนหัวเรือของโรงแรม ที่เราสามารถขึ้นมาชมวิวครับ คุ้มรึเปล่ากับตั๋วราคา 500 บาท !?!




สำหรับสระว่ายน้ำจะอยู่ตรงส่วนกลางซึ่งจะเข้าไปได้แต่ลูกค้าของโรงแรมเท่านั้นครับ


ต่อไปเราจะไปต่อกันที่ Gardens By the Bay ครับ


จากตึก Sands จะมีทางไป Gardens by the bay อยู่ 2 ทางครับ คือ ทางเดินเชื่อม(ที่เห็นผ่า Lobby มาด้านบน)จาก The Shoppers ครับ อีกทางก็คือ ทางเชื่อมระหว่างรถไฟฟ้าที่อยู่ใต้ดินครับ ซึ่งผมเลือกทางเดินหลัง

พอขึ้นมาจะเจอ




แดดแรงขนาดนี้ ผมขอใช้บริการรถรับ-ส่งละกันครับ ถ้าเดินเข้าไปนี่คงเหงื่อโทรมกาย ไว้เย็นกว่านี้ค่อยเดินย้อนกลับออกมาชมชวนส่วนที่อยู่กลางแจ้งก็แล้วกันครับ



Gardens by the Bay เป็นสวนพฤกศาสตร์ขนาด 101 เฮกเตอร์ (1,010 ตารางกิโลเมตร) ที่เพิ่งเปิดให้เข้าชมไปเมื่อปีที่แล้ว ภายในสวนมีทั้งส่วนที่เป็นสวนกลางแจ้ง (เปิดให้เข้าชมฟรีตั้งแต่ ตี5-ตี2) ในส่วนกลางแจ้งนี้ก็จะมี Super Trees ความสูง 22 เมตรถึง 18 ต้นอยู่ด้วย อีกส่วนจะเป็นโดมพฤกศาสตร์ปรับอากาศ (Cooled Conservations) อีก 2 โดม (Cloud Forest และ Flower Dome) โดยมีค่าเข้าชม 28S$ (700บาท) สำหรับการเข้าชมทั้งสองโดมนี้


ตอนแรกป้าคนขายตั๋วจะคิดราคาค่าตั๋วผมแค่ 20S$ ครับ เพราะคิดว่าเป็นคนสิงคโปร์ แต่พอขอ ID card ผมหยิบ passport ไปให้เลยเสียเท่าราคานักท่องเที่ยวเลย


การชมผมแนะนำให้เข้าไปเที่ยวในโดมเตี้ย Flower Dome (โดมเตี้ย) ก่อนเป็นการอุ่นเครื่องครับ




ภายใน Flower Dome จะนำพันธุ์ไม้และดอกไม้ต่างๆ มาจัดเป็นโซนของแต่ละทวีปครับ โดยในช่วงนี้จะมีกรจัดนิทรรศการของเจ้าหมีนักบินด้วย เรียกว่า เอาใจเด็กๆกันสุดๆเลย



นอกจากดอกกระเจียว จะบานที่ จ.ชัยภูมิ ในช่วงนี้แล้ว ยังบานไกลกันถึงในสิงคโปร์เลยเชียว


สำหรับโดมสูง คือ Cloud Forest ที่รวบรวมพันธุ์ไม้ในป่าดิบชื้นทั้งหลายครับ ที่แนะนำให้เข้าโดมนี้ทีหลังก็เพราะ โดมนี้แค่เพียงเข้ามาก็ตื่นตาด้วยน้ำตกขนาดใหญ่ตั้งแต่ทางเข้าแล้วล่ะครับ แถมอากาศในโดมนี้ ยังเย็นสบายมากๆอีกด้วย



แนะนำให้ขึ้นลิฟท์ใต้น้ำตก เพื่อที่จะขึ้นไปยังชั้นบนสุดเลยครับ ก่อนที่เราจะเดินลงมาตามทางเดินลอยฟ้าภายในโดม เก็บบรรยากาศเหมือนเราได้ไปเดินในป่าดิบชื้นเลย





นอกจากพันธุ์ไม้ต่างๆ ยังมีนิทรรศการ โรงภาพยนตร์ ที่แสดงความเป็นมาของป่าดิบชื้น รวมไปถึง ผังการจัดการของ Gardens by the Bay ทั้งหมดว่า มีการจัดการต้นไม้ต่างๆอย่างไร ใช้ปริมาณน้ำมากน้อยขนาดไหน ทั้งหมดนี่หาคำตอบได้ภายในเลยครับ



