Kross (เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง~
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2552
 123
45678910
11121314151617
18192021222324
25262728293031
 
24 ตุลาคม 2552
 
All Blogs
 
[Fate/Stay Night](9)-- Fate/Zero "King's Banquet"~กองทัพมหาราชา

[b]Fate/Zero ~ Continue: Army of the king[/b]
..
..
..
Assasin

ดูเหมือนจะไม่ได้มีแค่ไรเดอร์ และเวฟเวอร์เท่านั้นที่ยังตระหนักว่าพวกมันยังไม่ตาย แต่ทั้งเซเบอร์และอิริสเวลก็ได้รับรู้เรื่องนี้จากการสนทนากับคิริงิสุที่ถนนคลังสินค้าเช่นกัน

แอซแซสซินไม่ได้มีเพียงแค่หนึ่งเดียวที่ถูกสังหารทิ้งไป ณ บ้านใหญ่ของตะกูลโทซากะ ในความเป็นจริงแล้วพวกมันมีจำนวนไม่น้อยทีเดียว - ซึ่งเป็นจำนวนที่ ผิดปกติอย่างยิ่งสำหรับวีรชนที่เข้าร่วมศึกชิงจอกศักดิ์สิทธิ์ ร่างที่ปรากฎเบื้องหน้านั้นทุกร่างต่างสวมใส่ผ้าคลุมสีดำและหน้ากากโครงกระดูกอันเป็นเอกลักษณ์ แต่รูปร่างของพวกมันแต่ละคนกับแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง บ้างตัวใหญ่ราวกับยักษ์น้อยๆ บางตัวผอมราวกับซี่โครง บางร่างก็เล็กและบอบบางราวกับเด็กน้อย และหลายๆตนเห็นได้ชัดว่าเป็นสตรี
"นี่เป็นฝีมือของเจ้าด้วยรึ? อาเชอร์.." เซเบอร์
อาเชอร์ยักไหล่ตอบแสดงถ้าทางเหมือนไม่รู้ไม่เห็น
"ใครจะรู้หละ, มันไม่ใช่เรื่องของข้าที่ต้องไปแส่เข้าใจความคิดของพวกชั้นต่ำๆ ซะด้วยสิ"

แต่ในใจของอาเชอร์นั่นคิดอีกอย่าง ทำไมแอซแซสซินมากมายขนาดนี้อยู่ๆถูกรวมมาอยู่ด้วยกันได้ ปฎิบัติการณ์ที่ใหญ่โตขนาดนี้ย่อมไม่ได้มาจากคิเรย์อย่างเดียวแน่ บางทีนี่อาจเป็นแผนการบางอย่างของอาจารย์ของเขา, เจ้าโทซากะนั่น?

อีกอย่างหนึ่งคือ ตัวโทซากะเองนั่นเห็นได้ชัดว่าเกรงกลัวราชาวีรชนอย่างยิ่ง, อาเชอร์เองก็ยอมรับเขาเป็นมาสเตอร์อย่างเสียไม่ได้ แต่ไอ้เรื่องที่โทซากะนั่นกำลังทำอยู่นี่มันไม่ใช่เรื่องน่าปลื้มอย่างแน่ๆ

แม้ไรเดอร์เองจะเป็นเจ้าภาพผู้นำเสนองานเลี้ยงนี้ขึ้นมา, แต่ข้า-อาเชอร์เองก็เป็นคนเลี้ยงเหล้าไวน์เหล่านี้เหมือนกัน แล้วนี่มันมากันทำห่ าเหวอะไร? อยู่ๆมาทำเช่นนี้เท่ากับเจตนาหาเรื่องลบหลู่ศักดิ์ศรีของเจ้าแห่งวีรชนอย่างข้าชัดๆ หรือว่าเรื่องแค่นี้เจ้าโทคิอุมินั่นมันไม่มีปัญญานึกออกมั่ง? อาเชอร์นึกอย่างมีอารมณ์


"เอ่อ... บ้านะ ข้างงไปหมดแล้ว...!?"
เวฟเวอร์บ่นแบบงงๆ เมื่อเห็นคู่ต่อสู้น่าสงสัยปรากฎกายขึ้น...ในแบบที่ไม่น่าเชื่อว่าเป็นไปได้
เหตุการณ์นี้มันเลยเถิดเกินกฎและขีดจำกัดทั่วไปของ จอกฯ สัมผัสสวรรค์ อย่างแน่นอนที่สุด
"นี่มันหมายความว่าไงกันแน่!!! แอซแซสซินโผล่หัวมาตัวเพียบไปหมด....ต้องมีอะไรผิดพลาดแน่นอน แต่ละคลาสของเซอร์แวนท์มันควรมีแค่คนเดียวไม่ใช่เหรอ !!?" เวฟเวอร์พูดด้วยรู้สึกเหมือนคนโดนโกงพนัน


จ้องมองท่าทีของเหยื่อที่เลิกลั่กๆ รนราน เหล่าแอซแซสซินหัวเราะเยาะหยันเวฟเวอร์
"เจ้าพูดไม่ผิดแต่อย่างใด....พวกเราทุกตนล้วนถือเป็นเพียงหนึ่งเซอร์แวนท์ แต่ละร่างของพวกเรานั้นคือเงาส่วนเดียวของปัจเจกตัวตน ไอ้หนู..."
เวฟเวอร์ และอิริสเวล สองมาสเตอร์ในงานเลี้ยง พยายามคิดแต่ก็คิดไม่ออกว่าทำไมแอซแซสซินของ โคโตมิเนะ คิเรย์ ถึงโผล่มาในสถานการณ์แปลกประหลาดแบบนี้
'ผู้เฒ่าแห่งขุนเขา --' ในบรรดาผู้ที่สามารถสืบทอดนาม ฮัซซัน-อัล-ซับบาห์ มีหนึ่งในนั้นครอบครองความสามารถที่สลับสับเปลี่ยนร่างกายได้
มันต่างจากฮัซซันคนอื่นๆ เขาไม่จำเป็นต้องดัดแปลงร่างกายของตนแต่ประการใด ไม่สิ-พูดให้ถูกก็คือไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ด้วยการที่ว่าเขาเป็นมนุษย์ที่มีร่างกาายพื้นฐานที่แข็งแกร่งหลายรูปแบบอยู่แล้ว -- สิ่งที่ตามมาคือจิตใจและบุคลิกของเขาสามารถเปลี่ยนแปลงไปตามร่างกายที่ว่าโดยอิสระ

มันคือความสามารถที่ล้ำเลิศไม่น้อย เขาสามารถใช้มันร่วมกับแผนการและกลยุทธ์ได้นานับไม่ถ้วน -- การเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ -- พิสูจน์และวางยาพิษ -- จัดกลไกกับดัก -- วิชาการต่อสู้ ทั้งหมดในทั้งปวงล้วนเป็นทักษะที่เขาเชี่ยวชาญ สามารถที่จะทำได้ทุกอย่าง ครอบครองความสามารถทุกรูปแบบทีจำเป็นต่อโจทย์ของการสังหาร บางทีอาจจะพูดได้ว่าเขาคือตัวตนของการหลอมหลวมศาสตร์และศิลป์แห่งทุกการต่อสู้ซึ่งถูกลืมเลือนผ่านไปตามการเวลา


เขาสามารถเป็นได้ทั้งบุรุษ และสตรี ผู้เยาว์หรือเฒ่าชรา --ทุกๆอย่าง!! เขาสามารถยืนเคียงข้างคุณได้โดยไม่มีข้อสงสัย บางครั้งเขาสามารถเปลี่ยนได้แม้แต่บุคลิกต่างๆตามแต่สถานการณ์ซึ่งไม่มีใครอาจคาดเดาตัวตนอันแท้จริง


แม้ในยุคสมัยนั้น ไม่มีใครรู้ความจริงอันนี้ -- ฮัซซันคนนี้ ครอบครองร่างเพียงหนึ่งเดียวแต่กลับมีจิตวิญญาณหลากหลายสถิตอยู่ แต่แน่นอนด้วยความรู้อันจำกัดของยุคสมัยนั้นๆ การครอบครองหลายบุคลิก นั้นเป็นเรื่องแปลกและถูกจัดว่าไม่ต่างจากอาการป่วยไข้แต่อย่างใด

