Liverpool สโมสรเดียวในดวงใจ My Dog สุนัขอันเป็นที่รักเเละเพื่อนที่แสนดี Web Counter
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2550
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
8 ตุลาคม 2550
 
All Blogs
 
Bill Shankly ลิเวอร์พูล : ศูนย์กลางของจักรวาล , การเปลี่ยนแปลงหลังจากวัตฟอร์ต

ตอน: ลิเวอร์พูล : ศูนย์กลางของจักรวาล

เมื่อถึงปี 1965 เมืองลิเวอร์พูลก็กลายเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ความสำเร็จของ The Beatles และจังหวะดนตรีแบบเมอร์ซี่ย์ได้พาชื่อของลิเวอร์พูลกระจายไปทั้งยุโรป และข้ามไปถึงญี่ปุ่นและออสเตรเลีย ทั้งโลกกำลังเป็นโรคคลั่งทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับลิเวอร์พูล

นอกจากพวกนักดนตรีจากเมืองลิเวอร์พูลแล้ว กวี, นักแสดงตลก, นักเขียน จากเมืองลิเวอร์พูลก็เป็นที่นิยมเช่นกัน ลิเวอร์พูลได้กลายเป็นศูนย์รวมของศิลปะทุกแขนง ราวกับรวมย่านโซโห, Greenwich Village, และ the Left Bank เข้าไว้ด้วยกัน เรื่องราวเกี่ยวกับเมืองลิเวอร์พูลได้เป็นหัวข้อหลักของนิตยสารไทม์ ซึ่งมีเนื้อหาเปรียบเทียบระหว่างเมืองลิเวอร์พูลกับปารีส นอกจากนี้ ข่าวเกี่ยวกับเมืองลิเวอร์พูลในยุคนั้นก็ไม่เคยขาดหายไปจากหน้าหนังสือพิมพ์ชั้นนำ

ไม่ว่าคุณจะอยู่มุมไหนของโลก คุณก็จะได้ยินเพลงของ The Beatles, Gerry and the Pacemakers, และ Billy J. Kramer แม้แต่อดีตนายกรัฐมนตรีอังกฤษ แฮโรลด์ วิลสันก็ยังมีความสัมพันธ์กับเมอร์ซี่ย์ไซด์ เขาจบการศึกษาจากโรงเรียนเวอร์เรล แกรมม่า สกูลในลิเวอร์พูล ด้านฟุตบอล เมอร์ซี่ย์ไซด์ได้ก้าวเข้ามาเป็นมหาอำนาจของอังกฤษ ทั้งเอฟเวอร์ตันและลิเวอร์พูลต่างได้เป็นแชมป์ลีกในทศวรรษนี้ ปี 1965 ลิเวอร์พูลก็เป็นแชมป์เอฟเอคัพ ในขณะที่เอฟเวอร์ตันเป็นแชมป์ลีก ฤดูกาลต่อมา เหตุการณ์ก็กลับกันเมื่อลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีก และเอฟเวอร์ตันได้แชมป์เอฟเอคัพจากการเฉือนชนะ เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ในรอบชิงที่เป็นตำนาน

หลังจากลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกครั้งแรกของทศวรรษนี้ในปี 1964 หงส์แดงได้เดินทางไปทัวร์ที่สหรัฐอเมริกาในเดือนพฤษภาคม รายการ Ed Sullivan Show อันมีชื่อเสียงไม่รีรอที่จะเชิญทีมลิเวอร์พูลมาร่วมรายการ เนื่องจากพวกอเมริกันคาดว่าทีมซอคเกอร์จากเมืองลิเวอร์พูลทีมนี้ น่าจะรู้อะไรเกี่ยวกับ The Beatles บ้าง แชงคลี่ย์ไม่เคยไปอเมริกามาก่อน เมื่อวันแรกๆของการเดินทาง เขายืนโต้เถียงกับชายอเมริกันคนหนึ่ง แชงคลี่ย์เถียงว่า “อะไรกัน! คุณไม่เคยได้ยินชื่อ ทอม ฟินนี่ย์ มาก่อนหรือ?” มันเป็นความจริง อเมริกันไม่ได้สนใจแชงคลี่ย์และทีมลิเวอร์พูลของเขามากไปกว่าที่พวกเขาสนใจ The Beatles อย่างไรก็ตาม ทีมลิเวอร์พูลก็ได้ไปร่วมรายการ Ed Sullivan Show ยกเว้นแชงคลี่ย์ เพราะเขามีความรู้สึกว่าดินแดนที่ไม่สนใจกีฬาฟุตบอลแห่งนี้ไม่น่าพิสมัยเอาเสียเลย

