Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2553
 
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
3 ธันวาคม 2553
 
All Blogs
 
rome day 6 รอบโรม Trevi fountain-Pantheon-Colosseum

หลังจากพักผ่อนกันเต็มที่ จากการเดินทางปารีส-โรมในวันเมื่อวาน วันนี้ก็สดชื่น พร้อมตะลุยกรุงโรมกันแล้วครับ

ถ้ามองจากแผนที่ จะเห็นว่า สถานที่ท่องเที่ยวต่างๆจะอยู่ไม่ไกลกันเท่าไหร่นัก ดังนั้นการเดินเล่นในโรมจึงทำได้ไม่ยากครับเพราะกว่าจะถึงแหล่งท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ มักจะมีน้ำพุ หรือจัตุรัสต่างๆ ให้เราพักผ่อนหย่อนใจ มองดูวิถีชีวิต ตลาดบ้านเมือง ของโรมไปเรื่อยๆครับ อย่างที่มีคนเคยพูดว่า มาโรมให้มาดูน้ำพุเนี่ยแหละครับ



แผนภาพที่เที่ยวหลักๆภายในกรุงโรมครับ



สำหรับคนที่จะอาศัยบริการรถไฟใต้ดิน สำหรับกรุงโรม จะมีรถไฟใต้ดินหลักเพียง 2 สาย คือ metro A และ B ที่มีสถานีลงอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวสำคัญอยู่ครับ แถมแผนที่ในรถไฟใต้ดิน จะบอกเลยว่า แต่ละสถานีเมื่อลงแล้วจะเจอแหล่งท่องเที่ยวใด ทำให้การท่องเที่ยวด้วยตนเอง ไม่ยากเลยสำหรับนักท่องเที่ยว

สำหรับค่าโดยสาร metro จะราคาเพียง 1 ยูโร ต่อเที่ยว โดยไม่จำกัดระยะทาง (แต่จำกัดเวลาอยู่ในระบบได้เพียง 75 นาที) สำหรับตั๋ววัน และตั๋ว 3 วันจะอยู่ที่ 19 และ 25 ยูโร ตามลำดับ (สำหรับตั๋วประเภทนี้จะรวมการโดยสารทั้งรถไฟใต้ดิน รถบัส รถรางและรถไฟเอาไว้ร่วมกัน)

ถ้าให้ผมแนะนำ ให้ซื้อเป็นเที่ยวไปดึกว่าครับ เพราะถูกกว่าตั๋ววันมาก แถมซื้อตั๋วก็สะดวกด้วยตู้อัตโนมัติ


สำหรับคนที่มีแผนจะเข้าพิพิธภัณฑ์ การใช้ Roma Pass น่าจะคุ้มที่สุดครับเพราะสามารถใช้เดินทางโดยขนส่งมวลชนทุกระบบในโรมได้ภายใน 3 วัน แถมยังเข้าพิพิธภัณฑ์ได้ฟรีอีก 2 แห่งครับ โดยแห่งที่ 3 เป็นต้นไปจะมีส่วนลดพิเศษ Roma Pass ราคา 25 ยูโร และหาซื้อได้ที่ Tourist Information ที่สนามบิน และสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญๆครับ (ที่แน่ๆสามารถใช้ Roma Pass เข้าโคลอสเซี่ยมได้ แต่พิพิธภัณฑ์วาติกันกลับใช้ไม่ได้ครับ)



สำหรับที่พักของผม จะอยู่ใกล้วาติกัน ตรงกับสถานี Ottaviano San Petro (บน metro สาย A) นั่งรถไฟอีก 2 สถานีก็จะถึงสถานี Flaminio Del Popolo



