Group Blog
 
 
มกราคม 2560
 
1234567
891011121314
15161718192021
22232425262728
293031 
 
14 มกราคม 2560
 
All Blogs
 
Part 02: Day 1 อันยองโคเรีย



ตอนที่แล้วมัวแต่โม้ถึงวิถีติ่งในอดีต วันนี้เรามาคุยกันเรื่องการเตรียมการกันดีกว่า เริ่มจากการซื้อตั๋วเครื่องบิน เราซื้อผ่าน travel agency ไปกับสายการบินประจำชาติของเกาหลี สนนราคาไป-กลับ อยู่ที่คนละ 20,000 ต้น ๆ บินตรงเชียงใหม่-เกาหลี เครื่องออกตอนเที่ยงคืนกว่า ๆ

บริการเค้าก็ดีนะคะ ขึ้นเครื่องปุ๊บก็มีอาหารมาให้ อาหารบนเครื่องโอเคอยู่นะคะ จัดมาเป็นเซ็ตมี โยเกิร์ต โจ๊ก กาแฟ ผลไม้ น้ำเปล่าถ้าจำไม่ผิดมาจากเกาะเจจู จัดมาน่ารับประทานกันเลยทีเดียว บนเครื่องมีบริการมีหนังให้ดู มีที่เสียบยูเอสบี ซึ่งเราเอาไว้ชาร์ตแบตมือถือ

หลังจากจัดการกับอาหารที่คุณแอร์โฮสเตสให้มาแล้ว เราก็ดูหนังต่อนิดหน่อย จากนั้นเราก็พักสายตา อยู่บนเครื่องมันนอนไม่หลับหรอกค่ะ อย่างมากก็ได้สักงีบสองงีบ นอกจากจะเมาได้ที่แล้ว ซึ่งมันเคยเกิดขึ้นกับเราตอนไปแคนาดา ครั้งนั้นเค้าก็เอาอาหารมาเสิร์ฟให้แบบนี้แหละค่ะ แล้วก็ต่อด้วยไวน์ขาวกับไวน์แดงอย่างละแก้ว ประกอบกับที่นั่งตรงกลางมันว่างพอดี๊ เราล้มตัวลงนอนสบายใจเฉิบ เชิ๊บ เชิ๊บ

และนี่คือหน้าตาอาหารบนเครื่อง



ใช้เวลาในการบินประมาณ 6 ชั่วโมง เครื่องบินสีฟ้าลำใหญ่ก็พาเราเดินทางมาสู่สนามบินอินชอนประเทศเกาหลีอย่างปลอดภัย

ระหว่างรอลงเครื่องมีคุณลุงคนหนึ่งเป็นคนเกาหลีนี่แหละค่ะ ยื่นบัตรส่วนลดโรงแรมให้เราเค้าถามเราว่าหนูมาเที่ยวใช่มั๊ย มีที่พักหรือยังเอาบัตรส่วนลดนี่ไปมั๊ยลุงให้ เราก็แบบโอ้...ขอบคุณมากค่ะคุณลุง พอลงเครื่องปุ๊บสัมผัสได้ถึงความเย็นยะเยือก ช่วงที่เราไปเป็นช่วงคริสมาสต์พอดี หนาวเย็นจับจุย รอรับกระเป๋าแล้วเข้าไปพบเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่ผู้โดยสารขาเข้า

เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองที่นี่มองเราแปลก ๆ ในความรู้สึกของเราออกแนวไม่ค่อยปลื้มเท่าไหร่ สายตาของนางเต็มไปด้วยความระแวงสงสัยเหมือนจะไม่ให้เราผ่าน เราก็ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดพลาดไปหรือเปล่าเลยยืนยิ้มให้รอฟังว่าเค้าจะถามอะไรบ้าง

