Group Blog
 
 
พฤศจิกายน 2551
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
30 
 
15 พฤศจิกายน 2551
 
All Blogs
 
มินิคอนรวมพลคนพูดเยอะ "นัทต้อลโจว่าน" partB

........เอาล่ะมาต่อให้จบ





จากนั้นสี่หนุ่มก็เปิดม่านเรื่องเก่ามาเล่าใหม่ The Two Men Show คุยไปคุยมาจนมาถึงที่พี่นัทถอดเสื้ออาบน้ำ(พี่ว่า...นัทคงโดนแซวเรื่องนี้ไปเป็นปี จนกว่าจะมีอย่างอื่นมาโชว์ล่ะนะ)
หลังจากที่ว่านโดนโจตัดรอนอย่างสิ้นเยื่อใย ก็เดินกลับมาเคียงข้างพี่นัทเพื่อความปลอดภัย ย้อนถามปนเสียดสีแฟนคลับ “แล้วเด็กเดิกไปดูเค้าไม่กรี๊ดกร๊าดกันเหรอ หรือเด็กไม่รู้เรื่อง ป้ากรี๊ดกันกรึ๊บเลย”

คนถูกถามไม่ได้ตอบ เพราะมีน้องชายฝีปากกล้าอีกคนรอตอบแทน“เด็กไม่กรี๊ดหรอก ผู้ใหญ่นี่ล่ะตัวดี”
นัทเพลย์เซฟยิ้มลูกเดียวไม่พูดสักแอะ


ส่วนโจย้อนมายังต้อลที่เต้นบนเตียง

ต้อลได้ทีรีบตอบไปว่าชอบซีนนั้นที่สุด แล้วเล่าต่อตอนแรกมันไม่ใช่อย่างงั้น โดนแก้ไปหลายรอบ

ต้อลพยายามเล่นต่อ ขอเข้าไปตบบ่าโจแล้วสำทับ “สมมติว่าพี่เป็นผู้หญิงใช่ไหม”


.............แป่ว แป่ว แป่ว แป่ว.......อีกาบินผ่าน คราวนี้สองตัวเลย


“พี่แจ็คก็เลิกเป็นตุ๊ดอ่ะถ้าผมเป็นผู้หญิง” โจพูดด้วยน้ำเสียงปลงสุดชีวิต “เขาบอกว่าเสียสถาบัน”



ผ่าน~~~~~~~~~~~~ผ่าน มุขนี้เด็ดจริง

ขนาดอีกาบินผ่านสองตัวต้อลก็ไม่ยอมหยุด ยังสมมติต่อ

“สมมติ..สมมติพี่โจเป็นผู้หญิงใช่ม๊า” มันจะไปต่อได้แล้วเชียว แต่กบมันเล่นพูดไปเดิน(เข้า)หาโจไป “นั่งอยู่บนเตียงใช่เปล่า ตอนแรก...”

โจที่ตอนแรกก็พอจะช่วยน้องไหวอยู่ถึงกับเข่าอ่อน ระทดระทวยแทบกองลงไปกับพื้น สุดจะต้านทานความรู้สึกในใจ
ว่านแทบกระโจนจากอีกฟากมาช่วย(ซ้ำเติม)เพื่อนรัก ดันหลังโจให้เข้าหาต้อล พร้อมสำทับ

“เฮ้ย! คนมันไม่คิดอะไร มันก็ทำ....มันบริสุทธิ์ใจว่ะเฮ้ย”

ต้อลรับลูกต่อจากว่าน “เราต้องลองในสิ่งใหม่ๆ ไม่แน่พี่อาจจะค้นพบตัวเองในวันนี้ก็ได้พี่”

นาน น๊านนนน จะเห็นโจเป็นลูกไล่กับเขาสักที ทุกทีเป็นแต่ลูกล่อลูกชน

ในขณะที่โจกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก
ว่านที่เดินกลับไปเคียงข้างพี่นัทอย่างมีจุดประสงค์ ยกมือโอบบ่าทำตัวสนิทสนม นัทเหลือบมองขอยอมแพ้เลยโดนว่านจับคูโพสต์ท่าถ่ายสติ๊กเกอร์อย่างได้ใจ

นัทเลยขอแก้เกม “คือสองคนนี้งอนอะไรกันหรือเปล่า ประชดกันแล้วมาใช้นัทต้อลเป็นเครื่องมือ”

โจเลยตามน้ำ ขอฟ้อง “ก่อนมาทะเลาะกัน ว่านร้องไห้ตาบวม นี่ต้องใส่แว่นมา...ตาบวม”

“สงสัยร้องไห้ทุกงาน..ใส่ทุกงาน” ต้อลพูดจบปุ๊บ เปลี่ยนเรื่องกลับเรื่องเดิมปั๊บ “อ่ะ...สมมติว่าพี่โจเป็นผู้หญิง!!!” มือต้อลแปะลงที่บ่าโจทันควัน


ฮ่า ฮ่า ฮ่า ....กบมันไม่ยอมจบ


โจไม่ไหวแล้วหลับตาปี๋ ต้อลเลยยอมหยุด “เอาเหอะ....แกล้งไปงั้นล่ะพี่”

แต่ว่า...เรื่องราวคอนสองหนุ่มยังมีให้เล่นต่อ จากว่านถามกลับไปว่าใครไปดูทั้งสี่รอบบ้าง พอมีเสียงตอบรับ หนุ่มขี้ประชดสวนกลับด้วยเสียงสูงของนางอิจฉา “วันหลังก็ขึ้นไปร้องแทนเค้าเลยซี่”

พี่นัทเลยขอแก้ตัวแทนแฟนคลับ เจ็บแสบมากกกก มีนัยยที่ช่างสมเป็นเด็กฮาวาร์ด

“ต้องดูสี่รอบก่อนถึงจะร้องเพลงได้”
“เพราะว่า...?”
ว่านทำเสียงงุนงง
“เพราะว่าหลายๆเพลงมัน...” นัททำเป็นสะดุด
“ไปขุดมา!!!” ว่านรับลูก มือก็ขุดตามปากว่า “ไปขุดออกมาหรือว่าไงพี่ !?!”
“เพลงแต่ละเพลงมันล้ำค่ามาก” ตรง “หาฟังยากเล็กน้อย” นัทตอบหน้าตาเฉย

ฮ่า ฮ่า ฮ่า...นัทเพลงทุกเพลงนี่มีมันมีแต่เพลงของบริษัทดนตรีที่มีฝันใช่ไหม


ว่านขอต่อ...ลืมบอกอากัปกิริยาขณะที่ว่านยืนคุยกับพี่นัท ว่านถึงกับต้องยืนแยกขางอเข่าไปข้างเพื่อ...เพื่อลดระดับความห่างของสายตา.....นัทพี่ขอโต๊ดดด พี่ไม่ได้ว่านัทเตี้ย เอ๊ย ไม่สูงนะ เผอิ๊น ว่านมันยักษ์ชัดๆต่างหาก


“คงไม่ได้หมายถึงอัลบั้มน้อยๆของผมใช่ไหมฮะ” ว่านทำเสียงละห้อย
ทำเอานัทต้องขอปฏิเศษปลอบใจน้องชายตัวโย่ง