ด้วยเหตที่เขามีหลากหลายบุคลิกและทักษะนี่เองเขาจึงสามารถใช้วิชาที่หลากหลาย สร้างความสับสนปั่นป่วนให้คู่ต่อสู้ยามรุก หรือสร้างเครือข่ายอันแข็งแกร่งเมื่อตั้งรับ และสังหารคู่ต่อสู้ด้วยวิธีการอันคาดไม่ถึงและไม่มีทางคาดเดาได้


นี่แหละแอซแซสซินแห่งคิเรย์ -- "ฮัซซัน ร้อยหน้า"
ยามที่เขาคือเซอร์แวนท์ ย่อมครอบครองเพียงหนึ่งกายหยาบ แต่ด้วยจิตวิญญาณที่แตกต่างนับพันอัดแน่นในร่าง แต่หากวิเคราะห์จนถึงรากฐานแล้ว "พวกมัน" คิอสิ่งที่แตกต่างกันอยู่ตั้งแต่เดิม และเมื่อเซอร์แวนท์นั่นคลายขีดจำกัดของกายหยาบลง "พวกมัน" ต่างสามารถจุติลงใหม่ซ้ำแล้วซ้ำเล่าในรูปแบบที่แตกต่างกัน


แน่นอนที่สุดว่า พลังฝีมือต่อสู้ของวีรชนนั่นถูกจำกัดอยู่เพียงแค่ระดับ 1 ร่าง ดังนั้นเหมือนเริ่มแยกร่างของแอซแซสซิน มันย่อมไม่มีหวังใดๆเลยที่จะไปทัดเทียมกับวิญญาณวีรชนอื่นๆ แต่ทว่าการที่พวกมันมีความสามารถอันหลากหลาย จึงไม่มีประหลาดใจเลยที่จะไม่มีใครทัดเทียมมันได้ในงานสายลับและการรวบรวมข้อมูล


"เจ้าหมายความว่า ...... ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราถูกพวกนี้จับตาดูมาตลอดเลยงั้นรึ !? " อิริสเวลพึมพัมอย่างเจ็บปวด ขณะที่เซเบอร์ก็ได้แต่จ้องเขม็งพลางคิด


แน่นอนพลังของพวกมันนั้นไม่ได้แข็งแกร่งเท่าไหร่ แต่มันมีจำนวนมากเหลือเกินและเป็นไปได้อย่างยิ่งที่พวกมันบางตนอาจเล็ดลอดไปได้ แม้เธอจะเป็นวีรชนคลาสที่แข็งแกร่งที่สุด พวกมันก็ยังคงเป็นภัยคุกคามอยู่อย่างร้ายแรง


อีกแง่หนึ่ง, ตลอดมาจนถึงบัดนี้แอซแซสซินต่างทำงานของมันราวกับเงา และหลีกเลี่ยงการปะทะอย่างที่สุด อยู่ๆ...การที่พวกมันละทิ้งความสามารถพิเศษในการ "ปกปิดตัวตน" และแสดงตัวต่อหน้าวีรชนตนอื่นอย่างโจ่งแจ้ง นั่นหมายความว่า ....


"การเสี่ยงที่คุ้มค่าสินะ.."
เซเบอร์ได้แต่กัดฟันแน่น เมื่อเธอตระหนักว่าพวกเธอได้ตกลงสู่กับดักที่คาดไม่ถึงเข้าซะแล้ว

พวกกลุ่มนักฆ่าแปลกหน้านั้นพึ่งพาการต่อสู้คราวนี้ด้วยจำนวนอย่างเห็นได้ชัด -- ถ้าเป็นการเผชิญหน้าตรงๆแล้ว ไม่มีทางเลยที่เซเบอร์จะพ่ายแพ้ แต่ทว่าสถานการณ์ที่ว่านั้นขึ้นกับสิ่งสำคัญอย่างหนึ่ง-- นั่นคือหากเซเบอร์สู้ลำพังคนเดียว


ในตอนนี้, เซเบอร์มีเรื่องสำคัญกว่านั้นคือการปกป้องอิริสเวล ไม่ว่าแอซแซสซินจะอ่อนแอแค่ไหนก็ตามที แต่สำหรับมนุษย์แล้วมันก็ยังคงเป็นอันตรายอย่างยิ่ง แม้จะเป็นอิริสเวล-โฮมุนครูซผู้สามารถใช้เวทย์มนต์ได้อย่างไร้ที่ติก็ตามที แต่ทว่าลำพังมนต์คาถาอย่างเดียวไม่มีทางหยุดยั้งแอซแซสซินได้ -- กรณีเช่นนี้ไม่มีทางเลยที่จะให้อิริสเวลปกป้องตัวเองได้แน่นอน


อีกประการ ถ้าเธอต้องการทั้งปกป้องสหายและต่อสู้ไปพร้อมๆกัน คำถามก็คือแขนขวาข้างเดียวของเธอจะต่อกรกับศัตรูจำนวนมากได้ขนาดไหน

ด้วยการฟาดฟันดาบของเธอสักครั้ง เธอจะหยุดแอซแซสซินได้สักกี่ตน? ไม่สิ คำถามนี่ไม่สำคัญอีกต่อไป หากเธอพลาดให้หลุดไปได้แม้แต่ตนเดียว เจ้าตัวที่ว่าย่อมมีสิทธิเล่นอิริสเวลอย่างน้อยก็ถึงสาหัสแน่นอน

ตอนนี้, คำถามไม่ใช่ว่า "เธอสามารถหยุดพวกมันได้รึเปล่า?" แต่กลายเป็น "ด้วยการโจมตีครั้งเดียวเธอจะสามารถหยุดพวกมันได้ทั้งหมดไหม?" และด้วยจำนวนแอสแซสซินมหาศาลที่ล้อมรอบพวกเขาอยู่นั่น คำตอบนั้นก็เกือบจะสิ้นหวังน่าดู



ในทางกลับกัน, จากมุมมองของแอสแซสซิน กลยุทธ์นี้จัดได้ว่าเป็นทางเลือกสุดท้ายทีเดียว
แม้พวกเขาจะต่อสู้ร่วมกับเป็นทีม เป็นปลุ่มขนาดใหญ่ แต่กลุ่มก็ยังคนเป็นกลุ่ม....จำนวนนั้นย่อมมีจำกัด, นี่คือการเสียสละส่วนมาก--แลกกับความสำเร็จของผู้รอดชีวิตส่วนน้อยชัดๆ ผู้ที่ตัดสินใจใช้วิธีนี้เข้าเอาชัยคู่ต่อสู้มันย่อมไม่แตกต่างกับการบุกพลีชีพ ซึ่งมันควรถูกสงวนไว้เพื่อการต่อสู้ตอนท้ายสุดจริงๆ เพียงเท่านั้น...


หากแต่..แผนการในคืนนี้ โคโตมิเนะ คิเรย์ ใช้อาคมบัญชา ด้วยคำสั่งที่ว่า "เอาชนะให้ได้ไม่ว่าจะสูญเสียสักเพียงใด.." อาคมที่จัดว่าเป็นที่สุดสำหรับสั่งการเซอร์แวนท์ ด้วยการนี้ แอซแซสซินไม่มีหนทางเลือกอื่นใดนอกจากทำตาม


แม้ว่าเหล่าแอซแซสซินจะรู้สึกดีใจไม่น้อยที่สามารถทำให้เซเบอร์คลาสที่แข็งแกร่งที่สุด ดูหวาดกลัวและกังวลใจอย่างยิ่งได้ แต่เป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่เธอ เป้าหมายตามคำสั่งคือมาสเตอร์ของไรเดอร์ - เวฟเวอร์ แม้ว่าไรเดอร์จะมีอาวุธวิเศษที่รุนแรงขนาดไหนก็ตามที แต่หากแอสแซสซินทั้งหมดโจมตีพร้อมกันละก็, พวกมันน่าจะ.... , ไม่สิ --พวกมันต้องจัดการมาสเตอร์ร่างเล็กขี้แยนั่นได้แน่ๆ


ถูกต้องแล้วสำหรับราชาผู้พิชิต อเล็กซานเดอร์ นี่คือจังหวะเวลาที่วิกฤติอย่างยิ่ง... ไม่ว่าเขาจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ไร้ซึ่งมาสเตอร์ เซอร์แวนท์ย่อมไม่อาจคงสภาพได้นาน
แต่.
.
.
....ทำไม ทำไม....เซอร์แวนท์ร่างยักษ์ยังคงนั่งดื่มอย่างเบิกบานสบายอุรา ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลย??