ในขณะที่กำลังเราและเจ้าหน้าที่กำลังจะคุยกันนั้น พี่คนที่มาด้วยกันรีบเดินมาตรงที่เรายืนอยู่แล้วบอกเจ้าหน้าที่ไปว่าเรามากับเค้า เจ้าหน้าที่เลยปล่อยผ่าน พี่ที่ไปด้วยกันเค้าบอกไม่คิดเราจะมีปัญหาอะไรเพราะเห็นว่าเดินทางมาหลายที่แล้ว แต่เราคิดว่าปัญหาไม่น่าจะอยู่ตรงนั้น มันน่าจะอยู่ที่เราไม่มีโรงแรมที่พักต่างหาก เพราะในใบผู้โดยสารขาเข้า เราต้องระบุที่พักของเราด้วยใช่มั๊ยล่ะ แล้วที่พักอยู่ที่พี่เค้าให้เรากรอกลงไปมันเป็นบ้านคน ไม่ใช่โรงแรม วันเดินทางกลับก็ไม่ระบุ เค้าคงสงสัยมั๊งว่าเราจะมั่วมาหลอยมาทำงานบ้านเค้าหรือเปล่า

พอผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองมาได้ เราก็เริ่มหิวเพราะเค้าไม่ได้เสิร์ฟอาหารเช้าบนเครื่อง เราเลยซื้ออาหารเช้าในสนามบินที่ร้านดังกิ้นโดนัท แล้วก็พากันลากกระเป๋าออกมายืนรอรถประจำทาง ท่ามกลางอากาศหนาวเย็นเช่นเคย

อยู่ในสนามบินว่าหนาวแล้ว ออกมายืนข้างนอก หนาวไปอี้กกก ระหว่างรถประจำทางเข้าไปในตัวเมือง คุณลุงคนจัดคิวก็แซวเราว่า “คือมันมกโก ตุงตุงแฮโย” แปลเป็นไทยได้ว่า “หยุดกินได้แล้ว อ้วนแล้วนะเธอน่ะ” หืม...ทักกันซะน่ารักเชียว คนไม่รู้จักกันเค้าไม่คุยกันแบบนี้นะค๊าคุณลุง (กัดฟันกรอดดดดด)

พอหลุดจากคุณลุงตุงตุงแฮโยมาได้ เราก็มาพบความสุภาพมาก ๆ จากคุณลุงอีกคนหนึ่ง เค้าเป็นพนักงานขับรถประจำทางคันนี้ ก่อนการออกเดินทางมีการแนะนำตัวกันเล็กน้อยของคนขับพร้อมกับการแพกุมอินซา จากนั้นคุณลุงก็ขับรถพาเราและผู้โดยสารท่านอื่น ๆ เข้าไปในตัวเมืองโซลกัน ระยะทางตรงนี้ น่าจะประมาณ 45-60 นาทีถ้าเราจำไม่ผิด ระหว่างทางจากสนามบินเข้าตัวเมือง

ระหว่างทางจากสนามบินอินชอนเข้าสู่กรุงโซลนั้นสำหรับเรา เรามีความเห็นว่ามันค่อนข้างแห้งแล้งนะคะ มองไปข้างทางหาต้นไม้แทบไม่เจอ นั่งไปเรื่อย ๆ เริ่มมองเห็นตึกรามบ้านช่อง โรงงานอุตสาหกรรม อาคารพานิชย์ พอเริ่มเข้าใกล้ตัวเมืองความเจริญก็จะค่อย ๆ โผล่มาให้เราเห็นตามลำดับ จากสนามบินเรานั่งมาสุดสายลงที่คังนัม ส่วนคนอื่น ๆ หากต้องการลงป้ายอื่น ๆ ก็สามารถทำได้เหมือนกันนะคะ กดออดแล้วคุณลุงคนขับรถจะจอดให้ จากที่สังเกตดูเค้าช่วยยกกระเป๋าลงให้ผู้โดยสารด้วย น่ารักดี

พอลงจากรถบัสมาแล้ว พากันลากกระเป๋าแล้วก็โบกแท็กซี่กันเพื่อหาที่พัก ระหว่างหาที่พักนี่ลุ้นดีนะคะ เพราะพี่เค้าบอกเราว่าแท็กซี่ที่นี่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรับลูกค้าที่วนหาโรงแรมหรอก ถ้าหาแท็กซี่ไม่ได้เราก็ต้องลากกระเป๋าเดินหาโรงแรมกันไปเรื่อย ๆ แหละ เราไม่มีปัญหาอะไรอยู่ละ เรื่องลำบาก ๆ เนี่ยทางเราอยู่แล้ว (พี่คนนี้ก็เป็นอีกคนที่ยอมรับในการเป็นสายเดินของเรา)

