Group Blog
มีนาคม 2552

1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
30
31
 
 
All Blog
*****ภาษาอังกฤษ…(ใครว่า) ง่ายนิดเดียว? (หรือจริงๆ แล้ว ยากเยอะกันแน่?) ตอน 1*****
หลังจากหายหน้าไปนานนนนนนนน (ตามเคย...น่าจะชินแล้วนะครับ) ก็ได้ฤกษ์กลับมาเผยแพร่ความรู้ทางภาษาอังกฤษอีกครั้ง เชิญอ่านได้ตามสบายเลยครับ

คุณคงเคยได้ยินวลีคุ้นหูที่ว่า “ภาษาอังกฤษ...ง่ายนิดเดียว” ซึ่งเจ้าของวลีเด็ดนี้คือ คุณแอนดรูว์ บิ๊กส์ ซึ่งคุณแอนดรูว์เป็นฝรั่งคนหนึ่งที่ผมชื่นชมที่สามารถพูดภาษาไทยได้อย่างชัดเจน (ชัดเจนกว่าพวกลูกครึ่งบางคนที่เป็นคนไทยแต่ไปโตเมืองนอกซะอีก)

ถ้าผมจำไม่ผิด คุณแอนดรูว์เรียนจบปริญญาตรี (เรียนเป็นภาษาไทย) ที่ม.รามคำแหง (มหาวิทยาลัยที่ได้ชื่อว่าเข้าง่ายแต่ออกยาก...ไม่ใช่เพราะหาประตูทางออกไม่เจอหรอกนะครับ แต่เพราะคนเรียนไม่จบเยอะต่างหาก ดังนั้นคนที่จบจากม.รามคำแหงจึงสมควรได้รับการยกย่อง จนมีการพูดเล่นๆ ว่า คนที่จบม.รามคำแหงสามารถทำได้ทุกอย่าง...ยกเว้นข้อสอบเอ็นทร้านซ์ ล้อเล่นนะครับ) คิดดูแล้วกันว่าขนาดคนไทยแท้ๆ ยังเรียนจบยากเลย แต่คุณแอนดรูว์ซึ่งเป็นฝรั่งก็สามารถเรียนจนจบได้ เจ๋งจริงๆ

ผมชื่นชมฝรั่งทุกคนที่สามารถพูดภาษาไทยได้ชัดเจน วรรณยุกต์ไม่เพี้ยน เพราะมันยากมากสำหรับฝรั่งที่ใช้ภาษาอังกฤษมาตั้งแต่เกิด ในภาษาอังกฤษจะไม่มีการกำกับคำด้วยวรรณยุกต์เหมือนกับภาษาไทยเรา ถ้าไม่เชื่อ คุณลองให้ฝรั่งใกล้ตัวคุณพูดผันวรรณยุกต์ตามคุณว่า “กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า” ดูก็ได้ครับ เค้าจะพูดคล้ายๆ กันหมด เป็น “กา กา กา กา กา” เพราะเค้าไม่เห็นความแตกต่างของแต่ละคำ (ผมแอบบอกวิธีแกล้งฝรั่งให้แล้วนะ) หรืออย่างคำว่า “I” ในภาษาอังกฤษที่แปลว่า “ฉัน” คุณอยากจะพูดใส่วรรณยุกต์ใดๆ ลงไป ไม่ว่าจะเป็น ไอ ไอ่ ไอ้ ไอ๊ หรือไอ๋ มันก็ยังมีอยู่ความหมายเดียวคือ “I” = “ฉัน” นั่นเอง ดังนั้นถ้าคุณให้ฝรั่งพูด “เสือ เสื่อ เสื้อ” เค้าก็จะแยกไม่ออก ทั้งๆ ที่แต่ละคำมีความหมายแตกต่างกันไปคนละเรื่องเลย

มาถึงตอนนี้คุณเริ่มจะเห็นใจฝรั่งที่ต้องเรียนภาษาไทยแล้วหรือยัง ว่ามันจะยากเย็นเพียงใด จึงไม่น่าแปลกใจที่ผมจะชื่นชม ยกย่อง ฝรั่งที่พูดภาษาไทยชัด วรรณยุกต์ไม่เพี้ยน (เพราะส่วนใหญ่ฝรั่งจะพูดภาษาไทยวรรณยุกต์เพี้ยนมากซะจนบางที ยากแก่การเดาความหมายหรืออาจจะไม่รู้เรื่องเลยก็ได้)