นับเป็นโชคของแชงคลี่ย์ที่เขายังมีโอกาสได้ดูการแข่งขันชกมวยและได้ชมภาพยนต์คาวบอย ซึ่งเป็นสองสิ่งที่เขาโปรดปราน เมื่อลิเวอร์พูลได้เดินทางไปถึงชิคาโก้ แชงคลี่ย์และเพสลี่ย์ได้ไปยังสนามโซลเยอร์ ฟิลด์ เพื่อดูบริเวณที่เคยเป็นเวทีมวยชั่วคราวสำหรับไฟต์ในรุ่นเฮฟวี่เวทระหว่าง แจ็ค เดมซี่ย์ กับ ยีน ทันนี่ เมื่อคนดูแลสนามบอกพวกเขาถึงบริเวณที่ใช้เป็นเวทีมวย บิลกับบ็อบกลับถือลูกบอลไปเตะกันสองคนในบริเวณนั้นแทน! นอกจากกีฬาแล้ว แชงคลี่ย์ยังคลั่งภาพยนต์คาวบอยอย่างเข้ากระดูกดำ ก่อนแม็ทช์การแข่งขัน เขามักนำรูปของ เจมส์ คาร์ทนี่ย์, บักส์ซี่ มอแรน, หรือ เอลเลียต เนส มาติดตรงกำแพงของห้องแต่งตัวนักเตะ เขามักกล่าวกับนักเตะของเขาว่า “พวกเขาเป็นฮาร์ดแมนอย่างแท้จริง เมื่อพวกเขาพลาด กระสุนของอีกฝ่ายสามารถเอาชีวิตของพวกเขาในทันที หากพวกแกอยากเป็นฮาร์ดแมน จงดูตัวอย่างของพวกเขาเอาไว้” ยิ่งไปกว่านั้น หากลิเวอร์พูลมีการแข่งนัดเยือนในบ่ายวันเสาร์และหากทีมต้องเดินทางไปถึงที่หมายในเย็นวันศุกร์เพื่อเตรียมตัวก่อนการแข่งขันหนึ่งวัน ลิเวอร์พูลจะออกเดินทางเร็วกว่าปกติเพียงเพื่อให้ทันรายการ The Untouchables ที่ฉายทุกเย็นวันศุกร์ มันเป็นความต้องการของแชงคลี่ย์ที่จะได้ดู เอลเลียต เนส และพรรคพวก และทีมลิเวอร์พูลก็เต็มใจสนองความต้องการของเขา

แชงคลี่ย์เป็นผู้มีเอกลักษณ์ในตัวเองซึ่งไม่มีใครเลียนแบบได้ บางครั้งเหมือนกับว่าเขาเป็นคนรั้น เมื่อครั้งที่หงส์แดงเดินทางไปมิลานเพื่อเตะนัดที่สองของยูโรเปี้ยน คัพ กับอินเตอร์ มิลาน แชงคลี่ย์รู้สึกแปลกใจมากที่เขาเห็นรถหลายคันที่มีตรา VW เขาเที่ยวบอกใครต่อใครว่า VW คือคำย่อของบริษัท Woolworths Company “พวกเขาเป็นหนึ่งในบริษัทที่ใหญ่ที่สุดในโลก” ไม่ว่าบรรดาลูกทีมและสตาฟโค้ชจะพยายามบอกเขาว่า นั่นคือคำย่อของ Volkswagen แต่เขาก็ไม่ยอมรับฟังใดๆทั้งสิ้น มันเหมือนเรื่องตลก แต่ว่าไม่มีลูกทีมคนไหนกล้าหัวเราะเขาหรือนินทาลับหลังเนื่องจากความเคารพที่พวกเขามีต่อแชงคลี่ย์อย่างมากมาย

นอกจากนี้ แชงคลี่ย์ยังมีชื่อเสียงไม่ค่อยดีเกี่ยวกับการขับรถ ครั้งหนึ่งเขาเห็นว่า มิค ลียงส์ ของเอฟเวอร์ตันกำลังขับรถมาในทางที่สวนกับเขา ถนนนั้นไม่ใหญ่และรถวิ่งไม่เร็วนัก ทำให้ลียงส์สามารถสังเกตเห็นแชงคลี่ย์ได้ทันเวลา ทั้งคู่จอดรถข้างกันและเปิดหน้าต่างพูดคุยกันในเรื่องฟุตบอล ลียงส์เล่าว่า “ห้านาทีต่อมา รถประมาณ 20 คันได้มาต่อหลังรถของผม เช่นเดียวกับ รถอีก 20 คันที่ต่อหลังรถของแชงคลี่ย์ รถพวกนั้นไม่สามารถเคลื่อนต่อไปได้เนื่องจากรถของเราทั้งคู่ได้ขวางเส้นทางการจราจร ผมรู้สึกอายมากจึงกล่าวลาแชงคลี่ย์ เขากล่าวกับผมเป็นประโยคสุดท้ายว่า “พวกเขาไม่รู้อะไรหรอกว่า เรากำลังคุยกันในเรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตเชียวนะ” แชงค์รักฟุตบอลอย่างมาก ครั้งหนึ่งพนักงานต้อนรับของโรงแรมขอให้เขากรอกรายละเอียดส่วนตัวสำหรับแขกที่มาพัก เขาเขียนในตอนหนึ่งว่า “อาชีพ ฟุตบอล…ที่อยู่ แอนฟิลด์” พนักงานคนนั้นขอให้เขาเขียนที่อยู่ใหม่ แต่แชงค์กลับตอบว่า “ผมอยู่ที่แอนฟิลด์นี่แหละ”

ปรัชญาฟุตบอลของแชงคลี่ย์เป็นสิ่งที่ง่ายและไม่ซับซ้อน เขาบอกกับนักเตะของเขาเสมอว่า “แย่งบอลมาให้ได้ แล้วส่งไปให้นักเตะในชุดแดงที่อยู่ใกล้ที่สุด จากนั้นวิ่งไปยังที่ว่างเพื่อรับบอล” เขายังเคยพูดถึงฟุตบอลในความหมายของเขา เมื่อมีคนขอให้เขาเปรียบเทียบระหว่างฟุตบอลของลิเวอร์พูล กับฟุตบอลของลีดส์ ยูไนเต็ดที่นำโดย ดอน เรวี่ย์ “ที่ลิเวอร์พูล เราไม่เคยทำให้นักเตะเครียดเกินความจำเป็น ฟุตบอลเป็นกีฬาที่แข่งขันในสนามฟุตบอล ไม่ใช่ในหนังสือแบบฝึกหัด, ในหนังสือสอนการเล่นฟุตบอล, หรือแม้แต่บนหน้าหนังสือพิมพ์”

