Group Blog
 
<<
ธันวาคม 2551
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
28293031 
 
21 ธันวาคม 2551
 
All Blogs
 
ว่าน เจอ พี่นัท...ก็ยากอยู่:partA


ถ้านึกถึงว่าน คำแรกที่ผลุดขึ้นมาในหัวก็คือ ความแพรวพราว
ว่านเป็นชายหนุ่มที่แพราวพราวทั้งการพูดจา และยิ่งแพรวพราวทางความคิด
“สนุกมีด” ยังเป็นคำที่ยังคงติดในความทรงจำเสมอมา


ตั้งแต่ว่านปรากฏตัวให้รู้จักผ่านจอทีวีในบ้านสาริน คิดว่าทุกคนจะรู้สึกแบบนี้ “เด็กคนนี้ไม่ธรรมดา”
ทั้งเสียงเพลงของว่าน ทางดนตรีของว่าน เป็นที่ยอมรับไม่มีข้อกังขา

แต่ที่ยุ่งชวนปวดหัวก็คือ วิธีคิดของว่าน
ประมาณสมการในสมองกลมๆของน้องมันต้องใช้ทั้งสแควร์รูท บวกสูตรเคมี บวกกฎแรงโน้มถ่วงของโลก หรือ
....อาจไม่ต้องใช้อะไรเลย(ครือประมาณว่าไม่ต้องใช้มันหร๊อก สมองน่ะ) ถึงจะสามารถตามให้ทัน ตีให้ถูก




ในเด็กAF ด้วยกันคนที่พอทันว่าน มือวางอันดับหนึ่งคงหนีไม่พ้น พี่โจ เพื่อนสนิทซี้ปึ้ก ซึ่งก็แค่ทัน..นะ



งั้นที่จะหยุดให้ว่านชะงักได้...................ใครจะทำได้และจะทำด้วยวิธีอะไร









นัท....ณัฐ ศักดาทร ชายหนุ่มที่รอยหยักในสมองมีมากจนน่าอิจฉา แต่กลับมีความรู้เกี่ยวกับเรื่องเล็กๆน้อยๆในดินแดนแหลมทองตกหล่นชวนน่าให้อภัย


เมื่อมินิคอนนี้พี่ชายอย่างนัทกลายร่างเป็นเด็กผู้ชายตัวน้อยที่เพิ่งก้าวเข้าสู่โลกใบกว้างแต่กลับมีหมาป่าปากคมรอโอกาสคอยหลอกล่อ


ตำนานอีกหน้า....จึงต้องเปิดม่าน




หนุ่มน้อยร่างเล็กบางนำหนุ่มขายาวตัวโตขึ้นมาทักทายผู้ชมท่ามกลางสวนสวยยามค่ำคืน ต่างคนต่างทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้หมุนไร้พนักที่คืนนี้มันต้องทำหน้าที่อย่างหนักโดยเฉพาะจากว่าน หนุ่มขายาวที่ไม่ชอบอยู่นิ่ง

เพลงระยะปลอดภัยเปิดตัวขึ้น เพลงที่ไม่ว่าจะรุ่นพี่รุ่นน้องไม่มีใครไม่เคยนำไปขับร้อง(เพียงครั้งเดียว) เพียงแต่ว่าจะมีใครช่างขี้สงสัยจนต้องออกปากถามให้เจ้าของเพลงเก้อเขินหาทางแก้ตัวให้รอดอย่างคราวนี้

เมื่อช่วงโซโล่ที่ยาว และยาว มาถึง พี่ชายที่นั่งข้างๆก็จับเจ้าตัวโอกาสเปิดปากถามขึ้นมา

“ตรงนี้” พี่นัทชี้ไลน์ดนตรี “ทำไมต้องแต่งให้โซโล่มันยาวมากเลย”
“เผื่อผมจะเต้น” ว่านแก้ตัวครั้งแรกกับตายิบหยี “ตอนแรกคิดว่าจะเต้น” ก่อนยอมรับ “เอ่อ! แล้วไม่สำเร็จ”

ถ้าใครยังพอจำคลาสแด้นซ์ตอนที่ว่านอยู่ในบ้านสารินได้ ประโยคนี้ของทำภาพในวันวารลอยกลับมาพร้อมรอยยิ้ม หนุ่มตัวโตที่จับจองพื้นที่หลังสุดของห้องแดนซ์อย่างเหนียวแน่น การเคลื่อนไหวแต่ละที ห้า หก เจ็ด แปดแต่ละครั้ง ยังความลำบากใจผ่านทางสีหน้าให้ชวนขำปนเอ็นดู

“อยากเห็นท่าที่คิดจะเต้นน่ะมีไหม” วันนี้พี่ชายคนนี้ลงดาบไม่ปราณี
“มี” ว่านพยักหน้ารับทันควัน

ว่านลุกขึ้นยืนทันทีไม่มีเกี่ยงงอน ท่านกกระยาง นกกระจอกก็ถูกปล่อยมา เพื่อเอ็นเตอร์เทนพี่ชายที่รอดูตาแป๋ว

ทำให้ชักรู้ มินิคอนคืนนี้...สนุกมีด


ปิดท้ายเพลง เก้าอี้หมุนทำหน้าที่รองรับหนุ่มตัวโตจอมซนไม่หยุดมือ ทำเอาพี่ชายตัวนิดคันมือขอร่วมวงเล่นสนุกด้วย
เด็กหนุ่มสองคนจึงจบเพลงด้วยการหมุนรอบวงมาเจอกัน

“เราทำอะไรเป็นเด็กๆกันเลยนะ” พี่นัทออกปากอย่างรู้ตัว

ส่วนหนุ่มต้นเรื่องหันไปขอขา...ไมค์ หลังจากทีมงานเริ่มจัดแจง หนุ่มแพรวพราวก็เริ่มเจ๊าะแจ๊ะ


“ตอนแรกคอนเสิร์ตนี้ เราว่าจะไม่ได้จัดที่นี่แล้วนะครับ” หนุ่มเชิ้ตขาวหันหาลูกคู่
“อ่ะ...จะไปจัดที่ไหน” ในเมื่อลูกพี่ส่งมา ลูกน้องอย่างนัทก็ไม่เคยบกพร่องหน้าที่ถามกลับไป
“ที่ลานเพลินแถวสุวรรณภูมิ” ว่านล้อการเมือง



พี่นัทตัวทรุดกับการเข้ารับบทบาทในสภาโจ๊กแบบไม่ทันตั้งตัว


“แต่ว่าเต็มนะครับ จองไม่ทัน” เย้าพอสนุก ว่านทอดถอนใจแกล้งเสียดายปนเหนื่อยหน่าย “เฮ้ยยย!”
“ถ้าเราไปจัดที่นั่นนะ...ไม่มีใครเข้าประเทศหรอก” นัทหยิบยืมเส้นเรื่องมาใช้ต่อ
“ทำไม”
“เพราะเค้าจะไปดูเราร้องเพลงกันหมด” ชายหนุ่มชวนหลงตัวเองเอ่ย
“แม้แต่ชาวมุสลิมที่จะเดินทางไปทำพิธีก็จะหยุดดูเรา” เอิ้กกกก ว่านกวาดทั้งการเมืองและศาสนาให้ครบข้อห้าม ก่อนตบท้ายให้ซอฟท์ลงด้วย “เรียกว่าคอนเสิร์ตนัทหยุดโลกนะครับผม”


“ต้องบอกว่าวันนี้...ยินดีจริงๆนะครับที่มีคอนเสิร์ตสบายๆแบบนี้กับพี่นัท...นะครับ” พ่อหนุ่มเสียงนุ่มเอ่ยขึ้น
“เช่นกันนะครับ” พี่ชายแสนสุภาพสวนรับคำ...ที่หารู้ไม่ว่าไอ้น้องคนนี้ยังไม่ได้ขึ้นประโยคดังตั้งใจไว้
“เราจะเลิกกันตรงนี้เลย..นะครับ” ว่านเอ่ยหน้าตาเฉย
“สบายมากเลยนะ” นัทดักคอด้วยรอยยิ้ม “สบายไปหรือเปล่า”

“เขาบอกว่าคอนเสิร์ตนี้กึ่งทอร์คโชว์ด้วยนะ” ขณะที่นัทบอกเล่าธีมคอน คุณว่านหมุนตัวฟิ้วคว้ากีต้าร์จากด้านหลัง

เมื่อเสียงไมค์หอนดังเสียดเข้ารูหู ทำเอาเจ้าว่านปากจัดเปรยขึ้นมา “นี่ไมค์หรือหมาเนี่ย หอนได้ขนาดนี้”






ต่อไปเปิดฉาก...หัวอกเด็กAFที่ผันตัวเข้าสู่โลกการแสดง

“พี่นัทครับ เพลงถัดไปนี่ต้องบอกว่าเป็นเพลงประกอบละครที่ตอนนี้มาแรงมากนะฮะ” ว่านเริ่มบทบาทหน้าม้าให้เพื่อน “เรตติ้งล่าสุดที่ผมไปเช็คมา” ว่านบอกแบบรู้จริง “แซงธิดาวานรไป”

ว่านกำลังแจงต่อ พี่นัทก็อยากทำหน้าที่หน้าม้ากะเค้าบ้างจึงสวนถามขึ้น..ดั่งสวนมีดจิ้มหัวใจนักแสดงคนหนึ่ง