"ร..ร ไรเดอร์, อะ จ เจ้า..."
แม้เวฟเวอร์จะตะโกนเรียกอย่างอดรนทนไม่ได้ แต่ไรเดอร์ก็ไม่มีกิริยาตอบสนองเจ้านายของตนแต่อย่างใด ไรเดอร์สแกนแอสแซสซินรอบๆตัวเขาอย่างละเอียด และปิดปากเจ้านายตัวเองพร้อมสัมทับอย่างสบายใจว่า

"เฮ่ย เห้ยย, ไอ้หนู อย่ารนรานไปหน่อยเลยน่า ก็แค่เรามีแขกกลุ่มใหญ่มาร่วมงานเลี้ยงเราอีกหน่อยแค่นั้นเอง..."
"ไ อ้บ้า...แหกตาดูประสาโลกบ้านไหน ว่าไอ้พวกนี้มันเป็นแขกฟะ!!" เวฟเวอร์เริ่มฟิวส์ขาด
ไรเดอร์หัวเราะเบาๆ ก่อนถอนใจเล็กน้อยกับเจ้านายตัวเอง... และกล่าวทักทายแขกรอบตัวไม่ได้รับเชิญด้วยน้ำเสียงสบายใจ
"เฮ้...... เพื่อนฝูง... ไหงพวกแกไม่ทำตัวให้สบายๆแล้วมานั่งให้เรียบร้อยหน่อยเล่า?? พวกเจ้าทำแบบนี้สหายน้อยๆของข้ามีหวังปอดแหกกันหมดพอดี..."




เซเบอร์ นึกว่าตัวเองหูแว่วฟังเสียงผิดไป แต่แม้แต่อาเชอร์เองยังต้องถาม
"ราชาผู้พิชิต, นี่เจ้ากำลังเชื้อเชิญพวกมันด้วยงั้นรึ ?"
"แน่นอน....., ข้าพูดออกชัด มีผู้ฟังเมื่อไหร่ วาจาของราชามันต้องเสียงดังฟังชัดถนัดหูเซ่..., เรื่องพวกนี้มันไม่สำคัญหรอกว่าจะเป็นมิตรหรือศัตรู"
ไรเดอร์พูดเหมือนรู้สึกธรรมดามากๆ พร้อมกับคว้าเหยือกสาเกแดงจากลัง ยื่นให้แอซแซสซิน
"มามะ พี่น้อง, ไม่ต้องเขินน่าาา --- ถ้าพวกเจ้าอยากดื่มมั่งก็คว้าถ้วยแล้วมานั่งแถวๆเนี่ย... คิดซะไวน์พวกนี้เป็นสายเลือดของพวกเจ้าได้เลย..."



ฟุ่บ...
เสียงของอะไรบางอย่างพุ่งผ่านอากาศเป็นการตอบรับคำเชื้อเชิญของไรเดอร์
เหลือแค่เพียงมือจับเท่านั้นคาอยู่ในมือของไรเดอร์ ตัวเหยือกบรรจุไวน์หล่นแตกกระจายอยู่บนพื้นกลางสนาม นี่เป็นผลงานของหนึ่งในบรรดาแอสแซสซินรอบตัว


"....."
ไรเดอร์ก้มลงจ้องมองเศษซากไวน์อย่างพูดไม่ออก เหล่าหน้ากากหัวกระโหลกรอบๆหัวเราะอื้ออึงในท่าทางของไรเดอร์
"นี่พวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดผิดไปรึยังไง ??"
น้ำเสียงของไรเดอร์ยังคงสงบเงียบ แต่ชัดเจนว่าเจตนาของเซอร์แวนท์ร่างยักษ์เปลี่ยนไป แต่คนที่สัมผัสได้ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้มีเพียงแค่สหายร่วมวงสุราสองคนที่ดื่มกับเขามาก่อนแค่นั้นเอง
.
.
.
.
"ข้าพูดว่า ---'ไวน์นี้เสมือนเลือดของเจ้า'--ใช่หรือไม่? แล้วพวกเจ้ากล้าดียังไงถึงบังอาจเทมันทิ้งลงพื้น, ช่างโง่เง่าไร้ที่เปรียบเหลือเกิน..... "
ในขณะเดียวกันเอง, เสียงหวีดครวญดังแว่ว กระแสลมพายุหมุนวนขึ้นรอบตัวจนทุกคนสัมผัสได้


สายลมนั้นทั้งร้อนและแห้งผาก ราวกับว่ามันพร้อมจะดูดซึมทุกอย่างรอบข้างให้กลืนหายไปในตัวของมัน, ลมเหล่านี้ไม่เหมือนกับลมที่ควรจะพัดมาจากป่ายามเย็นรอบๆปราสาทไอเซนเบิร์กแม้แต่น้อย -- และเสียงของลมที่กรีดลั่นโหยหวนนั้นประดุจดั่งพายุที่พัดมาจากทะเลทรายอันร้อนแรงทีเดียว

"เซเบอร์, และเจ้าด้วย อาเชอร์ นี่คือคำถามสุดท้ายของงานเลี้ยงนี้ ---- ผู้เป็นราชานั้นต้องโดดเดี่ยวหรือไม่??"
ไรเดอร์ตะโกนถามด้วยเสียงดังลั่นฝ่าเสียงของสายลมร้อนอันเกรี้ยวกราด -- แถบผ้ารอบแผงคอของเขาปรากฎขึ้นและโบกสะบัดไปทั่วไหล่มหึมาพร้อมๆกับเครื่องทรงของกษัริย์นักรบ บางที-ชายร่างยักษ์คนนี้ไอ้คืนกลับสู่ร่างของราชาผู้พิชิตอย่างที่ควรจะเป็นแล้วก็เป็นได้

สำหรับคำถามของไรเดอร์-อาเชอร์ขมุบขมิบปากตอบ พร้อมกับจ้องไรเดอร์ด้วยสายตาเศร้าๆ แต่เหมือนเขาไม่ต้องการพูดอาเชอร์จึงตอบด้วยความเงียบ แต่เหมือนไรเดอร์จะเข้าใจดี
สำหรับเซเบอร์นั่นกลับกัน เธอไม่ลังเลในคำตอบแม้แต่น้อย หากอุดมการณ์ของเธอนั่นสั่นคลอน นั่นก็ไม่ต่างอะไรจากการปฎิเสธความเชื่อในฐานะที่ครั้งหนึ่งในอดีตเธอคือราชา ผู้เป็นจ้าวอัศวิน เธอตะโกนตอบด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน

"ราชา....ไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากความโดดเดี่ยว !!!"
ไรเดอร์หัวเราะตอบอย่างชอบใจ และเหมือนกับการตอบรับของเสียงหัวเราะนั้น ลมพายุหมุนก่อตัวและโบกสะบัดรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ราวกับพายุทะเลทราย ราชาผู้พิชิตกล่าวตอบราชาอัศวินว่า
"ผิด, ผิดแล้ว!!! คำตอบนั่นเกือบจะเหมือนเจ้าไม่ได้ตอบอะไรเลย !! มาาาา ขอให้ข้าได้สั่งสอนพวกเจ้าทั้งคู่ในวันนี้เสียหน่อยว่า-- 'อะไร' คือความหมายของราชาที่แท้จริง !!!"
สายลมร้อนปริศนาที่โบกพัด หมุนออกและกระจายหายไปทุกทิศและกัดกร่อน "โลก"แห่งความเป็นจริงรอบตัวหายไปอย่างรวดเร็ว
สุดยอดของปรากฎการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น เวลา-สถานที่-ระยะทาง นั่นสูญสิ้นความหมายของตัวตน ทุกอย่างที่ถูกพายุทรายพัดใส่ถูกเปลี่ยนแปลงจนหมดสิ้น