ลิเวอร์พูลถือได้ว่าเป็นแขกหน้าใหม่ในยุโรป แม้ว่าพวกเขาสามารถเอาชนะอินเตอร์ มิลานได้ในฤดูกาลที่แล้ว และได้สิทธิ์แข่งในถ้วยคัพ วินเนอร์ส คัพ ในฐานะแชมป์เอฟเอคัพของอังกฤษ ยุโรปก็ยังไม่คุ้นเคยกับพวกเขาเท่ากับที่คุ้นเคย แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, เชลซี, อาร์เซนอล, และ วูล์ฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ อย่างไรก็ตาม พวกยุโรปก็จะหวาดเกรงหงส์แดงในฐานะทีมที่ดีที่สุดในยุโรปในอีก 10 ปีให้หลัง

เส้นทางของลิเวอร์พูลในเส้นทางคัพ วินเนอร์ส คัพ เป็นไปตามครรลอง ลิเวอร์พูลสามารถสามารถเอาชนะเซลติค จากสก็อตแลนด์ได้ในรอบรองชนะเลิศ และสามารถเข้าไปชิงชนะเลิศกับโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ที่แฮมป์เดน ปาร์ค แห่งเมืองกลาสโกว์ อย่างไรก็ตาม ความที่ลิเวอร์พูลชนะเซลติคได้ในรอบรองชนะเลิศทำให้ครึ่งเมืองกลาสโกว์เป็นปฏิปักษ์กับลิเวอร์พูลอย่างเปิดเผย และหันไปเชียร์พวกเยอรมันแทน แชงคลี่ย์รู้สึกผิดหวังในเรื่องนี้มาก “ผมเป็นสก็อต เคยยืนดูเกมในโอลด์เฟิร์ม ดาร์บี้แม็ทซ์แห่งเมืองกลาสโกว์ มันน่าเศร้าที่บรรดาแฟนบอลหันหลังให้กับทีมจากเกาะบริเตนด้วยกัน” แต่ทว่า แชงคลี่ย์กลับต้องผิดหวังมากไปกว่านั้นหลังเกมการแข่งขัน เนื่องจากลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ไป 1-2 แต่สำหรับนักเตะอย่าง โรเจอร์ ฮันท์แล้ว เขาไม่ต้องเสียใจนานนัก เพราะเขาเป็นหนึ่งในนักเตะหลักของทีมอังกฤษ ในฟุตบอลโลก 1966 ในฤดูร้อนของปีนั้น

อย่างไรก็ตาม เส้นทางในยุโรปฤดูกาลนั้นทำให้ลิเวอร์พูลค้นพบเพชรเม็ดใหม่ที่ชื่อ คริส ลอร์เลอร์ เขาเป็นฟูลแบ็ค แต่ทว่ากลับทำประตูสำคัญๆได้มากมาย เนื่องจากเขาเป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยพูดจา ทำให้บรรดาเพื่อนร่วมทีมและนักหนังสือพิมพ์ล้อว่า เขาสามารถวิ่งเข้าไปในเขตโทษของคู่แข่ง โดยที่ไม่มีใครระวัง เพราะ กองหลังคู่แข่งไม่ได้ยินเสียงของเขา! ฉายาที่เขาได้รับคือ “Silent Knight” ครั้งหนึ่งที่เมลวู้ด ลอร์เลอร์นั่งดูอยู่ที่ริมสนามเนื่องจากไม่ได้ลงเล่นเกมโต๊ะเล็ก (Five a Side) กับเพื่อนๆ เกม Five a Side นี้เป็นสิ่งที่สต๊าฟโค้ชของลิเวอร์พูลโปรดปรานที่สุด โดยเฉพาะ แชงคลี่ย์ กับเพสลี่ย์ เกมในวันนั้นดำเนินไปเรื่อยๆจนกระทั่งมีปัญหาถกเถียงกันว่า ลูกยิงของแชงคลี่ย์ได้ข้ามเส้นประตูไปแล้วหรือไม่ แชงค์ตัดสินใจให้ลอร์เลอร์เป็นคนกลางตัดสินว่าลูกนั้นสมควรเป็นประตูหรือเปล่า “คุณคิดว่ามันเป็นประตูหรือเปล่า คริส?” แชงค์ถาม “ไม่” ลอร์เลอร์ตอบอย่างสั้นๆ “ดีมาก คริส” แชงคลี่ย์กล่าว “นี่เป็นครั้งแรกเลยนะที่ฉันได้ยินเสียงนายพูดกับฉัน แต่ว่านายโกหกอย่างเลวร้ายเลยว่ะ!” แชงคลี่ย์ต้องการเป็นผู้ชนะตลอดเวลา แม้แต่ในการซ้อม เขาสั่งเลิกเล่นเกม Five a Side เสมอเมื่อทีมของเขานำอยู่ มันเป็นเรื่องตลกที่ไม่มีใครกล้าหัวเราะต่อหน้าและลับหลังเขา บิลได้ค่อยๆถ่ายทอดความมุ่งมั่นในชัยชนะสู่ทีมลิเวอร์พูลของเขา ฟิล ทอมป์สัน เคยกล่าวว่า “แชงคลี่ย์ให้ความสำคัญกับทุกเกมเหมือนกับ นัดลิเวอร์พูล-เอฟเวอร์ตัน แม้แต่การซ้อมยิงลูกโทษ เขาชอบที่จะเห็นลูกทีมของเขาอัดบอลเข้าสู่ก้นตาข่ายอย่างเต็มแรงด้วยความมั่นใจ หากผู้รักษาประตูเซฟได้ เขาก็จะสั่งให้ซ้อมยิงกันใหม่โดยหาว่าผู้รักษาประตูได้ขยับตัวก่อน” ทุกๆเช้าที่เมลวู้ด ไม่ว่าเช้าวันนั้นจะมีแดด, ฝน, ลมแรง, หรือแม้แต่หิมะ แชงคลี่ย์ก็จะกล่าวเสมอว่า “มันคุ้มค่าที่มีชีวิตอยู่ สิ่งที่คุณต้องการมีแค่สนามหญ้าสีเขียวกับลูกฟุตบอลอีกลูกหนึ่งเท่านั้น”

