ปรมัตถ์ ของคนบ้า (ไม่รู้ว่ากี่หน้ากระดาษ)
เมื่อความไร้ระเบียบตกลงกันได้ มันจะเป็นระเบียบไปช่วงหนึ่ง แต่ที่สภาวะนั้นจะมีความกดดันมาก และอึดอัดมาก จนอยู่ได้ไม่นาน จากนั้นความมีระเบียบก็จะแตกออกเป็นความไม่มีระเบียบอีกครั้ง ก่อนหน้า บิกแบง ก็คือ การที่สรรพสิ่งพยายามรวมกันให้เป็นหนึ่งเดียว พลังงานที่มารวมกันจึงมากมายมหาศาล สภาวะที่มีพลังงานสูงจึงไม่เสถียร ถามว่าพลังงานสูงนั้นมาจากที่ใด ผมตั้งข้อสันิษฐานว่ามาจากสิ่งมีชีวิตทั้งหมดทั้งมวลในจักรวาล ซึ่งตัวแทนของพลังงานคือความร้อน เมื่อสิ่งมีชีวิตให้ความร้อนกับจักรวาลถึงจุดหนึ่ง จักรวาลจะเกิดความเปลี่ยนแปลง เมื่อสิ่งมีชีวิตทั้งมวลร้อนขึ้นพร้อมๆกัน ก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงในระดับจักรวาล ปัจจัยที่ทำให้สิ่งมีชีวิตรู้สึกร้อน คือความทุกข์ เมื่อความทุกข์มากถึงจุดๆหนึ่ง ความร้อนจะมากถึงจุดๆหนึ่ง พลังงานจะมากพอที่เปลี่ยนแปลงจักรวาล เมื่อทุกคนมีทุกข์ ทุกคนจะวิงวอน การวิงวอนทำให้เกิดความพร้อมใจ ผมเรียกว่าการสั่นพ้องกันทางความเชื่อ เชื่อว่าจะมีศาสดา จะมีพระเจ้า พลังงานคลื่นแห่งความนึกคิด เปลี่ยนเป็นความร้อน ความร้อนทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลง เกิดดาวดวงใหม่ ทำให้ดาวบางดวงเสื่อมสลาย ดังนี้เมื่อสิ่งหนึ่งเกิดขึ้น ก็ต้องมีสิ่งหนึ่งดับสูญ ตามกฏของสมดุลมวลสารและพลังงาน คลื่นพลังงานที่รับเอาเจตจำนงแห่งความร้อนนั้นเข้าไปจะไม่เสถียร มันจะเย็นลงและตกผลึกลงมาเป็นชีวิต หลายชีวิต ชีวิตแต่ละชีวิตจะมีจุดมุ่งหมายเดียวกันคือคืนความสมดุลสู่จักรวาล ความร้อนที่มากมายนั้นจะเย็นลง
ตามหลัการทางวิทยาศาสตร์ลูกตุ้มจะแกว่งไปจนสุดขั้วตรงข้ามก่อนแล้วจึงแกว่งกลับไปกลับมาจนถึงจุดสมดุล
การแกว่งไปแกว่งมาของจักรวาลทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเหลื่อมล้ำในมิติของเวลา จากจุดที่เสถียรหนึ่ง ไปอีกจุดที่เสถียรกว่า จะถึงจุดที่เสถียรที่สุด
อ้างถึงระดับพลังงานที่จุดสุดขั้วด้านที่สเถียรที่สุด มวลสิ่งมีชีวิตมีความร้อนระดับต่ำที่สุด หมายความว่าชีวิตกำลังจะสิ้นสูญ พลังงานถ่ายเทจากในอินทรีย์สู่นอกอินทรีย์ เมื่อพลังงานที่เกียวเนื่องด้วยเจตจำนงหนึ่งออกสู่ภายนอกมีพลังงานมากและเริ่มเย็นลง มันก็จะดูเอาสสารภายนอกมาควบรวมเป็นอินทรีย์ใหม่ และเป็นอย่างนี้ไปเรื่อยๆ
