Fate/Zero Ep19 [spoil] วิเคราะห์เนื้อหาและการตัดสินใจของคิริงิสุ (1)
Fate Zero EP.19 "อดีต"
[เฉพาะประเด็น]
ตอนนี้เป็นเนื้อเรื่องที่เขียนยากจริงๆครับ โดยเฉพาะมันเป็นปมดราม่าที่ค่อนข้างแรงอย่างยิ่ง ดังนั้นการเขียนบทความแบบเป็นกลาง โดยไม่ให้มีเจตคติลำเอียงไปด้านในด้านนึงนี่จะยากมาก เพราะตัวผมเองซึ่งอ่านและติดตาม Fate/Zero มาตั้งแต่เวอร์ชั่นนิยายก็มีความรู้สึกทั้งแบบผูกพัน+สาบแช่ง ในพฤติกรรมตัวละครแต่ละตัวของเรื่องนี้อยู่ตลอด โดยเฉพาะคิริงิสุ พระเอกของภาคนี้ แต่จะลองพยายามอย่างเต็มที่ครับเพื่อให้บทวิเคราะห์เนื้อเรื่องออกมามีอคติน้อยที่สุด โดยจะขอแยกประเด็นในเรื่องการตัดสินใจของคิริงิสุในตอน 19 มาพูดอย่างเดียวกันก่อน
สำหรับผู้ติดตามบทความทุกท่านขอออกตัวไว้นิดนึงนะครับว่า
.
.
"อย่าลังเลที่จะโกรธเกลียดเหล่า[ตัวละคร]ในเรื่อง....แต่อย่าได้โกรธเกลียดผู้อื่นเพียงเพราะเขาชื่นชม[ตัวละคร]เหล่านั้นเลย"
VIDEO
ช่วงแรกของ Ep.19
เราจะได้เห็นคิริงิสุ มาอยู่กับนาตาเลีย หลังจากเหตการณ์โศกนาฎกรรมที่เกาะทะเลใต้ (คาดว่าฟิลิปปินส์) มาแล้ว โดยคีย์เวิร์ดจะมีดังนี้
- นาตาเลีย คามินสกี้ จอมเวทอิสระเป็นผู้ฝึกสอนชุบเลี้ยงคิริงิสุมา
- ช่วงแรกทำงานเป็นลูกมือเฉยๆ ไม่ได้ออกภาคสนาม
- พอเข้าวัยหนุ่ม คิริงิสุได้รับตราเวทของตระกูลคืนมา (ศาสตร์ด้านเวลา)
- ตราเวทที่เขาได้รับนั้นเหลือข้อมูลอยู่เพียง 20% เท่านั้นเพราะโดนสมาคมฯเวท ตัดคัดกรองส่วนสำคัญและอันตรายออกไป
- คิริงิสุไม่ค่อยได้สนใจเวทมนต์ และความรู้ในตราเวทอันนั้นเท่าไหร่ เพราะไม่ได้คิดจะวิจัยต่อ
- จุดสำคัญคือธาตของคิริงิสุเองคือ ธาต "ตัด/ต่อ" ซึ่งแปลกประหลาดและนาตาเลียดัดแปลงให้กลายเป็นกระสุนไม้ตาย 66 นัด
- จุดเด่นของการตัด/ต่อ นั้นคล้ายกับศัลยแพทย์ผ่าตัด ถ้าตั้งใจทำดีๆก็ดีไป...แต่ถ้าตัดต่อมั่วไปจะเป็นอาวุธสังหารที่โหดมาก
- กระสุนเหล่านี้จะเป็นอาวุธพิฆาตของคิริงิสุที่เอาไว้ใช้ฆ่าจอมเวทเก่งๆ เพราะใช้วิธียิงใส่และตัดต่อวงจรเวทและเส้นประสาทให้มั่วจนร่างกายฝ่ายตรงข้ามเละ
