จิตเพียงเห็น นั่นแหละ คือ จิตพิจารณาแล้ว
ในการปฏิบัติธรรมเพื่อการพ้นทุกข์นั้น นักภาวนาเพียงหมั่นเจริญสัมมาสติจนจิตเกิดความตั้งมั่น เป็นสัมมาสมาธิเท่านั้น นี่คือกิจของนักภาวนาที่ต้องทำ มีอยู่เพียงเท่านี้เท่านั้น
เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสัมมาสมาธิแล้ว จิตจะรู้เห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริงของเขาเอง ดังตัวอย่างเช่น
1.เมื่อตาเห็น หูได้ยิน จมูกได้กลิ่น ลิ้นได้รส กายรู้สัมผัส จิตก็รับรู้สภาวะธรรมในที่ตั้งของจิต จิตไม่วิ่งไปทางตา ไม่วิ่งไปทางหู ไม่วิ่งไปทางจมูก ไม่วิ่งไปทางลิ้น ไม่วิ่งไปทางกาย
2.เมื่อเกิดอารมณ์ปรุงแต่งต่าง ๆ เช่นอาการพอใจ ไม่พอใจ จิตก็จะเห็นอารมณ์ปรุงแต่ง นั้นได้ และไม่วิ่งเข้าไปผสมโรงกับอารมณ์ปรุงแต่งนั้น
3.เมื่อเกิดเวทนาทางกายขึ้น จิตก็เห็นเวทนาทางกายนั้นและไม่เข้าไปผสมรวมกับเวทนาทางกาย นั้น
การที่จิตเห็นสภาวะธรรมตามความเป็นจริงดังที่เขียนข้างต้น เมื่อจิตไม่วิ่งตาม ไม่เข้าผสม เพราะจิตมีความตั้งมั่นอยู่ จิตจะเห็นได้เองว่า สภาวะธรรมต่าง ๆ ล้วนไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา มันเกิดเพราะมีเหตุ มันดับเพราะเหตุจบลง นี่คือผลแห่งภาวนามยปัญญา ที่เกิดขึ้นในตัวของนักภาวนาเอง ทุกอย่างเกิดอย่างอัตโนมัติ นักภาวนาไม่ต้องมีการกระทำใด ๆ เพิ่มเติมไปจากนี้
ถ้าว่ากันในคำสอนในตำรา นี่คือสภาวะแห่งการพิจารณาธรรม
แต่ถ้านักภาวนาไม่เข้าใจ ก็จะเข้าใจผิดไปด้วยความคุ้นชินทางภาษาทางโลกว่า การพิจารณา คือ การหยิบเอาอะไรมาสักอย่างหนึ่ง มานั่งดู นั่งคิดในแง่มุมต่างๆ ในสิ่งนั้น นี่เป็นขบวนการทางโลก ที่ต้องใช้ความคิดมากระทำ
แต่ในทางธรรม ไม่มีความจำเป็นต้องกระทำอย่างนั้นเลย ถึงแม้ว่านักภาวนาจะกระทำด้วยความคิด พิจารณาแบบใช้เทคนิคทางโลก ก็ไม่ผิด แต่ไม่จำเป็น
ในยามเช้า เมื่อดวงอาทิตย์โผล่ขึ้นมาให้ท่านเห็น ท่านไม่ต้องไปคิดเลยว่า นี่ไง ดวงอาทิตย์ มันโผล่แล้ว มันเช้าแล้ว ท่านคิดก็ไม่ผิดอะไร แต่ไม่จำเป็นต้องไปคิด เพราะถ้าท่านไม่ คิดอะไร ดวงอาทิตย์มันก็โผล่ของมันเองขึ้นมาอยู่แล้ว ท่านคิดหรือไม่คิด มันก็ต้องโผล่
ในสภาวะธรรมก็เช่นกัน ท่านคิดหรือไม่คิด มันก็เป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ถ้าท่านไม่เห็น มัน ท่านก็ไม่เกิดปัญญา ถ้าท่านเห็นได้ มันก็คือปัญญาของจิต
ในสภาวะธรรมที่เกิดนั้น ถ้าจิตท่านตั้งมั่นอย่างสุด ๆ สภาวะธรรมเหล่านี้ จะเกิดอย่างสายฟ้าแล็บ ท่านยังไม่ทันตั้งตัวเลย มันเกิดและหยุดไปเรียบร้อยแล้ว ท่านไม่มีเวลาคิดอะไรด้วยซ้ำไป ถ้าท่านไปคิด สภาวะธรรมก็จบลงไปแล้ว เมื่อสภาวะธรรมจบลงไปแล้ว เมื่อท่านไปคิด มันก็ไม่ใช่ สภาวะธรรมในปัจจุบัน มันเป็นอดีตไปแล้ว ในตำราก็สอนกันอยู่ว่า การปฏิบัติให้อยู่กับปัจจุบัน นี่ืคือ คำอธิบายที่ใช้แนวตำราให้ท่านเห็นภาพของคำว่าพิจารณาธรรม
