Group Blog
ธันวาคม 2550

 
 
 
 
 
 
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
16
17
18
19
20
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
 
 
All Blog
คุณน่าจะพูดภาษาอังกฤษได้ ถ้าคุณขี่จักรยานเป็น ?!?
คุณขี่จักรยาน ขับรถ ว่ายน้ำ หรือเล่นดนตรีเป็นไหมครับ ถ้าคุณทำสิ่งเหล่านี้ได้ คุณก็น่าจะพูดภาษาอังกฤษได้เหมือนกัน เพราะสิ่งที่ผมยกตัวอย่างก็เหมือนกับการฝึกฝนภาษาอังกฤษ เพราะมันคือ “ทักษะ (Skill)”

ใครที่ทำไม่ได้สักอย่าง อย่าเพิ่งน้อยใจ อีกตัวอย่างที่ง่ายที่สุดของการเป็นทักษะก็คือ คุณเคยสังเกตไหมว่า เวลาใส่เสื้อทุกเช้า คุณเริ่มสอดแขนไหนก่อน? แล้วเวลาถอดเสื้อ คุณถอดแขนไหนก่อน? ผมให้เวลาคุณคิด 5 วินาที น่าแปลกไหมว่า คุณใส่และถอดเสื้อทุกวันมาไม่รู้กี่ปีกลับต้องคิดทบทวนก่อนตอบคำถามเหล่านี้ แต่ทำไมเวลาใส่เสื้อไม่ต้องคิดก่อน นี่คือตัวอย่างของคำว่า “ทักษะ” เพราะอะไรที่เป็นทักษะ คุณจะทำได้อย่างคล่องแคล่วซึ่งเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องคิดก่อนทำ อีกตัวอย่างเช่น การว่ายน้ำ เวลาว่ายน้ำก็ไม่มีใครคิดว่า จะยกแขนซ้ายหรือขวาดี แต่แขนก็ยก ขาก็ตีน้ำโดยอัตโนมัติ หรือเวลาขับรถ โดยเฉพาะคนขับรถเกียร์กระปุก ขาซ้ายเหยียบคลัทช์ ขาขวาเหยียบคันเร่ง มือซ้ายเปลี่ยนเกียร์ มือขวาบังคับพวงมาลัย ส่วนลูกตาทั้งสองจ้องมองไปข้างหน้า ต้องใช้ประสาทสัมผัสแทบทุกส่วน บรรยายแล้วดูเหมือนจะยาก แต่เวลาทำจริงกลับเป็นไปโดยอัตโนมัติ ไม่ต้องคิดมากและไม่ยากอย่างที่คิด

นอกจากนั้น ข้อดีที่โดดเด่นมากของการมีทักษะคือ ถ้าทำเป็นแล้ว คุณจะทำมันได้ตลอดชีวิต เช่น ถ้าคุณขับรถเป็น แล้วหยุดขับไปสัก 1-2 ปี เวลากลับมาขับรถอีกที ก็ไม่ต้องไปเรียนขับรถใหม่ หรือคุณว่ายน้ำเป็น แต่ไม่ได้ว่ายมาเป็นปี วันดีคืนดีตกน้ำ ก็ยังว่ายได้โดยอัตโนมัติ