- นาตาเลียเป็นจอมเวทที่พึ่งพาอุปกรณ์วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีปัจจุบันค่อนข้างเยอะ ต่างจากผู้ใช้เวทมนต์ทั่วไป เพราะยึดถือคติผลลัพธ์เป็นสำคัญ
- การไม่แคร์วิธีการ+ขนบธรรมเนียมของจอมเวท นั้นสืบทอดต่อมายังคิริงิสุด้วยในอนาคต
ช่วงกลาง Ep19
- เป้าหมายใหม่คือ โวลแซ็ค ผู้ใช้ผึ้งปีศาจ ซึ่งจะขึ้นเที่ยวบินเดียวกัน และนาตาเลียจะเป็นผู้หน้าที่จัดการบนฟ้า ส่วนคิริงิสุจะรับหน้าที่จัดการศัตรูภาคพื้นดิน
- ปืนที่คิริงิสุใช้ ผมดูไม่ออกจริงๆนะว่าปืนอะไร ดูๆไปมันคล้ายคาไบน์ หรือไม่ก็พวก ปลย87 บ้านเราเลยแต่ใหญ่กว่าแล้วเอามาติดกล้องเล็งเฉยๆ
- จุดที่น่าสนใจอย่างที่ 1 คือ ปืนนี้ถูกโมดิฟายให้ติดไซเลนเซอร์ (เครื่องเก็บเสียง) ด้วย, เหยื่อจะตายไม่รู้ตัวจากระยะไกลเลยครับ
- อย่างที่ 2 ที่แสดงให้เห็นความโปรฯ (ไม่สิ...ต้องเรียกว่าความไม่นู้ปต่างหาก) เพราะคิริฯแกไม่ยืนติดหน้าต่างแล้วยื่นปืนไรเฟิลออกมาส่องเป้าหมายครับ แต่แกใช้วิธีถอยออกมาห่างๆกระจกสักหน่อยแล้วเล็งยิง (เพื่อไม่ให้ปืนยื่นไปนอกกระจก + ลดโอกาศที่ประกายไฟจากปากลำกล้องจะหลุดไปให้คนอื่นรู้ตัว)
วิทยุของนาตาเลีย
- จริงๆไม่ใช่วิทยุครับ แต่มันน่าจะเป็นโทรศัพท์่ผ่านดาวเทียมมากกว่า จากรูปน่าจะเป็นของบ.อิริเดี่ยมรุ่นเก่ากึ๊กหน่อย (แต่ก็ไม่แน่...ในนิยายไม่ระบุชัด)
- โฆษณาให้หน่อย เพื่อใครอยากสนใจมือถือพวกนี้ //www.ts2.pl ผมเคยใช้อยู่ครั้งสองครั้งเอง
(ไม่คล้ายหรอกครับ เอามาให้ดูเฉยๆว่าหน้าตาเครื่องในปัจจุบันมันเป็นยังไง)
- แต่เอาเข้าจริงๆมันก็อาจเป็นวิทยุก็ได้นะ ถ้านาตาเลียสามารถเชื่อมเครื่องมือของเธอเข้ากับวงจรสื่อสารประจำเครื่องได้ ก็ใช้ติดต่อภายนอกได้เช่นกัน แต่ผมคิดว่าเธอคงไม่ใช้วิธีนั้นหรอกเพราะทิ้งร่องรอยไว้เยอะ แถมเสี่ยงต่อการถูกดักฟัง (หรือฟังโดยไม่เจตนา) จากเครือข่ายสื่อสารอื่นๆ
รถพยาบาลของคิริฯ
- เตรียมตัวมาดี(โคดๆ) แผนการทั้งฆ่าคนอื่น + ชิงศพไปขาย (หรือขึ้นเงิน) กับสมาคมฯ นี่โดยเนียนเป็นหมอนับว่าเจ๋งมาก
- สังเกตไหมว่าทำไม แอมบูแลนซ์ ถึงเขียนกลับข้างกัน ผมชมเชยอย่างนึงที่ทีมอนิเมไม่พลาดตรงนี้
.