ผม(วิเคราะห์เอง)ว่านี่แหละคือที่มาที่คุณแอนดรูว์บอกว่า ภาษาอังกฤษ...ง่ายนิดเดียว เพราะถ้าให้ผมเทียบระหว่างฝรั่งมาเรียนภาษาไทย กับคนไทยไปเรียนภาษาอังกฤษ ผมว่าฝรั่งเรียนภาษาไทยยากกว่าเยอะ แต่ก็มีคนไทย(บางคน)แอบเถียงว่า คนไทยเรียนภาษาอังกฤษก็ยากเช่นกัน!

การเรียนภาษาอังกฤษสำหรับคนไทยยากหรือง่ายกันแน่?

พูดยากครับ เพราะการวัดระดับความยากง่ายของแต่ละบุคคลก็แตกต่างกันออกไป บางคนทำได้เร็วก็บอกว่าง่ายจัง บางคนฝึกแทบตายไม่สำเร็จสักทีก็เลยบอกว่า “ยากโครต” ผมจึงอยากบอกว่า ถ้าจะให้ฟันธงลงไปเลยว่าภาษาอังกฤษง่ายนิดเดียวจริงหรือไม่? คงจะตัดสินยาก แต่ถ้าถามความรู้สึกส่วนตัวผม ผมคิดว่า คุณเกิดมาเป็นคนไทย โชคดีที่สุดแล้ว เพราะภาษาไทยของเรามีเสียงรองรับค่อนข้างครบถ้วนสมบูรณ์แบบ คือครอบคลุมแทบทุกเสียง สระเราก็มีทั้งเสียงสั้น เสียงยาวมารองรับ เช่น สระอะ เสียงสั้น, สระอา เสียงยาว, สระอิ เสียงสั้น, สระอี เสียงยาว เป็นต้น เรามีรูปสระตั้งมากมายให้เลือกใช้ โดย 1 รูปก็มีแค่ 1 เสียงซึ่งแตกต่างจากภาษาอังกฤษที่มีรูปสระเพียงแค่ 5 ตัวคือ A, E, I, O, U แต่มีเสียงตั้ง 26 เสียงด้วยกัน ดังนั้นรูปสระในภาษาอังกฤษไม่จำเป็นต้องมีเสียงเดียวเสมอ ยกตัวอย่างเช่น

“GO” เราอ่านว่า “โก”
แต่ “TO” เรากลับต้องอ่านว่า “ทู”
ทั้งๆ ที่ใช้รูปสระโอ (O) เหมือนกัน แต่คนไทยส่วนใหญ่ก็อ่านถูกแล้ว คือไม่อ่าน “TO” ว่า “โท” (โดยเทียบเสียงจากคำว่า GO) เดี๋ยวมันจะกลายเป็น TOE (โท) ที่กลายเป็นหัวแม่เท้า เข้าให้ ตัวใครตัวมันเลยครับ

คุณเคยเห็นคนญี่ปุ่นพูดภาษาอังกฤษไหม? เสียงสระมันจะกุดๆ ไปหมด ทำให้ยากแก่การทำความเข้าใจมาก นี่แหละที่ผมบอกว่า คนไทยโชคดีที่สุดแล้ว เพราะภาษาไทยเราค่อนข้างเอื้อให้คุณพูดได้ทุกภาษาทั่วโลก เพราะมีเสียงรองรับหลากหลายนั่นเอง

แต่ในความโชคดีของการเกิดมาเป็นคนไทย มีภาษาไทยที่วิเศษสุด แต่ก็เหมือนมีกรรมมาบังอีกเช่นกัน คือวิธีการเรียนภาษาอังกฤษของคนไทยที่ไม่ค่อยทำให้คนไทยสามารถพูด-ฟังภาษาอังกฤษได้อย่างที่ควรจะเป็น ทำไมเราเรียนภาษาอังกฤษมานับ 10 ปี แต่ก็ยังพูดจาติดต่อสื่อสารไม่ค่อยได้ดั่งใจอีก ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ที่ไม่ได้ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาหลัก เค้าก็ไม่ได้เรียนภาษาอังกฤษนานอย่างคนไทยเราก็สามารถใช้งานจริงได้แล้ว ถ้าให้ผมพูดถึงเรื่องนี้คงต้องร่ายอีกยาว