เมื่อฟุตบอลได้เริ่มกลายเป็นกีฬาสำหรับความฟิตมากกว่ากีฬาสำหรับพรสวรรค์ พวกบู้ทรูมแห่งลิเวอร์พูลได้คิดวิธีฝึกซ้อมใหม่ โดยให้นักเตะเล่นเกม Three a Side ข้างละสามคน แต่เกมนี้ต้องเล่นในสนามที่กว้าง 25 หลา และยาว 45 หลา! เมื่อแรก พวกนักเตะหมดแรงกันภายใน 5 นาที แต่ต่อมาพวกเขาสามารถเล่นได้ถึง 30 นาที นี่เป็นหนึ่งในตัวอย่างทีแสดงให้เห็นถึงประสิทธิภาพของบู้ทรูมแห่งแอนฟิลด์ นอกจากนี้ แชงคลี่ย์ชอบการฝึกซ้อมกับพวกนักเตะหนุ่มๆ เนื่องจากพวกเขายังหนุ่มและสด เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้และ กระหายในความสำเร็จ เขาสามารถถ่ายทอดความรู้และความมุ่งมั่นไปสู่พวกนั้นได้ และเป็นแชงคลี่ย์นี่เองที่เป็นผู้สร้าง เดนนิส ลอร์ ขึ้นมาเมื่อสมัยเขาคุมฮัดเดอร์ฟิลด์ ทาวน์ ก่อนที่ลอร์จะไปสร้างชื่อกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดในเวลาต่อมา เอียน เซนต์จอห์นเล่าว่า “ครั้งหนึ่ง แชงคลี่ย์หวังอย่างยิ่งที่จะปั้นนักเตะอายุ 17 ปีคนหนึ่งที่เขาเห็นแวว ให้เป็นดาราในอนาคต เขาควบคุมการกินของเด็กคนนั้นถึงขนาดว่า เขาไปขอให้คนขายเนื้อคัดเนื้อชนิดพิเศษที่มีไขมันน้อยมาขายให้เด็กคนนั้นซื้อไปให้แม่ทำอาหารให้กิน วันหนึ่ง เด็กคนนั้นเข้ามาหาแชงคลี่ย์ “ว่าไง ไอ้หนู เมื่อคืนหลับสบายไหม” เขาถาม “ครับ ผมอยากบอกคุณว่า ผมกำลังจะแต่งงาน” เด็กหนุ่มตอบ “ว่าไงนะ” แชงคลี่ย์ตะลึง “มันจำเป็นครับ เพราะแฟนของผมเขาตั้งครรภ์” เขาตอบ ทันใดนั้น แชงคลี่ย์ตะโกนเรียกลูกน้องของเขา “บ็อบ, รูเบน, รอนน,ี่ โจ มานี่เร็ว!! พวกเราพลาดเสียแล้ว เราได้สร้างสัตว์ประหลาดแทนที่จะสร้างนักเตะที่สมบูรณ์แบบ!!”

ในขณะที่บุคลิกภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของแชงคลี่ย์กำลังชนะใจบรรดาเดอะค็อปอย่างช้าๆ ทีมลิเวอร์พูลของเขากลับไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร หลังจากได้แชมป์ลีกซึ่งเป็นแชมป์รายการสำคัญครั้งสุดท้ายของทศวรรษ หงส์แดงก็ไม่ได้สัมผัสกับแชมป์รายการใดๆอีกเลย จนกระทั่ง หลังจากแม็ทช์กับวัตฟอร์ต ในเอฟเอคัพ รอบหก ในฤดูกาล 1969/70 แชงคลี่ย์ก็ตัดสินใจว่า ถึงเวลาแล้วสำหรับการเปลี่ยนแปลง


++++++++++++++++++++++++++++++++++++


ตอน: การเปลี่ยนแปลงหลังจากวัตฟอร์ต

การฝึกซ้อมของลิเวอร์พูลจะอยู่ในการดูแลของแชงคลี่ย์และสต๊าฟของเขาอย่างใกล้ชิด บ็อบ เพสลี่ย,์ รูเบน เบนเน็ตท,์ โจ ฟาแกน, และ รอนนี่ มอแรน ต่างเป็นหูเป็นตาให้แชงคลี่ย์เสมอ การซ้อมประจำวันจะจบลงหลังจากเกม Five a Side จากนั้น เหล่านักเตะจะนั่งรถโค้ชกลับแอนฟิลด์ด้วยกันเพื่ออาบน้ำ, เปลี่ยนเครื่องแต่งตัว, และร่วมรับประทานอาหารด้วยกัน ก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน นี่เป็นประเพณีของลิเวอร์พูลสืบมานับแต่นั้น แชงคลี่ย์ถือว่าทุกคนที่ทำงานให้สโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูล มีความสำคัญเท่ากันหมด ไม่ว่าจะเป็นนักเตะไปจนถึงผู้ดูแลสนาม แต่ว่า ลึกลงไปกว่านั้นแล้ว แชงคลี่ย์ต้องการให้นักเตะของเขาอยู่ด้วยกันและทำกิจกรรมร่วมกันให้มากที่สุด สิ่งนี้จะเป็นสิ่งสำคัญที่นำไปสู่ทีมสปิริต นอกจากนั้น การที่พวกนักเตะมีกิจกรรมร่วมกันที่แอนฟิลด์ ก็จะทำให้พวกเขาคุ้นเคยกับผู้คนที่ทำงานประจำในแอนฟิลด์ไปในตัว หลายครั้ง เหล่านักเตะเฝ้าคอยที่จะหยอกล้อกับ พนักงานเสริฟน้ำชา หรือแม้แต่ ผู้ดูแลสนาม กิจกรรมเหล่านี้ทำให้นักเตะรู้สึกถึงความสนิทสนมเป็นเพื่อนกับคนเหล่านั้นและคลายความกดดันจากความรู้สึกเป็นคนแปลกหน้าลงในวันแข่งขัน ประเพณีนี้ต่างจากของเอฟเวอร์ตันโดยสิ้นเชิง เอฟเวอร์ตันจะทำทุกอย่างตั้งแต่เปลี่ยนชุดก่อนซ้อม ไปจนถึงรับประทานอาหารก่อนกลับบ้าน ที่สนามซ้อมเบลฟิลด์ เมื่อถึงวันแข่งขันที่สนามกูดิสัน ปาร์ค พวกนักเตะจะรู้สึกเหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่คุ้นเคยกับสถานที่ “เมื่อเราเล่นที่กูดิสัน ปาร์ค มันเหมือนกับว่าเรากลายเป็นทีมเยือนไปเสียเอง” อดีตนักเตะเอฟเวอร์ตันคนหนึ่งกล่าว