"เป็นไปได้ยังไง--- เป็นแบบนี้ไปได้ยังไง .....?"
ทั้งเวฟเวอร์และอิริสเวล ต่างตกอยู่ในความตะลึงพรึงเพริด... มีแต่ผู้ที่เข้าใจในศาตร์เวทย์มนต์เท่านั้นจะเข้าใจปรากฎการณ์เช่นนี้ได้
.
.
.
.
"Reaility Marble...?!"
แสงอาทิตย์เหนือศรีษะสว่างจ้าส่องกระทบพื้นราบ, ท้องฟ้ากระจ่างใสไร้เมฆ ระยะทางยาวไปจนสุดเส้นขอบฟ้าและผืนทราย ไม่มีอะไรบดบังทรรศนะวิสัยแม้แต่น้อย

เมื่อคิดว่าจากปราสาทไอเซนเบิร์กกลางป่า กลับเปลี่ยนแปลงโดยฉับพลันขนาดนี้ย่อมไม่ต้องสงสัยเลยว่า นี่คือมิติลวงตาที่กัดเซาะโลกแห่งความเป็นจริง สิ่งที่ทำให้เกิดเช่นนี้ได้อาจไม่เกินเลยไปเลยที่จะเรียกว่าปฎิหารย์แม้แต่จากอำนาจเวทย์มนต์ก็ตามที
"เจ้า เจ้าทำเรื่องแบบนี้ได้ยังไงกัน !? .... ทำไมเจ้าถึงสร้างโลกและสิ่งแวดล้อมในหัวเจ้าจากพลังอำนาจของจิตใจได้... เจ้าไม่ใช่--- จอมเวทย์ด้วยซ้ำ?!"
.
.
.
.
.
"แน่นอน!! ข้าทำไม่ได้ ข้าไม่มีปัญญาทำหรอก --- นี่ไม่ใช่สิ่งที่ข้าจะสร้างได้ลำพังคนเดียว"
ไรเดอร์ตอบนายของตน อเล็กซานเดอร์หัวเราะอย่างภาคภูมิใจในขณะที่เขายืนอยู่ตรงใจกลางของ ทะเลทรายราบเรียบ อันเปี่ยมไปด้วยประวัติศาสตร์
"แผ่นดินนี้ ..
..คือดินแดนที่ครั้งหนึ่งกองทัพของข้าเคยยกทัพข้ามไป !!
..นี่คือดินแดนที่ถูกประทับแน่นอยู่ในหัวใจของนักรบผู้กล้าของข้า!!
..นี่คือดินแดนที่ทั้งข้าและผองชนต่างร่วมเถลิงสุข และโศกเศร้าเคียงข้างกัน !!"
พร้อมกับโลกที่เปลี่ยนแปลงไป ตำแหน่งของผู้คนทั้ง 5 ที่ถูกล้อมด้วยหน้ากากแปลกหน้าอยู่ทุกทิศ ก็ถูกเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย
.
.
.
.
เหล่าแอซแซสซิน, ผู้ล้อมรอบวงสุราทั้งหมดถูกโยกย้ายไปอยู่รวมกันด้านหนึ่งของพื้นที่ ไรเดอร์ยืนตระหง่านอยู่ตรงกลาง อีกด้านนึงคือเซเบอร์ อาเชอร์ และมาสเตอร์ทั้งคู่ ราวกับว่าไรเดอร์ยืนเผชิญหน้าแอซแซสซินทั้งหมดด้วยตัวของเขาคนเดียว
--- หรือไรเดอร์คิดว่าเขาจะสู้ตามลำพัง ? เซเบอร์คิด
.
.
.
แต่ไม่ทันได้คิดอะไรเป้นอื่นสายตาของทุกคนเบิกกว้างจนแทบถลนออกจากเบ้า เมื่อสังเกตเห็นเงาสะท้อนแสงแดดเปล่งประกายคล้ายภาพลวงตา ค่อยๆก่อตัวขึ้นข้างๆไรเดอร์ 1,2,4,10,.... มากขึ้น และมากขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่หยุดยั้ง แสงและสีของภาพลวงตาเหล่านั้นค่อยๆชัดเจนขึ้น และก่อเกิดเป็นวัตถุตัวตน
.
.
"เหตุผลเดียวที่โลกแห่งนี้สามารถถูกรังสรรค์กำเนิดได้อีกครั้ง..... นั่นก็เพราะดินแดนแห่งนี้ถูกประทับอยู่ในหัวใจของ-พวกข้า-ทุกคน !!!"

ในขณะที่ความรู้สึกของทุกคน ณ ที่นั้นยังไม่หายตะลึง, เหล่านักรบในชุดเกราะบนม้าศึกร่างใหญ่ และกองทัพทหารราบหุ้มเกราะพร้อมหอกยาวฟาแลงซก็จำแลงกายขึ้นเป็นตัวตนข้างๆอเล็กซานเดอร์ จำนวนมหาศาล ใบหน้าของพวกเขาและอาวุธที่ถือครองอยู่นั้นแตกต่างกันไป แต่ร่างกายของพวกเขาทุกคนนั้นใหญ่โตพร้อมบุคลิกที่ดุดัน ราวกับพร้อมจะพุ่งเข้าประหัตประหารข้าศึกทุกประเภทได้โดยไร้ซึ่งความขาดกลัว นั่นคือบรรยากาศที่จะพบเจอได้ก็แต่ในกองทัพที่มีวินัยและจิตใจกล้าแกร่งอย่างแท้จริงเท่านั้น



มีเพียงคนเดียวที่เข้าใจสถานการณ์นี้อย่างถ่องแท้ที่สุด...เวฟเวอร์ถึงกับขนลุกชัน
"นักรบพวกนั้นทุกคน ไม่น่า...ทุกคน...เป็นเซอร์แวนท์ !!!"
ต่างจากคนอื่นๆรอบๆ เขาเป็นมาสเตอร์เพียงคนเดียวในงานเลี้ยงแห่งนี้ สถานะของมันทำให้ความรู้สึกของเขาเฉียบคมขึ้น และในที่สุดก็ได้ตระหนักถึงไพ่ตายสุดยอดของอเล็กซานเดอร์, สุดยอดวิเศษแห่งอาวุธวิเศษทั้งปวง ปรากฎชัดต่อสายตาของเขา
.
.
.
"จงดูซะ !! กองทัพอันไม่มีผู้ใดเสมอเหมือนของข้า !!! "
ราชาผู้พิชิต ยืนจังก้าอยู่หน้าแนวของเหล่านักรบอาชา พร้อมชูสองแขนขึ้นฟ้าพร้อมตะโกนกึกก้องด้วยความภาคภูมิใจ

Ionian Hetairoi (ไอโอเนี่ยน เฮเธอ'รอย์ด// สายสัมพันธ์แห่งไอน์ออน)


"ร่างกายของพวกเจ้าอาจกลับคืนสู่ผืนดิน, แต่วิญญาณของพวกเจ้ายังคงได้ยินเสียงเรียกของข้า!! พวกเจ้าเหล่านี้แหละคือผู้กล้าแห่งตำนาน -- ผู้ซื่อสัตย์ที่ติดตามข้า!! พวกเจ้านี่แหละคือสหายของราชาอย่างแท้จริง!! -- บัดนี้พวกเจ้ายอมทำลายกฎเกณฑ์แห่งกาลและเวลา - สถานที่และดินแดนเพื่อมาร่วมต่อสู้เคียงข้าอีกครั้ง!!"