“แซงรักนี้เคียงตะวันรึยัง”
“รักนี้เคียงตะวัน ตอนนี้เรียกว่า...” เจ้าของละครดองขอตอบ “ไม่รู้ว่าละครหรือมะม่วงครับ...ดองไว้แล้วครับผม”
“มีกำหนดจะออกแล้วนะ” พี่ชายบอกเล่าให้ฟังอย่างปลอบใจกลายๆ
“มีแล้วเหรอครับ” เจ้าของผลงานถึงกับแปลกใจ “เมื่อไร!?!”
“ยังบอกไม่ได้” นัทรีบปฏิเศษ
“ผมนี่ลืมไปแล้วว่าผมไปถ่ายทิ้งไว้” ว่านเอ่ยชวนน่าเห็นใจ
พี่ชายก็เลยต้องเห็นใจตาม “เค้าไม่ทิ้งว่านไปหรอก...แหม~” ส่งท้ายด้วยความปลอบใจสูง


เพลงคลื่นใจ ประกอบละครของหนุ่มที่ไม่กลายเป็นมะม่วงที่ถูกดองลอยคลอล้อสายลม


~ที่จริง คลื่นใจของเราคลื่นเดียวกัน ต่างจูนหัวใจได้ตรงกันมานาน~



แล้วก็.....ถือว่าเป็นเพลงที่ศิลปินเอาไว้ใช้เช็คความเหนียวแน่นของเหล่าแฟนคลับ
ไอ้ท่าหยุดรอยืนฟังหลังจากหยุดร้องเอาไปดื้อๆกลางเพลงนี่มัน...จิ้งจอกเจ้าเล่ห์ชัดๆ




ทอร์คโชว์ยกสองเริ่มต้นด้วยคำถามว่าน

“พี่นัทถ่ายทำเรื่องนี้นานหรือยังครับพี่” ว่านใช้ภาษาทางการถามมา
“ถ่ายทำ...โอ่ย ใช้ภาษา” พี่นัทขึ้นเหน็บเล็กน้อย “ก็ตั้งแต่จบนัทต้อ...

ว่านเห็นพี่นัทใช้เวลานานเกินจะอดใจรอไหว สวนขัดขึ้นมา

“ตั้งแต่เป็นสาวเต็มกาย หาผู้ชายถูกใจไม่มี” น้องคนนี้เอาเพลงเก่าเก็บมาต่อคำไปละทางเดียวกัน

นัทไม่ขอตาม แก้ลำด้วย

“ตั้งแต่จบนัทต้อลทรูเมนโชว์...รู้ไหมเมื่อไหร่”
“เร็วๆนี้เอง” ว่านส่งมือชี้กลับไปยังอดีตประกอบคำพูด “ประมาณเดือนที่แล้ว”

คำตอบจากว่าน ทำเอาพี่นัทแยกเขี้ยวขาว ทำให้ว่านต้องขอยืนยัน

“จริงๆ! เพราะผมจำได้ครั้งแรกที่ผมดู...เอ่อ...ที่โฆษณาทรูเมนโชว์” ว่านทำตาปริบปรับด้วยชักไม่แน่ใจศัพท์ภาษาปะกิตที่ปล่อยไปต่อหน้าเด็กฮาวาร์ด “ทรูแมน?”
“ทรูเมน ทรูเมน” เด็กฮาวาร์ดอนุมัติคำแรกที่เอ่ย
“ทรูเมนโชว์นะครับ” ว่านเชื่อฟังแต่โดยดี “เป็นแบบว่านุ่งผ้าเช็ดตัวกัน...นิดๆ” มือว่านทำท่าคาดผ้าที่เอว เสียงก็ชวนเรียบร้อย “ใช่ป่ะ!” ว่านขอคำยืนยันจากพรีเซนเตอร์ตรงหน้า

พอพี่นัทหลวมตัวพยักหน้ารับ

“ดูอยู่ที่บ้าน” ว่านต่อด้วยรอยยิ้ม “น้ำลายห้าจุดเก้าเลยครับ”




พี่นัทฟังจบหัวเราะรับตาม...แต่พี่ขอสงสัย นัทตามมุขนี้ของว่านทันจริงๆน่ะเหรอจ๊ะ
หรือว่าเป็นอย่างพี่ หัวเราะตามไปแล้วค่อย เฮ้ย! น้ำลายอะไรของว่านมันวะ

“น้ำลายเกือบหก” ว่านขยายความมุขตัวเองตามมา



เจ๋งว่ะ........ เป็นมุขที่ต้องซูฮกในความเก๋า



“นุ่งผ้าขนหนูสองคน วอบๆแวมๆ...นะครับ” เสียงแซวเรี๊ยบ เรียบ เรียบจนเกินความจำเป็นก่อนตบท้ายความในใจ “ตายละ”

แต่พี่ชายที่กำลังย่อยมุขน้องชายตัวเบ้งก็ยังติดใจ

“น้ำลายห้าจุดเก้า” พี่นัทเอ่ยขึ้นหลังจากทำใจได้ครบถ้วน “ขอเอาไปใช้บ้างนะมุขนี้”
“ครับ” ก๊อปปี้ไร้ทเตอร์ทุบโต๊ะ...ขาย “ได้ครับ”

หลังจากตกลงการค้ากันเรียบร้อย พี่นัทหลุดความในใจออกมา
“โห....ไอ้เราก็ว่า...อะไรของมันวะ!”


ปล่อยพี่นัทเคลียร์ตัวเองกับมุขที่ไอ้น้องตัวโตปล่อยมา ว่านยังไม่จบกับหน้าม้าพีอาร์

“แล้วละครนี่ก็เล่นเป็นพระเอกด้วย”
“พระเอก” พระเอกหนุ่มเน้นเสียงยาว
“เป็นวีเจ”
“ใช่” เสียงรับตอนแรกเปลี่ยนใจตอนท้าย “ยัง...ยังไม่ได้เป็นวีเจ”
“อ้าว! แล้วเป็นอะไรครับ” ว่านชักงงกับการกลับไปกลับมาของคำตอบพระเอก
“ไม่...” นัทพยายามอธิบายเพิ่ม แต่ว่า...ช้าอีกแล้วน้องเอ๋ย
“เป็นเจดีย์!” ว่านสวนมา



นัทส่ายหัวกับไอ้น้องคนนี้ เผลอเป็นไม่ได้สิน่า

“โห...เป็นเจดีย์” ความในใจเกินรับไหวหลุดสวนออกมา “หน้าอย่างนี้นะจะให้ใครเขามาบูชาเล่า”


555555 นัทหลุด...ขอบอกว่าหลุดจริงๆ แบบมันเป็นการสวนที่ฟังรู้เลยเลยว่าไม่ได้ผ่านกระบวนการพลาสเจอร์ไรส์ ประเภทกระทบใจปุ๊บหลุดออกปากปั๊บ
....ฟังแล้วพี่อยากย้อนถามครือกั๊นว่า แล้วหน้าแบบไหนล่ะน้องเอ๋ยที่ใครเขาเอาไว้ใช้บูชาน่ะ
เอิ้กกกก ตัวพี่น่ะมีคำตอบ แต่อยากรู้จริง จิ๊งว่าจะตรงกับของนัทบ้างไหม




คำย้อนครั้งนี้ของนัท ว่านก็ว่านเฮ๊อะ ยอมแพ้โดยไม่คิดสู้ต่อ

ว่านเลยขอหยิบเล่นไกลตัวออกไปซะหน่อย

“แล้วนี่ผมนึกว่าเค้ามาทำพิธีอะไรกัน” ว่านชี้ตรงมายังกลุ่มแฟนคลับ “เอาป้ายมาฮือฮ้า ฮือฮ้า” ทำท่าพัดโบกขึ้นลงตามมา
“ยังไม่ชินอีกเหรอ บรรยากาศแบบนี้” นัทถามขึ้นด้วยความแปลกใจ
“ชินแล้วครับ” ว่านสวนตอบมา “โดยเฉพาะNTนี่ชินมาก เจอบ่อย” หลังจากชี้ไปกลุ่มหนึ่งก็เหลืออีกกลุ่มให้หยอก “แต่ถ้าตำแหน่งเดียวนี่ ครั้งนี้ครั้งแรก”
“อ้าว? ทำไมอ่ะ” นัทขอคำอธิบายเพิ่ม
“ก็ผมเพิ่งเคยเล่นกับพี่นัทคนเดียว...ครั้งแรกไง” คุณว่านทำเสียงแบบ...แหม ไม่น่าถาม
“ไม่...แต่งานอื่นเค้าก็ไปกันนะ” นัทชะงักไปนิดก่อน... “แสดงว่าไม่ใส่ใจกันเลยใช่ไหมเนี่ย!”

นัทส่งเสียงน้อยใจสูงปิ๊ดสวนมา.....