นอกจากพันธุ์ไม้ต่างๆ ยังมีนิทรรศการ โรงภาพยนตร์ ที่แสดงความเป็นมาของป่าดิบชื้น รวมไปถึง ผังการจัดการของ Gardens by the Bay ทั้งหมดว่า มีการจัดการต้นไม้ต่างๆอย่างไร ใช้ปริมาณน้ำมากน้อยขนาดไหน ทั้งหมดนี่หาคำตอบได้ภายในเลยครับ


ไฮไลท์สำคัญของ Outdoor garden ก็คือ Super trees ทั้ง 18 ต้นนั่นเอง ซึ่งแต่ละต้นจะเป็นการรวบรวมพันธุ์พืชต่างๆมาประกอบกันเป็นต้นไม้ที่มีความสูงถึงต้นละ 22 เมตร สำหรับคนที่รักความสูง (อย่างผม) สามารถซื้อตั๋วขึ้นไปเดินชมด้านบน ซึ่งจะมีสะพานเชื่อมระหว่าง super trees ทั้งสองต้นอยู่ ในราคา 5 S$ (125บาท) สามารถขึ้นมาชมได้ตั้งแต่ 9.00-21.00 น.



เดี๋ยวเราจะเดินกลับไปทาง Dragonfly bridge กันครับ เพื่อไปสถานีรถไฟฟ้า Bayfront เพื่อที่จะไปเช็คอินที่โฮสเทลครับ ฝากภาพอีกเล็กน้อย



จากสถานี Bayfront เราต้องนั่งรถไฟฟ้ากลับไปยังสถานี Dhoby Ghaut เพื่อไปใช้รถไฟฟ้าสายสีม่วง แล้วนั่งไปอีก 2 สถานี เพื่อลงที่สถานี Chinatown ครับ ใช้เวลาประมาณ 19 นาที ค่ารถไฟฟ้า 1.5S$ (ezlink 1.18S$)


โฮสเทลที่ผมจองไว้ก็คือ Pillow & Toast Herritage ครับ


ที่นี่ค่อนข้างหาง่ายครับ คือ เมื่อลงจากสถานี Chinatown ใช้ทางออก E (ทางห้าง Chinatown Point ในรูปห้างทางซ้าย) ได้เลย เมื่อขึ้นมาจะเจอ Hotel 81 Chinatown (ตึกสีม่วงหัวมุม) ให้เดินข้าม Upper Cross Street ไปได้เลย ตัวโฮลเทลจะอยู่ไปทางซ้ายของ Hotel 81 Chinatown ไปเล็กน้อย โดยผ่าน 7-11 ไปหน่อยก็จะเจอครับ โดยตัวโฮสเทลจะอยู่ที่ชั้นสอง


เดินขึ้นมา กดปุ่มซ้ายมือเข้ามา ก็จะเจอ lobby ครับ


ต้องถอดรองเท้า เก็บในตู้ข้างประตูทางเข้ากันก่อน


เมื่อเช็คอิน เราจะได้รับผ้าเช็ดตัว 1 ผืน หัวแปลงไฟฟ้าสามขาแบบขาเหลี่ยม และกุญแจสำหรับล็อคตู้ โดยมีค่ามัดจำ 20S$ (ได้รับคืนเมื่อคืนของ) ซึ่งก็นับว่าสะดวกนะครับ ไม่ต้องเตรียมพกของพวกนี้มาเองด้วย


บริเวณรอบๆครับ


ที่ทานอาหาร ด้านในคือห้องครัว


ห้องซักล้างและห้องน้ำด้านนอก


ห้องที่ผมพักเป็นห้องรวม 6 เตียงซึ่งก็โชคดีที่คืนแรก ก็นอนคนเดียวครับ ส่วนอีก 2 คืนที่เหลือ มีฝรั่งอีก 2 คนเพิ่มเข้ามา ซึ่งก็ไม่มีปัญหาอะไร ทำเลห้องก็ใช้ได้ครับ มองไปข้างนอกหน้าต่างนี่เห็นห้าง Chinatown Point เลย


ตู้เก็บของ



บริเวณในห้อง



แต่ละเตียงจะมีปลั๊กไฟ และโคมไฟ ส่วนตัวคนละหนึ่งชุด ถือว่าพอเพียงครับ


ห้องน้ำ (รวม) มีสบู่ให้กดใช้อยู่ครับ


และบริเวณที่ล้างหน้าแปรงฟันด้านนอก (มีไดร์เป่าผมไว้ให้ด้วย)