"พวกเจ้านี่แหละคือสมบัติในหมู่สมบัติทั้งปวง, มาอยู่ใต้สิทธิและบัญชาของข้า อาวุธวิเศษที่ข้าอเล็กซานเดอร์ภาคภูมิที่สุด -- ไอโอเนี่ยน เฮเธอ'รอย์ด"

อาวุธวิเศษระดับ Ex ประเภท Anti-Army - อาวุธวิเศษของวีรชนที่สามารถอัญเชิญวีรชนคนอื่นๆ ออกมาได้
เจ้าแห่งสงคราม, มหารโอจาห์, ผู้ก่อตั้งยุคสมัยต่างๆมากมาย - หนึ่งในวิญญาณวีรชนผู้ไร้ที่ติและเคยได้ยินผ่านตำนาน และยังมีเหล่านักรบที่ถูกกล่าวขานอีกนับไม่ถ้วน ทั้งหมดนั้นยืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า -- และร่วมเจตนารมณ์เดียวกันคือต่อสู้เคียงข้างอเล็กซานเดอร์มหาราชา


อาชาสีดำหลังเปล่าตัวนึง วิ่งเยาะๆมาหาไรเดอร์ ม้าตัวนั้นดูทั้งสง่างามและทรงพลังมหาศาล ท่วงท่าที่มันย่างก้าวนั้นราวกับเป็นอีกหนึ่งวิญญาณวีรชนต่อหน้าราชาของตน
"ไม่ได้เจอกันนานเลยนะ, พอล.."
ไรเดอร์ยิ้มกว้างราวกับเด็กเจอของเล่น เขาลูบจมูกและแผงคอของม้าร่างยักษ์ตันนั้น "เธอ" คือหนึ่งในยอดม้าศึก - เบลเซฟารุส แม้แต่อาชาผู้เป็นพาหนะของราชาผู้พิชิตก็ยังได้กลายเป็นวิญญาณวีรชน


นอกจากความทึ่งและยิ่งใหญ่ในกองทัพที่สง่าจนน่าหลงใหล, ทุกคนในที่นั้นปิดปากเงียบสนิท แม้กระทั่งอาเชอร์ผู้ครอบครองอาวุธวิเศษระดับ EX เช่นเดียวกัน, ก็ยังทำอะไรไม่ได้มากกว่าปิดปากเงียบเชียบและดูเฉยๆ เมื่อเห็่นกองทัพที่เจิดจรัสงดงามเช่นนี้


เหล่าวีรบุรุษที่ควบขี่อาชาเคียงข้างไปกับราชาของพวกเขาในสนามรบ; เสียงเพรียกและกู่ร้องของพวกเขา สำหรับกษัตริย์แล้วนี่มันคือความฝันของยอดแห่งราชาโดยแท้จริง
แม้แต่ความตาย - ก็ไม่อาจหยุดยั้งความจงรักภักดี.... ราชาผู้พิชิตเปลี่ยนสิ่งนี้จนกลายเป็นอาวุธวิเศษที่ยิ่งใหญ่ยากจะเปรียบเทียบ



สำหรับเซเบอร์
เธอกำลังสั่นสะท้าน.... ส่วนลึกที่สุดในใจของเธอกำลังหวั่นไหวอย่างรุนแรง ไม่ใช่เพราะความแข็งแกร่งของอาวุธวิเศษที่ทำให้เธอเกรงกลัว เพราะเธอก็มีอาวุธที่ทรงอนุภาพไม่น้อย แต่ภาพที่เธอเห็นเบื้องหน้ากำลังทำให้ความยึดมั่นและอุดมการณ์ที่เธอเชื่อถือมาตลอดเริ่มหวั่นไหว



นี่คือ ความสมานสามัคคี และกองทัพอันไร้ที่ติแม้แต่น้อย
สายสัมพันธ์อันกล้าแกร่งระหว่างกษัตริย์และผู้ใต้บังคับบัญชาที่เหนียวแน่นจนกลายเป็นอาวุธวิเศษ
นี่คือสิ่ง -- สิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นอุดมคติอันสูงสุดของจ้าวแห่งอัศวิน-- สิ่งนี้คือสิ่งที่เธอไขว่ขว้าหามาตลอดชั่วชีวิตของเธอ แต่จวบจนสิ้นชีวิตเธอก็ยังมิอาจครอบครอง ความเจ็บปวดนั้นบาดลึกในใจของเธอ



"เมื่อเป็นกษัตริย์ -- ข้าจักใช้ชีวิตให้เต็มที่ !! เพื่อให้ยืนยงยิ่งกว่าผู้ใด !! และเป็นแบบอย่างให้แก่ปวงประชาของตน!! "
เสียงของไรเดอร์ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อเขากระโจนขึ้นอานม้าตัวโปรด เหล่าวิญญาณวีรชนทั้งหลายรอบข้างต่างกระทบอาวุธของตนเองเข้ากับโล่ห์ข้างกายกึกก้อง พร้อมกู่ร้องประสานเสียงเป็นหนึ่งเดียวกันทั้งกองทัพ เสียงของเหล่ายอดวีรชนแผ่ไพศาลไปทั่วผืนทะเลทราย



"ราชาคือปัจเจกตัวตนอันเจิดจรัส!! ราชามุ่งหน้าสู่ความฝันอันยิ่งใหญ่!! ราชาจะพิชิตดินแดนอันแสนไกล!! นั่นแหละคือราชาของเรา!! "
"กษัตริย์ของเราจักไม่เคยโดดเดี่ยว!! ไม่มีวันเดียวดาย!! ความฝันของท่านคือความฝันของเรา!! "
"แน่นอน!! แน่นอน!! แน่นอน!!"
"แน่นอน!! แน่นอน!! แน่นอน!!"




เสียงยกย่องสรรเสริญกษัตริย์ของตนโดยเหล่าวีรวิญญาณผู้เกรียงไกล นั่นดังลั่นและเสียดแทงไปถึงสวรรค์ชั้นฟ้า แม้แต่ท้องฟ้าและหมู่ดาราก็ต้องได้ยิน, ไม่ว่ากองทัพผู้กล้านี้จะเผชิญหน้ากับสิ่งใด -- ข้าศึกศัตรู หรือ ป้อมปราการอันแข็งแกร่ง พวกมันย่อมไร้พิษสงและศิโรราปต่อเบื้องหน้าของราชาผู้พิชิตและมิตรสหายผู้ภักดี
ด้วยจิตวิญญาณเช่นนั้นย่อมสามารถบุกพิชิตได้ทั้งพิภพแดนดิน หรือแม้แต่ห้วงสมุทรสุดหยั่งก็มิอาจขัดขวาง


และแอสแซสซินเบื้องหน้าพวกเขา บัดนี้นั้นแทบไม่แตกต่างอะไรจากเศษของหมอกควันน้อยๆ ขวาางทาง
"เอาหละ, แอสแซสซิน พวกเรามาเริ่มกันเถอะ..."
ไรเดอร์กำลังยิ้ม และทอดสายตาที่ดุดันอย่างไร้ความปราณีให้ สำหรับใครบางคนที่บังอาจเพิกเฉยและปฎิเสธของขวัญจากราชา เขาก็ไม่สนใจที่จะยั้งมือไว้ไมตรีเช่นกัน
"ก็อย่างที่เจ้าเห็นนั่นแหละ, สนามรบที่ข้าถนัดหน่อยคือ ที่ราบโล่งๆ ขอโทษทีนะ, แต่ถ้าเจ้ากำลังคิดเรื่องเอาชนะด้วยกำลังพลละก็ ข้าว่า,ฝั่งข้าน่าจะได้เปรียบนิหน่อย.."