โดยส่วนตัวผมจึงเชื่อว่าพระเจ้าในฐานะที่เป็นบุคคล คือบุคคลที่เคยทุกข์ที่สุดมีความร้อนมากที่สุด และหลุดพ้นจาดจุดนั้นมาได้และเปลี่ยนแปลงสู่จุดที่เย็นที่สุด คือ สุขที่สุดมาแล้ว
พระเจ้าในฐานะบุคคลที่หลุดพ้นจากทั้งสองด้านจึงอยู่ตรงกลางระหว่างสุขกับทุกข์ และเป็นอิสระจากสุขกับทุกข์ เสมือนว่าเขาอยู่ ณ จุดสมดุลของสิ่งทั้งมวล อยู่ ณ กึ่งกลางที่แท้จริงของจักรวาล
ผมจึงเชื่อว่าการสอนเรื่องทางสายกลางของพุทธจึงเป็นวิธีการหนึ่งซึ่งใช้ปรับสมดุลของจักรวาล หากทุกสิ่งอย่างเป็นไปในทางเดียวกันเสียหมด ต้องมีบางสิ่งบางอย่างหายไป หากมนุษย์ทุกผู้เห็นตรงกันว่าควรฆ่าสัตว์ชนิดหนึ่ง สัตว์ชนิดนั้นอาจจะสูญพันธุ์ หากมนุษย์ตั้งมั่นว่าจะไม่สืบพันธุ์ทุกคน มนุษย์ก็จะสูญพันธุ์ ถ้ามนุษย์ตั้งมั่นเพียงจะบริโภคบางสิ่งอย่าง สิ่งนั้นจะขาดแคลน ความขาดแคลนทำให้เกิดการค้นหาสิ่งทดแทนใหม่ ทำให้เกิดการกำเนิดใหม่ ทั้งในด้านอินทรีย์ และความเชื่อนั่นเองครับ
ความเชื่อส่วนตัวของผมอีกข้อหนึ่งก็คือ
ไม่จำเป็นต้องบอกว่าใครคือพระเจ้า คนที่รู้ก็น่าจะรู้ได้ด้วยตน คนที่ไม่รู้ก็ต้องแสวงหาความรู้ ส่วนคนที่คิดว่าไม่มีพระเจ้าก็ต้องแสวงหาความรู้ว่าแท้จริงแล้วมีหรือไม่มี
ไม่ใช่หยุดลงที่ความเชื่อเท่านั้น แสวงหาไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้ข้อเท็จจริงและบทสรุป เท่านั้นเองครับ
๓ ก.ย. ๒๕๕๖
เมื่อคืน คิดเรื่องกำเนิดจักรวาลแล้วรู้สึกฟุ้งซ่าน และเครียดเหมือนอาการเก่าจะกำเริบ พอมีคนทักว่า ความคิดนี้เข้าข่าย อจินไตย สี่ประการ จึงไปหาข้อมูลในวิกิพีเดีย พออ่านแล้วจึง สบายใจขึ้นและหยุดคิดจริงจัง เรื่องกำเนิดจักรวาลเสีย เอาเวลามาปฏิบัติตนให้ดีตามคติของศาสนาดีกว่า
การคิดนั้นดีอยู่ แต่ก็ต้องรู้จักหยุดคิดด้วย มิเช่นนั้น ผมอาจโดนหามส่งโรงพยาบาลเหมือนครั้งอดีต
ข้อมูลเรื่อง อจินไตย จาก วิกิพีเดีย
ในทางพระพุทธศาสนาไม่แนะนำให้คิดเรื่องอจินไตย เพราะวิสัยปุถุชนไม่อาจเข้าใจได้โดยถูกต้องถ่องแท้ ทั้งเพราะความเข้าใจไม่ได้ในฐานะที่เป็นของลึกซึ้ง เป็นเรื่องทางจิต หรือเป็นเรื่องที่ไม่สามารถหาคำตอบที่สิ้นสุดได้ ถ้าคิดมากจริงจังในการหาคำตอบเหล่านั้นจากการคิดเดาเอาด้วยตรรกะเองจึงอาจกลายเป็นคนบ้าได้ อจินไตยในเรื่องทางจิตจึงเป็นเรื่องที่รู้ได้ด้วยการบรรลุธรรมชั้นสูงเท่านั้น
Create Date : 02 ตุลาคม 2556 |
Last Update : 17 ตุลาคม 2556 12:33:35 น. |
|
0 comments
|
Counter : 766 Pageviews. |
|
|