แต่ไอ้น้องชายตัวแสบอีกข้างขอแทรก
“แต่สี่รอบที่มาต้อลว่าไม่ได้มาฟังเพลงหรอก มาดูพี่นัทแก้ผ้า”
พอต้อลพูดจบเสียงกรี๊ดกร๊าดกระหึ่ม ทำเอานัทขอดักคอ
“สรุปอัลบั้มต่อไปนัทจะไม่ออกเป็นอัลบั้มเพลงแล้วนะครับ จะเป็นวีซีดีอย่างเดียว”
“แล้วก็จะมีพี่โจเป็นแบบโบนัสแทรคด้วย” ต้อลตบท้ายเรียกเสียงฮาพร้อมกับความกระอักกระอ่วนของโจ


ฟังเด็กสี่คนเปิดทอร์คโชว์ไม่มีขาดช่วงจนแทบลืมไปแล้วว่านี่เป็นมินิคอนเสิร์ตนะเนี่ย

แล้วรู้ไหมประโยคต่อไปนี้ออกมาจากปากใคร

“อ่อ...เอาเป็นว่าเราไปฟังเพลงกันดีกว่าไหม”

...ไม่อยากจะเชื่อเล้ย ว่ามาจากปาก....ต้อล หนุ่มที่เคยแต่เถลไถล คราวนี้ตัดบทก็เป็นกะเค้าเหมือนกัน

คิวต่อไปคือโจนัทบราเธอร์ส...

ว่านที่ต้องเดินกลับเข้าไป ขอหยอดก่อนจาก “พี่นัทครับเดี๋ยวเจอกันนะครับพี่” ไอ้สัญลักษณ์ I Love U ถูกยกขึ้นอีกครั้ง

...แต่เสียดายที่...พี่นัทถูกโจดึงความสนใจอยู่จนไม่ได้รู้เรื่องอะไรกับเค้าเล้ย กว่าจะรับลูกป้อที่ว่านส่งมาให้ก็แทบไม่ทันแล้ว ว่านเลยยืนอิดออดเปลี่ยนไปยกนิ้วโป้งส่งมาหาครั้งหนึ่งก็แล้ว สองครั้งก็แล้วกว่าจะยอมเดินเข้าไป

ท่านัทที่ยืนเกาแกร๊กๆแก้เขินนี่เห็นกี่ครั้งก็อดยิ้มไม่ได้จริงๆ เหมือนเด็กชายตัวเล็กๆที่หมดหนทางช่วยตัวเอง...น่ารักน่าเอ็นดู


พอเวทีกลับเป็นของโจ ก็เริ่มด้วยถึงกรณีอ้อล้อของว่านว่าปกติที่รู้จักกันมาก็ไม่เคยเห็นมันเป็นอย่างนี้

“นี่พี่เสน่ห์แรงขนาดนั้นเลยเหรอเนี่ย” คำดักคอนัทคือคำตอบทำเอาโจถึงกับขอยอมแพ้

โจเข้าเพลงต่อไปด้วยการส่งว่าเพลงนี้โจเป็นคนแต่ง...เพลงทุกเพลงในมินิคอนนี้โจเป็นคนแต่งจ้า...ยอมเชื่อก็ด้าย

“เชื่อฉัน”เวอร์ชั่นสองหนุ่ม กลางๆเพลงชักติดเรตด้วยท่าเต้นประกอบเพลงของโจ...เล่นเอาไมค์มากุมแกว่งไปมาที่หน้าขา
...โอย มุขนี้ขอซื้อเฮอะโจ แบบว่าถ้าตั้งเป็นกระทู้ ช่วงนี้ทั้งช่วงต้องขอผ่านอย่างแรง เด็กผู้ชายเวลาห่ามแล้วไม่มีคนคอยเบรกนี่ หาทางหยุดไม่อยู่กันสักราย

ถึงท่าจบ...พี่นัทดึงโจให้หันมายืนพิงกัน ทำให้...
“โห...หลังพิงกับพี่นัทแล้ว...อบอุ่นมากเลยอ่ะ” เอิ้กกกก...โจก็ไม่เว้นเหรอเนี่ย “ผมเข้าใจว่านแล้วครับ”
ทำเอาคราวนี้นัทต้องแก้เกม
“พี่ไม่ต้องการสร้างความร้าวฉานให้กับครอบครัวใครนะ” นัทนึกว่าพอจะกินขุนได้สักตัวแต่กลับเป็นว่า
“ไม่เป็นไรครับ พี่นัทรับไว้ทั้งสองคนครับ” โจรุกฆาต!!!

โจต่อด้วยการเปรียบตัวเองเป็น...อะไรสักอย่างที่....เคาะกะละมังโป้กเป้กก็มา แล้วขอเปลี่ยนใจ เป็นหมีแพนด้าละกันเพราะว่า
“ว่านเอาส่วนขาวไปหมด ผมเอาส่วนดำ”
“อ๋อ...เป็นตัวเดียวกันเหรอครับ” นัทถามกลับด้วยเสียงซื้อ ซื่อ ไม่ชวนเชื่อเล้ยว่าไม่มีอะไรในกอไผ่
แต่เผอิญเป็นโจ โจตามไม่ทันหรือไม่ยอมตามทัน “ใช่...แล้วแยกกันออก ผมออกหากินกลางคืน”
5555555





แล้วโจก็เข้าเพลงต่อไปให้ว่าขอแหวกกระแสเกาหลี เพลงแขกกำลังจะมา “รักมั่นคง”

ว่านออกมาวิ่งข้ามเขา จบด้วยท่าคอกระดิกหลังไมค์เป็นสาวอินตระเดีย
ทำนองแขกเริ่มต้น พี่นัทนำเต้นส่ายสะโพกว่านตาม พอนัทร้องว่านก็กระดุ๊กมาเต้นหลบหลังนัท ท่ารักมั่นคงของพี่บอย ก็ถูกนำมากระโดดคนละจึ้กสองจึ้ก
ไม่อยากจะบอกเล้ย ขนาดตัวว่านที่ยืนเคียงมันข่มให้นัทตัวยิ่งจิ๋วลงไปอีก
แต่ไม่ว่านัทชวนทำอะไร ว่านไม่มีเกี่ยงงอน ทำได้บ้างไม่ได้บ้างก็ทำไป ทำจนหอบแฮ่ก แฮ่กนั่นล่ะ
คู่นี้ดูไปน่ารักโพด น่ารักจริงๆ แบบว่าดูไปยิ้มไม่หุบเลย
ชอบตรงที่นัทขออะไรปุ๊บ ว่านสนองปั๊บ ... ทุกทีจะเห็นแต่นัทต้องทำตามที่คนอื่นขอ พอนัทมาเป็นคนขอบ้าง ดูนัทรีแลกซ์และสนุกมาก


พอมาถึงช่วงแร็พที่คุณว่านจองว่าจะเป็นคนแร๊พเองตั้งแต่ต้นเพลง ก็เอาแต่วิ่งไปวิ่งมาหลบหลังต้นไม้
พอนัทหันมาเห็น เลยแปลงกายเป็นพระเอกวิ่งไล่ไปมา ดูแล้วยังกับจับลูกลิงใส่กระด้ง