ใบหน้าร่วมร้อยระหว่างฮัซซันต่างเลิ่กลั่ก พวกมันลืมหมดสิ้นเกี่ยวกับจอกศักดิ์สิทธิ์ในขณะนั้น ลืมแม้กระทั่งชัยชนะและภารกิจที่รับมาจากอาคมบัญชา ถ้าพูดให้ชัดขึ้นอีกก็คือพวกมันลืมไปแม้กระทั่งการตระหนักว่าตัวเองคือวีรชน...
บางตนวิ่งหนีไม่คิดชีวิต, บ้างกรีดร้องคล้ายคนเสียสติ บ้างวิ่งเหยียบย่ำกันเองจากสายตาของกองทัพวีรชน กลายเป็นกลุ่มม็อบหน้ากากหัวกระโลกที่แตกตื่นรนรานคล้ายผึ้งแตกรัง



"ขยี้พวกมัน !!!" ไรเดอร์ออกคำสั่งโดยไม่ลังเล
"อ้าาาาา ลาห์รรรรรรรรรร"
เสียงกู่ร้องของ ไอออร์เนียน เฮทเธอร์รอย ประสานเสียงตอบรับคำสั่งขององค์ราชา ยอดแห่งกองทัพที่ครั้งหนึ่งเคยกวาดสมรภูมินับร้อยบนภาคพื้นทวีปยูราเซีย ได้คำรามออกศึกอีกคำรบ



ครานี้...ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นการต่อสู้ แต่มันคือการสังหารหมู่โดยแท้จริง ด้วยจำนวนที่แตกต่างกันอย่างไม่ต้องเปรียบเทียบ
ไม่ว่า ไออร์เนียน จะกู่ร้องวิ่งไปทางใด, เส้นทางนั้นไม่เหลือร่องรายของแอสแซสซินใดๆตกค้างอยู่แม้แต่น้อย ไม่แม้แต่ร่องรอย หรือเพียงแค่คราบของกลิ่นคาวเลือดจางๆบนเศษทรายซึ่งสลายหายไปอย่างรวดเร็วในอากาศ ตนแล้วตนเล่าของแอซแซสซินที่ถูกเหยียบย่ำผ่านไป มือสังหารร่วมร้อยถูกกลืนหายไปอย่างรวดเร็ว
.
.
.
.

"วาห์าาาาาาาา อาร์หหหหหหห"
"วาห์าาาาาาาา อาร์หหหหหหห"

.
.
เสียงประกาศชัยชนะ ดังหวั่นไหว, เหล่านักรบที่ได้อุทิศตนและสรรเสริญราชาของพวกเขา เสมือนเป็นการเคารพและการกล่าวอำลา เมื่อภารกิจสำเร็จเสร็จสิ้น พวกเขาคืนกลับสู่ร่างวิญญาณดังที่วีรชนควรเป็น และค่อยๆทยอยหายไปจากสายตา



ครั้นเมื่อเหล่าวีรชนลาจาก อนาเขตที่ถูกสร้างขึ้นก็สลายหายไปด้วย และเหมือนกับฟองอากาศที่ผุดโผล่ขึ้นสู่ผิวน้ำ ทุกคนปรากฎตัวคืนกลับสู่สถานที่ บนสวนท่ามกลางท้องฟ้ายามราตรี ในปราสาทไอเซนเบิร์ก



ขาวกระจ่าง, แสงจันทร์ที่สาดส่องปกคลุมความเงียบ ไม่มีสิ่งอื่นใดเจือปนในบรรยากาศยามรัตติกาลอีกต่อไป วีรชนทั้งสาม และจอมเวทย์ทั้งสองคนต่างย้อนกลับไปสู่ตำแหน่งที่นั่งเดิมของตน และยกจอกของตนขึ้นอีกครั้ง -- มีเพียงเหยือกไวน์ -- ที่พังไปจากมีดสั้นแตกกระจายอยู่บนพื้นเหมือนเป็นหลักฐานว่าทุกสิ่งที่เห็นนั้นไม่ใช่ความฝัน


"---น่าหงุดหงิดจริงๆ "
ราวกับไม่มีอะไรกิดขึ้น ไรเดอร์บนพึมพำกับตัวเองอย่างเงียบเชียบ พร้อมกับกระดกไวน์อีกจอกเข้าปาก เซเบอร์พูดอะไรไม่ออก ขณะที่อาเชอร์แสร้งยิ้มเหมือนจะบอกว่าไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่นัก
"ข้าเห็นด้วย... ไม่ว่าเจ้าลูกกระจ๊อกพวกนั้นมันจะอ่อนแอแค่ไหน, แต่ดูเหมือนพวกมันจะทำให้เจ้าต้องออกแรงไม่น้อยเลย, กษัตริย์เอ๋ย, การที่เจ้าล้มพวกมันขนาดนั้นได้ อืมม?? ไรเดอร์ข้าก็ต้องบอกว่าเจ้านี่มันสะดุดตาข้ามากจริงๆ"
"แน่นอน, ว่ากันตรงๆเลยนะ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเรายังไงก็ต้องได้มีการประลองให้เห็นดำเห็นแดงกันแน่นอนว่าใครในบรรดาพวกเรากันแน่ที่เจ๋งกว่ากัน .."
อย่างน้อยก็ไม่ได้มีอาการท้าทาย ไรเดอร์ยิ้มรับและลุกขึ้นยืน
"ยังไงก็ดี, พวกเราต่างคนต่างได้พูดสิ่งที่อยากจะพูดกันหมดแล้วสินะ, จริงไหม? งั้นวันนี้ก็พอแค่นี้ละกัน "
แต่เซเบอร์ ซึ่งยังคงติดคาใจกับคำพูดของไรเดอร์หลายอย่าง และเธอเริ่มรู้สึกไม่อยากให้เขากลับไปจากวงสนทนาง่ายๆเช่นนี้
"ช้าก่อน, ไรเดอร์ -- ข้ายังมีเรื่องจะพูด"
"เจ้า, หุบปาก..." ไรเดอร์หยุดคำพูดของเซเบอร์ด้วยสีหน้าจริงจัง



"ราตรีนี้ คืองานเลี้ยงระหว่างราชาด้วยกัน แต่ยังไงก็ตาม, เซเบอร์!! ข้าไม่อาจยอมรับวิถีกษัตริย์ของเจ้าได้อีกต่อไป !! "
"นี่เจ้ายังตั้งใจจะหาเรื่องยั่วโมโหข้าอยู่อีกงั้นรึ , ไรเดอร์ ??"
เสียงของเซเบอร์ออกไปในทางของการหงุดหงิดมากขึ้น แต่อเล็กซานเดอร์กับจ้องมองสาวน้อยด้วยแววตาสงสาร ไรเดอร์ชักดาบของเขาออกมา และในฉับพลันนั้นเองก็มีเสียงคำรามของฟ้าร้อง รถศึกคันใหญ่ที่เทียมด้วยโคศักดิ์สิทธิ์ปรากฎตัวขึ้นและคำรามเคียงข้างเขา แม้จะไม่อลังการเฉกเช่น ไอออเนี่ยน แต่มันก็ยังน่าทึ่งทุกครั้งที่ได้เห็นอาวุธเช่นนี้อยู่ดี


"อ้าวว เร็วเข้าซี่ ไอ้หนู รีบๆขึ้นไปได้แล้ว..."
"....."
"เฮ้!! โอ้ววว!! โย่ววว ไอ้หนู??"
"--อ๋า?? อ้อ...อืม"



หลังจากการเป็นพยานเห็นความพ่ายแพ้ของแอซแซสซินอย่างง่ายดาย ในใจของเวฟเวอร์กลับถูกปกคลุมไปด้วยเงาสีดำอึมครึมอย่างหน้าประหลาด แม้ว่าสิ่งที่เขาเห็นเป็นครั้งแรกจะนับว่าไม่ธรรมดา เหนือระดับปกติ นอกเงื่อนไขของอาวุธวิเศษทั่วๆไป ปฎิกิริยาตอบสนองของเขาก็ยังจัดว่าเป็นธรรมชาติ นอกจากที่ว่า---สิ่งที่เขาเห็นคือพลังอำนาจอันแท้จริงของเซอร์แวนท์ที่เขาครอบครอง -- นี่คือครั้งแรกที่เขาตระหนักถึงเรื่องนี้จริงๆ



อย่างงุ่มง่าม, เวฟเวอร์ตะเกียกตะกายปืนขึ้นรถศึก อเล็กซานเดอร์หันกลับมาจ้องเซเบอร์และพูดอย่างจริงใจ
เจ้ารู้อะไรไหม, สาวน้อย? " ข้าว่ามันน่าจะเป็นเรื่องดีกว่านะถ้าเจ้าจะรีบตื่นจากความฝันอันเจ็บปวดของเจ้าเสียแต่เนิ่นๆ ไม่งั้นแล้วท้ายที่สุดอาจจะมาถึงวันหนึ่งๆที่เจ้าต้องสูญเสียแม้กระทั่ง ความเคารพต่อตัวเองในฐานะวีรชน -- วิถีราชาที่เจ้าพูดถึงนั่นเป็นแค่คำพูดที่เจ้าหยิบมาแบกรับไว้เอง แค่นั้นจริงๆ"
"ไม่, ข้า----"
โดยไม่รอคำตอบหรือแก้ตัวของเซเบอร์ รถศึกส่งเสียงคำรามก่อนพุ่งหายลับไปยังท้องฟ้าทางทิศตะวันออก ทิ้งไว้แต่เสียงและแสงของสายฟ้าไว้รอบๆตลอดทาง
"...."
สำหรับเซเบอร์แล้ว, ไรเดอร์ปฎิเสธที่จะฟังคำพูดสุดท้ายของเธอ ทำให้เธอรู้สึกผิดและไม่พอใจอย่างแน่นอน, แม้กระทั่งตอนนี้เซเบอร์ก็ยังคงไม่อาจทิ้งความอึดอัดแบบไร้เหตผลออกไปได้