เก๊งงงงงง ยกที่หนึ่ง มุมฟ้าชนะอย่างขาวสะอาด คู่ต่อสู้ทรุดลงไปนับเก้า

“เฮ้ย!” ว่านสะบัดความมึนงง ก่อนถอดถอนใจรับอาการโดนหมัดสวน “เฮ้ยยยยยยยยย”

แต่เผอิ๊น คู่ต่อสู้ครั้งนี้ไม่มีสัญชาติญาณนักฆ่า

“พูดเล่น” นัทยอมถอย
“ปวดหัว” ว่านจูนตัวเอง “ห้าจุดเก้าอีกแล้ววว”
“ปวดหัวห้าจุดเก้ามันยังไงเนี่ย” นัทรำพึงแทนใจใครหลายคน


“มีอยู่เพลงหนึ่งครับพี่นัทที่ต้องบอกว่า...” เสียงนุ่มหนักเอ่ยขึ้นหลังจากได้สติกลับคืน “ผมเองไปขับร้องทิ้งเอาไว้เมื่อนานมาแล้ว”

พูดได้แค่นี้ เจ้าของเสียงทำเป็นไม่เข้าใจกับเสียงหัวเราะที่ส่งมารอบกาย ขอเช็คบรรยากาศก่อนต่อให้จบ

“ขับร้องทิ้งไว้เมื่อนานมาแล้ว” มือแผ่กางสิบนิ้ว “เป็นอัลบั้มที่มีการรวมผู้ชายเยอะมากนะครับ”
“หน้าตาดีหมดเลย” คราวนี้พี่ชายต่อปากต่อคำกะชงคืนให้บ้าง
“หน้าตาแย่ล้วนเลยฮะ” ดูเจ้าว่านให้คำตอบสิ “รวมกันเอาไว้นะครับ ในอัลบั้มอัลบั้มนึง ซึ่ง...เป็น” ว่านดึงเช็งสักนิด “ผู้ชายที่อยู่ในชุดขาว เตรียมจะบวชนาก” ว่านปาดเหงื่อรับความจริงในอดีตที่อุตส่าห์เอามาเผย แต่กระนั้นเลย จิกกัดตัวเองคนเดียวมันจะไปสนุกอะไร ขอดึงคู่หูวันนี้มาร่วมภาคีไปพร้อมๆกัน “เหมือนชุดพี่นัทเมื่อวานนี้ล่ะครับ ที่ลงจากแท็กซี่มาแล้วก็เข้าโบสถ์เลยนะครับ”

พี่นัทคงคิด...อุตส่าห์วางเฉยปล่อยให้โซโล่ยาวก็ยังไม่พ้นอุ้งมือ...จนได้

“เค้าเพิ่งให้ข้อมูลเรามา” นัทชักสงสัยความว่องของน้องชายคนนี้ “เอามาเล่นเป็นมุขได้เลยหรือเนี่ย?”
“ได้เลยครับ” ว่านกระหยิ่มยิ้มย่องออกนอกหน้า “ได้มาเมื่อกี้”
“ไม่เห็นรูปอะไรกับเขาเลย” นัทดักคออย่างแรง
“ไม่เห็นด้วยนะครับ...มั่วเลย” ว่านยอมรับหน้าตาเป็น

พี่นัทส่ายหน้าอ่อนอกอ่อนใจ.....คนเรามันก็เป็นไปได้!

“อัลบั้มนี้นะฮะ เป็นอัลบั้มที่เรียกว่า...” ว่านส่งเสียงนุ่มที่ไม่ว่าใครก็ชักรู้ทัน “ยอดขายนะฮะ...ถล่มทลาย ล่าสุดนี่ทางบริษัทแจ้งผมมาว่า รีเทิร์น 85%”

นัทที่รอฟังอย่างตั้งใจแม้พอจะรู้ตัวว่าไม่มีทางธรรมดาก็ยังหลุดหัวเราะจนตาหยี

“คือผลิตออกมาหนึ่งหมื่นแผ่นนะครับ” ลองคำนวณในสมองเร็วจี๋...ห้ามโกงใช้เครื่องคิดเลขนะเอ้อ “คืนมาแปดพันห้า” แต่อย่านึกว่าจะหยุดแค่นั้น “ที่เหลือ...แจก! เป็นแผ่นโปรโมทนะครับ”




“อัลบั้มนี่เพลงเพราะอยู่นะ” พี่ชายลงทุนปลอบใจ “พี่เป็นหนึ่งในหนึ่งหมื่นห้าที่ซื้อ” (ขอยกมือตามนัท...เป็นหนึ่งในนั้นเหมือนกันจ้า)
ว่านทำเป็นทวนคำอย่างแปลกใจก่อนถามไถ่
“ช่วงนั้นที่อัลบั้มนั้นออก พี่นัททำอะไรอยู่ที่ไหนครับ” ว่านเอ่ยถามจริงจัง
“พี่เหรอ? พี่ไม่ได้ซื้อช่วงที่มันออกหรอก” นัทปล่อยหมัดแย็บเข้าที่คางแพะโดยไม่ตั้งใจ...จริง จริง “พี่ซื้อหลังจากที่ออกจากบ้านแล้ว
ว่านไม่ทันฟังประโยคตบท้ายของพี่ชายที่แสนดี เลยสวนกลับมาว่า
“พี่ไปเอาแผ่นฟรีที่บริษัท”
“เอ๊ย!” พี่ชายร้องขัดข้อกล่าวหารุนแรง

ก่อนตัดสินใจเอาใจน้องชายคนนี้อีกสักที ดูสิจะรับฟังกันบ้างไหม...คราวนี้

“มันมีหลายแผ่นที่พี่เอาแผ่นฟรีที่บริษัท” นัทสารภาพ “แต่แผ่นนี้ไม่ใช่อย่างนั้น”

พี่นัทใจดีสุดยอด

“เพราะพี่มองเห็นดูแล้วเนี่ย...คนกลุ่มนี้น่าจะร้องเพลงได้ดี”

.....เอิ้กกกก ขอแซว ไม่รู้นัทไล่จับทั้งบริบทของตัวเองที่หลุด...ทันไหม ถ้าถอดสมการดีๆ
เอิ้กกกอีกที....5555 ไม่ขอเฉลยดีก่า



“คนกลุ่มนี้” ว่านพร้อมประชดตัวเอง “จะบอกว่า คนพวกนั้นก็ได้นะครับ” หัวเราะอย่างอดไม่อยู่ “ผมเข้าใจ”

นัทหัวเราะรับ ท่าทางเริ่มบ่งบอกความเหน็ดเหนื่อยทางอารมณ์ที่ต้องรับมือกับสถานการณ์ที่ถาโถมดั่งพายุร้ายตั้งแต่เริ่มก้าวขึ้นบนเวที

“หัวเราะฮื้อ ฮื้อ” คุณว่านแซวขึ้นมาเบาๆ ก็ไม่รู้แซวหนุ่มร่างบางใกล้ตัวหรือเปล่า
“โดยเฉพาะคนที่ชื่อคุณว่านนี่” หยุดขำได้แล้วนัทเริ่มแซวน้องชายกลับ
“กั๊บผม” หนูว่านน้อยยินดีรับไม่อิดออด
“แล้วรู้ไหมว่าเพลงนี้เป็นเพลงแรกในบริษัท” พี่ชายยังคงใจดี “ที่พี่เอามาร้องเลยนะ ตั้งแต่ออกจากบ้าน”
“มีรอยเท้า มีที่มา” ศัพท์ไม่ธรรมดามาพร้อมสีหน้าความเข้าใจ “วันนี้เป็นการมาเจอกันครั้งแรกของเราทั้งสองคนนะครับ” ว่านหยิบข้อมูลสดๆร้อนๆมาใช้ไม่รอช้า “จึงเอาเพลงที่พี่นัทร้องเป็นวันแรก...ตั้งแต่จำความได้” ตอดนิดตอดหน่อยถ้าไม่มี ก็เสียชื่อคุณว่านนะสิ แต่เจ้าปลาตอดก็สำลักลม(ปาก)ตัวเอง ตอดต่อไม่ไหว หัวเราะกึกกักกับคารมตัวเอง เลยต้องเข้าเพลงต่อไปเอาดื้อๆ


~เมื่อไรเธอจะหายโกรธ เมื่อไรเธอจะยอมให้ง้อ~



เพราะจริงๆเพลงนี้ สองหนุ่มร้องกันดีจัง

ท่อนโซโล่มาถึง ทอร์คโชว์น้ำจิ้มก็เริ่มปล่อยมาด้วย............

“ก็มีคนร้องได้นะ” นัทกึ่งปลอบกึ่งเอาใจ
“มีสิครับ” ว่านรับทราบเสียงโทนสูง “ก็พี่นัทเอาไปร้องหลายทีแล้วนี่ฮะ”

...สรุป เพราะนัท!

พี่ข้อสังเกตเห็นอีกอย่าง เพิ่งจับได้ว่า เพลงนี้นัทออกเสียงคำว่า “รัก” เหมือนคำว่า “love” เลยล่ะ


“ขอบคุณมากนะครับผม...ไม่เคยคิดว่าจะรักเธอ” เพลงจบว่านก็เริ่มจ้อ “เป็นเพลงที่ต้องบอกว่า มีแรงบันดาลใจมากจากเพลงดินแดนแห่งความรักของพี่ๆวงเครสเชนโด้เมื่อก่อน”
“ทำไม?” นัทแปลกใจ
“ผมได้ไปฟังมาแล้วผมชอบมาก” ว่านก็เลยขอแถลงไข ~คงจะมีรักยมรออยู่~





คุณชายที่นั่งเผชิญหน้ากันอยู่ซึ่งคุณว่านกะปล่อยมุขใส่เต็มๆเกินจะทำความเข้าใจจริงๆคราวนี้ หน้าตาเต็มไปด้วยเครื่องหมายอัศเจรีย์

“เดี๋ยวก่อน เดี๋ยวก่อน....แปลว่า” หนุ่มผู้จากบ้านเกิดเมืองนอนไปนานตัดใจถาม...ก็มันตามไม่ทันนี่นา! “ช่วยแปลมุขให้หน่อย”



รับมุขไม่ทัน ว่านพลันเศร้า
ฮ่า ฮ่า ฮ่า...ในที่สุดก็รู้วิธีเบรกมุขคุณว่าน เพื่อนๆสามสี่ซีซั่นที่ได้มาเจอมารู้จัก...ไม่มีใครทำได้
ขนาดไม่ได้รู้ตัว นัทยังต้อนว่านซะจนมุมได้....น้องชายคนนี้น่าเอ็นดูจิฟ


สถานการณ์ครุกรุ่น ครุกรุ่น สองหนุ่มต่างคนต่างจูนตัวเอง เอิ้กกกกก

“โอเคพี่...ต่อจากนี้ ผมจะเล่นมุขแบบ...” ว่านยื่นขอมติต่อท่านประธาน “จบต่างประเทศ” ก่อนยอมรับไร้ซึ่งโต้แย้ง “ผมผิดเอง”
“พี่ก็อยากเข้าใจอะไรที่ว่านเล่นไง” พี่ชายคนดีส่งเสียงง้องอน

กร๊ากกก


“ผมว่า...ลองถามดูครับ” คุณคิงคองเริ่มโยนกลอง “อายุเกินสามสิบห้ารู้จักทุกคน”


....งั้นพี่ก็ ไม่รู้จักสิ เอ๋ยยยยยยยยยยย



“หญิงรู้จัก!” ว่านอัลดุลส่งเสียงถามรอบวง “ชายรู้จัก!”