จบเพลงนัทพยายามนัดแนะท่าจบ แต่ว่านดันมาต่อด้านหลังกางมือออก แล้วอยู่ดีๆโจก็วิ่งออกมายืนต่ออีกคนมีต้อลมาปิดท้าย จบด้วยทำท่านารายณ์พันมือกัน ....ไอ้เด็กพวกนี้

พอความวุ่นวายจบเหลือแต่นัทกับว่าน ว่านก็เริ่มฟ้อง

“จริงๆแล้วนะฮะ ความจริงมันจะพร้อมกว่านี้ แต่ว่าพี่นัทของผมเนี่ยไม่ค่อยมีเวลาให้ผม”

นัทเกาหัวอย่างอ่อนใจ รู้ตัวละ...โดนอีกแล้ว

“ผมล่ะเอ๋อ...” ว่านทำท่าโทรศัพท์ “พี่น้าท เมื่อไหร่จะกลับบ้านละพี่” ...ว่าน ว่านลืมตัวเปล่า เราน่ะเป็นใคร กร้ากกกกก
“เวลาเปลี่ยน ใจคนเปลี่ยน” ว่านน้อยใจ
“เวลาพี่โทรไปทีไร ว่านก็...จัดเวลากับโจอยู่” พี่นัทตัดพ้อ
“พี่ต้องเข้าใจสิฮะ มันเป็นงาน” ว่านทำเป็นเข้มงวดก่อนเสียดสีตบท้าย “ถึงผมไม่หล่อแต่ผมก็เลือกนะพี่”





จบช่วงว่านนัท

มาโจเดี่ยวพร้อมมุข “เพลงนี้ผมก็แต่งเองอีกแล้วนะฮะ”


ดนตรีขึ้น...โจกลับขึ้นเป็น...สิ่งเดียวที่เหลือ คือชีวิตว่างเปล่า... เพลงที่เหมือนจะร้องเล่นๆ แต่ฟังออกว่า โจจริงจังกับการร้องนี้มากเลย เป็นสิ่งที่เหลือในแบบของโจแต่ดูคีย์จะสูงไปเนอะ ก็เสียงมันโหนซะ....


ก่อนดนตรีจะกลับคืนมายังเพลงจริงๆที่โจต้องร้อง “เผลอ”

อยากถามพี่นักดนตรี เหนื่อยไหมคะเล่นกับเด็กพวกนี้ ปล่อยมุขแต่ละทีทำเอา”เผลอ”ไม่ได้เลยสักที

ก็ดูอย่างโจ ขึ้นต้นเป็นเพลงสิ่งที่เหลือ ต่อด้วยอีกเพลงเผลอ จบด้วย...รักไม่ยอมเปลี่ยนแปลงเงี้ย เป็นตู กลุ้มตาย



โจจบต่อด้วยว่าน “สิ่งที่เหลือ” จะบอกอะไรได้ นี่ล่ะว่าน...คนพันธ์M

เคยไหม...เวลาที่ไปนั่งฟังเพลงที่ผับเล็กๆ แล้วเจอเพลงดีๆจากคนร้องเพราะๆ พอฟังจบแล้วเราจะรู้สึกว่าเขาใหญ่เกินกว่าที่จะมาร้องที่เล็กๆแค่นี้
นี่คือความรู้สึกที่เกิดเวลาฟังว่านร้องเพลงนะ
แต่ก็ไม่รู้สินะ...ถ้าว่านได้ไปอยู่ที่อื่น ที่สายป่านยาวกว่านี้ ว่านอาจไม่ได้ทำดนตรีในแบบที่ว่านชอบได้ทั้งหมด ตัวตนที่ถูกทอนไปมันอาจไม่คุ้มกันก็ได้
ในโลกที่ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีมันกัดกินจิตสำนึกของคนไปทีละน้อย การอยู่ในกะลาใบเล็กๆที่มีฐานรองรับด้วยหัวใจมันอาจจะดีกว่าก็เป็นได้


จบสองหนุ่มไป อีกสองหนุ่มลูกทุ่งก็ออกมา “รักพี่ต้องมีซิม” ...ขอผ่านเหอะ ตอนมีพร็อพประกอบก็เรียกว่าพอมีอะไรบ้าง แต่แค่เพลงอย่างเดียว ...

มาสนุกกันต่อกับนัท “เหลวไหลจริงๆ , สลัดสะบัด กับรักและปลาทู” เป็นเพลงเลยคนรุ่นพี่ไปนิซ...นิดเดียวเอ๊งงง

พี่ก็ฟังนัทเอาเพลงมอสมาร้องหลายครั้งแล้ว บางทีนี่อาจเป็นแบบที่นัททำได้ดีก็ได้นะ เต้นท่าทางน่ารักๆ
...ไม่หรอก จริงๆเพลงแบบที่พี่อยากได้จากนัท คือ เพลงที่ออกแนวโซลป๊อบน่ะ บัลลาดที่ใช้อารมณ์สูงๆมากับเนื้อเสียงหนาๆที่นัทไม่ค่อยจะยอมใช้ มีลมปนนิดๆน่ะ...นิดเดียวไม่ต้องมาก


จากนั้นกบตามออกมาพร้อมกับร็อค “นางฟ้าตาชั้นเดียว”
ไม่น่าเชื่อว่า...เพลงนี้กลับเป็นเพลงที่ชอบที่สุดของอัลบั้มต้อล เป็นเพลงที่ฟังครั้งเดียวก็ติดหูเลย แล้วเป็นเพลงแบบที่ต้องมีติดอัลบั้มเพราะเล่นสดแล้วมันส์มาก
ไม่อยากยอมรับแต่ก็ต้องยอมรับ ต้อลเข้าไปในทางร็อคได้ดีขึ้นเรื่อยๆ เสียงชมจากคนดนตรีหลายๆคนที่รู้มาก็ทำเอาใจชื้นปนหน่วงๆพิกล

กบเป็นร็อค กบเป็นร็อค...กบเป็นร็อค!!!



กบก็ร็อคต่อเนื่องกับ “เพียงกระซิบ” กับพี่โจ

ตามมาด้วย “ถอยดีกว่า” จากโจว่าน ...ไม่เคยรู้สึกว่าเวทีมันจะเล็กแค่นี้มาก่อน โจกับว่านยืนคู่กันสองคน “เต็มเวที” ทั้งขนาดความสูง ขนาดความใหญ่ แล้วคำคำหนึ่งก็แวบมาเข้าสมอง “ยักษ์วัดโพธิ์กับยักษ์วัดแจ้ง”

....พี่เปล่าว่าใครน้า แค่เอ่ยขึ้นมาลอยๆ



ในที่สุดช่วงทอร์คโชว์มันก็กลับมาอีกครั้ง

เมื่อว่านเชิญนัทต้อลกลับเข้ามาบนเวที ว่านก็ดูเป็นน้องชายที่พี่นัทมอบความสนิทสนมเห็นชัดผ่านคำถาม “เมื่อกี้ได้เต้นรึเปล่า”