การลากระเป๋าเดินทางใบละ 25 กก. กับกระเป๋า carry on 7 กก. อีกหนึ่งใบในหน้าหนาวที่อากาศเป็นเลขตัวเดียวค่อนไปทางติดลบและทำท่าว่าจะลดลงเรื่อย ๆ บนถนนในประเทศเกาหลีซึ่งมีความคดเคี้ยวเลี้ยวไปเลี้ยวมาและมีความลาดชันสูงมาก ๆ ถือเป็นการออกกำลังกายแบบคาดิโอ้ที่ดีนะคะ ไม่แปลกใจที่เราไม่ค่อยเห็นหนุ่มสาวชาวเกาหลีตัวอ้วนกลม เพราะถนนหนทางบ้านเค้าเป็นแบบนี้นี่เอง

แต่พวกเราไม่ได้โชคร้ายขนาดนั้น เพราะมีแท็กซี่จอดรับอยู่ เค้าคงสงสารแหละเลยขับพาวนหาช่วย เค้าบอกว่าช่วงเทศกาลแบบนี้หาห้องว่างยากนะ เราก็เออ ๆ ออ กับเค้าไป (เราฟังเกาหลีออกแค่บางคำ+เดาเอาจากท่าทางการพูดของเค้า) พี่แท๊กซี่พาเราวนหาโรงแรมอยู่ประมาณครึ่งชั่วโมง ผ่านไป 3 ที่ถ้วน สุดท้ายก็ได้ห้องพักเป็นโรงแรมสามดาวย่านคังนัม ใกล้กับสถานีรถไฟใต้ดิน ขอบพระคุณคุณพี่แท็กซี่คนนั้นมา ณ. โอกาสนี้ คัมซาฮัมนีดะ


ห้องพักที่นี่มีขนาดกะทัดรัดค่ะ แต่อุปกรณ์อำนวยความสะดวกครบครัน ทีวีซึ่งเชื่อมต่อกับคอมพิวเตอร์ไว้ เผื่อเราไม่ชอบรายการทีวีของเค้า เข้ายูทูปดูผ่านหน้าจอทีวีได้เลย มีช่องเสียบยูเอสบีด้วย (พักที่นี่แล้วลืมเอาหัวชาร์ตไปด้วยไม่ใช่ปัญหาแต่อย่างใด) ไดร์เป่าผมลมแร๊งแรง มีพวกโลชั่นทาหน้าทาตัวให้ด้วยนะคะ วางให้อยู่หน้ากระจกใกล้กับไดร์เป่าผมเลย อุปกรณ์ในห้องน้ำก็มีให้อย่างครบครัน เราพักชั้น 5 น้ำแรงโคตร มีอ่างอาบน้ำให้ด้วย ตู้เสื้อผ้าไม่มี ซึ่งนั่นไม่ใช่ปัญหาสำหรับเรา

รูปถ่ายห้องพักเราถ่ายมาแค่นี้เองค่ะ (ตอนนั้นไม่ได้คิดเรื่องเขียนบล็อก เลยไม่ได้เก็บมาทุกรายละเอียด)

*ปล. ไม่รู้ทำไมรูปมันถึงไม่กลับด้านให้ คลิกที่รูปเพื่อดูรูปจริงนะ



ภาพวิวตึกเมื่อมองออกไปนอกหน้าต่าง



ตอนเย็นพี่เค้ามีนัดกับเพื่อน เลยพาเรามานั่งรออยู่ที่ร้านกาแฟใกล้จุดนัดพบ รสชาติกาแฟไม่ได้มีความพิเศษอะไร แต่ชอบการตกแต่งร้าน น่ารักดี