คนรอบวงรู้จัก....แต่คนในวง....นัททำหน้า...อะไรวะ! ยิ่งฟังยิ่งงง ตากระพริบปิ๊ง ปิ๊ง งงจัดเข้าไปอีก
...ไอ้พี่สงสารก็สงสารหร๊อกหนุ่มนอกคนนี้ แต่มันก็ขำอาการน้องเสียจนลืมสงสารไปตั้งแว้บนึงแน่ะ


“รักยมก็คือ...” ว่านพยายามประมวลคำพูด....


ฮ่า ฮ่า ฮ่า ว่านจนคำพูด! ว่านจนคำพูด! .....เครดิตนี้มอบให้นัทคนเก่ง(ไม่รู้ตัว)


“มันเป็นเรื่องของ....” ว่านขอพยายามอีกครั้ง “ไสยศาสตร์นะพี่” มือไม้ไอ้หนุ่มหมุนวนไม่หยุด “คือพี่ต้องไปลงเรียนไสยศาสตร์ก่อน พอดีว่าตอนนี้เขามีเปิดหลักสูตรสั้นๆ คอร์สสั้นๆ...” ว่านโบ้ยให้พ้นตัว “ไสยศาสตร์ปริญญาโท...ลองดูนะครับ”
“สรุปจะไม่อธิบายจริงๆเหรอ” นัทไม่ยอมให้ว่านเอาตัวรอด


เอิ้กกก...
ไม่เคยว่านจนปัญญาขนาดนี้มาก่อนในชีวิต ถอดถอนใจซะตัวหุบกับการรับมือพี่นัทวันนี้

“ไม่รู้สึกสงสารคนที่มาเล่นคอนเสิร์ตด้วยกันเลยเหรอที่ไม่เข้าใจมุข” นัทต่อว่าต่อขานไม่ยั้ง
“ไม่...ผมก็รู้คร่าวๆ” ว่านหาทางเอาคอให้พ้นบ่วง “ถ้าพี่อยากทราบจริงๆเอาเบอร์อาจารย์หนูไป”

สีหน้านัทพยายามประมวลข้อมูลเข้าด้วยกัน...จนคิดว่าน่าจะเข้าใจล่ะ

“หรือถ้าอาจารย์หนูไม่สะดวก เอาเบอร์เณรแอร์ไป” ว่านหวังว่าตูปัดความรับผิดชอบพ้นตัวล่ะคงรอดซะที



ฮ่า ฮ่า ฮ่า ไอ้ว่านเอ๋ย....มุขรักยมยังไม่พ้นคอ เอามุขเณรแอร์มาพันคอซ้ำ...งานเข้าซ้ำซ้อนซ่อนเงื่อนเอามันล่ะทีนี้

สีหน้านัท ประมาณคนที่โดนหินกลิ้งมาชน อุตส่าห์โซซัดโซเซลุกขึ้น ก็ดั๊นโดนหินก้อนโตกว่าหล่นทับโครมใหญ่ซ้ำอีกทีน่ะ


“โอเค...สงสัยมันจะเป็นเรื่องที่พูดบนเวทีไม่ได้” นัทพยายามมอบความเข้าใจให้ตัวเอง
“ไม่...งงหนักกว่าเดิมอีกตอนนี้” เสียงพูดทั้งขำทั้งเอ็นดูจากน้องชายผู้จับจ้องไม่วางตากับสีหน้าชายหนุ่มที่นั่งอยู่ข้างกาย

คำพูดว่านและท่าทางนัทเรียกเสียงหัวเราะลั่นท่ามกลางหมู่ไม้
ทำเอา...หนุ่มที่รู้ตัวว่าโดนลูกขำโถมใส่โอดครวญขึ้นมา

“นี่อะไรเนี่ย! ขำกันทั้งวง มีเราอยู่คนเดียวไม่เข้าใจ” เด็กชายนัทชักงอแงที่ถูกกันออกมาเป็นคนนอก
“ไม่...ตอนนี้ผมว่า เค้าไม่ได้ขำที่ผมพูดหรอกนะ” น้องชายชี้ให้เห็นประเด็นชัด “เค้าขำพี่นั่นแหล่ะ” พูดจบว่านหลุดถอนใจเล็กๆอย่างไม่ได้ตั้งใจ พร้อมลูกขำกระจายจนตัวทรุด


ถูกกกกกกกก ไม่ได้แค่ขำนะนัท คือมันทั้งขำทั้งเอ็นดูเรานั่นล่ะ ....เด็กเอ๋ยเด็กนอก


“พี่เกิดมาก็น่าสงสารอย่างเงี้ย ใครทำอะไรก็ไม่เคยเข้าใจกับเขาเลย” นัทโอดครวญอีกรอบ
“ทั้งหล่อ รวย มีการศึกษา” ว่านแจงคุณสมบัติ
“อะไรอีก...อะไรอีก” นัทหรือจะหยุด...
“ห๊า!” ว่านเลยต้องตะลึงแทน
“ต่อ ต่อ ต่อ ต่อ” มือเรียวสวยเร่งยิก
“ร้องเพลงเพราะ” ว่านนิ่งไปอึดใจ กัดฟันอวยต่อ “เต้นเก่ง สะโพกพลิ้ว”
“มันชักละเอียดเกินไปละ” นัทขอพอใจแค่นี้ หยุดรกหยุดพงของว่านดีกว่า
“คนหรือข้าวเกรียบเนี่ย” ว่านเอยเชิงประชดประชัน “แหม...หล่อแบบคลาสสิค”

กร๊ากกกก ดูว่านยอกย้อนดิ....จะมีกี่คนที่ตามมุขนี้ทันฟะ โดยเฉพาะพี่ชายข้างกายน่ะ จนป่านนี้ยังไม่รู้ตัวเลยมั้ง


“เดี๋ยวคิวต่อไป เดี๋ยวพี่ชมว่านมั้ง” นัทไม่ขอเอาเปรียบ ทำเอาว่านอุทานรับชวนใจหวิว


รอยยิ้มขอพักงาน ว่านเริ่มพูดจริงจังมีสาระบ้าง(หรือเปล่า!)

“ตอนแรกพี่นัทคุยกับผมไว้ครับว่า...ตอนอยู่ในห้องแต่งตัว” แม้กระทั่งฝาห้องว่านยังไม่ยอมเว้นเลย...คิดดู “ซึ่งเป็นห้องที่กั้นทั้งผม พี่นัทแล้วก็กลุ่มที่มาฟังวันนี้ด้วย...ฝาแผ่นเดียวนะครับ” สถาปนิกว่านพรีเซนต์งาน “คือพังออกไปเราก็ได้เจอกันตั้งแต่แรกแล้วนะฮะ”

วาจารุ่มรวยอารมณ์ขันของน้องชายตัวโตทำเอาพี่ชายหัวเราะจนตัวทรุดไปไม่รู้จะกี่รอบ

“คุยกันว่าเอ้อ~วันนี้เราจะพูดอะไรกันดีนะครับ พี่นัทบอกว่าเอาอย่างงี้ไหมว่านเราสัมภาษณ์กันไหม แบบว่า...เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อน แล้ววันนี้..บังเอิญว่า...” ว่านชักแม่น้ำทั้งห้า “ปิง วัง ยม น่าน ไหลมาบรรจบกันที่ปากน้ำโพ”
“เดี๋ยวก่อน” นัทชักสงสัยอีกละ “ปิง วัง ยม น่าน แล้วมันเกี่ยวอะไรกับนัทกับว่านล่ะ”
“ก็คือว่า...อนุมานขึ้นมาน่ะพี่น่ะ” วันนี้ใครกันที่จะเหนื่อยกว่ากัน ดูท่าจะเป็นคนที่ต้องตอบมากกว่าคนตั้งคำถามล่ะนะ “อะไรที่มันไม่เคยเจอกัน...”

หนุ่มเจ้าปัญหาเกาหัวยิกๆกับคำอธิบาย
ส่วนไอ้หนุ่มนักตอบปัญหาวันนี้ชักมีปัญหาขึ้นมาแทนที่

“นี่คนหรือสงสัย...นี่ฮึ” ว่านหันกลับมองหน้าด้วยเส้นความอดทนชักเปื่อย โดยมีความจริงที่แปะให้ห็นชัดแจ๋วลอยอยู่บนหน้าตัวเองคือ การจนมุมกับมุขตัวเองนั่นเอง....ว่านเอ๊ย!