โจกลับแปลงสารต่อหน้าต่อตาก่อนที่ว่านจะมีโอกาสได้ตอบ “พี่นัทเค้าเดินขึ้นมาถามว่า เมื่อกี้เรียกว่าเต้นหรือเปล่า”

............................อีกาอีกฝูงบินผ่าน....................แป่ว แป่ว แป่ว

โจชักติดลมบน
ขาข้างหนึ่งที่ก้าวผ่านลูกกรงเหล็กตอนช่วงแรกของคอนเสิร์ตนี้ ขาอีกข้างขอชักชวนเพื่อนๆมาร่วมสังฆกรรม ขณะที่เสียงฮือฮาดังขึ้นเมื่อบอกกล่าวกันว่าเวลาเดินทางมาจนถึงช่วงสุดท้ายแล้ว

“อย่าครับอย่า...อย่าหืออย่าอือครับ ถ้าอยากจะฟังกันต่อนะครับ ถ้าอยากให้คอนเสิร์ตนี้ยาวกว่านี้นะครับ”
“ทำยังไง” ต้อลชง
“เดินทางไปที่ตู้ATMนะฮะ ทำธุรกรรมการเงินนะฮะ”
“ตู้ATMกรุงศรีหรือเปล่าครับ” ว่านเริ่มรับลูก
“ไม่ต้องกรุงศรีก็ได้นี่” โจปฏิเศษ
“ไม่ได้ครับต้องกรุงศรีครับ” ว่านขอแย้ง
“กรุงศรี กรุงศรี ต้องกรุงศรี!!!” ต้อลก็ไม่ยอม พี่นัทขอประสานเสียงตาม “กรุงศรี!!!”
“ไม่...กรุงศรีเค้าสองคนนี้ไง พอรวมเป็นสี่คนเค้า...ไม่เอาละ!” โจหนักแน่น “เค้าบอกว่าไม่เอาไอ้สองตัวนี้!!!”
เพราะว่า...
“พอโอนเงินเสร็จปุ๊บ โอนเงินไปต่างประเทศเลยนะฮะ” โจพูดไป เพื่อนก็ลุ้นไป ต้อลงี้ยืนฟังตาแป๋ว “อ่า...แล้วก็ไปฟอกซะ”
มีเพื่อนโจแล้วต้องตามด้วยเพื่อนว่านขอยื่นมติซักถาม “แล้วที่ดิน...ที่ดินแถวนี้ละครับ”
“ที่ดินไม่ผิด! ที่ดินไม่ผิด!!!” โจย้ำชัด



สองหนุ่มล้อการเมืองกันกระจาย อีกสองหนุ่มหัวพาดเขียงเป็นเพื่อน

“ขังรวมครับ ขังรวมสี่คนกับอีกห้าร้อยกว่าคนนะครับ" ว่านโพล่งขัดโจขึ้นมา
“ไม่....ผู้หญิงจะได้บ้านทรายทองไป!!!” แม้ว่านก็ไม่อาจหยุดโจได้ ....แต่มุขนี้พี่ขอซื้อว่ะ มันล่ายลั่งใจ


เหมือนกับว่าโจจะได้พูดสิ่งที่อัดอั้นมาแล้ว ก็เริ่มปล่อยให้ว่านขอบคุณอย่างเป็นทางการอีกทีที่ได้รับเชิญมาเป็นเกสต์
“ไหนๆวันนี้ก็เป็นครั้งที่สองนะฮะที่ผมกับพี่โจได้มีโอกาสมาเล่นคอนเสิร์ตกับพี่นัทกับน้องต้อล...”
ว่านยังไม่ทันพูดจบ กบที่ยืนฟังเงียบๆอยู่นานสวนขึ้น
“เฮ้ยต้อลกับพี่ก็ดีใจที่มีโอกาสมาเล่นกับพี่เหมือนกัน”
ว่านตีรถสวน “ไปเล่นข้างนอกป่ะ!!!...ต้อลไป!!!”

แป่ว แป่ว แป่ว แป่ว...อีกาบินว่อน

โอยยยยยย นานๆกบจะเจอที ทุกทีมีแต่คนต้องยอมเรา เจอจนได้


“เอ๊อออ คนจะพูดเป็นการเป็นงานโว้ย เอ๊อออ!!!” ว่านกำชับกลับอีกที
“พูดเหมือนเราเป็นเจ้าบ้านให้พี่...อะไรอย่างงี้ มันไม่ใช่ไง” กบพยายามแก้ตัว

คราวนี้ล่ะถึงทีพี่นัทต้องยื่นมือมาช่วยน้องชายตัวแสบซะบ้าง
“เราก็ช่วย ให้เกียรติซึ่งกันและกันอะไรอย่างเงี้ย” ซึ่งก็ไม่น่ายื่นมือช่วยเล้ยเนอะนัท ถ้ารู้ว่ากบมันจะสวนด้วย
“ใช่...มันต้องร่วมกัน...สวิงกิ้งอะไรอย่างเงี้ย”จบปุ๊บพี่นัททำหน้าเหลืออดเหลือทนกับการปล่อยวาจา....


พอว่านเข้ามาเรื่องว่าอ่านหนังสือพิมพ์ลงเกี่ยวกับปัญหาสุขภาพของต้อล ว่านเลยขอ....
“ไอ้เราก็ เอ๊อ เป็นห่วงน้อง...บอกแล้วว่าทำอะไรมันต้องป้องกัน”ทำเอาพี่นัทที่ยืนระหว่างมวยถูกคู่นี้ปรบมือชอบใจไม่หยุด
“บอกว่าอย่าตากฝน” ว่านย้ำชัดความเข้าใจอีกรอบ “ผอมลงไปนิดเดียว หนังสือพิมพ์เขียนซะเสียหายเลย”

“คนที่ไม่รู้ก็คง....” พี่นัทชี้มาทางคนดู .....พี่ก็ไม่รู้ ไม่รู้จริงๆ
“ไม่อยากจะพูด...” ต้อลพูดอย่างเซ็งๆ
“ผมก็อยากแก้ข่าวให้นะ เมื่อเช้าไปจัดรายการที่EFMมาก็...พี่ครับน้องต้อลเค้าไม่ได้เป็นโรคอย่างที่พี่เข้าใจนะฮะ” ว่านแสบกว่าต้อลเยอะ “เค้าเพิ่งไปผ่าตัดมะเร็งที่เต้านมมา”

กบชักปั่นป่วนโดนซ้ายขวาจากว่านจนมาถึงโจแซวว่าเป็นตัวแทนรณรงค์มะเร็งที่เต้านม เลยขอแก้....

