c'est la vie
ก็รู้อยู่หรอกว่านิสัยส่วนตัวคนทุกคนมันต้องมีทั้งความอิจฉาริษยารวมทั้งอคติ เพียงแต่จะมากจะน้อยหรือข่มได้มากน้อยขนาดไหน แต่นี่ตั้งแต่วันจันทร์เป็นต้นมาเราก็ได้ยินแต่เรื่องคนขี้อิจฉากับคนขี้ฟ้องเอาหน้าตลอดทั้งอาทิตย์ ถึงเราจะไม่โดนเอง แต่นี่กับคนที่รายล้อมรอบตัวทั้งนั้น ถามว่ากลัวไหมคงต้องตอบได้อย่างมั่นใจว่าเราไม่กลัวที่จะโดนใครจะเล่นงานอะไรเราก็ช่างเถอะ ปลงแล้ว และที่สำคัญทุกวันนี้ไม่ว่าจะทำอะไรก็ไม่ค่อยจะสนและเกรงใจใครอยู่แล้วไม่ใช่เพราะเราดันต้องเป็นคนรับหน้าและคนกลางให้กับเหล่าบิ๊กๆ ด้วยความทรนงว่าหากฉันไม่อยู่คนอื่นก็รับหน้ากันเองก็แล้วกัน แต่ด้วยการตัดสินใจแน่วแน่แล้วว่า จะสนทำไมเดี๋ยวก็จะได้ลาออกอย่างที่อยากทำมาตั้งแต่เข้าบริษัทได้วันเดียวแล้ว ถ้าใครฟ้องจะได้ออกโดยไร้ข้ออ้างอะไรอีกและร่นเวลาให้เร็วขึ้นอีกด้วย ดีใจนะนั่น ไม่ใช่อื่นใด
คนเรามักเป็นโรคอยู่อย่างที่จับได้คือพอตัวเองทำผิดตอนทำมักไม่กลัวพอทำแล้วเห็นคนอื่นเดือดร้อนเริ่มเข้าสู่ภาวะถอยหนี และแสดงสัญชาติ วัวสันหลังหวะ ออกมาได้ทันทีทันใด พฤติกรรมก็เปลี่ยนในบัดดล การที่เราทำตัวเป็นคนไม่รู้เรื่อง และไม่รู้อะไรเลยนี่ทำให้จับสังเกตคนได้มากมายเลย อยู่เฉยๆ นิ่งๆ ไม่ต้องสอดรู้สอดเห็นก็มีเรื่องมาเข้าหูเอง จะว่าไปไม่ใช่ว่าเราไม่เคยโดน เคยโดนเล่นในสงครามเย็นเต็มๆ ว่าเราโดนแกล้งซะจนอยากลาออก จนหัวหน้าต้องพาออกข้างนอกไปกินข้าวไปคุยไปเป็นการส่วนตัวเนี่ย ถามแบบซีเรียสว่าเป็นเรื่องจริงรึเปล่า ที่จริงเรื่องอยากลาออกน่ะจริงแต่เป็นจริงมานานมากแล้วยังไม่ได้ทำสักที แต่ถ้าไปบ่นให้ใครฟังคงไม่มีแน่เพราะเคยมีประสบการณ์จากเพื่อนว่าเพราะไปเล่าให้ฟังก็เลยโดนลูกอีช่างฟ้องเล่นเอาน่ะสิ แต่เรื่องนั้นก็มีอันเงียบไป จนตอนนี้เริ่มมีเสียงขึ้นมาอีกแล้วและโดนไปเต็มๆ คนนึงจนยื่นใบลาออกไปแล้ว รายต่อไปจะเป็นใครนะ เราหรือใคร?...
...เพราะฉะนั้น ฉันจึงทรนงในศักดิ์ของตน ไม่สนใจใคร...
Create Date : 22 มิถุนายน 2549 |
|
0 comments |
Last Update : 26 มิถุนายน 2549 20:20:59 น. |
Counter : 746 Pageviews. |
|
|
|