“อ่ะ อ่ะ โอเค โอเค” นัทไม่ต่อความยาวก็ได้
“ถามเหลือเกิน” ว่านทำเป็นดุกลบเกลื่อน “แหม...นี่ถ้าไม่เห็นเป็นพี่เนี่ย แหม่...ตีด้วยมือตบเลย”

พูดจบมือตบล่องหนของว่านก็ทำเป็นตบไปตามท่อนขาในกางเกงลายสก็อตสีดำของพี่ชายตัวเล็ก

นัทหลังจากดูจะเพรี้ยงพร้ำไปโขกับช่วงที่ผ่านมา ขอกู้ศักดิ์ศรี

“ไม่...ตอนเด็กๆพี่เคยถูกชม...รู้เปล่า” หนุ่มน้อยที่มีรอยหยักในสมองชวนอิจฉาแจงขึ้น “ครูชมตลอดเลยว่ามีคุณสมบัติ...”
“นัทผ่ากบได้ดีมากเล้ย” ว่านกวนโทโส
“ไม่ใช่ ไม่ใช่” นัทหยุดว่านด้วยมือจีบ “จะเล่นมุขอะไร ไม่ใช่ ไม่ใช่”

โดนดัก...ว่านจำ(ใจ)หยุดฟัง


“เขาชมว่า....มีคุณสมบัติของนักวิทยาศาสตร์ที่ดี” นักวิทยาศาสตร์ตัวน้อยโอ้อวด “เคยเรียนไหมมันจะต้องมี หนึ่งสงสัย”

ว่านอุตส่าห์ยอมพักยก เตรียมชงด้วยการชูสองนิ้วถามถึงข้อสอง แต่กลับโดนหักหน้าด้วย

“ไอ้ที่เหลือไม่ต้องพูดถึง” นัทตัดบทไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญที่จะพูดถึง

ว่านเหรอ....ก็เหมือนโดนอย่างงี้ไง



“คืออันนี้ไงมันเข้ากับคอนเซ็บป์ตอนนี้ไง” นัทพยายามอธิบายให้ชัดเจน แต่ไม่ว่าขาวขนาดไหน ว่านก็พลิกไปหาอีกด้านย้อนคืน
“ถ้างั้น...ดี๋ยวผมจะส่งพี่ยามที่ตึกทิปโก้ไปเป็นนักวิทยาศาสตร์ครับ” ว่านขอจริงจังกับเขาบ้างสักครั้ง “เพราะว่าล่าสุดที่ผมเข้าไปรับเช็ค เขาช่างสงสัยกับผมเหลือเกิน ถ้าการเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่มันมีคุณสมบัติข้อเดียวเนี่ย” ว่านไม่ได้ล้อเล่นนะเอ้อ “ผมจะปั้นเขาเอง เขาชื่อประสิทธิ์ครับ”
“รู้ชื่อเค้าด้วยเหรอ” นัทอดใจสงสัยไม่ได้อีกครั้ง
“วันนั้น ผมจะเข้าไปรับเช็ค” พนักงานบริษัทกินเงินเดือนย้ำชัด “25 เราAFทุกรุ่นจะเจอกันที่ออฟฟิศนะครับ”
“วันรับเช็คนั่นล่ะครับ” พนักงานรุ่นน้องเสริม
“วันอื่นก็ตัวใครตัวมัน” พนักงานรุ่นพี่ขยายความ(จริง)หน้าตาเฉย ก่อนดึงกลับมายังต้นเรื่องที่ตั้งมั่นไว้ “ก็คือว่าพี่ยามเค้าถามแบบว่า เค้าอยากรู้ภูมิหลังของผมน่ะ” ว่านขอสวมวิญญาณพี่ยามตึกทิปโก้ถามเป็นชุดไม่หยุดหายใจ “ชั้นไหนครับ มาทำอะไรครับนี่ จอดตรงนี้ไม่ได้นะครับ ด้านบนจอดได้เฉพาะชั้นสี่...ชั้นสาม ถ้าขึ้นไปด้านบนจะเต็มนะครับ ผมขอแนะนำให้คุณอ้อมไปจอดตึกข้างหลังนะครับ ไม่เชื่อคุณจะขึ้นไปวนก่อนก็ได้...ถ้าคุณไม่ชื่อผม” ประโยคท้ายหยอดน้ำเสียงเชิงตัดพ้อ

ว่านทำสีหน้าสีตา...อะไรวะ! ประกอบนิทานที่ยังไม่จบ

“พี่...เอ๊อ...เออ...เอออ๊ะ...อู่วว์...โอ๊วว์” ว่านยอมแพ้พี่ยามแต่โดยดี “จะไปจอดกระทรวงการคลัง ก็ปิดล้อมกัน” ว่านทอดถอนใจ “เหนื่อยจริงๆ เคลื่อนตัวลำบากสมัยนี้”
“สรุปไม่ได้แนะนำตัวให้เขารู้จัก” พี่นัทแปลกใจขอถามไถ่
“สรุปก็เลยจอดตรงป้อมยาม แล้วเดินขึ้นไปรับเช็คเลย” ว่านรับชะตากรรม
“ไม่ได้บอกเค้าเหรอว่า ผมนี่แหล่ะว่าน ธนกฤต ร้องเพลงระยะปลอดภัย” พี่นัทย้ำเหมือนจะช่วยโอ่ความโด่งดังของน้องคนนี้
“เค้าถามแล้ว...คุณคือว่านไหนครับ” ไอ้หนุ่มชื่อซ้ำเอ่ยให้ตัวเองช้ำ “เดี๋ยวนี้มีหลายว่านนะครับ”
“น่าสงสารน่ะเอ๊อ” ส่งคำเห็นใจไปพอประมาณพี่ชายก็มาตั้งประเด็นใหม่โยงเรื่องเก่า “ทำไมAFมันต้องชื่อซ้ำกันไปมาเนี่ย ชื่อในโลกก็มีเยอะแยะ แต่เด็กAFจะชื่อซ้ำกันเยอะมาก”

พี่ชายชงมุขเข้ามือน้องชายโดยไม่รู้ตัว

“ผมจะพยายามเปลี่ยนแล้ว...นะครับ ผมจะเปลี่ยนเพราะว่าตอนนี้เรา...เราจะต้องเปลี่ยนแปลง” ว่านขอเล่นของสูง “บริษัทของเราจะมีการเปลี่ยนแปลงในช่วงต้นปี ผมก็อยากจะเปลี่ยนชื่อเป็น...” ว่าน...ว่านเอ๋ย “อยากจะหนุ่มขึ้น...หนุ่มแน่น”

นัทเริ่มรู้ตัว...ไอ้น้องคนนี้พาขึ้นลิฟท์ชั้นผู้บริหาร พยักหน้าหงึกหงัก
ดวงตาพราวสองคู่หยั่งเชิงกันไม่หลบ

“หนุ่มแน่น ธนกฤต” นัทเอื้อนเอ่ยสมญานามใหม่ของน้อง
“ทดแทน ชดเชยส่วนที่สึกหรอออกไป” ว่านขาพาดเขียงเต็มตัวละ “นุ่ม นุ่ม อะไรก็ได้ ชดเชยกันไป” ก่อนรู้ตัว “เสี่ยงจริงๆนะครับ”


....เหอ เหอ เหอ ตกลง ข่าวลือคือความจริง!



ไอ้ตัวคนเล่น..ก็รู้ตัว คนข้างๆก็ไม่กล้าต่อคำ สองหนุ่มได้แต่ยิ้มมองหน้ากัน...หมดคำพูดจา

“ไม่เป็นไรครับ...ขังรวมครับพี่” น้องชายหาพวก...ที่พี่เขาอุตส่าห์เงียบไม่ต่อปากต่อคำ พี่เขาน่ะรอด ส่วนเราน่ะ...ว่าน รอดยาก “ไม่เป็นไร ไม่เป็นรายยยย พี่น้าท พี่น้าท” ว่านเอื้อมมือมาปลอบใจ “ผมขังรวมกับพี่นัทผมสบาย มีน้ำเนิ้มทานตลอด มาเยี่ยมกันบ่อยๆ” ว่านกวาดแฟนคลับพี่ชายให้เลี้ยงดู
“อะไรเนี่ย” นัทขอไม่เข้าใจ...จะดีกว่า
“นะครับ จบที่เรื่องรักยมละกันนะครับสำหรับช่วงนี้นะครับ” ว่านตัดต่อช่วงเสี่ยงทิ้งไปหน้าตาเฉยทำยังกับความทรงจำคนเราเป็นฟิล์มหนังอย่างนั้นแหล่ะ “เดี๋ยวเราจะร้องเพลงกันต่อ”
“ดีมาก” นัทโล่งอก “เพราะเพิ่งผ่านไปสองเพลงอยู่เลยนะเนี่ย เอ๊ย สาม”
“เดี๋ยวมีหกเพลงก็จบแล้ว ที่เหลือพูดหมดเลยวันนี้” หนุ่มทอร์คโชว์มือหนึ่งจัดวางสคริปต์ใหม่
“มันยังเหลือมากกว่านั้น!” คราวนี้คู่หูไม่ยอมตามใจ ขัดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเข้มงวด

หนุ่มตัวโตขัดใจไม่ไหว สงบปากสงบคำหยิบคาโป กิ๊ปหนีบผม เอ๋ย หนีบคอกีตาร์มาปรับคีย์
เริ่มร้องกันสักที