เมื่อมาถึงแล้วจะเจอประตูใหญ่แบบนี้ เราต้องเดินเข้าไปอีกทีครับ



รถรางก็มาถึงที่นี่ครับ






ทางเข้าของจัตุรัส Piazza del Popolo ครับ



Piazza del Popolo เป็นจัตุรัสที่หรูหราของกรุงโรมมาตั้งแต่ปี 1538 ซึ่งแต่แรกเป็นเพียงจัตุรัสรูปสี่เหลี่ยมคางหมูธรรมดา ต่อมาในปี 1589 พระสันตปาปาซิกตุสที่ 5 รับสังให้โดเมนีโก ฟอนตานาสร้างน้ำพุ ประดับด้วยเสาโอบีลิสของอียิปต์ (เสาโอบีลีสอายุกว่า 3,200 ปี ถูกขนย้ายมาในสมัยที่เข้าไปรุกรานอิยิปต์ เสาโอบีลิสนี้สร้างเพื่อเป็นเกียรติแก่กษัตริย์ราเมเซสที่ 2 ของอียิปต์) ต่อมาจักรพรรดินโปเลียนได้ว่าจ้างให้ จูดเซปเป วาลาดีแยร์ แปลงโฉมจัตุรัสในช่วงปี 1811-1824 จนเป็นศิลปะนีโอคลาสสิกมาจนถึงปัจจุบัน เป็นรูปวงรีขนาดใหญ่ ซึ่งอ้อมขึ้นเนินเขาปินซิโอที่สูงชัน ไปตามถนนคดเคี้ยว วาลาดีแยร์ยังเพิ่มรูปปั้นสิงโตให้กับน้ำพุอีกด้วย

สำหรับจัตุรัส Piazza del Popolo จะขึ้นชื่ออีกเรื่องเกี่ยวกับการเป็นจตุรัสที่มีศิลปินเปิดหมวก เข้ามาเปิดทำการแสดงให้ชมอยู่ไม่น้อยครับ แต่ผมมาแต่เช้า เลยมีมาไม่กี่เจ้าเอง



สิงโตทั้ง 4 มีแต่คนแย่งกันขี่ แย่งกันถ่ายรูป





มุมหนึ่งจะเป็นเนินเขาปินซิโอ ด้านบนก็เป็นสวนสาธารณะ



เช้านี้มีเพียงหุ่นเทพีเสรีภาพมาทำมาหากินครับ



ว่าแล้วก็กลับลงรถไฟใต้ดินครับ



นั่งรถไฟใต้ดินต่อมาอีก 2 สถานี (ยังอยู่บน metro สาย A เช่นกัน) จะถึงสถานี Barberini-Fontana di Trevi เพื่อไปชมน้ำพุเทรวี น้ำพุชื่อดังที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องแวะเวียนมาที่นี่

และสำหรับจุดนี้ ผมวางแผนจะเดินชมบ้านเมืองไปเรื่อยๆ จนถึงโคลอสเซียมเลยครับ

เมื่อออกจากสถานี Barberini-Fontana di Trevi จะพบน้ำพุ Barbertini ให้พยายามมองพื้นที่น้ำพุตรงนี้ให้เหมือนกับลูกศร แล้วเดินไปตามปลายแหลมของลูกศร (หรือทางทิศตะวันตกเลยครับ)



เดินมาจะเจอป้ายบอกทางไปน้ำพุเตรวีแปะอยู่บนตึกอย่างนี้ครับ เนื่องจากน้ำพุจะอยู่ในแหล่งชุมชน บางคนอาจคิดว่าหาทางไปลำบาก ต่อให้มากับกลุ่มทัวร์ ก็ต้องเดินเข้าไปอีกครับ (เพราะรถเข้าไปถึงน้ำพุได้ค่อนข้างลำบาก) ดังนั้นการเดินตามกลุ่มทัวร์(ฝรั่ง) ไปเรื่อยๆ ก็จะช่วยให้เราไม่หลงทางครับ 55 เพราะใครๆก็มุ่งหน้าไปน้ำพุเตรวี