“เต้านมไม่ได้ผ่าหรอก จะผ่าช่วงล่างมากกว่า” ทำเอาโจชะงักกึกอย่างแรง ต้อลยืนท่าหาเรื่องได้อีก ก่อนหักมุมตามเคย “ผ่าเล็บ...ผ่าเล็บ เล็บฉีกอยู่”

กบก็ยังแก้ตัวเรื่องเล็บเท้าอยู่ต่อไป กว่าเรื่องจะจบ

จบเรื่องนั้นก็มาเรื่องนี้

ระดับการยืนจากซ้ายไปขวา โจ ต้อล นัท ว่าน

ต้อลก็เริ่มอีก “ว่าไปแล้วไหนพี่นัทบอกว่าเรายืนสี่คนเราจะไม่เรียงตามลำดับไข่ไม่ใช่เหรอพี่”


เหอ เหอ เหอ.....พูดไม่ออก


จนได้...ในที่สุดก็รู้จนได้ถึงสาเหตุความหนาวยะเยือกในอกเป็นพักๆ ที่พี่ข้างๆตัวส่งมาเป็นระยะ


ความห่ามแบบไม่รู้จักลิมิตของกบนี่เอง เรื่องใต้สะดือที่ปล่อยเป็นปืนกลไม่มีพักเบรคทำเอาคนนั่งข้างๆเงียบกริบไปตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้
จะพูดไงดีน้า...เรื่องพวกนี้ พูดในวงสุรา กรึ่มกันในกลุมเพื่อนฝูงที่สนิทกันจริงๆนะ มันจะไม่มีความกระอักกระอ่วนแบบนี้เกิดขึ้น
ลิมิตการรับเรื่องพวกนี้ได้กับไม่ได้มันก็ต่างกันโข เราต้องยึดในส่วนใกล้ที่สุดของความรับไม่ได้มากยิ่งกว่าเส้นทางที่รับได้
ตลกที่อยู่ในคาเฟ่ก็ปล่อยให้มันอยู่ในคาเฟ่


ก็ยังดีที่ว่านมาช่วยเบรกให้มันดูนุ่มขึ้นด้วย “ ต้อลน้องรัก เชื่อพี่เหอะวะต่อไปพ่อแม่จะไม่ให้ลูกเค้ามาดู ถ้านายยังเป็นแบบนี้อยู่”
“มันจะไม่ได้มาดูตั้งแต่ที่ดินพี่แล้วล่ะ” กบตอบโต้แถมแซวพี่โจต่อเนื่อง “ไอ้เหลืองแดง เหลืองแดงอะไรของพี่นี่ล่ะ”
พี่นัทเลยก้าวมาเป็นกรรมการห้ามทัพ “อย่า อย่า อย่าจุดประเด็น จบไป”

....ขอบอกเลย โชคดีที่มีนัท...จริง จริง!!!




แล้วว่านกำลังเข้านำเรื่องอะไรสักอย่าง นัทก็สวนขัดถามขึ้นมา
“เอ๊ย...เดี๋ยวก่อน ถามหน่อยทำไมแต่งเพลงนี้ขึ้นมา”
“เพลงไหนครับพี่”
“เพลงนี้ที่เรา....”
“ไม่ถามผมปีหน้าเลยล่ะครับ” ว่านทำเป็นยอกย้อนพร้อมยกแขนมาดูนาฬิกาที่ข้อมือประกอบฉาก
“ก็ว่านไม่ค่อยมีเวลาให้พี่ แล้วพี่จะเอาเวลาไหนไปถามล่ะ” คราวนี้นัทไม่อึ้ง แต่ทำเอาว่านถอยกรูดอารามแปลกใจที่เจ้าหนูตัวน้อยแผงพิษสง
“เดี๋ยวนี้ย้อน!!! เมื่อก่อนละเอ๊อะ...อะไรก็ได้ ไม่ต้องเจอกันก็ได้ ว่านไม่ต้องโทรมาบ่อยๆก็ได้....เดี๋ยวนี้ย้อน!!!” พอว่านตั้งหลักได้ใส่เป็นชุด เราก็เลยได้ดูเค้าต่อว่ากันบนเวที ....อิ อิ อิ

พอพี่นัทย้ำถามอีกที ว่านยอมตอบ “ถ้าพี่นัทอยากทราบขนาดนั้นน่ะ ผมจะบอกก็ได้" พร้อมสร้างเงื่อนไข “พี่นัทเพียงแต่อ้อนวอนผมสักนิดนึง” ทำไม้ทำมือย้ำให้เห็นว่านิด...นิดจริงงๆ

เจอว่านยั่วเข้าไปซะขนาดนี้ พี่นัทขอสนอง คารมสู้ไม่ไหวขอใช้ร่างกายเข้าช่วย
ขนาดตัวคิวคองแค่บ่าก็อยู่ระดับตานัทแล้ว พอนัทจัดการนวดที่ไหล่ทั้งสองข้าง ว่านก็ระทวยลดระดับตัวลงโดยฉับพลัน ยกมือไหว้ขอยอมแพ้

ฮ่า ฮ่า ฮ่า คราวนี้ว่านเข้าใจความรู้สึกโจแล้วใช่ม๊า
ขนที่มันลุกซู่โดยหาสาเหตุไม่ได้น่ะ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ความเพรี้ยงพร้ำของเพื่อนคือโอกาสของเรา ว่าแล้วโจก็...
“กำลังจะหันมาบอกพี่นัทไง บอกว่าอย่าไปตามใจมัน อย่าไปเดินเกมตามมัน”
“ปื้บ!!!หันมาเห็น....นวดกันซะแล่วว” โจทำเสียง....แล้วขอต่อด้วย “ตามใจ ตามใจ นี่เสร็จว่านทุกรายนะฮะ”

ขณะกำลังต่ออย่างมันปาก พี่นัทเดินลิ่วตรงเข้าหา ถามด้วยความฉงน “พูดจากประสบการณ์ส่วนตัวหรือเปล่า” น้ำเสียงแฝงความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง

ทำเอาโจพูดต่อปากคอสั่นปฏิเศษทันควัน “ผมยังไม่ตามใจมัน” ก็โจยังไม่จบ “แต่ว่า...หันไปดู ปุ๊บ...ว่านน่ะน่าจะเสร็จพี่นัทแทน”....เอิ้กกก

ว่านอดรนทนไม่ไหวแล้ว ยกมือห้ามขอพูดบ้าง “ผมเคยอ่านพ็อคเก็ตบุ๊คของพี่นัทเค้า...รักเล็กๆเด็กAF”


....เอ๊ยยยย มันวางแผงที่ไหนอ่ะว่าน ทำไมผ่านตาพี่ไปได้ บอกมาเราเจอที่ไหน เด๋วจะไปเหมาหมดแผง

“ขอให้มีเค้าโครงจริงนิดนึง จะพูดอะไร” ขนาดต้อลยังต้องแย้งอ่ะ...คิดดูดิ

ที่พูดไปว่านยังรับตัวเองไม่ได้ ขำเสียตัวทรุด แถมนัทยังมาให้ท้าย “เราเขียนอะไรไว้ในนั้น”
“เรื่องของ...การ...จีบ...สาว” เสียงสะดุดเป็นห้วงๆเพราะปนเสียงหัวเราะจนสุดท้ายก็จนปัญญาที่จะพูดต่อ ยืนขำมุขของตัวเองจนตัวงอ....มุขส่วนตัวไปไหมว่าน
เรื่องนี้เลยตัดจบไปดื้อๆ แบบทิ้งข้อกังขาให้หัวใจอีกหลายดวง



ว่านกลับมาตอบคำถามพี่นัท “พี่นัทถามว่าเอ๊ออออ ทำไมผมถึงเขียนเพลงนี้ขึ้นมานะครับ ก็คือว่า.....”