ขอกลับมากล่าวถึงความยากในภาษาอังกฤษดีกว่า ต้องขอออกตัวก่อนว่า ผมไม่ได้ตั้งใจให้บทความนี้ไปบั่นทอนกำลังใจของผู้อ่านว่าภาษาอังกฤษยากเกินไปแต่อย่างใด แต่ในทางตรงกันข้าม คนไทยเรามักจะใช้ความเคยชินในภาษาไทยที่เราใช้กันอยู่ทุกวันไปใช้กับภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่มันแตกต่างกัน ดังนั้น ถ้าเรารู้ความแตกต่างกันของทั้ง 2 ภาษา เราจะได้นำความรู้เหล่านี้ไปใช้ได้อย่างถูกต้อง เริ่มว่ากันด้วยเรื่องของการออกเสียงในภาษาอังกฤษ

1) เสียงของภาษาอังกฤษที่ไม่มีในภาษาไทย

ตัวที่เด่นชัดที่สุดคือ “TH” ตัวนี้ไม่ใช่เสียง “ท” หรือ “ธ” หรือ “ซ” อย่างที่คุณอาจจะพบเจอในดิคชันนารีอังกฤษ-ไทย แต่อย่างใด เพราะการออกเสียงตัว TH ต้องแล่บลิ้นออกมาเล็กน้อย (ไม่ต้องมากนะครับ เดี๋ยวน่าเกลียด) แตะระหว่างขอบฟันบนและล่าง พร้อมพ่นลมให้เสียดแทรกออกมา เช่น

thin ไม่ได้อ่านว่า ทิน (tin) หรือ ซิน (sin) แต่ต้องแล่บลิ้นพร้อมพ่นลมออกมา น่าเสียดายที่ผมไม่สามารถทำให้ดูผ่านตัวหนังสือได้ แนะนำให้คุณลองสังเกตฝรั่งจากหนัง, ทีวี หรือมิวสิควีดีโอ เวลาเค้าออกเสียงตัว TH ดูนะครับ

ถึงตัว TH ส่วนใหญ่จะออกเสียงอย่างที่กล่าวไปข้างต้น แต่ก็มี TH ในบางคำที่ออกเสียงเป็น “ท” เหมือนในภาษาไทยเลย เช่น

Thailand เราอ่านว่า ไทย-แลนด์ (ไม่ต้องแล่บลิ้น พ่นลมออกตามไรฟันแต่อย่างใด),
thyme อ่านว่า ไทม์ เป็นชื่อพืชชนิดหนึ่งที่ใช้ปรุงอาหาร,
ชื่อคน เช่น Thomas อ่านว่า โท-มัส หรือ
Beethoven อ่านว่า บี-โท-เฟ่น

ส่วนตัว R ก็ไม่ใช่ ร.เรือ เหมือนภาษาไทย เพราะ เวลาเราพูด ร.เรือ ลิ้นเราจะกระดกขึ้นไปแตะหลังฟันบนรัวๆ แต่เวลาเราพูดตัว R ลิ้นเราจะไม่ขึ้นไปแตะรัวอย่างนั้น ปากเจ่อ ส่วนปลายลิ้นกระดกขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่แตะส่วนใดส่วนหนึ่งในช่องปาก

เสียงตัว V ก็ไม่มีในภาษาไทย เพราะไม่ใช่ทั้ง ว.แหวน อย่าง W และไม่ใช่ ฟ.ฟัน อย่าง F แต่ให้เอาฟันบนกัดริมฝีปากล่างด้านในพร้อมพ่นลมออกมาเหมือนจะพูด ว.แหวน แต่มีลมออกมาพร้อมกับปากมีการสั่นสะเทือน (ดูยุ่งยากไหมครับ)