เห็นไหมครับว่า นักท่องเที่ยวล้นหลามเลยล่ะครับ



Trevi Fountain น้ำพุเตรวีสร้างขึ้นในสมัยกษัตริย์อากริปปาเมื่อ 19 ปีก่อนคริสตกาล โดยเป็นการสร้างน้ำพุอยู่ตรงปลายสะพานส่งน้ำของน้ำพุธรรมชาติที่ได้ค้นพบ การออกแบบสถาปัตยกรรมรอบๆโดยฝีมือสถาปนิก Nicola Salvi เป็นแบบสถาปัตยกรรมบาร็อก

ส่วนกลางของน้ำพุเป็นรูปปั้นของเทพเจ้าเนปจูนขี่รถม้าติดปีก อันหมายถึงความอุดมสมบูรณ์ของอาณาจักรนั่นเองครับ






สิ่งหนึ่งที่ทุกคนต้องทำก็คือ การยืนกลับหลัง โยนเหรียญข้ามไหล่ แล้วอธิษฐาน เพื่อที่จะจะได้กลับมาเยือนที่โรมอีกครั้ง ซึ่งผมก็ไม่มีพลาดหรอกครับ



สำหรับมื้อกลางวันวันนี้ขอดื่มด่ำบรรยากาศน้ำพุเตรวี ด้วยร้าน Golden Bar ติดกับน้ำพุเตรวี



เลือกไวน์มาเรียกน้ำย่อย พร้อมกับสปาเก็ตตี้ meat ball ครับ






The Pantheon วิหารโบราณที่มีสภาพความสมบูรณ์มากที่สุด วิหารแพนธีออน หมายถึง ที่อยู่ของเทพเจ้าทั้งปวง ลักษณะของวิหารเป็นรูปทรงกลม มีจุดเด่นอยู่ที่การออกแบบโดมด้านบนของอาคาร โดยเว้นเป็นช่องวงกลมเพื่อให้แสงแดดส่งอเข้ามาได้ ที่เชื่อว่าเป็นทางเชื่อมระหว่างมนุษย์กับพระเจ้าบนสวรรค์ ตัวอาคารมีความกว้าง 43 เมตรและสูง 43 เมตรเช่นกัน ทางเข้าเป็นเสาหินใหญ่ 20 ต้น เพดานด้านบนประดับด้วยทองสำริดหนัก 20 ตัน ด้านหน้าจั่วสลักอักษรโรมัน "M.AGRIPPA.L.F.COS.TERTIUM.FECIT" หมายถึง กษัตริย์อากริปปาเป็นผู้สร้างวิหารนี้มาตั้งแต่ 27 ปีก่อนคริสตกาล





ช่องว่างบนหลังคา ที่ออกแบบให้แสงส่องเข้ามาด้านในตัววิหาร เป็นความชาญฉลาดของคนในสมัยโบราณที่ไม่ต้องใช้ไฟส่องสว่างด้านในวิหารเลย แต่ถ้าเกิดฝนตก ภายในวิหารก็มีช่องระบายน้ำออกเล็กอยู่บนพื้นทางเดินนะครับ สามารถสังเกตุกันได้






ความยิ่งใหญ่ของภายในวิหารครับ





ด้านหน้าของวิหารจะเป็นน้ำพุที่แกะสลักเพิ่มเติมภายหลังในปี 1575 ก่อนจะเพิ่มเติมเสาโอบีลิสของกษัตริย์ราเมเซสที่ 2 ในปี 1711




Piazza Navona สำหรับจัตุรัสนาโวนาเป็นจัตุรัสวงรียาวที่สร้างอยู่บนสนามกีฬาโบราณของจักรพรรดิโดมีเชียน ปัจจุบันนอกจากจะเป็นจัตุรัสที่รวมรวมผลงานศิลปะของศิลปินหน้าใหม่ๆที่มาโชว์ผลงาน ยังเป็นย่านของเก่าและมีคาเฟ่น่านั่งหลายๆร้าน ด้านข้างคือ โบสถ์ San Luigi dei Francesi ที่เป็นโบสถ์ประจำชาติฝรั่งเศสในกรุงโรม