อย่างไรก็ตาม ประเพณีนี้ต้องถือว่าเป็นเครดิตส่วนหนึ่งของบ็อบ เพสลี่ย์ ผู้เป็นนักกายภาพบำบัดชั้นเลิศ นอกเหนือจากการเป็นโค้ชที่ยอดเยี่ยม เพสลี่ย์แนะนำแชงคลี่ย์ว่า ร่างกายของนักกีฬาควรใช้เวลา 40 นาทีในการระบายความร้อน ก่อนที่จะอาบน้ำชำระร่างกาย หากพวกนักเตะเข้าไปอาบน้ำในขณะที่ยังมีเหงื่อไคลและความร้อนอยู่ ความเย็นจากน้ำสามารถทำให้เกิดอาการปวดศรีษะและไม่เป็นผลดีต่อกล้ามเนื้อ โดยที่กล้ามเนื้อจะอักเสบได้ง่ายขึ้นจากการเข้าปะทะ ดังนั้น วิธีที่ดีที่สุดที่ทำให้พวกนักเตะได้นั่งพักผ่อน ก่อนอาบน้ำ คือนั่งรถโค้ชกลับไปอาบน้ำที่แอนฟิลด์ ประเพณีนี้ก่อให้เกิดผลดีต่อลิเวอร์พูลอย่างมากมายเกี่ยวกับปัญหาการบาดเจ็บของนักเตะ ในฤดูกาล 1965/66 ลิเวอร์พูลใช้นักเตะเพียง 14 คน ตลอดฤดูกาล และยังเป็นแชมป์ลีกในปีนั้นด้วย แต่ระบบนี้กลับถูกยกเลิกโดยแกรม ซูเนสส์ เมื่อสมัยที่เขาเป็นผู้จัดการทีม เขาอนุญาตให้นักเตะเดินทางไปซ้อมที่เมลวู้ดด้วยตนเอง และอาบน้ำชำระร่างกายที่นั่น มันน่าประหลาดใจที่ซูเนสส์กลับกลายเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลคนแรกในรอบ 20 ปีที่ประสบปัญหานักเตะบาดเจ็บมากมายเช่นนี้

เมื่อถึงปลายยุค 60’s แชงคลี่ย์และเพสลี่ย์ได้เป็นที่รู้จักกันดีในแอนฟิลด์ในฐานะคู่หูที่นำความสำเร็จมาสู่สโมสร แต่ว่าภายนอกแอนฟิลด์นั้น แชงคลี่ย์กลับเป็นผู้เดียวที่ได้เครดิตจากการผลักดันลิเวอร์พูลสู่ความยิ่งใหญ่ ทั้งคู่ไม่สนิทกันหลังจากเวลางาน อาจเป็นเพราะว่าเพสลี่ย์เป็นคนชอบอยู่เงียบๆตามลำพังกับครอบครัว แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแชงคลี่ย์และเพสลี่ย์เป็นไปด้วยดีในแอนฟิลด์ เขาทั้งสองทำงานเข้ากันได้ดีและต่างมีคุณสมบัติที่โดดเด่นคนละแบบ เพสลี่ย์เป็นนักวางแผน ในขณะที่แชงคลี่ย์ถนัดในการกระตุ้นลูกทีมของเขา อีกทั้งยังเป็นคนโผงผาง ในขณะที่เพสลี่ย์ชอบใช้ความคิดอยู่คนเดียวเงียบๆ ความสามารถของเพสลี่ย์ได้เป็นที่ประจักษ์หลังจากแชงคลี่ย์ได้ลาจากแอนฟิลด์ไปแล้ว ความเป็นนักแทคติกของเขาสามารถฉีกกองหลังยุโรปเป็นชิ้นๆอย่างนับครั้งไม่ถ้วน หากเปรียบเทียบกันที่จำนวนถ้วยรางวัลแล้ว เพสลี่ย์สามารถเอาชนะแชงคลี่ย์ไปได้อย่างขาดลอย แม้ว่าแชงคลี่ย์จะสรรเสริญเพสลี่ย์อยู่ห่างๆอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่มีใครรู้ว่า แชงคลี่ย์มีความอิจฉาเพสลี่ย์หรือไม่ เมื่อเขาสามารถคว้าแชมป์ที่แชงคลี่ย์ปรารถนามากที่สุดแต่ไม่เคยทำสำเร็จ นั่นคือ ยูโรเปี้ยน คัพ

