|
|
|
|
|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 |
6 | 7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 |
13 | 14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 |
20 | 21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 |
27 | 28 | 29 | 30 | |
|
|
|
|
|
|
|
|
คืนหมอกเหมยเหน็บหนาว ดาวพราวพร่าง ข้างกองไฟ..
เห็นชื่อเรื่องแล้ว หลายคนท่าจะเบือนหน้า หาว่า มาอีกละ พวกอีโรติก โรแมนติก หรือมาติกติก(มาติกติก ทางเหนือแปลว่า มาเรื่อยๆ ) แต่ใคร่จะบอกเอิ้นหื้อรู้ว่า เรื่องมันเกิดที่นั่นแท้ บนดอยสูงหลังดอยอ่างกา(อินทนนท์)
สมัยข้าเจ้าเรียนที่สวีเดน ข้าเจ้าเทียวขึ้นเครื่องไปโน่นมานี่ทางแถบยุโรป รวมทั้งยามกลับมาเมืองไทยด้วย เป็นเหตุหื้อมีไมล์สะสมนักอยู่ เพื่อนรุ่นน้องที่นิด้าออกปากชวนให้ไปบริจาคอุปกรณ์กันหนาวให้กับหมู่บ้านบนดอยสูง สำทับว่า หนาวๆ อย่างนี้ ได้สัมผัสหมอกเหมยบนดอยสูงนั้น เกินธรรมดาขนาด บวกกับข้าเจ้าเองก็เพิ่งจะเดินทางกลับมาเมืองไทยหลังเรียนจบได้บ่เมิน ออกอาการเหงาๆ อยู่ เลยตอบตกลง พร้อมหิ้วน้องสาว(ลูกของน้า)ไปเป็นเพื่อน
ทั้งคณะเดินทาง นับได้สิบกว่าชีวิตลุกจากที่ต่างๆ มารวมตัวยังจุดนัดหมายแถวๆ แยกข่วงสิงห์ยามเช้าตรู่ ตะวันเพิ่งพ้นขอบฟ้า พร้อมพรักก็เดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยรถยนต์ 2 คัน ผ่านไปทางหางดง เข้าสันป่าตอง ลุถึงจอมทอง เลี้ยวขวาขึ้นไปทางดอยอินทนนท์ อีก 10 กิโลเมตรก่อนถึงยอดดอยอินทนนท์ จะหันป้ายทางซ้ายมือบอกว่าไปอำเภอแม่แจ่ม คณะของเราจึงเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางนั้น ผ่านไปได้ไม่กี่อึดใจ รถของเราก็ฝ่าไอหมอกลอยอ้อยอิ่งแทบมองไม่เห็นทาง ขณะรถคันหน้าของคณะเดินทางค่อยเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง พวกข้าเจ้าหมู่สาวๆ 4 ชีวิตกับลิงโลด ตื่นใจกับไอหมอกหนา พลันมีบางคนในหมู่เราเอ่ยว่า ลงไปถ่ายรูปกันดีกว่า นั่นแหละ ข้าเจ้าจึงได้โอกาสวิ่งลงไปคว้าไอหมอกเล่น แลสูดความเย็นจนฉ่ำปอดกลางถนนอย่างนั้น
ยามแลงตะวันจวนลับขอบฟ้า หลังฝ่าป่า ผ่านเขามาหลายลูกกับการเดินทางที่ทุลักทุเลเอาการด้วยเส้นทางขึ้นเขาลงห้วย นัยว่า หัวหน้าคณะเลือกเอาสถานที่ที่บ่มีไผ หรือหน่วยงานใดเข้ามาถึงนั่นเอง คณะเดินทางก็มาถึงที่หมายเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าปกากเญอ
หลังเสร็จสิ้นภาระกิจเดินมอบผ้าห่ม เสื้อกันหนาวให้กับทุกหลังคาเรือน ตะวันก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ขณะรับประทานข้าวแลงแกงมื้อหมู่เราทั้งหลายต้องใช้ไฟจากเสียงเทียนวับแวมนั้น พร้อมกับกระชับเสื้อกันหนาวแนบแน่นบ่หื้อความหนาวเย็นเข้าถึงอณูเนื้อได้
ค่ำคืนในบ้านป่าเยี่ยงนี้ ทุกสรรพสิ่งคล้ายหลับไหลไปพร้อมกันยามตกมืด มีเพียงคณะของเราที่อาศัยโรงเรียนเป็นเรือนนอนหลบไอหนาว ซึ่งบางคนก็หลับใหลไปแล้วด้วยเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง แต่โน่น อีกกลุ่มโดยเฉพาะหนุ่มๆ จับจองข้างกองไฟกลางสนามโรงเรียนขับขานบทเพลงบ่ค่อยคุ้นหูข้าเจ้า เพราะเป็นเพลงคำเมืองไปซะนัก