น้ำพุตรงกลางของจัตุรัสคือ Fountain of th Four Rivers

ยังมีน้ำพุอีก 2 อัน นั่นคือ Fountain of Neptune ผลงานของ Giacomo della Porta ทางทิศเหนือ สำหรับทางทิศใต้คือ Fountain of Moor ออกแบบโดย Giovanni Lorenzo





Fountain of th Four Rivers น้ำพุที่อยู่กลางจัตุรัสนาโวนา มีรูปปั้นเทพเจ้าประจำอยู่ 4 ด้าน อันเป็นตัวแทนของแม่น้ำสายสำคัญ 4 สายในแต่ละทวีป คือ 1)แม่น้ำดานูบ (Danube) ทีไหลผ่านยุโรปตะวันออก ด้วยรูปปั้นเทพเจ้ากำลังพยุงเสาหินให้นิ่ง 2)แม่น้ำคงคา (Ganges) ในอินเดีย ด้วยรูปปั้นเทพเจ้าที่ดูผ่อนคลาย 3)แม่น้ำไนล์ (Nile) ในอียิปต์ ด้วยรูปปั้นเทพเจ้ามุดหัว และ 4)แม่น้ำ Rio de la Plata ในอเมริกาใต้ ด้วยรูปปั้นเทพเจ้าหัวล้านหมุนวน



รูปปั้นของเทพเจ้าทั้ง 4 ครับ






รูปปั้นของ Marco Minghetti หน้า Museo di Roma





แดดวันนี้ค่อนข้างแรงมาก เหมาะกับการเดินเที่ยวจริงๆ แถมอากาศก็ประมาณ 20 องศา สิ่งหนึ่งที่หาทานได้ง่ายก็ไอติมอิตาเลี่ยนสไตล์เจลาติโน่นี่แหละครับ ราคาถูกกว่าบ้านเรามากมาย ถ้วยละไม่ถึง 2 ยูโรดี






Campo de'Fiori หรือ ทุ่งดอกไม้ จัตุรัสนี้เป็นตลาดดอกไม้ และตลาดสดในช่วงกลางวัน มีอนุสาวรีย์คนสวมเสื้อคลุมมีฮู๊ดท่าทางบึกบึน ที่ก้มหน้ามองไปในบริเวณจัตุรัส สร้างขึ้นเพื่อเป็นเกียรติแก่ จอร์ดาโน บรูโน นักเทววิทยาผู้ถูกมัดกับหลักแล้วเผาทั้งเป็น ด้วยความเห็นนอกรีต ในช่วงปี 1600 ระหว่างการต่อต้านดารปฏิรูป






เดินมาถึงจัตุรัสเวเนเซีย (Piazza Venezia) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งจัตุรัสสำคัญกลางกรุงโรม ด้านหน้าของจัสตุรัสนี้คือ อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II) กษัตริย์พระองค์แรกของอิตาลี ผู้รวมรวมชาติอิตาลีเข้าไว้ด้วยกัน ตัวอนุสาวรีย์จะตั้งอยู่บนเนินเขาแคปปิทอลไลน์ (Capitoline Hill) สร้างขึ้นในปี 1895-1911 ออกแบบโดย Giuseppe Sacconi ตัวอาคารเป็นหินอ่อน รายล้อมด้วยเสาหินขนาดใหญ่ ตรงกลางเป็นรูปปั้นกษัตริย์เอ็มมานูเอลที่ 2 ทรงม้า นอกจากนี้ด้านในของอาคารยังเป็นที่ฝังศพของเหล่าทหารทั้งหลายที่เสียชีวิตในสงครามโลกครั้งที่ 1

เนินเขา Capitoline Hill ถือว่าเป็นจุดที่เริ่มเข้าสู่พื้นที่ประวัติศาสตร์อันยิ่งใหญ่ของโรมันเลยล่ะครับ



อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II)