หลังจากเช็คอินเรียบร้อยแล้ว เดี๋ยวเราออกเที่ยวกันต่อครับ แต่ขอแวะห้าง People’s Park Center สักหน่อยเพื่อหาพวกตั๋วราคาถูก ที่ร้าน Sea Wheel Travel สำหรับคนที่จะแวะมาที่นี่ ให้ลงที่สถานี Chinatown แล้วใช้ทางออก D ครับ ตัวร้านจะอยู่บนชั้น 3 ของห้าง หาไม่ยากครับ มองหาป้ายไฟสีเขียวๆ




สำหรับราคาก็จะประหยัดไปพอสมควรครับ เท่าที่สังเกตุดู ราคาเข้าสถานที่ท่องเที่ยวหลายๆที่ถ้าเราซื้อทางอินเตอร์เน็ต อาจจะได้ราคาถูกกว่ามาซื้อที่นี่ครับ แล้วทำไมที่นี่ถึงขายได้ถูกหรือ ก็เพราะตั๋วบางอย่างเขาจะซื้อด้วยราคาของคนสิงคโปร์ครับซึ่งจะมีส่วนลดพิเศษ (เห็นชัดๆก็ Gardens by the Bay ตั๋วที่ขายเป็นราคาของคนสิงคโปร์, Legoland ขายตั๋วราคาคนมาเลย์) ในกลุ่มสวนสัตว์ (Singapore Zoo, Night Safari, Jurong Bird Park, River Safari) ถ้าซื้อตั๋วรวมหลายแห่งก็ราคาถูกกว่ามาซื้อที่นี่ครับ ข้อเสียอย่างเดียวของการซื้อตั๋วจาก Sea Wheel Travel ก็คือ ต้องจ่ายเป็นเงินสดเท่านั้น ตั๋วบางอย่างอาจจะไม่สามารถออกตั๋วได้ในทันที ต้องรออีกครับ อย่างวันที่ผมไป ผมลองถามตั๋ว Gardens by the Sea ดู เขาบอกต้องรอซักชั่วโมงจึงจะออกตั๋วให้ได้ (ไม่เป็นไร เพิ่งไปเที่ยวมา 555) สรุปแล้ว ผมได้แค่ตั๋ว Singapore River Cruise (8S$) สวนนกจู่ง (18S$) และ Night Safari (26S$)


แน่นอนครับ ไม่ลืมที่จะเอาราคาของที่นี่มาฝากกันด้วย


สำหรับซิมโทรศัพท์ สิงคโปร์จะมีอยู่ 2 ค่ายให้บริการครับ นั่นคือ SingTel กับ StarHub ซึ่งสามารถหาซิมได้ง่ายไม่ว่าจะที่สนามบิน หรือร้านสะดวกซื้อทั่วๆไป อย่าง 7-11 หรือ Cheers สำหรับทริปนี้ผมเลือกใช้ซิมสีแดงของ SingTel ครับ ตอนลงเครื่องใหม่ๆก็รีบเข้าเมืองเลยลืมมองหาที่ซื้อซิม พอพยายามมองหาใน 7-11 ก็ไม่มีชิมแบบ micro sim (สำหรับ iPhone4s) มีแต่แบบอื่นแทน ผมเลยฟลุคไปเจอซิมในร้านขายโทรศัพท์มือถือในห้าง People’s Park Center นี้แทน (ตรงบริเวณชั้น 1) แถมขายซิมแค่ 12 S$ (300บาท) เองด้วย


ปกติ SingTel Hi! Prepaid Simcard จะมีราคา 18S$ แต่จำหน่ายให้นักท่องเที่ยวในราคา 15S$ (375บาท) ค่าโทรภายในสิงคโปร์ก็ถูก แค่นาทีละ 0.16S$ sms 0.05S$ สำหรับคนที่จะใช้เฉพาะ Data อย่างผมก็เลือกซื้อ 7day value 1GB Data ราคา 7S$ ก็พอใช้สำหรับสี่วันครับ แถมยังเหลือเงินในซิมไว้โทรได้อีก


เดี๋ยวเราไปล่องเรือเที่ยวกันครับ ตอนนี้เราอยู่ที่สถานี Chinatown นั่งรถไฟฟ้าไปอีกแค่สถานีเดียวครับ เพื่อลงสถานี Clarke Quay ค่าโดยสาร 1.2 S$ (ezlink 0.78S$) ใช้ทางออก C จะขึ้นมาใต้ห้าง Central ครับ สำหรับจุดลงเรือจะอยู่ฝั่งตรงกันข้าม