สภาพของจิตมันช่างซื่อตรงอย่างเด็กแบเบาะ จิตเห็นก็เหมือนเด็กเห็น คือ เห็นจริงแต่ไม่รู้เรื่อง ว่านี่คืออะไร นี่คือจิตเห็นแต่สภาวะธรรมที่เป็นปรมัตถ์ล้วน ๆ ถ้าการเห็นแล้วรู้ว่านี่คืออะไร นี่จะเลยไปสู่สมมุติแล้ว อันเป็นการทำงานของสัญญาขันธ์ นี่เป็นคำอธิบายได้เป็นอย่างดีว่า ทำไมผู้รู้ธรรมจากตำราคำสอนจนแตกฉาน ดังเช่น พระโปฐิละ หรือในพระไตรปิฏกเรียกว่า พระใบลานเปล่า จิตถึงยังไม่อาจตัดกิเลส ตัดอาสวะออกไปได้ จนถึงกับต้องไปให้สามเณรสอนการปฏิบัติให้จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ในเวลาต่อมา
นี่เป็นข้อคิดที่น่าสนใจกับคำว่า ปัญญาวิมุตติ ว่าผู้ที่ไม่ได้เจริญสติปัฏฐานจะเกิดปัญญาวิมุตติได้อย่างไร ผมเดาเอาว่า ถ้าเกิดได้ ก็อาจได้แต่แว๊บ ๆ ชั่วประเดี๋ยวประด๋าว แล้วก็จบลง คล้าย ๆ ก้บอาการที่คนกลุ้มใจหนักแล้วได้คิดขึ้นมา ก็หายกลุ้มใจไปชั่วคราว แต่แล้วก็จะกลุ้มใจอีกในภายหน้าได้
ในพระไตรปิฏกได้กล่าวไว้ว่า สติปัฏฐาน 4 คือ เอกายมรรค คือ ทางสายเดียวแห่งการหลุดพ้น ถ้าปัญญาวิมุตติเกิดได้เพราะไม่ได้เจริญสติปัฏฐาน เพียงแต่นั่งอ่านนั่งฟังตำราคำสอน นี่ก็เท่ากับพระไตรปิฏกกล่าวขัดการเองอย่างนั้นหรือ ซึ่งผมเชื่อว่า เป็นไปไม่ได้ครับ
ที่ผมเข้าใจนั้น เมื่อได้เจริญสติปัฏฐาน จนเกิดสัมมาสมาธิ เกิดปัญญาญาณ เกิดการตัดกิเลส ตัดอาสวะ อวิชชา นี่คือ เจโตวิมุตติ (การสำเร็จธรรมด้วยสมาธิ) และในเจโตวิมุตตินั้น ก็จะมีปัญญาวิมุิตติอยู่พร้อมด้วยเสมอ เหมือนกับ 2 in 1 นั้นเอง
ในส่วนตัว ผมไม่เชื่อในคำสอนที่ว่า การคิดพิจารณาธรรมด้วยสมอง จะทำให้เกิดการตัดกิเลส อาสวะ อวิชชา จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้ เหตุผลต่าง ๆ ได้อธิบายไว้ข้างต้นแล้ว
แต่ผมเชื่ออย่างหนึ่้งว่า ผู้แตกฉานในตำรา สามารถนำความรู้จากตำรามาแย้งมายันนักภาวนา ผู้ไม่แตกฉานในตำราให้หงายเก๋งได้อย่างสบาย ๆ จนทำให้ผู้ดูที่อยู่วงนอกอาจเข้าใจผิดไปได้ว่า ท่านผู้ที่แตกฉานในตำรานี่มีปัญญามากกว่านักภาวนาจริงๆ เหมือนกับผู้เชี่ยวชาญด้านเกษตรในมหาวิทยาลัยจะรู้มาก แต่ในการปลูกข้าว ทำสวน ชาวนา ชาวสวน ทำได้ดีกว่า แต่พูดไม่เก่งเท่าผู้เชี่ยวชาญเท่านั้นเอง
**** แก้ใขคำพิมพ์ผิด 27 พฤศจิกายน 2555
Create Date : 05 สิงหาคม 2553 |
|
21 comments |
Last Update : 27 พฤศจิกายน 2555 18:24:21 น. |
Counter : 1276 Pageviews. |
|
|
|
คุณนมสิการ วันนี้มีเรื่องขอคำแนะนำอีกแล้ว
เจอคนที่คิดว่าบุญสูงสุดคือทำทานกะวัดเค้าวัดเดียวดีมาก ดีที่สุด แล้วเค้าก็พยายามให้เราทำ เราทำเต็มที่ 20 บาท เค้าว่าทำแค่นี้เหรอ เราก็บอกว่า เราซื้อซีดี 350 ค่าสังฆทานเวียน 50 แล้ว เมื่อวานก็ไปทำบุญซื้อหนังสือธรรมะมา 500 เราชอบให้หนังสือซีดี ถวายพระ ไม่ถวายปัจจัยเท่าไหร่...คนนี้เค้าบอกเราทำถูก แต่เราจะได้ปัญญาแต่ เคยได้ยินไหม ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เพราะไม่มีเงิน ต้องทำบุญด้วยเงิน เงินจะได้มีกลับ ยิ่งทำเยอะก็ได้เยอะ....จะรบกวนถามว่า คนพวกนี้ ถ้าเราจึงให้เขาเข้าใจการทำบุญที่ถูกต้องจะพอไหวไหม...หรือจะบอกอย่างไรดี รบกวนแนะนำด้วย...ขอบพระคุณมา ณ ที่นี้
...ขอให้มีความสุข สดใส..หัวใจเบิกบาน..
..HappY BrightDaY To You..