.
นึกออกยัง?
.
.
เพราะเอาไว้ให้รถที่อยู่ข้างหน้า มองสะท้อนกระจกหลังแล้วเห็นเป็นคำว่า Ambulance ไงขอรับ~
ผึ้งของโวลแซ็ค
- จริงอยู่ที่หมอนี่ตายง่ายมาก แต่กลับยังมีพิษสงเหลืออยู่ เพราะใช้ผึ้งเก็บไว้ในลำตัว
- อันที่จริงจอมเวทคงมีวิธีการบางอย่าง แต่ผึ้งพิษและฝังไว้ในลำตัวนั้นจัดเป็นเรื่องอันตรายมาก
- ถ้าหากมองในหลักการวิทยาศาสตร์ วิธีการของหมอนี่คือเก็บผึ้งในแบบรังไว้ในตัวเอง ถ้าตัวเองตายผึ้งก็จะหนีออกมาหาความอบอุ่นภายนอกแทน
(เหมือนบังคับแมลงให้จำศีล)
- เรื่องของอุณหภูมิคงใช้วงจรเวทเลี้ยงไว้ได้ครับ
- จุดสำคัญคือ การตรวจศุลกากรนั้นจะ X-ray เฉพาะกระเป๋า ส่วนร่างกายคนนั้นจะใช้วิธีแค่สัมผัส+ตรวจโลหะทั่วไป ดังนั้นผึ้งซึ่งแอบอยู่ในร่างกายผ่านด่านตรวจได้สบาย
[ตอนสำคัญแล้วครับ]
จากนี้ไปผมจะใช้วิธีในแบบ Q&A แทนการบรรยายละกัน
1. ทำไมนาตาเลียไม่มีร่มชูชีพบนเครื่อง
- เครื่องบินโดยสารนะ! ไม่ใช่เครื่องบินรบ~ที่จะมีชูชีพแจกขนาด Air-force One ยังไม่มีให้เลยครับ (อย่าเชื่อหนังกันมาก)
- นาตาเลียขึ้นเครื่องแบบผู้โดยสารทั่วไป ดังนั้นสัมภาระที่พกพาได้นั้นมีจำกัด
- ร่มชูชีพที่ใช้งานจริงๆนั้นทั้งใหญ่+กินพื้นที่ (พับแล้วยังใหญ่โตหลาย แถมดีๆก็หนักเป็นสิบกิโล) จึงยุ่งยากมาก
- ที่ความสูง 3-40,000 fit (เพดานบินปกติ) อุณหภูมิอยู่ที่ -70c โดยประมาณ, ที่ระดับนี้ มนุษย์จะตายภายในเวลาไม่กี่วินาทีเลยถ้าไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน
(ชุดกันอุณหภูมิ,ชุดนักบิน เธอคงไม่เตรียมมาสำหรับภารกิจนี้หรอก ต่อให้เป็นจอมเวทก็คงลำบาก)
- โดดร่มชูชีพ....ไม่ใช่โดดหอบันจี๊จั้ม การโดดให้ปลอดภัยนั้น ต้องฝึกโดดทั้งซ้อมแห้ง และซ้อมจริง ที่ระดับความสูงต่างๆมากมายถึงจะใช้ได้
- ขนาดการโดดร่มทางทหาร, นักบินจะเป็นผู้กำหนดจุดปล่อยตัว โดยดูจากความสูง ความเร็วลม ความเร็วสัมพันธ์ ถ้าหากไม่ลงตัวพอดีจะเกิดอุบัติเหตง่ายมาก
(เช่นลมย้อนกลับมากระแทกเครื่อง ลมพัดร่มบิดเป็นเกลียว ตกหลุมอากาศแล้วร่มจะกางเป็นแผ่นไม่รับลม...ทุกสาเหตนี่ถึงตายได้ทั้งนั้น)
- นาตาเลียไม่ใช้นักบิน และไม่น่าเก่งพอที่จะรู้(+ปฎิบัติจริง) ว่า กระโดดจังหวะไหนถึงจะปลอดภัย