อย่านึกว่าคราวนี้ว่านจะใจดีตอบง่ายๆ “ส่งไปรษณีย์มาถามผม ส่งจดหมายก็เข้าส่งมาถึงผมนะฮะ” ทำยังกับนั่งจัดรายการอยู่ที่EFMน่ะ “โอเค...จะตอบตรงนี้นะว่า มันเป็นเรื่องของความเข้าใจของคนรักกันนะพี่นัท คนเราควรอยู่กันอย่างมีความสุข มีความปลอดภันนะพี่....ไม่ใช้เรื่องทะลึ่งตึงตังอะไร....นับเจ็ดแปดอะไร ไม่ใช่!!!”

ฮ่า ฮ่า ฮ่า มันจะทะลึ่งก็เพราะเราบอกว่ามันไม่ทะลึ่งแหล่ะว่านเอ๊ย
แล้วไอ้เสื้อหน้าเจ็ดหลังเจ็ดที่เราใส่หลาตอนไปอิตาลีน่ะมันหมายฟามว่าไงฮื้ม!!!


ว่านจบจากพี่ชายก็โยงเข้าหาน้องชายอีกคนที่แสบจริงๆ
“แต่ถ้าเป็นมุมมองของน้องต้อลนี่...อาจจะใช่!!!” ว่านกันกลุ่มออกมา “แต่ถ้าอย่างพวกเรา พวกเราเนี่ยมันไม่ใช่!” โจเห็นว่านชี้มือชี้ไม้แค่ระหว่างตัวเองกับนัทก็เดินขายาวเข้าหาขอเป็นพวก...เรา

ก็เลยกลายเป็นสามกลุ่มคนดี กับหนึ่งหนุ่มที่อาจจะใช่

หนึ่งหนุ่มที่ไม่เข้าพวก เริ่มเลย “ขอบอกไว้ที่เราไม่ป้องกันนี่เพราะเรามั่นใจ”


....กุมขมับรอบที่เท่าไรหว่าตู


โจอดรนทนไม่ไหวแล้ว “มั่นใจ!?!...ผ่าช่วงล่างมานะเนี่ย”
พี่นัทหลังจากอดทนมานาน “เมื่อกี้พูดอะไรนะ...เราไม่ป้องกันเพราะเรามั่นใจ”
“มั่นใจไง!” ต้อลย้ำหนักแน่นอีกที
“มันไม่ได้ช่วยให้ตัวเองดูดีขึ้นเลยนะเนี่ย” นัทขัดคอ
“เราป้องกันส่วนไหน ป้องกันส่วนไหน ต้องบอกก่อน” ต้อลไม่ขอยอมแพ้

แล้วว่านก็ขอเข้ามาแทรก ตัดบทหรือต่อบทที่กบกำลังเล่นต่อ
“ช่วงวัยรุ่นอย่างต้อล เรากับพี่โจผ่านมา...เข้าใจป่ะ....คือว่าต้อลตอนนี้ใส่ออกมาจากบ้านเลย”

พี่นัทถอยกรูด ปล่อยเด็กผู้ชายสองคนเค้าเคลียร์กันเอง

ซึ่งว่านก็ไม่ทำให้ผิดหวัง หักมุมที่ไม่รู้ว่ามันจะยิ่งเข้ารกเข้าพงไปกันใหญ่หรือเปล่า
“เสื้อ!!!” แถมกลัวไม่ชัดพอขย้ำที่เสื้อให้ชัดยิ่งขึ้น “แล้วก็ใส่ในกระเป๋ามาด้วย ก็คือ เอาเสื้ออีกตัวนึงน่ะ”

หลังจากปล่อยว่านโซโล่ไปช่วง กบเริ่มกลับมาอีก ต่อกันเป็นปี่เป็นขลุ่ย
“เดี๋ยวนี้เค้ามีแบบใหม่ แบบบาง บางเบา ซื้อมาจากญี่ปุ่น” ก่อนหักมุมตามเดิม “ถุงเท้า ถุงเท้า อย่าคิดลึก”
ว่านเลยขอสรุปชื่อตอนช่วงนี้ “เสื่อมจริงๆ”



ไอ๊...หยา!!!!

ถามว่าหยาบไหม...มุขสองแง่สามง่ามที่เล่นกันนี่
กับตัวเอง มันยังอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ ยังยิ้ม ยังหัวเราะหุ หุ ตามไหว
เพราะอะไรน่ะเหรอ เพราะเรามันคนตื้นล่ะมั่ง....คิดมากทีไร พาราถามหาทุกที
แวดวงเด็กผู้ชายก็ประมาณนี้ คุยกันไปเรื่อย ที่เคยเจอะเจอมันยิ่งกว่านี้มากกว่านี้

แต่ถ้าถามว่ามันควรไหม...มันก็ไม่เหมาะไม่ควรตรง สถานะ
หนึ่งคือ....เด็กนามสกุลAF จะมีเทรดมาร์คติดตัวก็คือความเป็นเด็ก...และต้องเป็นเด็กดีด้วย
เพราะอะไรน่ะเหรอ ก็เพราะระดับแฟนคลับมันกว้างมาก มันมีตั้งแต่เด็กตัวเล็กๆไปจนถึงผู้ใหญ่ที่ควรเคารพ การถูกวางตัวเป็นน้องเป็นนุ่งในครอบครัวมันจะไม่จางหายไปในเร็ววัน

อีกหนึ่งก็คือ...การพูดคุยกันสนุกปากจนเกินเลย ถ้านี่เป็นการโชว์ของตลกในคาเฟ่ เรื่องที่พูดกันจะไม่ถูกเก็บเอามาคิดมาบ่นทีหลังหรอก
ถึงแม้เด็กทั้งสี่จะพูดกันจนแทบจะกลายเป็นทอร์คโชว์กลายๆไปอยู่แล้ว แต่มันก็ยังเป็นมินิคอนเสิร์ตอยู่ดีแถมเป็น “มินิคอนของเด็กAF”
เรื่องที่เอามาเล่นเลยเถิดมันก็เลยเกิดเป็นลูกระนาดให้สะดุดใจหลายต่อหลายคน


พี่ไม่รู้จริงๆว่า ต้อล ขอเน้นที่ต้อลล่ะ เพราะเราเป็นตัวต้นเลยในเรื่องทำนองนี้ จะรู้ตัวไหมว่า เล่นจนเกินตัวไปโขอยู่
เสียงหัวเราะที่ตามมา มันก็จริง เพราะมันมีกลุ่มที่ขำจริง พอรับได้จริง
แต่ท่ามกลางเสียงหัวเราะนั่น มันมี “กริบ” อยู่นะต้อล
“เงียบกริบ” ด้วยความอึ้ง จนบางคำที่ได้ยินมาคือ “ความระอา”
ความเงียบแบบนี้มันถูกความเฮฮากลบ จนดูจะหายไป
ซึ่งมันก็อาจหายไปจริงๆ คนที่เค้าถอยไปเงียบๆ คนที่ก้าวออกไปยืนให้ห่างจนหายไป
ต้อลอาจไม่ได้รับรู้ เพราะความเงียบมันไม่มีเสียง (ขออย่าให้มันเกินจนเป็นความเงียบที่มีเสียงขึ้นมาล่ะ ...มันจะยุ่ง)
แต่พี่รับรู้มา...และเสียดาย
เสียดายเพราะคนที่เขาถอยไป เขาไม่ได้หมดใจกับต้อล
แต่เพราะรักและเอ็นดูจนคิดว่าถ้ายังอยู่ในระยะเดิมเขาจะมองต้อลด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปจากเดิม
และถ้าจะเป็นอย่างนั้นเขาก็ขอเก็บความรู้สึกดีๆแบบเดิมๆไว้ด้วยการวางตัวห่างออกไปเป็นการดีกว่า