เพสลี่ย์มักเป็นคนแรกเสมอที่กล่าวถึงอิทธิพลของแชงคลี่ย์ที่มีต่อลิเวอร์พูล เขากล่าวว่า “การมาของแชงคลี่ย์ คือการกำเนิดของลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง ผมรู้สึกเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้ทำงานกับเขา” ขณะเดียวกัน แชงคลี่ย์ก็ให้เกียรติแก่เพสลี่ย์ด้วยการกล่าวว่า “เขาเป็นคนที่ผมไว้เนื้อเชื่อใจมากที่สุด” จากการร่วมงานกันถึง 15 ปี ทำให้เพสลี่ย์สามารถเข้าใจนิสัยของแชงคลี่ย์ได้ดี “เขาเป็นคนเปิดเผย เขามักทำในสิ่งที่เขาต้องการจนลืมนึกถึงความเหมาะสมในบางครั้ง ครั้งหนึ่งในโรงแรม พวกผู้หญิงสูงอายุนั่งจับกลุ่มชมโทรทัศน์ด้วยกันที่ล็อบบี้ เมื่อแชงคลี่ย์ผ่านมา เขาเดินไปยังโทรทัศน์และพูดว่า ‘อีกช่องหนึ่งกำลังมีรายการมวย’ จากนั้นก็จัดการเปลี่ยนช่องทันทีโดยไม่สนใจคนรอบข้าง เขาน่าจะกล่าวขออนุญาตจากพวกผู้หญิงเหล่านั้นก่อน ผมรู้สึกอายมากและต้องรีบเดินออกจากล็อบบี้โดยทันที” อย่างไรก็ตาม เพสลี่ย์ รวมไปถึง โจ ฟาแกน ได้เป็นผู้ช่วยที่วิเศษสุดของแชงคลี่ย์ พวกเขามักแก้ปัญหาที่พวกเขาแก้ได้ มากกว่าผ่านปัญหานั้นไปยังแชงคลี่ย์ผู้เป็นผู้จัดการทีม มันเป็นการผ่อนภาระให้แชงคลี่ย์และมีปัญหามากมายที่ถูกสะสางไปโดยแชงคลี่ย์ไม่ได้รับรู้ การกระทำเช่นนี้ทำให้เพสลี่ย์ได้เรียนรู้การจัดการทีมไปในตัว และมันสามารถเป็นเหตุผลหนึ่งที่อธิบายได้ว่าทำไมระบบของลิเวอร์พูลจึงไม่สะดุดเมื่อแชงคลี่ย์จากทีมไป

ในปลายยุค 60’s แชงคลี่ย์รู้สึกยากที่จะยอมรับว่า ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาจากดิวิชั่น 2 จนสามารถคว้าแชมป์ลีก 2 สมัย และชนะเลิศ เอฟเอคัพ อีกหนึ่งครั้ง ได้เดินทางมาถึงจุดสิ้นสุดแล้ว เขามีความเชื่อว่า นักเตะจะอยู่ในจุดสูงสุดระหว่างอายุ 25-28 ปี แต่ทว่า เมื่อถึงปี 1967 กอร์ดอน ไมลด์มีอายุ 30 รอน ยีตส์อายุ 30 ขณะที่เอียน เซนต์จอห์น เจอร์รี่ ไบลด์ และโรเจอร์ ฮันท์ ต่างมีอายุ 29 ปี แม้ว่าแชงคลี่ย์รู้ดีว่า วันเวลาของนักเตะเหล่านี้เหลืออีกไม่มากนัก แต่การเปลี่ยนแปลงก็ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายสำหรับเขาเช่นกัน บ็อบ เพสลี่ย์เคยกล่าวว่า “หากจะให้ระบุข้อผิดพลาดของแชงคลี่ย์ เมื่อเขาอยู่กับลิเวอร์พูล สิ่งนั้นอาจจะเป็นการที่เขาซื่อสัตย์ต่อนักเตะของเขามากเกินไป เขาไม่อาจทำร้ายนักเตะที่เคยเล่นให้เขาอย่างดีได้ สิ่งนี้แสดงให้เห็นชัดว่า โดยลึกแล้ว เขาเป็นคนละเอียดอ่อน”

ความซื่อสัตย์ของเขาได้สะท้อนไปยังสไตล์การเล่นของทีมด้วย เขาเน้นให้ทั้งทีมบุกด้วยกัน ตั้งรับด้วยกัน และช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ครั้งหนึ่ง สตีฟ ไฮเวย์ ไม่ได้ช่วยสนับสนุนอเล็กซ์ ลินเซย์ เมื่อลินเซย์ถูกกดดันจากผู้เล่นคู่แข่ง แชงคลี่ย์กล่าวกับไฮเวย์ระหว่างพักครึ่งเวลาว่า “คิดดูสิ สตีฟ หากเกิดไฟไหม้บ้านที่อยู่ถัดจากบ้านคุณ คุณจะทำอย่างไร” แน่นอน คำตอบนั้นจะเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากช่วยกันดับไฟที่บ้านหลังนั้น ก่อนที่ความเสียหายจะลุกลามไปยังบ้านหลังอื่น รวมทั้งบ้านคุณเองด้วย