- การโดดร่มทางทหารจริงๆ มักจะมีร่มชูชีพสองชุดด้วย เพื่ออุบัติเหต ร่มอันใดอันนึงพัน, ไม่กาง, กางแล้วไม่เกาะลม...จะได้ตัดทิ้งกระตุกร่มสองเพื่อใช้แทน
- ถ้าหากนาตาเลียจะพกร่ม 2 ชุดยิ่งเหนื่อยใหญ่ (นึกถึงเวลาผ่านกรมศุลฯ) และเวลาผ่าน x-ray ผู้โดยสารจะเอาร่มชูชีพขึ้นเครื่องมันผิดสังเกตแน่ๆ
- อีกอย่าง...ผมไม่คิดว่านาตาเลียจะฝึกฝนการใช้ร่มชูชีพมา (งานของเธอมันไม่ค่อยจำเป็น...เธอไม่ใช่ 007 นา ที่อยากโม้สกิลไหนก็มีให้)
2. กระเป๋าของนาตาเลียมีอะไร?
- นอกจากวิทยุ พอเธอฉีกเปิดช่องลับ (ไม่ใหญ่เลย) ก็เห็นอาวุธหนักเบาพอสมควรเลยครับ ตั้งแต่ปืนลูกซองสั้น, ระเบิด, ปืนพก มีด และกระสุน
- การเตรียมตัวของเธอถ้ามองจากอุปกรณ์แล้วคงเหมือนกับเตรียมตัวมาฉะ กับจอมเวท หรือลูกสมุนของฝ่ายตรงข้ามมากกว่า (สังเกตว่าอาวุธต่อต้าน zombie นี้เต็มสูบ)
คำทิ้งท้ายของคิริงิสุ "อย่างนาตาเลียทำได้อยู่แล้ว"
ตรงนี้จัดว่าน่าสนใจเหมือนกันครับ นี่คือจังหวะสุดท้ายก่อนที่พระเอกเราจะตัดสินใจอะไรบางอย่าง เรียกว่า "การตัดสินใจในจุดวิกฤติ" ได้ทีเดียว (Critical Decision) ซึ่งตรงนี้ผู้ที่อยู่ในตำแหน่ง (In Charge) ระดับสูงขององค์กรทุกแห่งควรจะต้องมี เพราะมันคือการบูรณาการข้อมูลหลายๆอย่างเข้าด้วยกันเพื่อหาการตัดสินใจที่ดีที่สุดให้องค์กรไปรอดด้วยข้อมูลและความเป็นจริง
.
.
.
ความเป็นจริง (Fact)
.
.
และทันเวลา (On Time)
.
.
ใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้ (Sustainable Damage)
ลองยกตัวอย่างดูหน่อยดีกว่า, สมมุติญาติของทุกๆคนถามคุณว่า
"พรุ่งนี้ตอนตลาดเปิด ผมควรจะซื้อทองคำดีไหมครับ?"
.
.
.
คำตอบ "ซื้อ/ไม่ซื้อ"
หากเป็นทุกท่านจะตอบว่ายังไง?
เพราะ ทองคำ, เงินตรา, สินทรัพย์ ทั้งหมดล้วนมีมูลค่า, หากผมยึดถือการตัดสินใจของคุณแล้ว นั่นหมายถึงว่าคำตอบ "ใช่/ไม่ใช่"คุณจะมีผลต่อเงินจำนวนมากในกระเป๋าของญาติมิตรคนนั้นทีเดียว....แล้วหากเงินนั้นสูญไปหรือกำไรหละ คุณคิดว่าจะรับ "ผิด/ชอบ" ได้ไหม?? แล้วถ้าเงินนั้นมีมากๆหละ เช่นเป็นเงินกองทุน เงินองค์กร มูลค่า 100 ล้าน 1000 ล้าน ขึ้นมา หรือเป็นงบสำรองคลังฯ ของกระทรวงต่างประเทศหละ?