ไร้ความปราณี, ไร้ซึ่งอุดมคติ ราชาผู้ปกครองด้วยความดุดันและรุนแรงเพื่อตอบสนองปรารถนาส่วนตน แต่ทว่าทำไม....ทำไมถึงยังมีผู้ภักดีและข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ยึดมั่นเช่นนั้น เหล่านักรบผู้มีเจตนาแรงกล้าจนถึงขนาดกลายเป็นอาวุธวิเศษเคียงข้างราชาของตน



พฤติกรรมที่น่ารังเกียจ ในสายตาของจ้าวอัศวิน ไม่ว่ายังไงเธอก็ไม่อาจฝืนตัวเองให้ยอมรับหลักการเช่นนั้นได้
แต่กระนั้น เซเบอร์ก็ไม่อาจละเลยคำพูดของอเล็กซานเดอร์เหมือนกับเรื่องล้อเล่น, หากมีโอกาสเมื่อไหร่ ที่ไหน เธอจะต้องบังคับให้เขายอมถอนคำพูดกลับไปให้ได้ -- คำพูดที่มันกำลังทิ่มแทงจิตใจของเธออยู่ตอนนี้



"อย่าไปสนใจเขา เซเบอร์, สิ่งเดียวที่เจ้าต้องทำคือเดินตามความเชื่อของเจ้าก็พอแล้ว.."
คราวนี้ คนที่ตอบสนองเธอกลับเป็นอาเชอร์ ผู้ที่เอาแต่เยาะหยันเธอมาเกือบตลอดเวลา การที่อยู่ๆได้ฟังคำพูดเหมือนพยายามให้กำลังใจเธอ, เซเบอร์อดตอบไปแบบระแวงเสียไม่ได้
"เจ้านั่นเอาแต่เยอะเย้ยข้ามาพักใหญ่ , คราวนี้ไฉนเจ้าอยู่ๆมาเยินยอข้าเล่า อาเชอร์"
"โอ้ แน่นอน!! วิถีราชาของเจ้าย่อมมีเพียงหนทางเดียว ไม่มีช่องโหว่ผิดพลาดหรือข้อตำหนิอย่างใด แต่ก็แน่นอน ด้วยเรือนร่างบอบบางเช่นเจ้า ข้าว่ามันต้องเป็นภาระที่หนักหน่วงอย่างยิ่งจริงๆทีเดียว"
"ช่างน่าขมขื่น และน่าสับสนในชีวิตไม่น้อย ... เห็นเช่นนี้เข้า ก็ย่อมช่วยไม่ได้ที่ข้าต้องปรารถนาอย่างจริงใจที่จะปลอบประโลมเจ้าเสียบ้าง.."


อาเชอร์พูดตอบเธออย่างเป็นทางการ ด้วยน้ำเสียงจริงจังอย่างยิ่ง แม้จะยังเห็นได้ไม่น้อยว่ามีความกระหายและความคาดหวังบางอย่างลึกๆเจือปนอยู่ในน้ำเสียงนั้นก็ตามที
แต่ทว่าแม้พูดด้วยน้ำเสียงที่เปลี่ยนไป แต่เมื่อวีรชนสีทองผู้นี้ปรากฎตัวต่อหน้าเธอ สำหรับเซเบอร์นั้นเธอไม่เคยลังเลใจแม้เพียงกระพีกเดียว ต่างจากไรเดอร์ ผู้ที่เธอสามารถสื่อสารด้วยคำพูดรู้เรื่องและเข้าใจกัน แต่อาเชอร์นั้นเธอรู้สึกว่านี่คือศัตรูที่ไม่อาจยกโทษให้ได้สำหรับเธอ
"จงมุ่งหน้าต่อไปเถอะตามทางที่เจ้าคิดว่าถูกต้อง เซเบอร์, แม้นักแสดงทั้งหลายก็มีวิถีทางเช่นนั้น ข้าชอบสิ่งนั้น เซเบอร์ทำให้ข้าประทับใจแล้วบางทีข้าอาจตบรางวัลเจ้าด้วย จอกศักดิ์สิทธิ์ก็ได้"
คนโฑสีขาว ถูกเขย่าไปมาในมืออาเชอร์
"บัดนี้ ไรเดอร์กลับไปเรียบร้อยแล้ว งานเลี้ยงคืนนี้ก็จบลงด้วย -- อาเชอร์, เจ้ากลับไปสะเดี๋ยวนี้ หาไม่ก็ชักดาบออกมา.."



แม้จะมองไม่เห็น แต่แรงกดดันจากคมดาบก็แผ่ขยายเป็นเชิงข่มขู่กลายๆ แต่อาเชอร์คว้าเหยือกไวน์ที่แตกขึ้นมาดูด้วยสีหน้าไม่เปลี่ยนแปลง มันเป็นการยากที่จะบอกว่านักรบผู้นี้กล้าหาญหรือโง่แบบที่สุดกันแน่ บุคลิกเช่นนี้เป็นไปได้ทั้งสองประการ
"โอ โอ.. เจ้ารู้ไหม ประเทศนับไม่ถ้วนทีเดียวถูกทำลายราบไปเพราะจอกฯ ที่ว่า? แต่ก็เอาเถอะ จะมาลงโทษเจ้าก็ไม่มีประโยชน์เช่นกัน -- การลงทัณฑ์ตัวตลกชั้นเลิศเช่นเจ้า ข้ามันก็ไม่เหมาะพฤติกรรมของราชาเอาซะเลย"
"เงียบได้แล้ว... ข้าเตือนเจ้าอีกครั้งเดียว ครั้งหน้าข้าจะสับเจ้าแบบไร้ปราณีทีเดียว!! "
เพิกเฉยต่อคำเตือนของเซเบอร์ อาเชอร์ยิ้มละไมแล้วลุกขึ้นยืน
"พยายามเข้าไป..... จ้าวอัศวิน บางครั้งข้าก็คิดว่าเจ้าก็ดูน่ารักดีนะ.."
เมื่อพูดจบ อาเชอร์ก็หายวับไปทันที และราวกับตื่นขึ้นจากความฝัน เมื่อไร้ซึ่งแสงสีทองและเสียงสนทนา ทุกอย่างกลับสู่ความว่างเปล่าของปราสาท
.
.
.
.
และนั่น ม่านของการประลองก็ปิดลง


บทต่อไปเป็นเนื้อเรื่องของเซเบอร์ที่คิดมากกับคำพูดของไรเดอร์ กับอิริสเวลที่พยายามปลอบใจราชาอัศวินผู้โดดเดี่ยวอยู่ครับ ที่เซเบอร์จะออกเศร้าๆและซึ้งกับอิริสเวลมาก (ถ้าไม่ติดว่าอิริสจังแต่งงานไปแล้วคงมีคนเอาไปจิ้น yuri กันได้เลยทีเดียว) บางทีก็สนุกและน่ารักกุ๊กกิ๊กไม่น้อย แต่ขอข้ามไปละกันเดี๋ยวติดลม