~เมื่อก่อนไม่เคยสนใจในสิ่งที่ทำพลาดไป~



....ชอบมาก ชอบเพลงนี้ที่สุดของว่าน เจ็บจนเหงา...กับไอ้คนที่ทำตัวเอง



เมื่อท่อนฮุควนกลับมาให้ร้อง ~สิ่งเดียวที่เหลือ คือชีวิตว่างเปล่า~
พ่อหนุ่มนักกีต้าร์หมุนขาไมค์กลับมายังคนฟังเพลงให้ร่วมกันร้อง เสียงเพลงดังประสาน หนุ่มวาจาคมคายยกมือไหว้ขอบคุณอย่างน่ารัก

“ขอบคุณคร้าบ...สิ่งที่ยังเหลือนะครับ” คุณว่านไหว้ขอบคุณอีกครั้ง
“เพลงนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากอะไรเหรอ” เจ้าหนูจำไมหางานให้ตัวเอง(อีกแล้ว)
“แรงบันดาลใจ...ต้องย้อนไป...เท้าความถึงความรักที่ผ่านมาของผม” ไอ้น้องชายคนนี้ตอบธรรมดาปกติกับเขาไม่เป็น
นัทถอนหายใจเฮือกใหญ่ให้เห็นชัดๆ ตัดใจถาม(ก็ได้วะ) “ช่วงไหนล่ะ”
“ผมไม่อยากจะเล่า” คนออกปากปาดน้ำตาดังปื้ด เสียงกลั้นสะอื้น “เพราะ เพราะ ผม มันต้องการคำพูด”
“พิงเคอร์ตันแอ็คติ้งเก้า” พี่ชายอดขัดคอไม่ไหวจริงๆ
“เวลาอย่างนี้ล่ะครับแอ็คติ้งเก้า” ว่านตอบหน้าตาเฉย “ขึ้นไปอยู่บนเวทีปุ๊บ...สอง”

55555 คนรู้จักตัวเอง...หาได้ไม่ง่ายนะว่านเอ๊ย


หลังจากใช้ช่วงเวลาป่วนคำถามพี่นัทผ่านไป ก็ยอมให้คำตอบจริงจังตามมา

“มันคือความรักที่ผ่านมาครับพี่นัท ผมเชื่อว่าพี่นัทก็เคยเป็น...นะครับ ความรู้สึกแบบนี้เกิดขึ้นกับทุกคน” ว่านตอบเสียงนุ่ม “สิ่งดีดีที่เรามีอยู่เราจะไม่เห็นคุณค่า...ใช่ไหมครับ”
“อืมมม” นัทพยักหน้ารับทั้งชวนครุ่นคิด “เราไม่เห็นคุณค่าของกันและกัน”
“แต่ผมเห็นอยู่เสมอนะฮะ” อ้าว! ว่านเอ๊ย “เล็กๆ นิดเดียวพอนะครับผม”
“พี่ก็เห็นนะ” นัทไม่ขอยอมแพ้
“ก็คือว่า...พอเราเสียมันไปจะมาทวงคืนมันก็ไม่ทันแล้วครับ” พ่อหนุ่มนักแต่งเพลงน้ำตาชักหยด “ตอนเขียนเพลงนี้นะครับ...น้ำตาหยดแหมะ แหมะ แหมะ แหมะ” หยดน้ำตาสี่แหมะถูกมือดึงจากตายืดมาตกที่อก “คีย์บอร์ดพังเลยอ่ะครับ ต้องไปซื้อใหม่เลยละครับผม...ที่บ้าน”
“อืมมม” นัทอุตส่าห์ฟังอย่างตั้งใจ มันชวนให้ชั่งใจอยู่ว่า...มีความจริงแฝงเกินสิบเปอร์เซ็นต์ไหมเนี่ยไอ้คำพวกนั้นจากปากว่าน “ขนาดนั้นเลยหรือ”
“ขนาดนั้นเลยครับผม” ว่านยังยืนยัน “ขนลุก พูดแล้วก็ขนลุก”
“สรุปที่พูดมาไม่จริงสักอย่าง” นัทสรุป
“จริง จริง” ว่านก็ยังยืนยัน “พี่นัท ถึงผมจะดูแบบว่าไม่มีสาระ” สีหน้าจริงจังไม่ยอมแพ้ “ผมก็ไร้สาระนะพี่...จริง จริง”




ว่านไม่มีเบรกละ

“ล่าสุดนี่เดี๋ยวฝากชมละครด้วยนะครับ” ว่านขอฝากฝัง “ไม่ใช่เรื่องรักนี้เคียงตะวันนะครับ” งั้นจะฝากเรื่อง? “ผมไปถ่ายละครเรื่องใหม่ ไม่ใช่หนังนะครับ ละครนะครับ” ว่านค่อยๆเผย “ชื่อยาวมากอยากให้ช่วยจำกันไว้ดีดีนะครับ เป็นละครที่มีคอนเซ็ปบ์ดีมากเหมาะกับการ....คือว่าสังคมทุกวันนี้ฮะ ต้องการความสามัคคีกันนะครับ” ว่านชักดึงความสนใจได้ละ “ก็คือละครจะออนแอร์...ยังไม่รู้ช่อง คือถ่ายไปก่อน ถ่ายกันเอง”

อ้าว! เฮ้ย...ว่านพูดมาถึงตรงนี้อุตส่าห์กล่อมมาอย่างยาวนาน ความเชื่อใจตกวูบ

“ค่ายอะไร” พี่ชายยอมเป็นลูกคู่อีกทีอ่ะ
“เอ่อ...ค่ายอะสอเพลินจิต” ว่านปากไวตอบไปเรื่อยละ “คือเป็นเรื่องราวของการเดินทางของเด็กหนุ่มคนนึงซึ่งผมรับบทบาทนั้น ชื่อ เผือก”
นัทอื้ออ้าเป็นลูกคู่ชั้นครู ดวงตาบ่งบอกพยายามคั้นข้อมูลที่ได้รับ
“ชื่อเรื่องก็คือ เก่งกับหมา ก้างกับเด็ก เตะคนท้อง ขโมยของคนพิการนะฮะ” ว่านร่ายยาว
นัทอึ้ง...สูดลมหายใจระงับอารมณ์ที่กำลังพลุ่ง
“คือว่าจะเป็นละครเรื่องใหม่ที่ผมไปแสดงเอาไว้” ว่านยังไม่หยุด “โดยเฉพาะเมื่อวานซืนนี้ครับ ถ่ายฉากขโมยของคนพิการ สนุกมากเลยครับพี่ รูดกระป๋องตังส์มานะครับ...คนเลวจริงๆผมเนี่ย”

นัทงง นัทงง...ไอ้ที่หัวเราะออกมาไม่ได้เข้าใจอะไรเล้ยแต่มันคือไม่รู้จะทำตัวยังไงให้ถูกกับความไม่น่าวางใจสูงแบบนี้...
ว่านก็จับจ้องอาการพี่ชายไม่วางตา รู้ละ มุขที่ปล่อยไป พี่เขาไม่เก็ทเลยสักนิด ปล่อยเรี่ยราดเสียของเปล่าๆปี้ๆ
ตัวนัททรุดซบหัวเราะกึกกักกับตัก คงเพราะทั้งจากว่านและจากตัวเอง
ว่าน...ตูลุกหนีดีกว่า...เสียของ เสียของ

“ว่าน...พี่ขอโทษ” เสียงนัทครวญขึ้นมา สำนึกผิดจากห้วงลึกของหัวใจ
“ไม่รู้จักฉัน ไม่รู้จักเธอ ไม่รู้จักใคร” พ่อหนุ่มแขนยาวกางปีกระบายอารมณ์



เกร้งงงงงง ยกที่สอง หมัดสะเปะสะปะของว่านที่ปล่อยมา ไม่เข้าสักเป้า
พ่อหนุ่มที่ใช้ความนิ่งสงบเคลื่อนไหวใช้แค่การกระพริบตาปิ๊ง ปิ๊งขัดขายาวๆล้มกลิ้ง โดนนับอีกครั้ง

“พวกเรา...กลับ” ว่านถอดใจ
“บอกแล้วเห็นไหมว่ามันต้องสัมภาษณ์ เพราะเราไม่ค่อยรู้จักกัน” นัทอ้อนอย่างคนหมดทางแก้ตัว

แต่ทำว่านอึ้ง....จนคำพูด อีกแล้ว ว่านที่ถูกทำให้พูดไม่ออก...ครั้งหนึ่งก็แล้ว ครั้งสองก็แล้ว ใครจะทำได้อย่างนัทอีกไหมเนี่ย

“เอางี้...ว่านไม่ชอบอะไร” นัทพยาย้าม พยายามเข้าใจว่าน
“ผมไม่ชอบคนที่ไม่เข้าใจผม” ว่านตัดใจพูดออกมาโต้งๆ



โอยยยย หัวเราะจนน้ำตาไหล ทั้งว่านที่กลับเป็นคนถูกกระทำ และนัทที่เป็นคนก้าวเข้ามากระทำ...ร้ายจิตใจน้องชายจอมยียวนที่วันนี้โดนเบรคซะหัวทิ่ม





“ผมไม่ชอบผู้หญิงติดขนตาปลอม” ว่านก็หันมาตอบคำถามอย่างว่าง่ายตามเคย
“ห๊า!ทำไมอ่ะ” ทำเอานัทสงสัยตามเคยเหมือนกัน “เขาก็ต้องติดกันหมดละ”
“มันชอบหลุดระหว่างทาง” ว่านบอกสาเหตุ
นัทงงอีกแล้ว...ตาปิ๊ง ปิ๊ง บอกอาการ
“หรือถ้าจะติด แนะนำให้เอากาวช้างติดซะ จะได้...เอ๊อ จะได้ไม่หลุด” ว่านคอสเมติกให้คำแนะนำ
“ทำไมเคยออกเดทกับผู้หญิง แล้วคุยๆกันอยู่แล้ว...ฟรุบบบบ” นัททำท่าทางขนตาโดนแรงดึงดูด
“ขนตาหล่นลงไปแล้วผมนึกว่ากากหมู” ว่านเล่าเสียงโวยวาย “ผมกินเข้าไปปุ๊บ...โอ๊ยยยยย” ว่านแหกปากดังลั่น “แล้วมันเป็นขนตาเบอร์สามสามหนึ่ง....มันทิ่ม ทิ่มอ่ะพี่...ลำบาก” ว่านสยองชวนชิม
“รู้เบอร์ด้วย” นัทชักทึ่ง
“จริงๆไม่ใช่ฮะ” ว่านขอสารภาพ “ของผมมันหล่นลงไปเอง ติดมาจากบ้าน”




สองหนุ่มหยุดหัวเราะตัวเองและเรื่องเล่าของว่าน หันมองหน้ากัน นัทก็เริ่ม...