ตลอดปี 1967 การตามหาสายเลือดใหม่ก็เริ่มขึ้น แชงคลี่ย์ประทับใจในฝีเท้าของโฮเวิร์ด เคนดัลด์ แห่งเปรสตัน นอร์ทเอนด์ อย่างมาก แต่จากการที่เปรสตันเคยเสีย ปีเตอร์ ทอมป์สัน และเจอร์รี่ ไบลด์ ให้กับลิเวอร์พูลแล้ว คณะกรรมการบริหารของเปรสตันจึงปฏิเสธที่จะขายเคนดัลด์ให้กับลิเวอร์พูลเป็นคนที่สาม เคนดัลด์จึงตัดสินใจย้ายสู่ทีมเอฟเวอร์ตัน ที่ซึ่งเขาสามารถสร้างชื่อเสียงในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีมในอนาคต หลังจากผิดหวังจากเคนดัลด์ แชงคลี่ย์เปลี่ยนเป้าหมายใหม่ไปล่าตัว เอมลีน ฮิวส์ จากแบล็คพูล เขาเสนอเงิน 30,000 ปอนด์ สำหรับเป็นค่าตัวของฮิวส์ แต่แบล็คพูลกลับโก่งราคาเป็นสองเท่าที่ 65,000 ปอนด์ เนื่องจากว่าแบล็คพูลใกล้จะตกชั้น ทางสโมสรจึงพยายามหาเงินเข้าสโมสรให้มากที่สุด อย่างไรก็ตาม แชงคลี่ย์ได้ตัดสินใจจ่ายเงินในราคาที่แบล็คพูลต้องการเพื่อเป็นค่าตัวของ เอมลีน ฮิวส์ ลูกของนักรักบี้ทีมชาติ หลังจากเซ็นสัญญาแล้ว แชงคลี่ย์ขับรถพาฮิวส์มายังลิเวอร์พูล ระหว่างทาง ตำรวจได้หยุดรถของแชงคลี่ย์เนื่องจากเขาทำผิดกฏจราจร “เฮ้! คุณรู้ไหมว่าใครนั่งอยู่ในรถคันนี้” แชงค์ถาม “คุณคือมิสเตอร์แชงคลี่ย์หรือเปล่า?” ตำรวจถามอย่างไม่แน่ใจ “ไม่ใช่ผม เด็กนี่ต่างหากล่ะ คุณไม่สังเกตเลยหรือว่า เขาคือกัปตันทีมชาติอังกฤษในอนาคต” แชงคลี่ย์ตอบอย่างหน้าตาเฉย แต่คำตอบนั้นได้ทำให้ฮิวส์รู้สึกมั่นใจขึ้นระคนเขินอายได้ไม่น้อย

นอกจากการล่าตัวนักเตะแล้ว แชงคลี่ย์ได้ให้ความสำคัญกับแมวมองเช่นกัน เจฟฟ์ ทเวนตี้แมน อดีตนักเตะลิเวอร์พูลได้กลับสู่แอนฟิลด์ในฐานะแมวมอง จากการเชื้อเชิญของแชงคลี่ย์ ผลงานของเขาจาก สตีฟ ไฮเวย์ เควิน คีแกน จอห์น โตแช็ค เดวิด แฟร์คลัฟ อลัน แฮนเซ่น สตีฟ นิโคล เอียน รัช และอีกมากมาย ได้สะท้อนว่าแชงคลี่ย์เลือกคนไม่ผิด เจฟฟ์เล่าว่า “ในสัปดาห์แรกของผมที่แอนฟิลด์ ผมแนะนำเด็กหนุ่มคนหนึ่งให้แชงคลี่ย์ แชงค์พยายามเซ็นสัญญากับเขา แต่ว่าทางสโมสรไม่มีเงินมากพอในเวลานั้น ในที่สุดเด็กคนนั้นได้ไปเซ็นสัญญากับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แทน เขาคือ ฟรานซิส ลี” “หัวใจ” คือคำที่แชงคลี่ย์เน้นกับทเวนตี้แมนมากที่สุด เขาเน้นว่า นักเตะเป้าหมายนั้นจะต้องมีใจให้กับเกมและชัยชนะ แชงค์เคยกล่าวกับทเวนตี้แมนว่า “เน้นดูเกมระดับดิวิชั่น 3-4 ให้มาก เราต้องการนักเตะสำหรับอนาคต หากเราได้ตัวเขามาแล้ว เราจะให้เขาเล่นในทีมสำรองเพื่อเรียนรู้ระบบของลิเวอร์พูล” ตัวทเวนตี้แมนเองได้ตั้งระบบเครือข่ายแมวมองไปทั่วอังกฤษ และได้มาซึ่งนักเตะหนุ่มอย่าง เรย์ คลีเมนซ์ อเล็กซ์ ลินเซย์ และ ลาร์รี่ ลอยด์ ทั้งสามมาจากดิวิชั่นต่ำๆ แต่ว่าทั้งหมดได้ก้าวไปเล่นให้ทีมชาติอังกฤษในเวลาต่อมา

นอกจากนักเตะใหม่เหล่านี้แล้ว ลิเวอร์พูลยังได้ตัว โทนี่ เฮทลี่ย์ และ อลัน อีแวนส์ ซึ่งเล่นตำแหน่งกองหน้ามาเสริมทีม แต่แชงคลี่ย์ยังไม่กล้าเสี่ยงที่จะให้นักเตะหนุ่มเหล่านี้เป็นแกนหลักของทีมในทันทีทันใด รวมไปถึงความมั่นใจที่เขายังมีอยู่ในนักเตะชุดเก่าอยู่ การเปลี่ยนแปลงจึงเป็นสิ่งที่ต้องเฝ้ารอต่อไป อย่างไรก็ตาม แชงค์ได้เริ่มการปฏิวัติทีละน้อย โรเจอร์ ฮันท์เริ่มช้าลง และไม่คมกริบเหมือนที่เคยเป็นเมื่อต้นยุค 60’s ในฤดูกาล 1968/69 เขาถูกดรอปเป็นครั้งแรก ซึ่งทำให้เขาโมโหแชงคลี่ย์มากและขับรถกลับบ้านไปในทันที จากนั้น โรเจอร์ ฮันท์ได้เข้าๆออกๆจากทีมตัวจริงตลอดเวลา รวมถึงการโดนเปลี่ยนตัวออกอย่างบ่อยครั้ง