เกริ่นมานาน คุณอาจจะสงสัยว่า “ทักษะ” เกี่ยวอะไรกับภาษาอังกฤษ? ผมอยากจะบอกว่า ภาษาทุกภาษาทั่วโลกก็เป็นทักษะอย่างหนึ่งเหมือนกับการว่ายน้ำ ขี่จักรยาน ขับรถหรือเล่นดนตรี ซึ่งกว่าจะทำจนคล่อง ก็จะต้องลงมือปฏิบัติอย่างจริงจังเป็นเวลานานพอสมควร อีกทั้ง ยังไม่สามารถเรียนแต่ภาคทฤษฎีได้ ลองคิดดูสิครับ ขืนครูสอนเทคนิคการว่ายน้ำแต่ในห้องเรียน นักเรียนจะว่ายน้ำเป็นได้อย่างไร? และถ้าฝึกไม่เพียงพอจนกระทั่งพัฒนาเป็นทักษะที่สมบูรณ์ อย่างเช่นคุณฝึกแค่อาทิตย์ละ 1 ชั่วโมง ฝึกไป 2-3 สัปดาห์ก็เลิกฝึก คุณก็จะทำไม่ได้อยู่ดี เพราะยังขาดการเป็นทักษะที่สมบูรณ์ เรื่องของภาษาก็เช่นกัน หากคุณมีพัฒนาการทางทักษะภาษาไทยสมบูรณ์ตั้งแต่เด็กๆ คือใช้ภาษาไทยได้คล่อง แล้วให้ไปอยู่ต่างประเทศสัก 10 ปีโดยไม่ได้ใช้ภาษาไทยเลย กลับมาประเทศไทย คุณก็น่าจะยังพูดภาษาไทยได้อยู่ดี เพราะภาษาไทยได้รับการพัฒนาเป็นทักษะที่สมบูรณ์แบบแล้วนั่นเอง

ดังที่เกริ่นไว้ข้างต้น อะไรก็ตามที่ทำจนกระทั่งเป็นทักษะที่สมบูรณ์จะติดตัวไปจนตาย บังคับให้ลืมก็ไม่ได้ บางคนอาจจะเถียงว่า แล้วทำไมดาราลูกครึ่งบางคนจึงพูดภาษาไทยไม่ชัด? ถ้าคุณสืบประวัติคนเหล่านั้นก็จะทราบว่า ตอนเด็กๆ เขามักจะไม่ได้อยู่ในสังคมที่ใช้ภาษาไทยเป็นหลัก ทำให้พัฒนาการทางทักษะภาษาไทยยังไม่สมบูรณ์ ส่งผลให้พูดภาษาไทยไม่ชัดมาจนถึงปัจจุบัน คราวนี้ลองหันมามองทักษะภาษาอังกฤษของคุณดูบ้าง มันเป็นทักษะแล้วหรือยัง? คุณได้ใช้บ่อยจนกระทั่งกลายเป็นทักษะหรือไม่?

คนไทยส่วนใหญ่ใช้ภาษาอังกฤษในชีวิตประจำวันน้อยมาก แถมยังขยันเรียนภาคทฤษฎีกันเข้าไป ไม่ว่าจะท่องศัพท์ เรียนไวยากรณ์ จำรูปประโยค ฯลฯ แต่กลับไม่ค่อยได้ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง อย่าลืมสิครับว่า ภาษาอังกฤษก็เป็นทักษะ ถึงเรียนทฤษฎีแทบตาย แต่ไม่ลงมือปฏิบัติอย่างจริงจัง แล้วจะพัฒนาเป็นทักษะที่สมบูรณ์ได้อย่างไร? คุณเคยสังเกตไหมว่า เวลาพูดภาษาไทย ทำไมไม่ต้องคิดศัพท์ภาษาไทย? ทำไมไม่ต้องคิดถึงหลักภาษาก่อนพูด? ทำไมไม่ต้องผันวรรณยุกต์ของแต่ละคำ? นั่นก็เพราะการใช้ภาษาไทยของคุณเป็นทักษะที่สมบูรณ์แล้ว คือสามารถพูดได้โดยไม่ต้องคิดเรื่องหลักภาษาอีกต่อไป ในทางตรงกันข้าม กระบวนการพูดภาษาอังกฤษของคุณต้องคิดเป็นไทยก่อนแล้วหาศัพท์ คิดรูปประโยค เรียบเรียงประโยค นี่คือตัวอย่างของ “ทักษะที่พัฒนาอย่างไม่สมบูรณ์และผิดวิธีตามธรรมชาติ” ผลร้ายก็คือ คุณไม่สามารถพูดได้อย่างอัตโนมัติ เพราะต้องคิดเป็นไทยก่อนและต้องคิดเยอะมากกว่าจะพูดออกไปแต่ละประโยค ซ้ำร้าย ทักษะอะไรก็ตามที่พัฒนาอย่างไม่สมบูรณ์นั้นพร้อมจะเลือนหายไปจากสมอง หากไม่ได้ใช้เป็นเวลานาน