ที่นี่ก็แปลกอีกอย่างครับ คือ คุณลุง (น่าจะ รปภ.) ชอบเป่านกหวีดไม่ให้คนนั่งด้านหน้าอนุสาวรีย์นี่เลย ซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจเหมือนกันว่าเพราะอะไร จะว่านักท่องเที่ยวบางคนใส่กระโปรงสั้นๆ เมื่อนั่งแล้วอาจจะดูไม่สุภาพก็เป็นได้ เพราะอนุสาวรีย์นี้ค่อนข้างสูงชัน เมื่อเงยหน้ามอง สามารถเห็นอะไรต่อมิอะไรได้เหมือนกันครับถ้านั่งใส่กระโปรงสั้น แต่ผมใส่กางเกงยีนส์ขายาว ลุงแกยังเป่าเลย แค่จะพักเท้าซักหน่อยเองนะ





ด้านหน้าของอนุสาวรีย์นั่นคือ จัตุรัสเวเนเซีย (Piazza Venezia) ที่เอาไว้จัดงานต่างๆ



เมื่อเดินมาตามถนน Via del Fori Imperiali จากทางด้านซ้ายของ อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II) เราก็จะเข้าสู่บริเวณซาเมืองเก่าแก่สมัยโรมัน และถนนเส้นนี้จะนำเราไปสู่หนึ่งในสิ่งก่อสร้างมหัศจรรย์ระดับโลกนั่นคือ โคลอสเซียม



Roman Forum เป็นซากเมืองปรักหักพัง จัตุรัสเก่าแก่ของชาวโรมันที่เป็นศูนย์กลางการค้า การเมืองที่มีอดีตยาวนานนับพันปี สร้างในสมัยจักรพรรดิออกัสตัส ซึ่งปกครองจักรวรรดิโรมันเป็นคนแรก ซึ่งนับว่าพระองค์ได้เปลี่ยนโฉมหน้าเมืองจากก้อนอิฐให้เต็มไปด้วยหินอ่อน



ด้านหลังตึกสูงสีขาวก็คือ อนุสาวรีย์กษัตริย์วิกเตอร์เอ็มมานูเอลที่ 2 (Monument of Victor Emanuel II) ด้านหน้าก็คือซากเมืองเก่าโรมันนั่นเอง



Roman Forum บนเนินเขา Capitoline Hill



เริ่มเจอนักรบโรมันโบราณ มารอให้บริการถ่ายรูปกับนักท่องเที่ยวแล้วครับ



เดินมาจาก Roman Forum ไม่ไกลนักก็จะเจอ Colosseum



โคลอสเซียม เป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ยุคใหม่ ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.72 ในสมัยองจักรพรรดิติตุส (Titus) โดยใช้ระยะเวลาในการก่อสรางเพียง 8 ปีด้วยแรงงานของนักโทษชาวยิว 12,000คน

ตัวอาคารของโคลอสเซียมมีลักษณะเป็นวงรี คลอบคลุมพื้นที่ 19,000 ตารางเมตร ยาว 188 เมตร กว้าง 156 เมตร สูง 48.50 เมตร โดยแบ่งออกเป็น 4 ชั้น แต่ละชั้นมีประตูโค้งทั้งหมด 80 บาน สามารถจุคนได้มากถึง 50,000 คน

โคลอสเซียมถือว่าเป็นสนามกีฬา ที่ใช้แข่งขันต่อสู้กันระหว่างนักสู้กับสัตว์ดุร้าย หรือระหว่างนักสู้ด้วยกันเอง โดยนักสู้เหล่านี้ ที่เรียกว่า Gladiator จะใช้ชีวิตอยู่ชั้นล่างสุด (Gladiator มาจากคำว่า Gladius ที่แปลว่า ดาบ) โดย Gladiator นี้อาจจะมาจากนักโทษ อาชญากร หรือเป็นบุคคลทั่วไปก็ได้ เกมกีฬานี้ถือเป็นเกมส์ที่ถูกกฎหมายจนถึงปี ค.ศ. 523