.
.
.
นี่เป็นตัวอย่างครับ....คุณพร้อมจะรับผิดชอบการตัดสินใจนั้นรึเปล่า.... ที่ผมเลือกทองคำและตลาดหุ้น เพราะเป็นตัวอย่างชัดเจนในการที่ต้องตัดสินใจให้ทันเวลา
(เราไม่มีโอกาศคิดตลอดกาล เพราะ oppotunity cost จะสูญเสียไปเรื่อยๆ)
.
.
.
คิริงิสุก็เช่นกัน....เพียงแต่เขากำลังตัดสินใจอยู่กับชีวิตบนข้อมูลที่ว่า
Fact : สถานการณ์ปัจจุบัน, นาตาลีจะเอาเครื่องลงสำเร็จอย่างแน่นอน
Time : มีเวลาอีก 50 นาทีก่อนจะถึงสนามบิน
Damage : มี 2 รูปแบบ
(1) กูล, ผึ้งจะปรากฎตัวที่สนามบิน หรือแผ่นดินใหญ่อเมริกา
(2) นาตาเลียสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ และหาวิธีขจัดศัตรูได้แล้ว (ซึ่งเป็นตัวเลือกที่คิริหวังมากที่สุด)
ลองจินตนาการตัวเองเป็นคิริงิสุดูครับ เส้นทางเลือกมีเป็นร้อยวิธี แล้วทุกท่านจะเลือกหนทางที่แตกต่างกับเขาได้หรือไม่? (และอย่าลืมว่า อยู่ภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้รึเปล่า?)
3. บาซูก้ากระบอกนั้นคืออะไรหรอ?
- อันแรกเลย คือปืนที่ถือนั่นไม่ใช่บาซูก้าครับ (บาซูก้า= เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถังสมัยสงครามโลกที่โด่งดังมากๆ จนคนติดปากกัน) แต่ปืนของคิริฯนั่นเป็น FIM92-Stinger, ขีปนาวุธต่อต้านอากาศยานระยะสั้นของกองทัพสหรัฐ
- เป็นจรวดที่มีชื่อเสียงมากๆ ของ US ในระหว่างสงครามเย็นที่สหภาพโซเวียตทำสงครามในอัฟกานิสถาน, CIA ส่งจรวดแบบนี้ให้กับเหล่าขบวนการตาลีบันนับร้อยๆชุดเพื่อใช้ตอบโต้กำลังทางอากาศของโซเวียต
- ขีปนาวุธนี้นำวิถีด้วยคลื่นอินฟราเรด (ความร้อน) และมีระบบจำแนกเป้าที่ทันสมัยมาก โดยเฉพาะระบบการแยกแยะความร้อนระหว่างเป้าลวงแฟรล์ กับย่านความถี่ของไอร้อนจากเครื่องยนต์ของอากาศยานจริงๆ (แจมได้ยากมาก) แถมยังใช้ง่าย แทบไม่ต้องฝึกหัดเลย เพราะยกขึ้นเล็งเป้า นาบดักหน้านิดหน่อย ที่เหลือระบบนำวิถีจัดการให้เองเสร็จสรรพ แถมยังมีน้ำหนักเบามาก ชนิดพกพาได้ด้วยคนเดียว