เมื่อฤดูกาล 1969/70 เริ่มขึ้น ทีมที่เคยได้แชมป์ลีก 2 สมัยก็ทีท่าว่าจะกลับมายิ่งใหญ่ได้อีกครั้ง ลิเวอร์พูลชนะ 7 และเสมอ 2 ใน 9 นัดแรก แต่เมื่อความหนักหน่วงของฟุตบอลอังกฤษได้ผ่านเข้ามาเรื่อยๆ ทีมที่ประกอบด้วยผู้สูงอายุอย่าง ยีตส์, เซนต์จอห์น, ไมลด,์ ฮันท์, ลอร์เรนซ์ ก็เป็นแค่ชื่อที่มีไว้ขู่คู่แข่งเท่านั้น จวบจนกระทั่งการพ่ายแพ้อย่างน่าขายหน้าต่อทีมดิวิชั่น 2 อย่าง วัตฟอร์ต ในเอฟเอคัพ รอบที่หก ได้ทำให้แชงคลี่ย์ตระหนักดีว่า เวลาแห่งการเปลี่ยนแปลงมาถึงแล้ว เขาไม่อาจยึดติดกับนักเตะที่เหลือแต่อดีตที่ยิ่งใหญ่ได้อีกต่อไป มันเป็นเวลาหลายฤดูกาลแล้วที่แอนฟิลด์ร้างถ้วยรางวัล และถึงเวลาแล้วที่เขาจะต้องทำเพื่อสโมสร จากหนังสืออัตชีวประวัติของเขา แชงคลี่ย์เล่าว่า “มันเป็นเกมที่สำคัญทีเดียว หลังจากเกมกับวัตฟอร์ต ผมรู้ว่าผมควรทำอย่างไร ผมเห็นนักเตะหลายคนผิดหวังเมื่อผมบอกพวกเขาถึงการเปลี่ยนแปลง เมื่อคุณประสบความสำเร็จแล้ว บางครั้งมันยากที่จะรักษาความกระหายในความสำเร็จให้คงอยู่กับคุณ เมื่อพวกเขาไม่เหลือในความกระหายนั้นแล้ว ผมคิดว่ามันถึงเวลาแล้ว ที่จะเปิดโอกาสให้ผู้ซึ่งมีความกระหายนั้นได้เข้ามาแทน”

หนึ่งสัปดาห์ต่อมา แชงคลี่ย์ประกาศรายชื่อผู้เล่นสำหรับนัดพบกับ ดาร์บี้ เคาน์ตี้ ที่แอนฟิลด์ ในแม็ทซ์ดิวิชั่นหนึ่ง ดังนี้ คลีเมนซ์, ลอร์เลอร์ วอลล์, สตรอง, สมิธ, ฮิวส์, คัลลาแฮน, ทอมป์สัน, อีแวนส์, ลิเวอร์มอร์, และ เกรแฮม

ไม่น่าแปลกใจว่า ทีมที่ประกอบด้วยนักเตะหน้าใหม่ค่อนทีมจะพ่ายแพ้แก่ดาร์บี้ แต่แชงคลี่ย์ก็ไม่ได้ใส่ใจ รอน ยีตส์ ผู้ซึ่งเป็นผู้เล่นลิเวอร์พูลคนแรกในประวัติศาสตร์ที่ได้สัมผัสถ้วยเอฟเอคัพ มีโอกาสลงสนามอย่างนับครั้งได้ในช่วงที่เหลือของฤดูกาลนั้น ทอมมี่ ลอร์เรนซ์ ได้ลงเฝ้าเสาให้ลิเวอร์พูลอีกเพียงหนึ่งครั้งหลังจากนั้น เอียน เซนต์จอห์น ได้เล่นอีก 2 นัด แต่มันกลับเลวร้ายกว่าสำหรับ โรเจอร์ ฮันท์ เมื่อนัดที่พบกับวัตฟอร์ตเป็นนัดสุดท้ายที่เขาได้ลงเล่นให้กับเครื่องจักรสีแดง

หลังจากการเปลี่ยนแปลงแล้ว แชงคลี่ย์ยังคงตามหานักเตะสายเลือดใหม่ต่อไป ปีเตอร์ ออสกู้ด กองหน้าเชลซี คือเป้าหมายอันดับหนึ่งของเขา เมื่อปลายฤดูกาลก่อน ข้อเสนอ 100,000 ปอนด์ ของแชงคลี่ย์ได้ถูกปฏิเสธไปคราวหนึ่งแล้ว คราวนี้ แชงคลี่ย์เสนอราคา 150,000 ปอนด์ สำหรับตัวออสกู้ด แต่ก็ได้รับการปฏิเสธอีก เขาได้เลิกล้มความตั้งใจในการล่าตัว ปีเตอร์ ออสกู้ด และบรรดาเดอะค็อปได้เริ่มร้องเพลงกันว่า “Osgood is no good” ลิเวอร์พูลจบฤดูกาล 1969/70 ที่อันดับ 5 โดยมี 15 คะแนนตามหลัง แชมเปี้ยน เอฟเวอร์ตัน มันเป็นเวลา 4 ฤดูกาลแล้วที่ลิเวอร์พูลไม่ได้แชมป์ใดๆและแชงคลี่ย์ก็หวังที่จะหยุดช่วงเวลาที่น่าผิดหวังให้ได้โดยเร็วที่สุด




Create Date : 08 ตุลาคม 2550
Last Update : 8 ตุลาคม 2550 9:06:42 น. 0 comments
Counter : 516 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

ชายกลางเก่า
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 1 คน [?]





ส่งข้อความถึงชายกลางเก่า




<< มกราคม 2553 >>
พฤ
1 2
3 4 5 6 7 8 9
10 11 12 13 14 15 16
17 18 19 20 21 22 23
24 25 26 27 28 29 30
31
Friends' blogs
[Add ชายกลางเก่า's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.