2) ในภาษาอังกฤษ รูปกับเสียงอาจจะไม่ตรงกัน

อ๊ะ อ๊ะ... อยากอ่านต่อแล้วใช่ไหมครับ? ขอกั๊กไว้ลงตอนต่อไปดีกว่า ถ้าอยากให้ลงตอนต่อไปเร็วๆ ก็ช่วยกัน comment เยอะๆ นะครับ เมื่อผู้เขียนมีกำลังใจแล้ว จะได้มาลงให้อ่านกันต่อไวๆ ไงครับ

ส่วนใครที่จะนำบทความนี้ไปเผยแพร่ยังที่ต่างๆ ผมไม่เคยห้ามนะครับ เพียงแต่ช่วยลงเครดิตให้ผมด้วยว่ามาจาก "ครูเฟียต" เพราะผมไปเจอบทความของผมตาม web ต่างๆ มากมายแต่ไม่ลงเครดิตให้แล้วท้อใจ เลยหายไปนานเลย ถ้าเป็นอย่างนี้บ่อยๆ ต่อไปอาจจะเลิกเขียนลง web ให้อ่านกันฟรีๆ แล้วครับ เพราะท้อใจที่มีคนเอาไปแอบอ้างเผยแพร่ตามที่ต่างๆ ครับ

ครูเฟียต



Create Date : 29 มีนาคม 2552
Last Update : 29 มีนาคม 2552 20:04:31 น.
Counter : 2402 Pageviews.

21 comments
  
สมัยนี้ครูในโรงเรียนเขาไม่สอนแบบนี้กันแล้วหรือคะ ดิฉันจำได้ว่าสมัยเด็กๆ ได้เรียนอย่างที่ครูเฟียตเขียนนี้ตั้งแต่ประถมต้น...
ทำอย่างไรจึงจะให้ครูในโรงเรียนมีคุณภาพและมีความรู้ภาษาอังกฤษพอที่จะสอนเด็กได้อย่างถูกต้อง น่าจะเป็นปัญหาโลกแตกกระมังคะ...
โดย: Devonshire วันที่: 29 มีนาคม 2552 เวลา:20:04:23 น.
  
สวัสดีค่ะ คุณครูเฟียต
อาจารย์ที่วิทยาลัย บอกว่าคนทางแถบทวีปเอเชีย อย่างดิฉัน และเพื่อนร่วมห้องชาวเกาหลีเป็นต้น เราจะมีปัญหาในการออกเสียงท้ายของคำหนะค่ะ อันนี้ยอมรับว่าจริงค่ะ เพราะทำให้คนฟังไม่รู้เรื่องว่าเราพูดว่าอะไร แต่อาจาร์ยก็ให้กำลังใจให้พยายามต่อไป
โดย: ไอริน IP: 88.105.81.140 วันที่: 29 มีนาคม 2552 เวลา:22:25:44 น.
  
ตอบคุณไอริน
เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ แต่ผมว่าปัญหานี้แก้ไม่ยากหรอกนะครับ เพียงแค่ใส่สระเออะต่อท้ายทุกคำในภาษาอังกฤษ แล้วออกเสียงแค่ครึ่งเสียง (ไม่ต้องออกเต็มๆ เสียง) เช่น
like อ่านว่า ไล้-เขอะ(ครึ่งเสียงนะ)
lime อ่านว่า ไลม-เหมอะ
line อ่านว่า ไลน-เหนอะ
เป็นต้นครับ
โดย: Kru FIAT (KruFiat ) วันที่: 30 มีนาคม 2552 เวลา:1:40:01 น.
  
Good teacher
โดย: urk IP: 58.136.3.244 วันที่: 30 มีนาคม 2552 เวลา:17:25:31 น.
  
เป็นลมมม
โดย: ม๋าน้อยผู้เป็นอิสระ วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:0:12:06 น.
  
ขอบคุณค่า
โดย: แนน IP: 86.1.98.139 วันที่: 1 เมษายน 2552 เวลา:3:23:09 น.
  
ดีครับ..ขอบคุณครับ
โดย: ศร IP: 61.47.64.8 วันที่: 4 เมษายน 2552 เวลา:16:07:15 น.
  