พี่อยากให้น้องรู้ถึงเรื่องแบบนี้บ้างนะ ถ้าได้รู้แล้ว น้องจะคิดอย่างไร ทำอะไรหรือไม่ทำอะไรเลย มันก็อยู่ที่ตัวต้อลเอง ซึ่งเป็นสิทธิ์โดยตรงของตัวเอง พี่ก็ไม่รู้จะใช้สิทธิ์อะไรไปสั่งไปสอนหรอก
เพราะยังไงมันคงดีกว่ากับการถูกปิดหูปิดตา มองไม่เห็นโลกความเป็นจริงส่วนหนึ่งที่มันมีอยู่

การเล่นมุข บางทีมันก็ไม่ต้องลงล่างไปเรื่อยๆก็ได้
เล่นมุขต่อยอด แบบที่โจเล่น ก็แสดงถึงกึ๋นที่มีอยู่ในตัวเองมากมาย


อย่างตอนปิดท้ายทอร์คโชว์นี่ไง ...เข้าเรื่องเอาดื้อๆเลยตู



พอว่านฝากฝังว่าจะได้เล่นคอนนัทต้อลโจว่านครั้งที่สาม พอคุยกันไปว่าคราวหน้าจะจัดที่อิมแพค
....โห~~~~งั้นเลยเหรอ

โจก็ช่างโยง...
“ตอนแรกอยู่ในสตู แล้วไปที่ธันเดอร์โดม” ตามมาด้วย “แล้วไปที่รัชมังคลา” ยังไม่จบ “อีกฝั่งก็อยู่ที่สะพานมฆวานแล้วค่อยๆเคลื่อนตัว ปั๊บ ปั๊บ ปั๊บ"

ปิดฉากล้อการเมืองด้วย “มือตบ” ของจริงแบบไม่ต้องใช้แสตนอิน ไม่ต้องมีอุปกรณ์ช่วยเรียกเสียงฮาแบบเจ็บๆคันๆ กับมือของโจที่ยกมาสั่นตบโดยไร้เสียง



จนมาเข้าเพลงสุดท้าย(จนได้)

“ระยะปลอดภัย”


สี่หนุ่มปิดท้ายด้วยการยืนแปะมือรวมพลังกัน ก่อนแยกย้ายกันจากไปพร้อมเสียงโจที่ลอยมาตามลมว่า

“เจอกันที่รัชมังนะคร้าบบบบ”














ตอนที่ดูมินิคอนครั้งนี้เสร็จ โดยไม่ต้องบอกก็พอรู้ล่ะว่าเรื่องกลุ้มใจที่คนเอาดีวีดีมาบังคับให้ดูคือเรื่องอะไร
ไอ้เราดูก็อมยิ้มแก้มตุ่ย กับมุขที่เด็กมันปล่อยกันเรี่ยราด โดยเฉพาะมุขโจ สุดๆไปเลยโจเอ๋ย
พอมาเจอมุขต่ำกว่าเข็มขัดเข้าไป เราก็กรั๊กกรั๊กกับความแสบตามประสาเด็กผู้ชาย คือถ้านั่งดูคนเดียวจบแล้วก็อารมณ์ดี

แต่นี่คือโลกที่มันไม่ยอมกลมกลิ๊ก คนเราก็ยิ่งต่าง
จะบอกว่าคนที่รับไม่ได้ ทำตัวไร้อารมณ์ขัน ละเอียดอ่อน หรือเส้นศีลธรรมสูงจัด...มันก็เป็นการมองโลกที่แคบเกินไป
เพราะอาจเป็นเราเองที่อารมณ์ขันฟุ่มเฟือยเกินเหตุ ทั้งหยาบแถมเส้นศีลธรรมต่ำเกินไปก็เป็นได้




มันมีบางเรื่องที่ขอสะกิด...ให้มองเห็น ขอความเข้าใจ ในแง่มุมนี้.....

ทุกย่างก้าวของชีวิต
การรับมือกับสิ่งที่ผ่านเข้ามาในชีวิต มันไม่ง่าย
มือสองมือที่ต้องจัดการเรื่องตัวเองก็แทบเต็มมืออยู่แล้ว
แล้วกับคนที่ต้องแบกรับความรู้สึกของคนรอบข้างที่ไม่ใช่แค่คนสองคน แต่เป็นกลุ่มคนอีกที่ไม่เรียกว่าน้อย มันก็ต้องมีพลั้งเผลอ มีผิดพลาด และมีปล่อยให้หลุดมือไปอย่างน่าเสียดายเช่นกัน

บางทีการที่เรามองในสายตาคนภายนอก เรื่องบางอย่างดูง่ายเหลือเกินที่จะแก้ไข
แต่ถ้าลองก้าวเข้าไปอยู่ภายใน มันไม่มีทางง่ายดังปากว่า
ขนตาของเราที่เรามองไม่เคยเห็นมันนอกจากส่องกระจก คือคำตอบที่ชัดเจน

พี่ก็ได้แต่หวังนะต้อล
หวังว่า น้องจะมีกระจกที่ใส ชัด แจ๋ว จนมองขนตาตัวเองได้ชัดเจน





ความจริงก็คิดอยู่นานเหมือนกันว่าจะเอามินิคอนนี้มาเขียนดีไหม
พอจะเขียน มันก็ต้องกลับมาคิดว่าตรงไหนที่แตะได้ ต้องไหนต้องปล่อยมันไป

เรื่องราวในโลกใบนี้
เรื่องที่พูดได้แต่เขียนไม่ได้ก็มีไม่น้อย
แต่ไอ้เรื่องที่คิดได้แต่พูดไม่ได้ยิ่งเยอะกว่า

ขีดจำกัดแบบนี้คือความลำบากใจที่มาจากเงื่อนไข
เงื่อนไขของความเป็นคนสังคมและเงื่อนไขของกฎหมาย

เงื่อนไขของกฎหมายมันดูชัดแจ้งและจัดการได้ง่ายกว่าถ้าเราศึกษามันได้ลึกซึ้งพอตัว
แต่เงื่อนไขทางสังคมนี่สิ เงาที่จับต้องไม่ได้ ทำให้ยากจะรับมือ




เพราะอย่างนี้คิวถึงได้ตัดสินใจเขียนลงบล็อกแทนที่เป็นกระทู้
นอกจากเพราะความยาว(ที่โดน...ใครบางคนบังคับให้เขียนเรื่องราวทั้งคอน)จนเกินเหตุแล้ว
ความในใจบางอย่างก็จะได้เขียนได้โดยไม่ต้องมีลูกเกรงใจ