ตอนเย็นเพื่อนพี่เค้าพาเราไปร้านปิ้งย่าง เป็นร้านอาหารร้านแรกที่เรียกได้ว่าเป็นการกินอาหารบ้านเค้าแบบจริงจัง ขอบอกว่าอร่อยมาก อาหารนี่มากันครบห้าหมู่เลยค่ะ ผักสด, เนื้อ, ข้าว, ซุป สลัดผัก กิมจิที่เป็นหัวไชเท้าของร้านนี้อร่อยดีนะคะ กินแล้วมันเย็น ๆ ให้ความรู้สึกสดชื่นดี







ทุกเมนูของร้านนี้เราชอบทุกอย่าง วัตถุดิบที่เค้าใช้ในการประกอบอาหารคือดีงาม ถึงแม้ว่าผู้ให้บริการของร้านนี้จะออกแนวฮาร์ดคอร์ไปหน่อยก็ตาม (ให้อารมณ์เดียวกับคุณลุงตุงตุงแฮโย) แต่นางก็เต็มใจให้บริการนะ นางก็จะเดิน ๆ มาดูว่าหมูที่ย่างเป็นอย่างไรบ้าง ถ้ามันสุกแล้วแต่เรากินไม่ทัน นางก็จะคีบมาวางบนจานอาหารที่ว่างบ้าง วางบนจานผักบ้าง และหันมาพูดกับผู้รับบริการน้ำเสียงคล้ายกับจะตำหนิว่า “ปัลลี่มกโก” แปลเป็นไทยได้ว่า “กินเร็ว ๆ สิตัวเธอ” (มองในแง่ดี เค้าคงกลัวมันจะเสียรสชาติ เพราะเวลากินอาหารประเภทนี้ต้องกินตอนมันอุ่น ๆ ร้อน ๆ )


เสร็จจากอาหารค่ำเพื่อนพี่สาวก็พาเราไปส่งที่ตลาดเสื้อผ้า จำไม่ได้ว่าใช่ ทงแดมุนหรือเปล่า คิดว่าน่าจะใช่แหละ เค้าไปส่งเฉย ๆ ปล่อยให้เราเดินกันเองและขากลับก็กลับกันเองเช่นกัน ที่นี่มีสถานีรถไฟใต้ดินค่ะ เดินทางกลับโรงแรมได้เองสบาย ๆ เลย

เสื้อผ้าที่นี่คุณภาพดีนะ ราคาก็สมคุณภาพ ได้ยินมาว่ามันมีหลายส่วนอยู่ เราไปแค่ส่วนเดียว ด้านในกว้างขวาง มีหลายชั้น แต่ละชั้นก็ขายของต่าง ๆ กันไป ช่วงที่เราไปเป็นหน้าหนาวก็จะมีแฟชั่นชุดโอเว่อร์โค้ทตัวยาว มีของฝาก, กิ๊ฟชอป เสื้อผ้าเด็ก เสื้อผ้าผู้ใหญ่ ใครนึกภาพไม่ออก ดูในรายการ GOT7 The Fanclub ได้ ไม่รู้ว่าพาร์ทไหน แต่มีตอนหนึ่งที่ในรายการให้แฟนคลับไปทำภารกิจอะไรสักอย่างที่เกี่ยวกับเสื้อผ้า (ทีมน้องผู้หญิงที่ใส่แว่นผมสั้น) พวกเค้าพากันมาที่นี่แหละค่ะ

เรามาที่นี่ไม่ได้เสื้อผ้ากลับไป แต่ได้ครีมหอยทาก เพื่อนฝากซื้ออีกต่างหาก 555 ช่วงนั้นซื้อหนึ่งแถมหนึ่ง มี “ซอนมุล” ให้อีกต่างหาก (ซอนมุล แปลเป็นไทยได้ว่า ของขวัญ)




วันแรกของเราในประเทศเกาหลีใต้ ก็จบลงด้วยประการฉะนี้ มาต่อกันใน part หน้า ดูสิวันที่สองเราไปไหนบ้าง please stay tune!




Create Date : 14 มกราคม 2560
Last Update : 28 มิถุนายน 2560 10:34:21 น. 0 comments
Counter : 373 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Pilkyo_Oilly
Location :
ลำพูน Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]




Friends' blogs
[Add Pilkyo_Oilly's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.