น่าเสียดายที่คนไทยส่วนใหญ่ได้รับการพัฒนาทักษะทางภาษาอังกฤษมาแบบไม่สมบูรณ์ ส่วนใหญ่ก็เรียนมาแบบท่องจำเพื่อเอาไว้สอบ พอสอบเสร็จ ก้าวออกมาจากห้องสอบก็คืนครูไปแล้วครึ่งหนึ่ง พอผ่านไปไม่นานก็ลืมหมด ลองคิดดูสิครับว่า ตอนนี้คุณยังจดจำบทเรียนอะไรสมัยที่คุณยังเป็นนักเรียนหรือนักศึกษาได้บ้าง นี่ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการพัฒนาทักษะที่ไม่สมบูรณ์ เรียนแล้วไม่นำไปใช้ ไม่ได้ฝึกฝน ไม่นานก็ลืม

พูดถึงเรื่องทักษะ ผมมีประสบการณ์การฝึกทักษะที่อยากจะเล่าคือ ผมมาหัดเรียนเปียโนตอนเป็นผู้ใหญ่แล้ว (อายุเกือบจะ 30...ไม่อยากใช้คำว่า “เริ่มเรียนตอนแก่”) หลังจากพยายามมา 2-3 ครั้งแล้ว เรียนๆ เลิกๆ แถมเมื่อก่อนไม่มีเปียโนที่บ้าน (ไม่กล้าลงทุนเพราะกลัวซื้อแล้วเล่นไม่เป็น จะกลายเป็นแค่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นงามประดับบ้าน) ได้ซ้อมแค่ตอนไปเรียนที่บ้านครู จึงกลายเป็นการเรียนรู้ที่ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง เพราะการเรียนเปียโนก็เป็นการฝึกทักษะอย่างหนึ่ง ดังนั้น หากไม่ได้ฝึกฝนก็อย่างได้หวังว่าจะเล่นเป็น แต่ด้วยความที่ชอบเสียงเปียโนเป็นชีวิตจิตใจจึงหันกลับมาเรียนอีกครั้ง คราวนี้ลงทุนซื้อเปียโนไฟฟ้าราคาถูกๆ และไปเรียนทุกวันเสาร์ โดยในตอนเช้า ผมไปสอนภาษาอังกฤษก็จะพร่ำบ่นว่านักเรียนที่ไม่ทำการบ้านภาษาอังกฤษที่ให้กลับไปฝึกฝน เลยไม่มีพัฒนาการ พอตกเย็น ผมก็ไปเรียนเปียโน คราวนี้ผมแปลงร่างจากครูกลายเป็นนักเรียน เรื่องที่ตลกคือ เดี๋ยวนี้กรรมติดจรวดจริงๆ ครับ ผมโดนครูสอนเปียโนต่อว่าในเรื่องการฝึกฝนเปียโนน้อยเกินไป ซึ่งทุกครั้งที่ครูว่า ผมมักจะยิ้มน้อมรับคำของครูแต่โดยดีอย่างรู้ซึ้งถึงคำสอนของครู เพราะไม่ว่าจะเป็นการเรียนภาษาอังกฤษหรือเรียนเปียโน หลักการเรียนการสอนก็เหมือนกัน อย่างการฝึกเปียโน ถ้าผมฝึกแค่ครึ่งชั่วโมง สัปดาห์ละไม่กี่ครั้ง ก็ทำให้เล่นไม่ได้อยู่ดี แต่หากผมฝึกนานสัก 2-4 ชั่วโมง ชั่วโมงหลังๆ นี่เล่นพลิ้วจนตัวเองยังตกใจ เพราะเล่นจนชินและชำนาญ นี่แหละครับที่เรียกว่าเป็น “ทักษะ” คนที่เล่นดนตรีเป็นน่าจะรู้ซึ้งถึงสัจธรรมข้อนี้เป็นอย่างดี