การเดินทางมาโคลอสเซียม สามารถใช้รถไฟใต้ดิน metro B สายสีน้ำเงิน เลือกลงที่สถานี Colosseo ได้เลยครับ จะออกมาเจอตัวโคลอสเซียมเลย



ช่องทางเข้าสู่โคลอสเซียมด้านในครับ





เมื่อเข้ามาจะเจอป้ายทางเข้าสำหรับกลุ่มทัศนศึกษา คนที่จองตั๋วมาแล้วจะอยู่ทางซ้าย ทางขวาจะเป็นคนที่ยังไม่มีตั๋ว



สำหรับค่าเข้าโคลอสเซียมอยู่ที่ 12 ยูโร สำหรับคนใช้ Roma Pass จะมีช่องพิเศษ (ไวกว่าคิวปกติมาก) ให้แตะบัตรผ่านเช้าไปได้เลย

สำหรับคนต้องการไกด์สามารถเพิ่มค่าไกด์ได้อีกที่ 4 ยูโร โดยมีรอบของแต่ละภาษาให้ดังนี้เลยครับ



เมื่อผ่านทางเข้ามาแล้ว



เดี๋ยวเราจะเดินขั้นไปชั้นบนกันก่อน



ด้านบนของโคลอสเซียม





มองผ่านลงไปจะเห็นด้านล่าง และชั้นใต้ดินที่เป็นที่อยู่ของบรรดา Gladiator



ประตูชัยคอนสแตนติน (The Arc of Constantine) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 312 เพื่อเป็นที่ระลึกแด่จักรพรรดิคอนสแตนตินที่รบชนะ Maxentius ที่สะพานมิลวิโอ (Ponte Milvio)



อีกฝั่งครับ



ภาพวาดแสดงบรรยากาศในอดีต



มุมล่างของโคลอสเซียม






มุมด้านหลังของโคลอสเซียม



เมื่อเดินเลยโคลอสเซียมไปตามถนน Via Labicana จะพบโบสถ์ San Clemente เป็นโบสถ์ขนาดเล็กที่มีตำนานและเส้นทางเดินลี้ลับใต้ดิน ที่สามารถมองเห็นลำดับชั้นของเมืองเก่าแก่และวัฒนธรรมอันล้ำค่าของกรุงโรม ย้อนไปสมัยกรุงโรมมีอายุประมาณ 200 ปีก่อนคริสตกาล ทั้งยังค้นพบอาคารในสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 1



ภาพในโบสถ์ที่สงบ






ขากลับผมได้เดินผ่านสวนสาธารณะตรงข้ามโคลอสเซียม เพื่อไปขึ้นรถไฟใต้ดินที่สถานี Cavour






Create Date : 03 ธันวาคม 2553
Last Update : 3 ธันวาคม 2553 13:09:57 น. 4 comments
Counter : 9784 Pageviews.

 
ไปเที่ยวโรมต่อค่ะ เจลลาโต้อร่อยมากๆ คิดถึง
เทรวี่ที่ไม่เคยขาดผู้มาเยือน
สปาเก็ตตี้กะไวน์น่าอร่อยค่ะ

วันนึงจะกลับไปเดินเล่นอีกแน่ๆ


โดย: apple.007 วันที่: 3 ธันวาคม 2553 เวลา:20:53:38 น.  

 
wow wow อยากไปๆๆๆ


โดย: Sugar lip วันที่: 5 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:1:06:12 น.  

 
กะลังไป ขอบคุณสำหรับข้อมูลคะ คิคิ


โดย: jum (Love Series ) วันที่: 21 เมษายน 2555 เวลา:17:31:11 น.  

 
กำลังจะไปโรมเหมือนกันค่ะ กำลังที่เที่ยวเลย ขอบคุณค่ะ แต่ทั้งหมดนี้เที่ยวกี่วันหรอค่ะ


โดย: aummi IP: 110.169.150.227 วันที่: 2 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา:20:32:10 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

prapasawat
Location :
สระบุรี Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 38 คน [?]




Friends' blogs
[Add prapasawat's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.