...บ่นอนก่อนผัว แจ้งมาตื่นก่อน บ่เชื่อคำวอน ของคนนอกบ้าน บ่สะหลิดจิตซ่าน โบราณว่าไว้...............................................สะหลิด หมายถึง ดัดจริต อาจจะฟังดูแรงไปสำหรับคนถิ่นอื่น แต่ทางเหนือหมายถึง อาการไม่สำรวมกิริยาของสตรี

 
เมษายน 2551
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
27282930 
 
1 เมษายน 2551
 

คืนหมอกเหมยเหน็บหนาว ดาวพราวพร่าง ข้างกองไฟ..

เห็นชื่อเรื่องแล้ว หลายคนท่าจะเบือนหน้า หาว่า มาอีกละ พวกอีโรติก โรแมนติก หรือมาติกติก(มาติกติก ทางเหนือแปลว่า มาเรื่อยๆ ) แต่ใคร่จะบอกเอิ้นหื้อรู้ว่า เรื่องมันเกิดที่นั่นแท้ บนดอยสูงหลังดอยอ่างกา(อินทนนท์)

สมัยข้าเจ้าเรียนที่สวีเดน ข้าเจ้าเทียวขึ้นเครื่องไปโน่นมานี่ทางแถบยุโรป รวมทั้งยามกลับมาเมืองไทยด้วย เป็นเหตุหื้อมีไมล์สะสมนักอยู่ เพื่อนรุ่นน้องที่นิด้าออกปากชวนให้ไปบริจาคอุปกรณ์กันหนาวให้กับหมู่บ้านบนดอยสูง สำทับว่า หนาวๆ อย่างนี้ ได้สัมผัสหมอกเหมยบนดอยสูงนั้น เกินธรรมดาขนาด บวกกับข้าเจ้าเองก็เพิ่งจะเดินทางกลับมาเมืองไทยหลังเรียนจบได้บ่เมิน ออกอาการเหงาๆ อยู่ เลยตอบตกลง พร้อมหิ้วน้องสาว(ลูกของน้า)ไปเป็นเพื่อน

ทั้งคณะเดินทาง นับได้สิบกว่าชีวิตลุกจากที่ต่างๆ มารวมตัวยังจุดนัดหมายแถวๆ แยกข่วงสิงห์ยามเช้าตรู่ ตะวันเพิ่งพ้นขอบฟ้า พร้อมพรักก็เดินทางจากตัวเมืองเชียงใหม่ด้วยรถยนต์ 2 คัน ผ่านไปทางหางดง เข้าสันป่าตอง ลุถึงจอมทอง เลี้ยวขวาขึ้นไปทางดอยอินทนนท์ อีก 10 กิโลเมตรก่อนถึงยอดดอยอินทนนท์ จะหันป้ายทางซ้ายมือบอกว่าไปอำเภอแม่แจ่ม คณะของเราจึงเลี้ยวซ้ายไปตามเส้นทางนั้น ผ่านไปได้ไม่กี่อึดใจ รถของเราก็ฝ่าไอหมอกลอยอ้อยอิ่งแทบมองไม่เห็นทาง ขณะรถคันหน้าของคณะเดินทางค่อยเคลื่อนตัวอย่างระมัดระวัง พวกข้าเจ้าหมู่สาวๆ 4 ชีวิตกับลิงโลด ตื่นใจกับไอหมอกหนา พลันมีบางคนในหมู่เราเอ่ยว่า ลงไปถ่ายรูปกันดีกว่า นั่นแหละ ข้าเจ้าจึงได้โอกาสวิ่งลงไปคว้าไอหมอกเล่น แลสูดความเย็นจนฉ่ำปอดกลางถนนอย่างนั้น

ยามแลงตะวันจวนลับขอบฟ้า หลังฝ่าป่า ผ่านเขามาหลายลูกกับการเดินทางที่ทุลักทุเลเอาการด้วยเส้นทางขึ้นเขาลงห้วย นัยว่า หัวหน้าคณะเลือกเอาสถานที่ที่บ่มีไผ หรือหน่วยงานใดเข้ามาถึงนั่นเอง คณะเดินทางก็มาถึงที่หมายเป็นหมู่บ้านของชนเผ่าปกากเญอ

หลังเสร็จสิ้นภาระกิจเดินมอบผ้าห่ม เสื้อกันหนาวให้กับทุกหลังคาเรือน ตะวันก็ลับขอบฟ้าไปแล้ว ขณะรับประทานข้าวแลงแกงมื้อหมู่เราทั้งหลายต้องใช้ไฟจากเสียงเทียนวับแวมนั้น พร้อมกับกระชับเสื้อกันหนาวแนบแน่นบ่หื้อความหนาวเย็นเข้าถึงอณูเนื้อได้

ค่ำคืนในบ้านป่าเยี่ยงนี้ ทุกสรรพสิ่งคล้ายหลับไหลไปพร้อมกันยามตกมืด มีเพียงคณะของเราที่อาศัยโรงเรียนเป็นเรือนนอนหลบไอหนาว ซึ่งบางคนก็หลับใหลไปแล้วด้วยเหนื่อยอ่อนจากการเดินทาง แต่โน่น อีกกลุ่มโดยเฉพาะหนุ่มๆ จับจองข้างกองไฟกลางสนามโรงเรียนขับขานบทเพลงบ่ค่อยคุ้นหูข้าเจ้า เพราะเป็นเพลงคำเมืองไปซะนัก