ปกติการล่องเรือ (Singapore River Cruise) ราคาตั๋วจะอยู่ที่คนละ 18S$ (450บาท) แต่ซื้อตั๋วมาจากร้าน Sea Wheel Travel จะอยู่ที่ 8 S$ (200บาท) ถือว่าคุ้มมากครับ สำหรับการล่องเรือสบายๆประมาณ 40 กว่านาที โดยเมื่อลองเรือไปจะมีคำบรรยายสถานที่ต่างๆเล็กน้อย พอให้เราทราบประวัติความเป็นมา ที่สำคัญไม่ต้องเดินให้เหนื่อยด้วยครับ (เก็บแรงไว้เที่ยวอีกหลายวัน)




ย่านคล้ากคีย์ (Clarke Quay) สมัยก่อนจะเป็นโกดังขนถ่ายสินค้า จากเรือเดินสมุทรที่เข้ามาในสิงคโปร์ ในอดีตจะเต็มไปด้วยแรงงานชาวจีนตามโกดังสินค้า แต่ปัจจุบันได้พัฒนาพื้นที่มาเป็นร้านอาหารและเครื่องดื่ม สำหรับ hank out ในยามค่ำคืนไปแล้วครับ



โรงแรมหรู Fullerton Hotel ซึ่งอยู่ติดกับแม่น้ำ ถ้ามองให้ดีจะเห็นปฎิมากรรมรูปปั้นทองแดง เด็กๆกำลังโดดลงน้ำ ซึ่งแสดงถึงวิธีชีวิตในอดีตของย่านนี้ครับ


ตึกระฟ้าในย่าน City Hall ส่วนใหญ่มักเป็นธนาคารและบริษัทการเงิน สมกับที่สิงคโปร์เป็นเมืองท่าแห่งหนึ่งที่สำคัญครับ



Esplanade โรงละครติดชายหาด ที่ใครๆมักเรียกว่าตึกทรงหนามทุเรียน


บริเวณ Merlion park รูปปั้นสิงโตทะเล สัญลักษณ์ของสิงคโปร์



ไล่จากหน้าสุด (ขวาไปซ้าย)

-ตึก Avalon เป็น night club ขนาด 17,000 ตารางเมตรริมน้ำ

-LV Island Maison ร้านหลุยส์วิตองส์

-Art Science Museum อาคารพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และศิลปะ


เดี๋ยวเราจะย้อนกลับกันแล้วนะครับ



เป็น 40 นาทีที่คุ้มค่าที่สุดเลยล่ะครับ




ที่จริงล่องเรือมาเพลินๆ แล้วได้ชิลชิลต่อที่ร้านอาหารในย่านคล้ากคีย์นี่ก็ ok เลยนะครับ ตอนแรกผมก็คิดจะหาอะไรทานที่นี่ แต่เผอิญว่า มีตั๋ว Night Safari อยู่ในมือแล้วนี่สิครับ ถึงจะมีเวลาอยู่สิงคโปร์ตั้ง 3 คืนก็ตาม แต่เผื่อกันพลาดหรือมีฝนตกในคืนอื่น เราไป Night Safari กันตั้งแต่คืนแรกนี้เลยก็แล้วกันครับ


การเดินทางไป Night Safari ต้องใช้รถไฟฟ้าสายสีแดงครับ (North South Line) ซึ่งแหล่งท่องเที่ยวที่เป็นกลุ่มสวนสัตว์ค่อนข้างจะอยู่ไกลจากเมืองไปสักหน่อยยังไงก็เผื่อเวลาเดินทางเอาไว้ด้วยครับ สำหรับ Night Safari (และ Singapore Zoo รวมไปถึง River Safari) จะอยู่ใกล้ๆกันครับ สามารถลงสถานีรถไฟฟ้าได้ 2 ทางนั่นคือ

- สถานี Ang Mo Kio ถ้าใช้สถานีนี้ จะนั่งรถเมล์สาย 138 ต่อไปอีกนานหน่อย ประมาณ 35 นาที

