อยากลองเป็นสับปะรดดูสักที (ตอนที่ 2)
ใครเคยได้ยินข่าวช้างกุยบุรีลงมากินสับปะรดของชาวบ้านบ้างครับ ผมไม่ใช่นักวิชาการด้านสัตว์ป่าเสียด้วย แต่คันปากอยากพูดเรื่องนี้ ทราบดีว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องทางสังคมที่ละเอียดอ่อน กลัวว่าเขียนไม่ถูกสายตาใครจะโดนด่าเสียมนุษย์ เรื่องคร่าวๆ เป็นแบบนี้ครับ เมื่อป่ากุยบุรีถูกรุกรานหนัก ช้างป่าก็ขาดอาหาร เส้นทางการหาอาหารของช้างจึงเปลี่ยนไป มันต้องเสี่ยงตายลงมากินสับปะรดของชาวบ้านตามเชิงเขา แล้วมันก็ได้ตายสมใจครับ เพราะชาวบ้านแค้นหนัก เอาสารเคมีที่ชื่อว่า คาร์โบXXXX เป็นเกล็ดสีม่วงๆ น่ะครับ ยี่ห้อดังๆ บอกทีเดียวต้องร้องอ๋อ แต่ไม่บอกหรอก กลัวถูกด่า (อิอิ) ยานี้เป็นยาดูดซึมครับ ขนาดช้างยังชักกะแด่วตายแหง๋แก๋ เป็นมนุษย์อย่างเราจะไปเหลืออย่างไร ยานี้อันตรายเข้าขั้น ดูดซึมในต้นพืชแล้วใช่ว่าจะเสื่อมสลายไปได้ง่ายๆ ยานี้ใช้มากในไร่แตงโมด้วยนะครับ เมื่อคนรุกรานช้าง ช้างจึงต้องกลับมารุกรานคน สุดท้ายช้างก็ได้รับบทเรียนที่แลกด้วยชีวิต ขณะนี้จึงมีโครงการของป่าไม้นำพันธุ์หญ้าขึ้นไปปลูกในเขตอาหารเดิมของเหล่าช้างป่า เพื่อที่จะสกัดกั้นไม่ให้มันลงมารุกรานไร่สับปะรดของชาวบ้านอีก ไม่รู้ว่าโครงการคืบหน้าไปถึงไหน รู้อย่างเดียวช้างป่ากุยบุรีเหลือไม่มาก
เรื่องเศร้า ชาวสับปะรด วัฏจักรราคาสินค้าเกษตรนั้นเป็นไปตามทฤษฎีเสมอ เมื่อไรของมาก คนซื้อน้อย ราคาก็ร่วงพร้อมน้ำตาของเกษตรกร เพราะหลังจากปี 2545 ที่เกษตรกรแห่ขยายพื้นที่ปลูก ประกอบกับปีนี้ระยะการตกของฝนช่างเป็นใจกับการเจริญเติบโตของสับปะรดเหลือเกิน ปีนี้จึงดูเหมือนว่าราคาสับปะรดอาจไม่ค่อยสดใสนัก ล่าสุดรัฐบาลได้มีมติให้คณะกรรมการนโยบายและมาตรการช่วยเหลือเกษตรกร (คชก.) นำเงิน 20 ล้านมาถลุง เอ๊ยๆๆๆๆ มาช่วยเหลือในการพยุงราคาในช่วงที่สับปะรดล้นออกสู่ตลาดมาก โดยมีแผนแทรกแซงให้ได้ 100,000 ตันในราคากิโลกรัมละ 3 บาท 20 สตางค์ (ตามฟอร์ม)
เมื่อไม่นานมานี้จังหวัดฉะเชิงเทราก็เพิ่งอนุมัติเงินอีก 500,000 บาท เพื่อช่วยซื้อแทรกแซงสับปะรดคุณภาพต่ำจากเกษตรกร เพื่อบรรเทาปริมาณสับปะรดส่วนเกินในตลาด โดยเกษตรกรจะรับทรัพย์ 1 บาทต่อ 1 กิโลกรัมสับปะรด เป้าหมายที่ทางการเขาจะแทรกแซงก็คือ 500 ตัน โดยนำสับปะรดเหล่านี้ไปฝังทิ้ง มองดูเผินๆ ก็เหมือนกับเอา 500,000 บาทไปฝังอย่างนั้นแหละ การใช้เงินเพื่อการแทรกแซงสินค้าเกษตรลักษณะนี้ เป็นวิธีที่นักการเมืองโปรดปรานมาก (โดยเฉพาะช่วงก่อนมีการเลือกตั้ง)
ที่จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ก็เดือดร้อนไม่แพ้กัน ผ่านไปเห็นกลุ่มผู้เลี้ยงโคนมอ่าวน้อยตัดสับปะรดลูกเล็กๆ ให้โคนมกินกันกองเท่าภูเขาย่อมๆ เพราะไม่มีที่ขาย วัวนมชอบกินเปลือกสับปะรดมาก แต่ถ้ากินเยอะๆ มันคงไม่ไหวเหมือนกัน
การซื้อขายสับปะรดของบริษัทแปรรูปโดยส่วนใหญ่ใช้วิธีการซื้อแบบมีพันธสัญญากับเกษตรกรผู้ปลูกครับ ผมขอดัดจริตหน่อยขอเรียกว่า Contract farming คือจะมีการตกลงราคา ปริมาณและช่วงเวลาการรับซื้ออย่างชัดเจน เกษตรกรนิยมเรียกการซื้อแบบนี้ว่าระบบโควตา จริงๆ แล้วการซื้อแบบ Contract farming มีข้อดีและเสียคละเคล้ากันไม่อยากสาธยาย แต่ปีนี้เกษตรกรที่ไม่มีโควตากับบริษัทฯ บอกได้คำเดียวว่าเดือดร้อนเข้าขั้นสาหัส เกษตรกรคนหนึ่งเล่าให้ฟังว่า เมื่อหลายปีก่อนเขาเคยทำสัญญากับบริษัทฯ แห่งหนึ่ง แต่พอถึงวันนัดหมาย มีพ่อค้ามาเร่ซื้อถึงบ้านโดยให้ราคาสูงกว่า 10 สตางค์ เขาตัดสินใจแบ่งผลผลิตเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งขายให้พ่อค้าเร่ได้รับเงินสด อีกส่วนนำไปส่งบริษัทฯ โดยบิดพลิ้วสัญญาเพราะปริมาณที่ตกลงไว้ไม่ครบตามจำนวน ผลที่ติดตามมาเกิดขึ้นในปีต่อมา เมื่อบริษัทฯ ตัดชื่อเขาออกจากเกษตรกรในโควตา เขาต้องหาแหล่งขายเอาเอง ที่สำคัญคือเขาถูกพ่อค้าเอาเปรียบกดราคารับซื้ออย่างไม่ควรจะเป็น เรื่องนี้เป็นบทเรียนราคาแพงสำหรับเขาจนถึงทุกวันนี้ เขาบอกเองว่า ไม่น่าเชื่อว่าผมมีค่าตัวแค่ 10 สตางค์เท่านั้น
Create Date : 28 มิถุนายน 2549 |
|
9 comments |
Last Update : 28 มิถุนายน 2549 19:44:02 น. |
Counter : 1750 Pageviews. |
|
|
|