คิวว่าคิวก็แฟร์อยู่นะ....ทั้งนัททั้งต้อล...คิวหาข้อมาติพร้อมกันไปเลย
พี่ก็รู้ว่าคนอย่างคิว ถ้าไม่มีความรู้สึกดีดีมอบให้ คิวจะไม่แตะ ไม่แล พร้อมมองผ่าน
ซึ่งคิวก็คิดว่าพี่คงไม่ต่างจากคิวเท่าไร ถ้าพี่ไม่แคร์ พี่คงไม่ใส่ใจจนเอาเรื่องของน้องมันมาเป็นอารมณ์
พี่คงไม่รู้สึก ไม่โมโหขนาดนี้...จริงไหมล่ะ
จะรักนัทเอ็นดูต้อล หรือรักต้อลเอ็นดูนัท....สำหรับคิวไม่ต่างเลย





ก็หวังว่าพี่เจนจะเข้าใจ สิ่งที่คิวคิด

ความคิดของคิวมันก็แค่ความคิดเล็กๆบนโลกใบนี้ที่จะเอาเป็นแก่นสารก็ยากอยู่
คิวคิด...สิ่งที่คิดก็เป็นแค่ความคิดของคนหนึ่งคน
คนหนึ่งคนที่ไปคิดที่คนอื่นไม่ได้ และไม่อาจเป็นตัวแทนใครนอกจากตัวเอง


วิธีนึงที่คิวเอามาใช้เพื่อหาทางเอาตัวรอดไปวันๆบนโลกที่มีแรงโน้มถ่วงใบนี้ ก็คือ
ถ้าของที่ถืออยู่ในมือมีมากนัก ทิ้งได้ก็ทิ้งเหอะ เราจะไปไหนได้ไกลขึ้นและอิสระขึ้น
แล้วถ้าของที่ถือมันหนัก ถ้าวางได้ก็วาง ตัวเราเองจะได้เบาลง
แต่ขอเตือนนิดเดียวเอง อย่าปล่อยก่อนวางนะ มันจะตกใส่เท้า เสียทั้งของเจ็บทั้งตัวและใจ
วางเบาๆแล้วค่อยปล่อยมือ ของมันจะได้ไม่บุบสลายนะพี่นะ....รักจ้า












Create Date : 15 พฤศจิกายน 2551
Last Update : 15 พฤศจิกายน 2551 13:08:30 น. 5 comments
Counter : 610 Pageviews.

 
"ต้อลอาจไม่ได้รับรู้ เพราะความเงียบมันไม่มีเสียง"

ถ้าบางครั้ง 'ความเงียบ' มันมีเสียงออกมาบ้าง... น้องอาจจะได้รู้ว่าต้องจัดการยังไงกับความเงียบเหล่านั้น.. มั้งคะ ^^

ขอบคุณสำหรับข้อเขียนที่ทั้งสนุกสนาน วิจารณ์ และได้แง่คิดยาวมากกกกกอันนี้นะคะ ^^


ชอบไอ้นี่ด้วย

"อย่าปล่อยก่อนวางนะ มันจะตกใส่เท้า เสียทั้งของเจ็บทั้งตัวและใจ
วางเบาๆแล้วค่อยปล่อยมือ ของมันจะได้ไม่บุบสลายนะพี่นะ"


โดย: tazzz วันที่: 17 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:33:50 น.  

 
ขอบคุณเรื่องเล่าและข้อคิดของ คุณคิวนะคะ

เป็นหนึ่งใน "ความกริบ" เหมือนกันค่ะ


ปติช ตามอ่านกระทู้ของคุณคิวเสมอค่ะ



โดย: เบนซิน9*1 วันที่: 17 พฤศจิกายน 2551 เวลา:16:54:30 น.  

 
ขอบคุณคุณtazzz คุณเบนซิน9*1 ที่เข้ามา(ทน)อ่านด้วยค่ะ

...................

ความเงียบเหรอคะ

เราเคยอยู่ในเหตุกาณ์ที่ "ความเงียบมันเกิดเป็นเสียง" ขึ้นมาด้วยน่ะสิคะ
เห็นความน่ากลัว และที่เหลือคือความเสียใจ
จนในที่สุด ความรู้สึกดีดีก็ไม่อาจกลับมาได้อีก

ถึงแม้จะรู้ว่า ต้อลเป็นเด็กที่เป็นผู้ใหญ่กว่าที่เห็น และมีความคิดกว่าที่หลายๆคนคาดไว้
ก็ยังหวังว่าถ้าน้องต้องเจอ ก็ขอให้เจอเป็นความเงียบที่มากับเสียงกระซิบจะดีกว่าค่ะ

เรายังเห็นเด็กผู้ชายร่างโย่งคนนี้เป็นน้องเป็นนุ่งชวนคอยเป็นห่วงอยู่ดีล่ะค่ะ


โดย: Quaver วันที่: 18 พฤศจิกายน 2551 เวลา:18:51:07 น.  

 
อ่านจบแล้วขอบอกว่าอ่านไปกลั้นหายใจไป

เป็นหนึ่งในความเงียบที่เคยมีเสียง

แต่ตอนนี้เป็นความเงียบที่ไม่มีเสียงไปแล้วค่ะ

เกือบไปแล้วเหมือนกัน อีกนิดเดียวเอง...

ห่วงเรื่องนี้มานาน...จนเลิกห่วง

เพราะคิดว่าสุดท้ายแล้วคนที่จะเห็นได้ชัดเจนที่สุดคือตัวน้องเอง

ขอให้น้องเจอกระจกสะท้อนใสกิ๊งไวๆนะคะ



โดย: gibt วันที่: 26 พฤศจิกายน 2551 เวลา:11:48:18 น.  

 
บล็อกนี้พี่ใส่ความเห็นส่วนตัวลงไป คิดว่าแรงเหมือนกัน

ปกติกับนัทต้อล ถึงจะมีเรื่องขัดหูขัดตาผ่านสายตามาให้ชวนหงุดหงิดบ้าง
แต่พี่ก็มักจะเว้นไม่ค่อยแตะหรือติ
คงเพราะเรามีความเอ็นดูเป็นพื้นฐาน

แต่....

ยังไงล่ะ

เรื่องราวคราวนี้ มันมีคนที่รู้สึกไม่ดีกับมัน

พี่ก็เลยลองเอามาแตะดู

แตะเพื่อบอกกับตัวเอง ทำความเข้าใจกับตัวเอง

และแอบขอแทรกความเข้าใจในตัวเด็กสองคนให้กับคนที่อารมณ์กรุ่นพออารมณ์ดีขึ้นบ้าง

...บางทียังแอบคิด เราทำถูกไหมน้า
แต่ก็ยังวางใจว่ามันเป็นแค่บล็อกส่วนตัว ไม่เปิดเผยเท่ากระทู้
นะ........



โดย: Quaver วันที่: 28 พฤศจิกายน 2551 เวลา:12:04:25 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

Quaver
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 77 คน [?]




เป็นคนหัวแข็งที่มาพร้อมรอยยิ้มอ่อนๆ
เป็นคนหัวอ่อนที่มาพร้อมท่าทางแข็งๆ




Friends' blogs
[Add Quaver's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.