- จุดด้อยของอาวุธนี้คือระยะยิงที่สั้นครับ เพียง 5-6 km เพดานบินหวังผลจริงๆไม่เกิน 15000 ฟุต (สเปคบอก 30,000 แต่เอาเข้าจริงๆเป็นไปไม่ได้) รวมถึงการที่มันใช้สายตาเล็งนำทางเบื้องต้น ดังนั้นการโจมตีเครื่องบินที่เพดานบินสูงจึงเป็นไปไม่ได้เลย (ต้องเล็งตอนลดระดับ เช่นแถวสนามบิน หรือกำลังเข้าโจมตีเป้าหมายกัน) ใน ep19 คิริฯ ใช้ยิงตอนที่เครื่องบินเริ่มลดระดับลงมาแล้ว
- เป็นอาวุธที่ออกแบบให้ใช้ตอบโต้ภัยคุกคามทางอากาศระดับหมวด/กองร้อย แค่พอให้ตอบโต้เครื่องบินได้บ้าง แต่ขีดความสามารถโจมตีระยะไกลหรือสกัดขีปนาวุธนี้ต้องไปให้หน่วยต่อต้านภัยคุกคามระดับ กองพัน,กรมเข้าต่อต้านแทนครับ
- ตามนิยาย คิริฯ ไปหามาโดยใช้เส้นสายตลาดมืดโดยใช้เวลาแค่ไม่กี่ชม. เอเจนต์ก็จัดหามาให้ได้ (น่าจะขโมยมาจากคลังสักแห่งของสหรัฐ) ซึ่งก็ดูสมเหตผลดีเพราะน่าจะหาง่ายกว่า SAM ของชาติอื่นๆ
4. ข่าวดีและข่าวร้าย มันมีผลยังไงกันแน่?
- ข่าวดีคือเครื่องปลอดภัย นาตาเลียยังไม่ตาย
- ข่าวร้ายคือ คุมสถานการณ์บนเครื่องไม่ได้
- อีก 50 นาทีจะลงจอด
สังเกตจากบทพูด, นาตาเลียไม่ฝืนสู้กับฝูงผึ้งเลย แต่เน้นวิ่งมาค็อกพิทนักบินอย่างเดียว (ซึ่งก็ถูก เป็นผมก็ไม่เสี่ยงสู้ให้โดนต่อยหรอก) แต่นั้นก็หมายความว่า เครื่องบินทั้งลำนี้กำลังกลายเป็นแหล่งเพาะเชื้อขนาดเบ่อเริ่มเทิ่มเลย (ผึ้งมันเพาะพันธ์ตัวเองกันได้) ซึ่งตรงนี้คิริงิสุต้องรีบตัดสินใจแล้ว
.
.
.
ประเด็นตรงนี้เกี่ยวกับ "เวลา" โดยเฉพาะเลย
อ้า..ที่ผมเคยหยั่งเชิงคำถามเมื่อกี้ว่าจะเอาหัว/ก้อย ก็ต้องเลือกตอนนี้ละครับ...ถึงแม้ยังมีอีก 50 นาที แต่ถ้าจะตัดสินใจทำอะไรก็ต้องตัดสินใจตอนนี้แล้วหละ ไม่งั้นจะไม่ทันการ
- จะแล่นเรือต่อไปเพื่อให้ถึงจุดยิงกลางทะเล
- กลับสนามบินไปเตรียมตัวรับมือ
เพราะว่า เครื่องบินโดยสารมีเส้นทางบิน ตารางการบินประจำ ดังนั้นสามารถประเมินตำแหน่งและความสูงสามัญเมื่อเครื่องเข้าใกล้ได้ครับ, แต่ไม่ว่าจะเลือกหนทางไหน ต้อง 'เริ่ม' ทำทันทีเพราะ 'ระยะทาง' ในการเดินทางไปแต่ละจุดนั้นใช้เวลาด้วย ถ้านั่งไขว่ห้างเฉยๆเวลา 50 นาทีจะหมดไปโดยเปล่าประโยชน์
Create Date : 14 พฤษภาคม 2555
Last Update : 14 พฤษภาคม 2555 0:29:56 น.
1 comments
Counter : 5905 Pageviews.