เวลาเดินเท่ากันทุกคนแต่หัวใจเราเต้นไม่เท่ากัน ...

<<
ตุลาคม 2553
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
23 ตุลาคม 2553
 

ถือหุ้นกี่ตัวดีครับ ? How many stocks should I carry in my portfolio?

วันนี้ขอเขียนไรเบาๆ ด้วยคำถาม ยอดนิยม ....
สมัยแรกๆ เป็นคำถามในใจ จนบัดนี้ก็ยังเป็นคำถามที่คาใจ เขียนตอนนี้ก็ยังตอบไม่ได้....
ได้ทดลองพอร์ท ตัวเองหลากรูปแบบ ปรับเพื่อมาดูว่า แบบไหนให้ผลตอบแทนได้ดี และเหมาะสมกับตัวเอง
(ผมคิดว่า ในตลาดกระทิงหรือตลาดที่เป็น Side way up แบบนี้ เหมาะสำหรับการทดลองในสิ่งที่อยากรู้)
...
ใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว หรือ อย่าใส่ไข่ในตะกร้าใบเดียว ก็ยังเป็นคำตอบ ที่มีสองแนวคิด มาดูทัศนคติของกูรูต่างๆ ผมดึงประโยคและสรุปKeyword ออกมาให้อ่านกัน..

คนแรก Peter Lynch

1. “ประเด็นก็คือ การไม่อิงอยู่กับจำนวนหุ้น แต่ขึ้นอยู่กับ การตรวจสอบว่ามันดีแค่ไหนทีละตัว”
2. ในมุมมองของผมมันเป็นเรื่องดีที่จะเป็นเจ้าของหุ้นมากที่สุดตามที่มีสถานการณ์ต่อไปนี้ คือ คุณมีข้อได้เปรียบ และคุณได้ค้นพบเป้าหมายที่น่าตื่นเต้นที่ผ่านการวิเคราะห์มาอย่างดี อาจจะเป็นไปได้ที่มันมีเพียงตัวเดียว หรือ อาจจะมีเป็นโหล
3. อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องที่ไม่ปลอดภัยที่จะถือหุ้นเพียงตัวเดียว เพราะแม้ว่าคุณจะดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว ตัวที่คุณเลือกอาจจะตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์ที่ไม่คาดคิดได้เสมอ ในพอร์ทขนาดเล็กผมจะสบายใจที่จะมีหุ้นระหว่าง 3-10 ตัว โดยพบว่ายิ่งคุณถือหุ้นมาก ก็มีโอกาสมากขึ้นที่ตัวใดตัวหนึ่งจะกลายเป็นหุ้นสิบเด้ง ความหมายคือ ในเมือไม่มีทางที่จะคาดสิ่งที่ไม่คาดฝันดีๆ คุณจึงควรเพิ่มโอกาสที่จะได้ประโยชน์จากมันโดยการถือหุ้นหลายๆตัว และยิ่ง คุณมีหุ้นมาก คุณก็มีความคล่องตัวที่จะสับเปลี่ยนเงินทุนระหว่างมัน ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับผม



คนที่สอง warren buffet

1.ในหนังสือ How buffet Does it หัวข้อ “อย่าตีบอลทุกลูกที่ขว้างมา ’’ กล่าวว่า การตัดสินใจลงทุนที่ถูกต้องปีละครั้ง นั้นถือว่าทำได้ดีมากแล้ว
2. วอเร็น เรียกตัวเองว่า เป็น นักลงทุนแบบโฟกัส หรือนักลงทุนที่เน้นในหุ้นนอ้ยตัว โดยมีKey word อยู่สองประโยค
-หาบริษัทที่โดดเด่น และบริหารโดยผู้บริหารที่แข็งแกร่ง
-น้อยกว่า คือ มากกว่า หมายความว่าไง เข้าทำนอง มีหุ้นไม่กี่บริษัทแต่เรารู้ลึกในแต่ละบริษัทนั่นเอง
มีประโยคเด็ดของวอเรน ที่ผมชอบ “ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่รู้อะไรบ้างก็จะสามารถเข้าใจการทำกำไรของธุรกิจและสามารถที่จะหาบริษัทที่มีราคาเหมาะสม 5-10แห่งที่มีความได้เปรียบทางการแข่งขันระยะยาว ที่สำคัญ การกระจายความเสี่ยงโดยการถือหุ้นจำนวนมากๆ ก็ไม่มีเหตุผลสำหรับคุณ”
3. buffet เคยยกตัวอย่างว่า “ลองคิดว่าถ้าท่านเป็นสุลต่านเจ้าของฮาเร็มที่มีนางสนมเป็นร้อยคน การที่ท่านจะรู้จักนางสนมแต่ละคนเป็นอย่างดีนั้น คงน้อยกว่าการที่ท่านมีพระราชนีเพียงพระองค์เดียวเป็นอย่างมาก” ถ้าดัดแปลงเป็นแบบไทยๆ คงต้องบอกว่า “ถ้าท่านมีกิ๊กสักสิบคน ท่านคงไม่เข้าใจกิ๊กของท่านทุกคนเป็นอย่างดี เท่ากับท่านมีภรรยาเป็นตัวเป็นตนเพียงแค่คนเดียว”
ความหมายก็คือการถือหุ้นหลายๆ ตัว อย่างที่นักลงทุนชอบทำกันนั้นยิ่งมีเสี่ยง
ความเสี่ยงในความหมายของ buffet ไม่ได้หมายถึง”ราคาหุ้น”ที่ผันผวนในระยะสั้น
การที่เราจะเข้าใจในหุ้นของบริษัทที่เราลงทุนเป็นอย่างดีนั้น ต้องมีการศึกษาและวิเคราะห์บริษัทอย่างละเอียด ซึ่งต้องใช้เวลาและ ยิ่งเราเข้าใจในธุรกิจนั้นมากเท่าไหร่ ก็ทำให้ความมั่นใจในการลงทุนนั้นมากขึ้น
ดังนั้นการที่เราถือหุ้นจำนวนมาก ยิ่งเป็นธุรกิจที่แตกต่างกันก็ต้องใช้ความสามารถ และการศึกษาหาข้อมูลเป็นอย่างมาก โอกาสที่เราจะไม่เข้าใจในธุรกิจทั้งหมดที่มีก็มากขึ้น ความเสี่ยงในการลงทุนก็เพิ่มขึ้น
ในความเห็นของ buffet ความเสี่ยงในการลงทุนลดลงได้ด้วยการทำความเข้าใจในธุรกิจที่จะลงทุนให้มาก ยิ่งเข้าใจมากเท่าไหร่ ความเสี่ยงในการลงทุนก็ลดลงมากขึ้นเท่านั้น
การกระจายความเสี่ยงตามทฤษฎีสมัยใหม่นั้น buffet บอกว่ามีไว้สำหรับ”นักลงทุนที่ไม่รู้อะไรเลย” เพราะเราไม่รู้เราจึงจำเป็นต้องถือหุ้นหลายๆตัวเพื่อลดความเสี่ยง