ข่มตาหื้อหลับก่อบ่ได้ เพราะมันหนาวขนาด ซ้ำดึกซ้ำหนาวยะเยือกหันว่า 6 องศาทีเดียว ได้แต่นอนฟังเพลงที่หมู่หนุ่มๆ จาวเหนือเพิ่นร้องประกอบกีต้าร์โฟล์คแว่วมาในความมืดนั้น ฟังไปก็เพลินดีไม่น้อย จนกระทั่งเคลิ้มใกล้จะหลับเต็มที ก็ได้ยินเสียงผ่านความมืดเอิ้นบอกมาแผ่วๆ "ไผนอนบ่หลับออกมาผิงไฟโตยกันก่ได้เน้อ มาจิบชาร้อนไปโตยก่ได้"
ยันกายลุกขึ้น บิดตัวไปมาผ่อนคลายความเมื่อยเล็กน้อย มองออกไปที่กองไฟกลางสนาม เปลวไฟยังเรื่อเรือง เสียงเพลงเงียบไปนานแล้ว ยินแต่เสียงพูดคุยแผ่วเบา สังเกตเห็นคนสามคนนั่งล้อมกองไฟเสวนากันอยู่ เอ..นั่นมีผู้หญิงด้วยนี่นา อืม..คงไม่เป็นไรกระมังหากจะไปขอร่วมวงสนทนาอีกสักผู้ อย่างน้อยจะได้อู้เอิ้นถึงเพลงที่ได้ยินได้ฟังอันไม่คุ้นหูนั้น และอยากรู้ว่าเป็นผู้ใดกันที่ขับขาน
หนุ่มเหนือบุคลิกแปลกตา ดูสำรวมอิริยาบถหันมาถามไถ่เมื่อข้าเจ้าเดินเข้าไปใกล้ "นอนบ่หลับกา แม่นละ มันหนาวจะอี้ข่มตาหลับยากนัก เอาชาร้อนหน่อยบ่ครับ" เอ่ยจบเพิ่นก็รินชาใส่ถ้วยยื่นหื้อข้าเจ้า ทั้ง 4 คน ร่วมวงสนทนากันอยู่เยี่ยงนั้นสัพเพเหระ เรื่องบทเพลงที่ขับขาน ความเป็นมาของแต่ละเพลง ทั้งเพลงที่แต่งกันเอง เพลงที่คุ้นหูอยู่บ้างของอ้ายจรัล มโนเพ็ชร แบ่งปันบางส่วนของประสบการณ์ชีวิต ดวงดาวบนท้องฟ้า ที่มีดาวตกเป็นระยะๆ เห็นได้ชัดขนาดเพราะบนดอยสูงนั้นมืดนัก วงสนทนาเพลินจนลืมความหนาวเย็นรอบกาย
ท่ามกลางความมืดมิดรอบๆ สนามโรงเรียน แว่วเสียงสัตว์ป่าเล็กจ้อยร้องแหลม ไอหมอกละเลียดผ่านกาย คืนฟ้าพร่างพรายประดับดาว สี่ชีวิตข้างกองไฟบอกเล่าเรื่องราวแบ่งปัน เป็นความงดงามของโลกนี้ และโลกสีชมพูจางๆ เริ่มก่อเกิดในใจใครบางคนเข้าหื้อแล้ว...
Create Date : 01 เมษายน 2551 |
|
2 comments |
Last Update : 1 เมษายน 2551 15:12:28 น. |
Counter : 812 Pageviews. |
|
|
|
|
โดย: manachanok วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:21:22:39 น. |
|
โดย: มญ (mons-blog ) วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:56:37 น. |
|
| |
|
ออริกาโน |
|
|
Location :
เชียงใหม่ Thailand
[ดู Profile ทั้งหมด]
|
ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]
|
ข้าเจ้าบ่ใช่สาวเหนือ บ่ได้อู้คำเมือง บ่ได้แต่งหย้องเสื้อผ้าฝ้าย กำไลคำ แลนุ่งซิ่นตีนจกมาแต่ต้น เป็นแค่แม่ญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนเหนือแท้ๆ แต่ใจเกินร้อย
เป็นแม่ญิงจากเมืองกอก(กรุงเทพ)ที่มีอะไรหลายอย่างชื่นชมและชื่นชอบความเป็นล้านนา
ทั้งวัฒนธรรม ภาษาพูด ภาษาเขียน ศิลปะ ขนบธรรมเนียม เครื่องประดับ และการแต่งกาย
คล้ายถูกหล่อหลอมมาแต่ครั้งอดีตชาติ บ่ใช่ว่างมงาย แต่หากเป็นอย่างนั้นแท้จริง
เทื่อนึ่ง ในหน้าหนาวปลายธันวาคม มีโอกาสมาพักผ่อน โดยมีแรงจูงใจจากกิจกรรมการเดินทางไปมอบอุปกรณ์กันหนาวแก่ชุมชนบนดอยสูงหลังดอยอ่างกา(อินทนนท์) อันเป็นส่วนที่ลึกเข้าไปในม่อนดอยของอำเภอแม่แจ่ม
ณ ที่แห่งนั้น จึงได้พบปะชายหนุ่มบุคลิกแปลกตา จนเป็นที่มาแห่งเรื่องราวทั้งหมดที่อยากจะเอิ้นบอกไว้ที่นี่ ผ่านภาษาปริวรรตที่อาจขัดหูขัดตา แต่ทว่างดงามในถ้อยวาจาที่รู้จักกันดีว่า "คำเมือง"
|
|
|
|