“สรุปมันเคยเกิดขึ้นมาจริงๆเหรอเนี่ย” นัทยังจะเชื่ออีก
“ไม่เคยครับพี่” ว่านปฎิเศษไม่รีรอ “พี่อย่าเอาสาระอะไรกับผมมากเลย”


นัทยังไม่ยอมแพ้

“คือถ้าคนเราจะรู้จักกัน มันควรเล่าอะไรที่มันเป็นเรื่องจริงบ้างนะ” นัทขอชี้ประเด็นแกมตัดพ้อ “ความจริงใจต่อกันมีบ้างไหม”
“มีครับพี่” ว่านรับคำง่ายดาย

เสียงรอบวงดังมา ว่านเอ่ยถาม
“อะไรนะครับผม” เมื่อได้รับคำตอบ “จริงใจหน่อย?” ก็เอามาต่อว่ากับ....ก็จะใครล่ะ “พี่...จริงใจหน่อย”

นัทเหนื่อยละ...ไม่เล่นละ ตัดบทเข้าเพลงต่อไป
แต่...เจ้าว่านจะยอมง่ายๆก็เสียชื่อสิ
“ไม่...ปกติ พี่นัทครับ” ว่านหันไปหยุดดนตรีที่กำลังขึ้น...ขัดจังหวะ “ปกติพี่นัทเล่นคอนเสิร์ตเท่าที่ผมติดตามมานะครับจะเป็นแนวแบบว่าต้องมีการเต้น มีการโชว์ แบบว่าเวทีใหญ่ๆหน่อย โชว์สเต็ปออกท่าทาง” ว่านขอถามอย่างจริงใจ “มีโอกาสน้อยครั้งใช่ไหมครับพี่ที่ต้องมาเล่นนั่งสบายๆแบบนี้หรือว่ามีบ่อย”

ขณะที่ประโยคคำถามปิดท้ายออกมาจากปากว่าน นัทก็เริ่มเคลื่อนกายจากเก้าอี้หมุนก้มลงไปหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม ว่านมองจับการเคลื่อนไหวไม่วางตา แววน้อยใจก็เริ่มจับที่แววตายามพี่นัทยกน้ำในแก้วขึ้นดื่ม ไม่ให้ความสนใจกับวาจาน้อง

“ตกลงกันไว้แล้ว...เอ๊อ ว่าจะสัมภาษณ์กัน” ว่านงอน “แล้วพอผมถามพี่ พี่ก็...พี่หนีไปกินน้ำอ่ะ” เสียงตัดพ้อไม่ขาดสาย “พี่เข้าใจอ่ะ...คนไม่รู้ อยากจะรู้อ่ะ พี่ไม่เข้าใจอ่ะ” ว่านงอแงเพิ่มขึ้น ประมาณดิ้นพราดกับพื้นได้ก็จะลงไปแล้ว “ถามไม่ได้อ่ะ พี่ตัวเองอ่ะ! พี่ตัวเองถามไม่ได้อ่ะ”

พี่ชายที่โดนเรียกร้องความสนใจไม่หยุด หาหนทางรับมือใช้ข้ออ้างระดับวิชาการชั้นสูง

“พี่เป็นคนพวก...ภาษาอังกฤษเรียกว่า...” นัทขัดขึ้นมาท่ามกลางเสียงโวยวายของลูก เอ๊ย น้องชายตัวยุ่ง “เดี๋ยวก่อนสิ”

นัทพยายามหยุด.........และชั่วโมง British council ก็เริ่มต้น

“พี่เป็นพวก...ภาษาอังกฤษเค้าเรียก มัลทายไทสก์ (muti-task) คือ ทำหลายอย่างได้ในเวลาเดียวกัน” อธิบายหลักการเสร็จหันกลับไปย้ำถามน้องชายจอมโวยวาย “เข้าใจเปล่า คือ ทานน้ำไปด้วย ฟังไปด้วยก็ยังเก็ทอยู่”
“งั้นในวันนี้พี่นัทจะกินน้ำ และกินสปาเกตตี้ทางจมูกและพูดไปด้วย” น้องมันแปลงสารต่อหน้าต่อตา “และร้องเพลงและเต้นเพลงรักได้อีกให้พวกเราได้ชมกัน”
“ไม่ถึงขนาดนั้น” พี่นัทปฏิเศษเสียงอ่อน
“เป็นพวกอะไรนะครับ...พาราไดแอส” ว่าน...นั่นมันชื่อแบตทีเรียแล้วมั้ง!
“multi-task, you know!, multi-task” สำเนียงเป๊ะแก้ให้
“ช้า ช้าพี่....”น้องเริ่มมีปัญหา “ขอรูปปากของคำแรกก่อน...พยางค์แรก” ว่านร้องขอ “ผมอยากจะพูดคำนี้ได้ ผมอยากเอาไปโชว์เพื่อนผมพรุ่งนี้...คำแรก”
“มัล” โปรเฟสเซอร์นัทออกเสียงคำแรกให้ฟัง
“เมา” นักเรียนตัวโย่งเลียนเสียงตาม...ก็เกือบคล้าย
“มันเป็นคำเดียวกัน” โปรเฟสเซอร์ขออธิบายละเอียดสักหน่อย “มัลทาย”
“เมา..นี่คือว่า ดื่มเหล้า แล้วก็...” เมรีว่านเอาเลย
“muti นี่แบบ multiple” พี่นัทไม่ใส่ใจ ยังจับประเด็นอยู่
“อ๋อ...มัลทิเพิล” ว่านชักหัวไวละ
“yeah! you know?” นัทรีบพยักหน้ารับ
“เย้ เย่ เยส เซอร์ เซ้อร์” ว่านเปลี่ยนสัญชาติทันควัน “โอเค้!”
“แต่มันเป็น...mutitask” โปรเฟสเซอร์นัทยังใจเย็น
“ไทสก์ นี่คือ?”
“task” แอสเซ่นส์ชัดแจ๋วส่งมา
“ไทสก์...นี่เหมือนกับ เอ่อ” ว่านพยายามขวนควายคำตอบด้วยตัวเอง
“t..a..s..k” นัทสะกดให้ฟังทีละคำ
“เหมือนกับมัลติไทสก์?”
“เออ...อย่างนั้นแหล่ะ” โปรเฟสเซอร์หนุ่มดูจะโล่งใจที่ลูกศิษย์ชักจะหัวไวรีบอธิบายต่อ “มัลติไทสก์ ก็คือ มัลทายไทสก์นั่นแหล่ะ แต่คนไทยเค้าเรียกมัลติไทสก์”

ว่านรู้แจ้งเข้าใจสิ้นหมดซึ่งข้อสงสัย ก้มลงกราบแสดงความขอบคุณอย่างสุดซึ้งอย่างเรียบร้อยแทบตักของอาจาย์ผู้ประสิทธ์ประสาทวิชาให้......เอิ้กกกก

“ขอบคุณครับพี่ที่ฟูมฟักปัญญาให้ผมนะครับ...ขอบคุณจริงๆ ” ลูกเจี๊ยบขนาดยักษ์แสนซาบซึ้ง
“มันคือสิ่งเดียวกัน” โปรเฟสเซอร์นัทย้ำให้เข้าใจอีกครั้ง
“วันนี้ทุกคนคงได้สาระจากคอนเสิร์ตครั้งนี้ไปไม่มากก็น้อยนะครับ” ว่านปิดท้ายรายงานตามรูปแบบเป๊ะ “เชื่อว่าคงเป็นการเติมเต็มความรู้ให้กับทุกท่านแล้วก็ใครที่อาจขาดหายศัพท์ว่า มัลทายไทสก์ไปนะครับ” ตบท้ายด้วยว่านสไตล์ “ฝากลูกฝากหลานเป็นโอท็อปกันได้นะครับผม”

วาจาไหลลื่นไม่ยอมจบของว่านทำเอาพี่นัทชักวางตัวไม่ถูก หน้าผากวันนี้ถูกรบกวนจากทั้งการปาดทั้งการเกามาตลอดไม่ว่างเว้น
พิธีกรว่านหลังจากอารัมภบทมาอย่างยาวนาน ทำการเปิดตัว..........