…..

ผมยกสองกุรูมาเปรียบเทียบ จะเห็นแนวคิดที่แตกต่างกัน...
ขอย้อนมาที่คำถาม ควรจะถือหุ้นกี่ตัว...
มันก็ไม่มีคำตอบตายตัว แต่คำตอบอย่างหนึ่งที่พอจะนึกไค้คือ
ไม่มีแนวคิดที่ถูกต้องสำหรับทุกๆคน แต่มีวิธีการคิดต่างหากที่คุณต้องหาว่าแบบไหนที่จะเหมาะกับคุณ

เพราะฉะนั้นคำตอบ อยู่ที่ตัวคุณเอง ที่จะพร้อม ใส่ใช่ในตะกร้าใบเดียว หรือ ใส่ในตะกร้าหลายๆใบ
สุดท้าย.... คุณได้ลองหรือยังว่าวิธการแบบไหนเหมาะกับตัวคุณ ?





 

Create Date : 23 ตุลาคม 2553
4 comments
Last Update : 23 ตุลาคม 2553 20:25:53 น.
Counter : 3496 Pageviews.

 
 
 
 
ขอบคุณ สำหรับบทความดีๆ

:D
 
 

โดย: คนกิ๊กก๊อก IP: 113.53.202.134 วันที่: 23 ตุลาคม 2553 เวลา:20:51:21 น.  

 
 
 
Warren Buffett
 
 

โดย: jejeeppe วันที่: 23 ตุลาคม 2553 เวลา:20:56:54 น.  

 
 
 
เกลียดคำตอบที่ว่า "แล้วแต่หรือขึ้นกับตัวคุณ" จังเลยอ่ะ แม้ว่ามันจะจริง! 555

ใช่แล้วแหละเป็นคนเข้ามาลงทุนในตลาดฯเหมือนกัน เป้าหมายสุดท้ายก็ไม่ค่อยต่างกันคือได้ "ส่วนเกิน" แต่มีปัจจัยหลายอย่างที่ต่างกัน

ก็คงต้องยอมรับคำตอบของคุณแม้จะอยากได้คำตอบแบบฟันธง 555555555555
 
 

โดย: punni IP: 203.155.224.203 วันที่: 13 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:15:38:15 น.  

 
 
 
คนแต่ละคนมีนิสัย ต่างกัน
บางคน รอ ได้ บางคน รอ ไม่ได้..
บางคนชอบมาสาย บางคนตรงเวลามากๆ

เช่นกัน บางคนชอบเสี่ยงมาก บางคน ไม่ขอเสี่ยงดีกว่า...

ดังนั้นแนวคิดนี้จึงเป็นแนวคิดกว้างๆ เพื่อให้เห็นมุมมองต่างๆที่เราต้องเข้าไปศึกษาเพิ่มเติมอีก

บางคน อยู่มาทั้งชีวิตแต่ไม่เคยตรวจทาน ตัวเองเลย ฟังคนอื่นบอก เชื่อคนอื่นบอกว่า ตัวเราเป็นเช่นนี้ๆ

ดังนั้น การลงทุนด้วยการหาคำตอบ ความเหมาะสมของตัวเองต่อการลงทุน ก็เสมือนเป็นการค้นหาตัวตนของตนเองเช่นกัน ครับผม

 
 

โดย: kunjoja IP: 125.27.143.242 วันที่: 17 กุมภาพันธ์ 2554 เวลา:6:23:42 น.  

Name
Opinion
*ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก

kunjoja
 
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




[Add kunjoja's blog to your web]

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com