- สถานี Choa Chu Kang นั่งรถเมล์สาย 927 ต่อไปใช้เวลาน้อยกว่า ประมาณ 15 นาที


สำหรับคืนนี้ จาก Clarke Quay เราจะนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่ Dhoby Ghaut เพื่อเปลี่ยนไปสายสีแดงครับ ผมเลือกลงที่สถานี Ang Mo Kio เลยครับ ใช้เวลาไปประมาณ 22 นาที ค่าโดยสาร 2.0S$ (ezlink 1.45 S$) แล้วต่อรถเมล์สาย 138 (จำค่ารถเมล์ไม่แม่นครับ แต่ไม่เกิน 2S$ เนี่ยแหละ) ครับ


(โปรดสังเกตุว่า วันนี้ River Safari ปิดนะครับ)


นั่งรถมาอีก 35 นาทีได้ (แทบหลับ) รวมแล้วเกือบหนึ่งชั่วโมงทีเดียวครับ กว่าจะมาถึง Night Safari


Singapore Night Safari เป็นสวนสัตว์แห่งแรกในโลกที่เปิดให้บริการชมสัตว์ในเวลากลางคืน ที่เปิดให้บริการตั้งแต่เวลา 18.00-24.00 ค่าบัตรเข้าชมปกติอยู่ที่ 35 S$ (875บาท) โดยสามารถเดินชมด้วยตนเองตามเส้นทางที่ได้จัดไว้ หรือจะนั่งรถที่มีบริการให้พร้อมกับมีเจ้าหน้าที่แนะนำไปด้วยครับ ซึ่งผมแนะนำวิธีหลังนี้ดีกว่าครับ โดยในหนึ่งรอบ จะใช้เวลาประมาณ 40 นาที


ปล.แนะนำให้นั่งฝั่งขวาของรถนะครับ เพราะผมรู้สึกว่า มันจะได้เห็นสัตว์และใกล้มากกว่านะ


ถามว่า สัตว์ที่มีแสดงเยอะไหม ความรู้สึกส่วนตัวคือ ไม่ค่อยเยอะนะครับ หลักๆก็จะมี กวาง สุนัขจิ้งจอก (ไฮยีน่า นี่เยอะมาก) ช้าง ฮิปโปโปเตมัส ช้าง ไปจนถึง วัว ควาย ?!? แต่ยอมรับว่าการจัดการของเขาค่อนข้างดีครับ ในการจัดแสดง




(ต้องขออภัยในคุณภาพของกล้องด้วยครับ Sony T99 คู่ใจใช้มาหลายทริป)


ที่สำคัญอย่าลืมดูโชว์ในรอบ 21.30 น. จะเป็นการแสดงของชนเผ่าต่างๆ มารำกระบองไฟ ไปจนถึงรำไทยของเราก็มี เอากับเขาสิครับ 55


ก่อนกลับ dinner คนเดียวที่ร้าน Bongo Burger ในสวนสัตว์นี่แหละครับ จัดหนักด้วย เบอร์เกอร์เนื้อแกะ กับซีซ่าร์สลัด และน้ำมะนาว ราคาก็หนักตามไปด้วยที่ 35 S$ ซึ่งแน่นไปถึงเช้าเลยล่ะครับ


ขากลับผมลองกลับอีกทางนึงครับ คือนั่งรถเมล์สาย 927 (ใช้เวลาประมาณ 15 นาที กับค่ารถ 1.70 S$/ezlink 1.27S$) มาลงที่สถานี Choa Chu Kang แล้วเราค่อยเปลี่ยนไปใช้สายสีเขียวที่สถานี Jurong East นั่งต่อไปอีกแปดสถานีจนถึงสถานี Outram Park เพื่อเปลี่ยนไปใช้สายสีม่วง นั่งอีกหนึ่งสถานีก็ถึง Chinatown ครับ เฉพาะนั่งรถไฟฟ้านี่ก็ 36 นาที ค่ารถ 2.2S$/ezlink 1.74S$


สรุปแล้ว ไม่ว่าจะวนซ้าย หรือวนขวาเพื่อไปสวนสัตว์ ยังไงก็ต้องใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงครับ ค่าโดยสารก็ไม่แตกต่างกันเท่าไหร่ด้วย


แค่เที่ยววันแรกก็จัดหนักจริงๆครับ ถึงโฮลเทลนี่อาบน้ำแล้วนอนเป็นตายเลย (ขนาดเก็บแรงแล้วนะเนี่ย) เดี๋ยวพรุ่งนี้เราจะข้ามไป Legoland Malaysia กันครับ




 

Create Date : 04 สิงหาคม 2556    
Last Update : 4 สิงหาคม 2556 9:04:24 น.
Counter : 11235 Pageviews.  


prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.