“เขา...นัท...”พีธีกรไม่มืออาชีพผู้ไม่ยอมทำการบ้านมาหันไปถามโต้งๆ “จบจากที่ไหน...นะพี่นะ”
ว่านหลังจากผายมือแนะนำตัวหนุ่มโอท็อป รอฟังคำตอบอย่างตั้งใจ แต่ปรากฏว่า.....
“พูดถึงเรื่องนี้แล้ว...เมื่อกี้ถามว่าอะไรนะ” นัทเอ่ยขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย




ว่านทรุดอีกแล้วครับผม คราวนี้กรรมการนับสิบ ดาวลูกข่างวนรอบศีรษะไม่หยุด

...ว่านคงนึก ตูถามอะไรไปก่อนหน้านี้ฟะ ไอ้ที่ตูกำลังจะถามดั๊นไม่ยอมฟังยอมตอบ กลับback to the futureซะนี่ พี่ตูคนนี้
แล้วขอถาม.....ใครบ้างจำย้อนคำถามของว่านก่อนมัลทายไทสก์ได้บ้าง!


“อ๊ะ..อ่ะ...ตามเลยพี่” หลังจากสะบัดอย่างขัดใจว่านก็กัดฟันปล่อยพี่ชายมัลทายไทสก์ไป
“มันลื๊มมม” นัทแก้ตัวเสียงสูง “อ๋อ...เวทีเล็กใช่ไหม”
“ใช่..ใช่” ว่านปล่อยเลยตามเลย “พี่ปกติเล่นคอนเสิร์ตในแนวสบายๆแบบนี้บ่อยไหม?”
“มี มี มี มี...ความจริงแล้วชอบคอนเสิร์ตแบบนี้” นัทตอบเสียงนุ่ม “คือจริงๆแล้ว...”
“ชอบแล้วทำไมไม่บอกเค้าไปล่ะครับ” นัทที่กำลังอึกอักหาคำต่องามๆไม่ทันโดนว่านตลบหลังอีกแล้ว “ทำไมปล่อย...”
“บอกพวกพี่ที่บริษัทเขาไปแล้วว่า...” นัทก็ไม่ยอม...คือจริงๆคงเริ่มทันบ้างแล้วล่ะว่า อย่าเปิดโอกาสให้ว่าน เลยสวนไม่ยอมฟังว่านพูดจบประโยค “อัลบั้มหน้าจะไม่เต้นแล้วนะครับ”
“อย่าไปบอกเค้า” ว่านทำเสียงอ่อนเสียงหวาน “บอกตัวเองไว้แล้วก็ทำทำเพลงส่งไปเลย” ว่านส่งมือตามประสบการณ์ที่ผ่านมา “เชื่อผม!”
“คือสังขารมันเริ่มไป” หนุ่มอายุ25ออกตัว
“เฮ้ยพี่! อย่าพูดอย่างงั้น” ว่านปรามเบาๆ
แฟนคลับเริ่มตะโกน...ยังอยากเห็นศิลปินเต้น
“ไม่เอา” นัทแย้งเสียงอ่อน “ชอบเพลง easy listening”

....ก็อยากฟังเหมือนกัน คือถ้านัทไม่ออกเป็นเฮฟวี่เมนทอล ก็พอรับได้หมดล่ะ
เมื่อก่อนที่เคยนึกไว้ อยากเห็นนัทออกอัลบั้มอย่าง chemistry
คือเวลาเปิดเพลงดูโอคู่นี้แล้วมักมีภาพนัทลอยซ้อนมาทุกครั้งเลย คือถึงไม่ออกเป็นดูโอแต่ก็ยังคิดว่า สไตล์นัทใช้เพลงแนวนี้ได้เลย
อย่างเพลง it takes two ฟังแล้วนึกถึงวิธีการใช้เสียง วิธีการร้องของนัททุกครั้งเลย




“เคยได้ฟัง x-tream army หรือเปล่า” นัทหันไปถามว่าน
“เคยครับ” ว่านตอบรับเต็มปากเต็มคำ “ผมชอบมากอัลบั้มนี้...ต้องบอกว่า ผมยกย่องในการทำงานทุกฝ่ายครับผม”
นัทฉีกยิ้มรู้ตัว....เปิดหน้าต่างบานเป้งให้ว่านเอาไปใช้
“โดยเฉพาะ.......”
“สิ่งที่พูดกันที่นี่ อย่าเล็ดรอดออกไปจากที่นี่” นัทขอขัดสวนห้ามอย่างรู้ความเสี่ยง
“ถ่ายคลิปได้นะครับ แต่ว่าเก็บไว้ดูกันที่บ้าน ไรท์แจกกันเฉพาะคนสนิทครับผม” ว่านย้ำตาม “นะคร้าบ..พี่นัทวง...นะครับ” ว่านชี้เรียกพี่นัทที่คอยคุมงานอยู่ตรงหน้า “พี่นัทอยู่ตรงไหนครับ..อยู่ตรงนั้นไม่ดีครับ เลือกสักข้างเลยดีกว่า อย่าอยู่ตรงกลางนะครับ โอเคนะครับผม”

ว่านเอ๊ยว่าน...ไม่วาย

“จะบอกว่าตอนแรกน่ะได้ป็อปอาร์มี่มา” นัทตบให้เข้าเรื่อง “แล้วทำให้รู้สึกว่า ร้องไปแล้วนี่อยากอยู่ easy listening ถ้าเขามีจริงๆ” นัทปิดท้ายเสียงละห้อย “แต่เขาไม่จัดให้”
“พี่นัทมันจะไม่เข้าคอนเซ็ปป์นะครับ” ว่านติงจริงจัง “ถ้าเกิดมี easy army มันจะกลายเป็น...” รู้สึกกลัวขึ้นมานิดนิดกับการแปลภาษาตามใจว่าน “กองทัพที่ดูหล่ะหลวม แต่งตัวสบายๆ ขาสั้น รองเท้าแตะ เหมือนจะไปทะเลนะครับ” ว่านเปิดตัว
วงแขนกวาดกว้าง “พบกับพวกเขา easy army ครับ...ปืนจะไม่ได้ใส่แม็คนะครับ...ไม่ดีไม่ดี” ว่านแจงความเป็นไปต่อ “มันคือ ร็อกอาร์มี่”
“เป็นโบนัสแทร็คอะไรอย่างงี้ไง” นัทยังติดใจไม่หาย
“มันคือร็อคอาร์มี่” ว่านไม่สนใจยังติดใจเล่าเรื่องเก่า “ป็อปอาร์มี่ อ่า...อะไรนะครับ ว้อยซ์ ว้อยซ์ สไปซ์นะครับ ง่า...มีอะไรอีก หมดแล้ว” ว่านไม่สะใจขอเพิ่ม “ก็อดอาร์มี่..มีไหม มีไหม”


อื๋ยยย ว่านเอ๊ย ข้ามไปประเทศเพื่อนบ้านแล้ว...เสี่ยงเจงๆ


ว่านทำเป็นถาม นัทส่ายหัวปฏิเศษยิก ว่านส่ายนิ้วยิกรับ นัทแยกเขี้ยวที่อาจเป็นรอยยิ้มตาม ตาสองคู่สบเอาเชิงกัน

“ไม่รู้จักก็อดอาร์มี่” ว่านทำเป็นถาม “ตอนนั้นพี่นัทไม่อยู่ ผมจะย้อนไปถึงเหตุบ้านการเมืองเมื่อตอนที่....”
“วันนี้เรามานั่งนับกันดีกว่าว่านัทจะเก็ทมุขว่านกี่มุขนะครับ” นัทโอดชวนเห็นใจ
“ไหว พด เพ็ด ตะ พึด...จริงๆ” ว่านปล่อยไม่เป็นภาษาชวนอ่อนใจแทนพี่ชาย “เฮ้ยยยย”
“เอ๋ย...อายุเรามันก็ไม่ได้ห่างกันมากนะ” นัทข้องใจมาก
“ไม่ได้ห่างไงพี่” ว่านยิ้มรับมาหุบ “แต่ว่ามันมีความ...เขาเรียกว่าเรื่องของการ...” ว่านนึกอธิบายอย่างหนัก “ของระดับ...วุฒิภาวะทางปัญญาน่ะพี่” ว่านรู้ตัวเอง “คือว่าพี่นัทจะไม่เข้าใจเรื่องที่มันแบบว่า...ไม่เป็นเรื่องเป็นราวแบบนี้” ว่านขอหยิบคำที่เพิ่งรียนรู้สดๆร้อนมายืมใช้ “แต่พี่นัทจะไปแบบ...มัลทายไทสก์ไง”


55555 นัทไม่ต้องรู้สึกแปลกแยกอะไรร้อก มุขว่านบวกศัพท์เฉพาะตัวของว่าน เข้าขั้นเทพที่แม้แต่เทพด้วยกันยังต้องหยุด...ขอให้ว่านอธิบายเล้ย
การที่นัทตามไม่ทันน่ะ....คือเรื่องปกติ จิ๊บ จิ๊บ จริง จริง
เอาไม่ทัน ไม่ทันแบบนี้ล่ะ....คือวิธีรับมือว่านที่เจ๋งที่สุดที่เคยมีใครทำมาเลย ขอรับรอง!



“สำหรับเรื่องทั่วไปแบบนี้ พี่อาจจะแบบมัน...เจนเนอร์รอลน่ะพี่ เจนเนอร์รอล” ว่านปลอบ..มั้ง
“too general, you know…see!” นัทก็ตามน้ำ
“yeah…yeah” ว่านสปรีคตาม “เยสเซอร์...แมน บลา บลา บลานะ”

สองหนุ่มพยักเพยิดชวนกันไป...เอาตัวรอด













Create Date : 21 ธันวาคม 2551
Last Update : 22 ธันวาคม 2551 1:43:51 น. 0 comments
Counter : 662 Pageviews.

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.