ข่มตาหื้อหลับก่อบ่ได้ เพราะมันหนาวขนาด ซ้ำดึกซ้ำหนาวยะเยือกหันว่า 6 องศาทีเดียว ได้แต่นอนฟังเพลงที่หมู่หนุ่มๆ จาวเหนือเพิ่นร้องประกอบกีต้าร์โฟล์คแว่วมาในความมืดนั้น ฟังไปก็เพลินดีไม่น้อย จนกระทั่งเคลิ้มใกล้จะหลับเต็มที ก็ได้ยินเสียงผ่านความมืดเอิ้นบอกมาแผ่วๆ "ไผนอนบ่หลับออกมาผิงไฟโตยกันก่ได้เน้อ มาจิบชาร้อนไปโตยก่ได้"

ยันกายลุกขึ้น บิดตัวไปมาผ่อนคลายความเมื่อยเล็กน้อย มองออกไปที่กองไฟกลางสนาม เปลวไฟยังเรื่อเรือง เสียงเพลงเงียบไปนานแล้ว ยินแต่เสียงพูดคุยแผ่วเบา สังเกตเห็นคนสามคนนั่งล้อมกองไฟเสวนากันอยู่ เอ..นั่นมีผู้หญิงด้วยนี่นา อืม..คงไม่เป็นไรกระมังหากจะไปขอร่วมวงสนทนาอีกสักผู้ อย่างน้อยจะได้อู้เอิ้นถึงเพลงที่ได้ยินได้ฟังอันไม่คุ้นหูนั้น และอยากรู้ว่าเป็นผู้ใดกันที่ขับขาน

หนุ่มเหนือบุคลิกแปลกตา ดูสำรวมอิริยาบถหันมาถามไถ่เมื่อข้าเจ้าเดินเข้าไปใกล้ "นอนบ่หลับกา แม่นละ มันหนาวจะอี้ข่มตาหลับยากนัก เอาชาร้อนหน่อยบ่ครับ" เอ่ยจบเพิ่นก็รินชาใส่ถ้วยยื่นหื้อข้าเจ้า ทั้ง 4 คน ร่วมวงสนทนากันอยู่เยี่ยงนั้นสัพเพเหระ เรื่องบทเพลงที่ขับขาน ความเป็นมาของแต่ละเพลง ทั้งเพลงที่แต่งกันเอง เพลงที่คุ้นหูอยู่บ้างของอ้ายจรัล มโนเพ็ชร แบ่งปันบางส่วนของประสบการณ์ชีวิต ดวงดาวบนท้องฟ้า ที่มีดาวตกเป็นระยะๆ เห็นได้ชัดขนาดเพราะบนดอยสูงนั้นมืดนัก วงสนทนาเพลินจนลืมความหนาวเย็นรอบกาย

ท่ามกลางความมืดมิดรอบๆ สนามโรงเรียน แว่วเสียงสัตว์ป่าเล็กจ้อยร้องแหลม ไอหมอกละเลียดผ่านกาย คืนฟ้าพร่างพรายประดับดาว สี่ชีวิตข้างกองไฟบอกเล่าเรื่องราวแบ่งปัน เป็นความงดงามของโลกนี้ และโลกสีชมพูจางๆ เริ่มก่อเกิดในใจใครบางคนเข้าหื้อแล้ว...




 

Create Date : 01 เมษายน 2551
2 comments
Last Update : 1 เมษายน 2551 15:12:28 น.
Counter : 812 Pageviews.

 
 
 
 
อ่านแล้ว อุ่นไปด้วยกับเรื่องเล่า...
 
 

โดย: manachanok วันที่: 23 เมษายน 2551 เวลา:21:22:39 น.  

 
 
 
หลงเข้ามาอ่าน
โลกก่อแคบแต้น้อ
คนเขียนเป๋นสาวตี้เกยอยู่สวีเดนมาฮักกับบ่าวเจียงใหม่

ส่วนคนอ่านก่อเป๋นสาวเจียงใหม่ตี้บ่ะเด่วมาอยู่สวีเดน

เปิงแต้ๆ
 
 

โดย: มญ (mons-blog ) วันที่: 23 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:56:37 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

ออริกาโน
 
Location :
เชียงใหม่ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




ข้าเจ้าบ่ใช่สาวเหนือ บ่ได้อู้คำเมือง บ่ได้แต่งหย้องเสื้อผ้าฝ้าย กำไลคำ แลนุ่งซิ่นตีนจกมาแต่ต้น เป็นแค่แม่ญิงคนหนึ่งที่ไม่ใช่คนเหนือแท้ๆ แต่ใจเกินร้อย

เป็นแม่ญิงจากเมืองกอก(กรุงเทพ)ที่มีอะไรหลายอย่างชื่นชมและชื่นชอบความเป็นล้านนา

ทั้งวัฒนธรรม ภาษาพูด ภาษาเขียน ศิลปะ ขนบธรรมเนียม เครื่องประดับ และการแต่งกาย

คล้ายถูกหล่อหลอมมาแต่ครั้งอดีตชาติ บ่ใช่ว่างมงาย แต่หากเป็นอย่างนั้นแท้จริง

เทื่อนึ่ง ในหน้าหนาวปลายธันวาคม มีโอกาสมาพักผ่อน โดยมีแรงจูงใจจากกิจกรรมการเดินทางไปมอบอุปกรณ์กันหนาวแก่ชุมชนบนดอยสูงหลังดอยอ่างกา(อินทนนท์) อันเป็นส่วนที่ลึกเข้าไปในม่อนดอยของอำเภอแม่แจ่ม

ณ ที่แห่งนั้น จึงได้พบปะชายหนุ่มบุคลิกแปลกตา จนเป็นที่มาแห่งเรื่องราวทั้งหมดที่อยากจะเอิ้นบอกไว้ที่นี่ ผ่านภาษาปริวรรตที่อาจขัดหูขัดตา แต่ทว่างดงามในถ้อยวาจาที่รู้จักกันดีว่า "คำเมือง"
[Add ออริกาโน's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com