สวัสดีค่ะ ครูเฟียต เพิ่งพบเจอ Blog นี้โดยบังเอิญค่ะ แต่ถือว่าเป็นโชคดีที่มาเจอเว็บที่ให้ความรู้ภาษาอังกฤษที่ดีมากที่หนึ่ง เป็นประโยชน์มากจริงๆ ค่ะ เป็นกำลังใจให้คนเขียนค่ะ จะรออ่านตอนต่อไปเรื่อย ๆ นะคะ
โดย: ดอกแก้ว IP: 124.121.24.175 วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:1:53:31 น.
  
มาลงชื่อรออ่านด้วยคน...ค่ะ...อย่าเล่นตัว...ให้ไวๆ...ด่วน....555 อยากอ่านค่ะ
โดย: ไหมพรมสีสวย วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:8:20:46 น.
  
มาอัพต่อไวๆนะคะ อยากอ่าน
โดย: NoName IP: 58.9.77.138 วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:13:46:26 น.
  
Useful!!! Keep going on!
โดย: Cherry IP: 118.174.79.121 วันที่: 6 เมษายน 2552 เวลา:23:07:46 น.
  
ขอบพระคุณมากค่ะ ครูเฟียต ที่ให้ตัวอย่างคำที่ออกเสียงสระเออะต่อท้ายมา ดิฉันได้ลองออกเสียงตามแล้วค่ะ จะเห็นได้ว่าการอ่าน หรือการพูดภาษาอังกฤานั้น ตามความเห็นส่วนตัวนะค่ะ เหมือนกับเราต้องจีบปาก จีบคอพูดนะค่ะ ถึงจะทำให้ออกเสียงได้ถูกต้อง
และอาจารย์ที่วิทยาลัย ก็แนะนำว่าเราควรที่จะอ่านให้มากเข้าไว้ค่ะ
โดย: ไอริน IP: 88.105.104.139 วันที่: 7 เมษายน 2552 เวลา:22:33:00 น.
  
Kru FIAT ขอ comment หน่อยนะครับ ที่ตอบคุณไอรินไปนั้น อืมจะว่าไงดี ทำไมไม่แนะนำหนังสือที่จะช่วยให้เขาออกเสียงได้ถูกต้องไปเลยครับ เพราะถ้าเขียนเป็น phonetic นั้น คำสามคำนั้นจะได้ดังนี้ครับ

like = laIk แยกได้ laI-k = ไล้ แล้วตามด้วย เคอะ ( k ครึ่งเสียง )
lime = laIm แยกได้ laI-m = ไล แล้วตามด้วย อึม ( m ครื่งเสียง )
line = laIn แยกได้ laI-n = ไล แล้วตามด้วย นึ ( n ครึ่งเสียง )

อ้างอิงจาก Oxford Advanced Learner's Compass

หมายเหตุ สำหรับสัญลักษณ์ phonetic นั้น I จะเป็น I ที่ขนาดเท่ากับ a นะครับ

สำหรับคุณ Devonshire นะครับ อืมไม่ใช่ปัญหาโลกแตกหรอกครับ เพียงแต่ว่าอาจารย์หลายท่านก็จบจากไทยครับ แล้วก็ไม่รู้ว่าแต่ละท่านหลังจากจบแล้วได้หาความรู้พิเศษเพิ่มเติมอะไรหรือเปล่า ถ้าเป็นที่อื่นนะครับ เขาก็จะมีไปสัมมนายังต่างประเทศครับ ซึ่งส่วนมากก็จะเป็นของ Oxford หรือไม่ก็ Cambridge ซึ่งจะมีจัดทุกๆ ปี สำหรับ Oxford นั้นจะจัดประมาณเดือนสิงหาคมครับ เป็นหลักสูตรระยะสั้น 2 สัปดาห์สำหรับวิชาชีพครูโดยเฉพาะครับ ก็เข้าใจนะครับ ก็เคยเห็นมาหลายท่านเหมือนกันหลักสูตรเหมือนเดิมไม่พัฒนาหนังสือก็เดิมๆ แต่ว่ามันก็อยู่ตัวเราด้วยนะครับ เดี๋ยวนี้จะรอรับอย่างเดียวไม่ได้นะครับ ต้องหาใส่ตัวเองด้วย เพราะต่อให้หลักสูตรดีเลิศปานใด หรือสถาบันดีขนาดไหน หลักสูตรแพงขนาดไหน แต่ถ้าตัวผู้เรียนไม่มีใจรัก ไม่เอาใจใส่ ก็ไม่มีทางสำเร็จหรอกครับ

ขอบคุณครับ

โอ๋
โดย: โอ๋ IP: 119.31.36.8 วันที่: 16 เมษายน 2552 เวลา:2:43:20 น.
  
ผมขอ comment ความเห็นของคุณโอ๋ หน่อยนะครับ

จากการสังเกตการ comment ของคุณโอ๋ ผมคาดว่าคุณเป็นคนที่มีพื้นฐานภาษาอังกฤษดีมากในระดับหนึ่ง หรืออาจจะเรียกได้ว่าดีกว่ามาตรฐานคนไทยทั่วไปมาก และมีทฤษฎีที่แน่นมาก แต่ผมอยากทำความเข้าใจสักเล็กน้อย ว่า ถ้าสังเกตให้ดี style การเขียนบทความลงใน blog ของผมจะไม่ได้นำหลักทฤษฎีจากตำรามาเขียนตรงๆ ผมพยายามจะถ่ายทอดทฤษฎีต่างๆ ออกมาเป็นบทความที่ผู้อ่านต้องเข้าใจได้โดยง่ายที่สุด เพราะผมเป็นครู ผมเจอลูกศิษย์มาหลายรูปแบบ คนเก่งอย่างคุณก็เคยเจอ แต่คนไทยส่วนใหญ่ไม่ใช่คนเก่งระดับคุณนะครับ ยิ่งในเรื่องของการออกเสียง มันก็ยากอยู่ที่จะเขียนเป็นภาษาไทยออกมาให้เหมือนเสียงฝรั่งเป๊ะ

ส่วนการแนะนำหนังสืออย่างที่คุณบอก อันนี้ผมว่าแล้วแต่บุคคลนะครับ แต่สำหรับผม ผมจะไม่ทำอย่างคุณ การแนะนำให้คนทั่วไปไปหาหนังสือมาอ่านเองมันง่ายครับ ผมว่าสิ่งที่ท้าทายกว่าคือการทำยังไงให้เขาเข้าใจสิ่งที่เขาสงสัยได้เลยและผมก็ไม่คิดว่า คนส่วนใหญ่ที่อ่านคำที่คุณเขียนเป็น phonetics แล้ว เขาจะสามารถออกเสียงได้เหมือนฝรั่งนะครับ คุณรู้ไหมว่าจะมีคนไทยจำนวนมากเท่าไหร่ที่รู้เรื่องของการออกเสียงที่ถูกต้องตามหลัก phonetics ? เพราะมันไม่ได้มีสอนกันอย่างแพร่หลายในหลักสูตรของไทยเรา นอกจากคนที่สนใจในภาษาอังกฤษจริงๆ หรือว่าเรียนมาทางด้านภาษาโดยตรง

อย่างไรก็ตาม ขอบคุณนะครับ ที่มา comment ผมเข้าใจคุณโอ๋ว่าอยากให้อ้างอิงทฤษฎี เพียงแต่มันไม่ใช่วิธีที่ผมถ่ายทอดให้คนไทยส่วนใหญ่ก็แค่นั้นเองนะครับ
โดย: Kru FIAT (KruFiat ) วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:7:59:28 น.
  
ขอบคุณครูเฟียตมาก ๆ เลยนะคะ ที่ช่วยถ่ายทอดความรู้และประการณ์เกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้อง เป็นประโยชน์มากเลยค่ะ ขอให้ครูเฟียตแบ่งปันความรู้และประสบการณ์ดีๆ อย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ นะคะ จะติดตามผลงานเสมอค่ะ และขออนุญาตเผยแพร่ให้เพื่อนๆ ในบริษัทได้อ่านด้วยนะคะ จะลงชื่อครูเฟียตไว้ตอนท้ายด้วยเสมอค่ะ ขอบคุณอีกครั้งค่ะ
โดย: กบ IP: 192.55.18.36 วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:9:01:08 น.
  
ตอบคุณกบ

ขอบคุณเช่นกันสำหรับกำลังใจ เชิญนำไปเผยแพร่ได้เลยครับ อยากเห็นคนไทยเก่งภาษาอังกฤษกันเยอะๆ สักที จะได้ไม่แพ้ประเทศอื่นๆ เค้า
ตอนนี้ผมกำลังซุ่มทำ project หนึ่งอยู่ ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด คิดว่าคงมีผลงานออกมาให้ได้ชมกันภายในปีนี้ รับรองว่าต้องเป็นเรื่องดีๆ แน่ๆ ครับ แล้วเชิญติดตามผลงานผมต่อไปนะครับ

ขอบคุณครับ
โดย: Kru FIAT (KruFiat ) วันที่: 22 เมษายน 2552 เวลา:13:08:29 น.
  
หวัดดีค่ะ krufiat หายไปนานเลยนะคะ แอบรออยู่ตั้งนาน
จะติดตามอ่านต่อไปค่ะ
เป็นกำลังใจให้ค่ะ
โดย: กระต่าย IP: 210.1.34.226 วันที่: 19 พฤษภาคม 2552 เวลา:15:25:29 น.
  
็ำHello, KruFiat ^__^

First, I want to say '' Thank you very much for your excellent information of English to Thai people'' May I print all of yourinformation? It's really beneficial things that I want to keep it and share it to my friend or someone who is discourage to learn English. I will correct it as a good book. If you don't mind, I will print it now....Thank you again for you kidness !!
โดย: พลอย IP: 125.25.42.68 วันที่: 27 ธันวาคม 2552 เวลา:11:43:01 น.
  
ถ้า จะ ใช้ คำว่า ชินแล้วค่ะ ภาษาอังกฤษ ใช้ยังไงคร้า
โดย: วาสนา IP: 88.89.117.156 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:21:57:19 น.
  
ได้ความรู้ใหม่เพิ่งขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ
โดย: แมว IP: 58.8.89.78 วันที่: 17 มิถุนายน 2555 เวลา:14:00:32 น.
  

[url=//www.webpagetest.org/forums/member.php?action=profile&uid=302937]//www.webpagetest.org/forums/member.php?action=profile&uid=302937[/url]
[url=//www.zoomgroups.com/userProfile/6166444]//www.zoomgroups.com/userProfile/6166444[/url]
[url=//www.bookcrossing.com/mybookshelf/RodryfigyhneuesVincenza]//www.bookcrossing.com/mybookshelf/RodryfigyhneuesVincenza[/url]
[url=//www.trulia.com/profile/RodryfigyhneuesVincenza]//www.trulia.com/profile/RodryfigyhneuesVincenza[/url]
[url=//technorati.com/people/lillianibrah1025]//technorati.com/people/lillianibrah1025[/url]
โดย: 先生 IP: 27.159.198.81 วันที่: 15 กันยายน 2555 เวลา:10:12:00 น.
ชื่อ :
Comment :
 *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

KruFiat
Location :
ชลบุรี  Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]
 ฝากข้อความหลังไมค์
 Rss Feed
 Smember
 ผู้ติดตามบล็อก : 304 คน [?]



ครูเฟียต ธีรเจต บุญพยุง
"หากคุณพูดภาษาไทยได้ คุณก็ควรจะพูดภาษาอังกฤษได้ด้วยเช่นกัน เพราะเป็นการเรียนรู้ภาษาด้วยวิธีธรรมชาติเหมือนกัน"
ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook 4| | | ข่าวดีสุดๆ!หนังสือ pocket book เล่มแรกของครูเฟียต ชื่อ "เรียนภาษาอังกฤษในไทย ทำไงให้ใครๆ คิดว่าคุณจบนอก" มีวางจำหน่ายในรูปแบบ E-book แล้ว และขึ้นอันดับ 1 top seller เป็นหนังสือที่ขายดีที่สุดใน Ookbee อยู่ในขณะนี้ อย่าบอกนะ ว่าคุณยังไม่ได้ download ที่ https://bit.ly/KruFiatBook | | |3