เซเบอร์กับลูกชายสุดที่รัก
==============


บทส่งท้ายของผู้แปล (คัดมาเล็กน้อยครับ)
---
แม้ว่าจะรู้สึกไม่ดีนักที่ต้องพูดเช่นนี้ต่อหน้าผู้อ่านทุกท่าน แต่ทุกคนน่าจะรู้อยู่แล้วไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง -- ตอนจบของนิยายชุด Fate/Zero นั่นถูกตัดสินไปแล้ว
.
.
.
มีเพียง เอมิยะ คิริงิสุ รอดชีวิต, เหล่าผู้คนที่เหลือเป็นแค่เครื่องบูชายัญ
แม้เซเบอร์จะเอาชัยชนะทั้งหมดได้, แต่เธอก็ไม่อาจจะครอบครองจอกฯ
ไม่เพียงแค่นั้น, ภายใต้อาคมบัญชา เธอได้ทำลายมันด้วยสองมือของเธอเองด้วยซ้ำ จอกฯที่บรรจุความปรารถนาทั้งมวลของเธอ
และในที่สุด ก็จบลงด้วย "โศกนาฎกรรมครั้งใหญ่ที่สุดแห่งเมืองฟูยูกิ"
ทั้งหมดนี้เป็นเส้นทางสู่ ตอนจบที่โหดร้าย และไม่มีผู้ใดเปลี่ยนแปลงอย่างแน่นอน



ตอนจบของ Fate/Stay Night นั่นมีหลายแบบมาก -- ทั้งโศกเศร้าและสุขสันต์ -- ผมก็ได้แต่หวังว่าทุกคนจะเข้าใจ, Fate/Zero นั้นไม่เหมือนกันแน่นอน
เพราะว่านี่คือ "อดีต" ที่เกิดขึ้นก่อน Fate/Stay ชิโร่นั่นต้องเผชิญกับปัญหามากมายในเส้นทางของเฟทเพราะสิ่งที่เกิดขึ้นมาก่อนในอดีต ซึ่งทุกอย่างผ่านไปแล้วและไม่มีใครสามารถไปแก้ไขได้
ดังนั้นมันมีจุดจบเพียงหนึ่งเดียว ไร้ทางเลือกอื่นๆ
แม้เราจะพบเห็นตัวละครที่มีเสน่ห์มากมายที่ได้แสดงตัวออกมาในเล่ม 2 นี้แต่ท้ายที่สุดแล้วพวกเขาทุกคนนั้นกำลังมุ่งไปสู่หายนะในตอนท้าย
.
.
แต่, แต่...
แม้ว่าทุกท่านอาจจะรู้สึกหดหู่เช่นนั้น, ผมก็ยังเชื่อว่าทุกท่านปรารถนาที่จะติดตาม Fate/Zero ต่อไป
เพราะว่านี้คือเรื่องราวของ เอมิยะ คิริงิสุ, ผู้จุดประกายความฝันให้แก่ชิโร่ ยังต้องยอมละทิ้งอุดมการณ์ของตัวเอง และเซเบอร์ผู้ได้เห็นแต่ด้านชั่วร้ายของคิริงิสุ ไม่มีวันเห็นและเข้าใจ
เพื่อจะทำให้ทุกคนบนโลกมีความสุข--
และที่นี้, ด้วยความฝันที่โง่บัดซบคือ เอมิยะ คิริงิสุ
และที่นี้, ผู้แข็งแกร่งอย่างยากจะเปรียบเทียบ คือ เอมิยะ คิริงิสุ
และที่นี้, ความหวาดกลัวของการสูญเสียคนสำคัญและผู้เป็นที่รักที่สุดของตน คือ เอมิยะ คิริงิสุ,

สำหรับผู้ที่อยากจะรู้ก่อน, คำพูดสุดท้ายของเอมิยะ คิริงิสุใน Fate/Stay Night คือ
.
.
"Ahhh -- Don't Worry"
-------------------------------

Note
- วิพากษ์วิจารณ์ได้เต็มที่ครับ
- ส่วนตัวผมชอบนิยายเล่มนี้มากตรงได้เห็นอะไรดีๆหลายอย่างทีเดียว
- เนื้อเรื่องช่วงไรเดอร์ และกองทัพของเขาจริงๆอลังการและประทับใจมากๆ ขออภัยที่แปลได้ไม่ดีเท่าที่ควร
- Fate/Zero ผมว่าโชว์ให้เห็นข้อดีของนิยายอย่างนึง ตรงที่การบรรยายโดยละเอียด ทำให้ผู้อ่านได้สัมผัสกับบรรยากาศในอีกแง่มุมอย่างเต็มที่ รวมถึงความคิดในแต่ละขณะของตัวละครแต่ละตน หากเป็นภาพยนต์หรือ anime ฉากสงครามกับแอซแซสซินนั้นคงสั้นมาก และไม่ได้อรรธรสมากนักเมื่อเทียบกับนิยาย คงได้เห้นแค่กองทัพสวยๆแค่นั้นเอง (แต่ก้อยากเห็นเป็นอนิเมนะ ^^)
- ทั้งเซเบอร์ เองตอนอ่านบทสนทนากับอิริสเวล แล้วก็สงสารเธอมากๆจริงๆ โดยเฉพาะอิริสเวลที่ต้องเป็นเหมือนตัวกลางตลอด



Create Date : 24 ตุลาคม 2552
Last Update : 24 ตุลาคม 2552 23:42:03 น. 6 comments
Counter : 6538 Pageviews.

 
สุดยอดจริงๆเลยลุง ตากิลนี้มีการแนะนำเซเบอร์อีกมุขจีบสาวเหรอ

ปล,อยากรู้อิริสเวลนี้ตายยังไงเพราะตอนเคยอ่านบทนำที่มีคนเคยเอามาแปลดูแล้วคิซึรุงุเองก็รักอิริสเวลกับอิรียาเหมือนกัน


โดย: hahahaman IP: 110.164.111.178 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:13:50:14 น.  

 
ผมก็รู้สึกหมั่นไส้คิริซิงุมากระทันหันเหมือนกัน ถ้าเอ็งไม่ไปทำให้ชิโร่อยากกลายเป็น"ผู้ผดุงความยุติธรรม" และโลกในอุดมคติที่ไม่มีวันเป็นไปได้อีก

ทั้งตัวชิโร่และอาเชอร์ก็คงไม่ต้องมาทรมาณเพื่อความฝันอยู่อย่างงั้นหรอก แต่ผมก็ชอบชิโร่ตรงความแน่วแน่ในอุดมการณ์ของเค้านี่แหล่ะ และอย่างน้อยในบทจบนึง ชิโร่ก็ทำให้เซเบอร์ละยอมละทิ้งดาบเพื่อความสุขของตนเองซะที

สรุปผมก็ยังคิดไม่ตกว่าจะชอบรึเกลียดคิริซิงุดี -__-"


โดย: Inugami IP: 219.88.164.183 วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:18:27:30 น.  

 
อยากรู้อิริสเวลนี้ตายยังไง
^
^
sacrifired herself to HolyGrail,..... and be killed by kirigitsu


Husband and wife kill each other, so sad


โดย: Kross_ISC วันที่: 25 ตุลาคม 2552 เวลา:21:24:40 น.  

 
สุดยอดดเลยครับ!! แปลมาได้สุดยอดจริงๆ!!

บักกิลนี่มันก็ร้ายไม่ใช่ย่อย
ลุงนวดเท่มากๆเลยครับ
แอสซาสซินนี่ โผล่มาอย่างเท่ สุดท้ายโดนลุงหนวดจัดการ ..อนาถเลย


โดย: SchnuckieBucks IP: 61.19.52.106 วันที่: 3 พฤศจิกายน 2552 เวลา:21:00:24 น.  

 
เอาสั่นๆ ไม่มากความ
" เยี่ยม "


โดย: นาย 86 IP: 125.27.200.36 วันที่: 20 มกราคม 2553 เวลา:22:23:04 น.  

 
ตาหนวดเท่ห์สุด ๆ ค่ะ


โดย: talalan IP: 110.169.243.25 วันที่: 23 ตุลาคม 2554 เวลา:14:41:54 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kross_ISC
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 79 คน [?]




Blog จับฉ่ายของ Kross ครับ เทคโนโลยี, การทหาร,Military Expert, การ์ตูน, Anime, Manga, Review, Preview, Game, Bishojo Game, Infinite Stratos (IS), Hidan no Aria, Light Novel (LN)

ติดตามเพิ่มเติมได้ทาง Twitter ที่ @PrameKross
New Comments
Friends' blogs
[Add Kross_ISC's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.