อีกเรื่องหนึ่งที่ผมอยากจะเล่าคือ มีนักเรียนของผมคนหนึ่งมาขอคำปรึกษาเรื่องการสอบสัมภาษณ์งานเป็นภาษาอังกฤษให้มีสำเนียงแบบฝรั่ง โดยจะสอบในสัปดาห์หน้า ผมได้แต่บอกให้เขา “ทำใจ” เพราะอย่างที่บอกว่า ภาษาเป็นทักษะที่ต้องอาศัยการฝึกฝนอย่างหนักเป็นเวลานาน อย่างน้อยก็หลายสัปดาห์ ดังนั้น ถ้าคุณไม่พร้อม โอกาสดีๆ ก็จะตกไปอยู่กับคนที่พร้อมมากกว่าคุณเท่านั้นเอง ผมอาจช่วยได้ว่า ควรตอบคำถามอย่างไร แต่ถ้าเกิดเขาถามนอกเหนือจากที่ผมบอก เขาก็จะเห็นทักษะทางภาษาที่แท้จริงของคุณอยู่ดี ผมเคยเจอกรณีอย่างนี้มาเยอะจนอยากจะเตือนผู้ที่อยากมีอนาคตสดใสว่า รีบฝึกภาษาอังกฤษเสียตั้งแต่วันนี้เถอะครับ เผื่อวันหน้า หากมีโอกาสดีๆ เข้ามาในชีวิต คุณจะได้คว้าไว้ก่อนที่จะหลุดลอยไปหาคนอื่นที่พร้อมกว่าคุณ



Create Date : 15 ธันวาคม 2550
Last Update : 15 ธันวาคม 2550 19:44:44 น.
Counter : 2421 Pageviews.

3 comments
  
ขอ แอดไว้เป็นที่ระลึกนะครับ
อุดมการณ์คุณค่อนข้างคล้ายกับของผมเลย

ว่างๆก็ไปเยี่ยมแล้วเมนต์ให้ผมบ้างก็ดีนะครับ

มา เรามาแลกเปลี่ยนความรู้กัน
โดย: ท่าน Inw_BlT (BlT_HorroR ) วันที่: 16 ธันวาคม 2550 เวลา:19:03:11 น.
  
อยากฝึกพูดอังกฤษให้เก่งเหมือนกันเคยคิดอยากเข้าไปทำงานเป็นอาสาสมัครที่มีฝรั่งอยู่ด้วยจะได้ฝึกพูดและก็มีเพื่อนเป็นฝรั่งด้วย แต่ไม่รู้ว่าจะสมัครที่ไหน ขอคำแนะนำหน่อยค่ะว่าควรจะไปทำที่องค์กรหรือมูลนิธิไหน
โดย: ning_ed IP: 203.156.86.156 วันที่: 16 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:17:23:27 น.
  
ก้อเข้าใจว่าคงจะง่ายสำหรับคนที่ทำได้แต่คนที่พยายามอน่างเติมที่อย่างเราอย่างไงๆเราก้อว่ายากเกินความสามารถ
โดย: pommy loveๆ IP: 192.168.212.13, 124.157.221.163 วันที่: 26 ตุลาคม 2552 เวลา:13:42:05 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KruFiat
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 304 คน [?]



ครูเฟียต ธีรเจต บุญพยุง
"หากคุณพูดภาษาไทยได้ คุณก็ควรจะพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการเรียนรู้ภาษาด้วยวิธีธรรมชาติเหมือนกัน"
ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook 4| | | ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook | | |3