Kross (เครื่องยิงจรวดต่อสู้รถถัง~
Group Blog
 
<<
มกราคม 2553
 
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31 
 
2 มกราคม 2553
 
All Blogs
 
Fate/Zero Vol.3 “แม่น้ำมรณะแห่งเมืองฟูยูกิ” (3.2)

ตอน ก่อนหน้าครับ ตอน 3.1 //www.bloggang.com/mainblog.php?id=kross&month=02-01-2010&group=4&gblog=15


เซเบอร์กัดฟันอย่างขมขื่น, อันที่จริงเซเบอร์สามารถใช้อาวุธวิเศษของเธอนั่นกวาดเบอร์เซอร์เกอร์ให้ราบ เรียบในครั้งเดียวได้เช่นกัน แต่ทว่าความเร็วของมันและการโจมตีอันต่อเนื่องนั่นไม่เปิดช่องว่างให้เธอตอบ โต้ได้เลยแม้แต่น้อย มันราวกับว่าเบอร์เซอร์เกอร์นั่นล่วงรู้ถึงวิธีการสัประยุทธ์ที่ได้ผลที่สุด และอ่านแผนการณ์ในใจของเซเบอร์ออกอย่างชัดเจ การโจมตีของอัศวินดำนั้นทั้งแม่นยำและต่อเนื่องอย่างยิ่ง... ในการไล่ล่าสิงโต, คุณจะต้องไล่ ไล่ ไล่ ไล่…. และติดตามไล่ล่ามันไปให้ถึงที่สุดโดยไม่เปิดให้เหล่าราชสีห์นั่นมีโอกาสตอบ โต้แม้แต่ครั้งเดียวจนกระทั่งมันตายไปเองจากความเหนื่อยล้าของการไล่ล่าอัน ต่อเนื่อง, นี่คือวิธีการที่ทรงประสิทธิภาพที่สุดในการล่าคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่ง...และ บัดนี้ เบอร์เซอร์เกอร์นั้นกลายป็นนักล่าที่รู้จักวิธีการเช่นนี้ดีเหลือเกินที เดียว...



อย่างกระทันหันบนอีกด้านของแม่น้ำ, เสียงคำรามเสียดสีจากริมฝั่งดังออกมาจากพื้นที่รอบๆอันว่างเปล่า... มีแต่เพียงจอมเวทย์เท่านั้นที่จะสามารถอธิบายปรากฎการณ์เช่นนี้ได้ – ปฎิกิริยาบางอย่างจากพื้นที่ภายในของ Reality Marble ของไรเดอร์นั่นเอง, แรงสะเทือนของแผ่นดินไหวอย่างรุนแรงที่เกิดจากการดิ้นรนของอสูรทะเลขนาด ยักษ์นั้นเริ่มส่งผลถึงการบิดเบี้ยวของมิติภายนอก ดูเหมือนกับสัญญาณของให้ทุกคนรู้ว่าอนาเขตของไรเดอร์ที่เหมือนกับนาฬิกาต่อ อายุขัยให้กับทุกคนนั้นบัดนี้มาถึงขีดจำกัดสุดท้ายของมันเสียแล้ว




เขาต้องบอกไรเดอร์ถึงสถานการณ์ที่นี่!
เวฟเวอร์ตัดสินใจทันที… เขาตั้งสมาธิถึงวีรชนของตัวเอง และในเวลาไม่นานพื้นที่ว่างเปล่าข้างตัวเวฟเวอร์ก็เริ่มต้นวาร์ปบางสิ่ง... นายทหารในชุดออกศึกคนนึงก็ปรากฎตัวขึ้นออกมาจากมิติอีกแห่ง
“ข้าพเจ้า, ข้าหลวงเมลทิลิอุส, บัดนี้มาเพื่อรับคำบัญชาในฐานะแห่งองค์ราชา!!”



วีรชนผู้เป็นนายทหารคนสนิทของราชาผู้พิชิตทำความเคารพต่อเวฟเวอร์และประกาศ ชื่อตนเองอย่างเสียงดังฟังชัด, ขณะที่เวฟเวอร์กำลังตะลึงอึ้งนั่นเอง...เขาก็รู้สึกตัวขึ้นมาว่านี่ไม่ใช่ เวลาที่จะมาพิสมัยกับเครื่องแต่งกายหรือความองอาจของเซอร์แวนท์แต่ละคนนัก เขาตั้งสติก่อนพูดเร็วจี๋ว่า



“ยกเลิกอนาเขตของไรเดอร์แล้วปล่อยเจ้าคาสเตอร์นั่นลงตรงจุดนัดพบในทันทีที่ ฉันจะให้สัญญาณ, เรื่องนี้เจ้าทำได้รึเปล่า?”
“นั่นจะได้รับการตอบสนองทันที – แต่ได้โปรดทำอย่างรวดเร็วที่สุดด้วย กองทัพของเราในอนาเขตไม่อาจหยุดยั้งอสูรทะเลนั่นได้อีกนานนัก --”
“ฉันรู้!— ฉันรู้อย่างดีที่สุดทีเดียว”
เวฟเวอร์ตอบรับทันควันพร้อมกับหงุดหงิดอย่างยิ่งเมื่อหันไปมองสภาพการณ์ของ เซเบอร์ ที่พยายามหลบหลีกการโจมตีครั้งแล้วครั้งเล่าของอัศวินดำบนฟ้าอย่างยากลำบาก, เด็กหนุ่มรู้สึกกลุ้มใจยิ่งขึ้นเมื่อเวลาอันมีค่ากำลังหมดลงอยู่ทุกขณะ


“บ้า ชิบหาย, เจ้าเบอร์เซอร์เกอร์นั่น.... ไม่มีใครมีวิธีอะไรที่จะหยุดเจ้านั่นได้มั่งเลยรึ?”
“— ข้าไปเอง!”
แลนเซอร์ผู้จับตาการเคลื่อนไหวและคอยโอกาสมาตลอด, ตอบทันควันด้วยเสียงหนักแน่น ในจังหวะที่อัศวินดำกำลังตีวงโอบล้อมเซเบอร์ผ่านตำแหน่งของพวกเขาอยู่นั่น เอง, อัศวินแห่งหอกก็ขว้าทวนสีแดงสดที่เหลืออยู่กระโดดพุ่งออกไปจากริมฝั่งแม่น้ำ พร้อมทั้งสลายร่างตนเองกลับไปสู่วิญญาณอันโปร่งใสทันที... และในพียงเสี้ยวพริบตา...แลนเซอร์ก็ไปจำแลงกายกับเป็นร่างกายหยาบอีกครั้งบน ตัวเครื่อง F15, และด้วยมือข้างเดียวที่จับปีกโลหะของนกเหล็กที่ถูกเคลือบไว้ด้วยอาคมสีดำไว้ , แลนเซอร์ร้องคำรามในลำคอตัวเอง


“จบกันแค่นี้แหละ! เบอร์เซอร์เกอร์ !”
สิ้นคำแลนเซอร์, เขาก็ยกเกลเดอร์ก ขึ้นแล้วจ้วงแทงเข้าไปยังกลางลำตัวของเครื่องบิน F15 ที่บัดนี้ถูกเปลี่ยนเป็นสัตว์ประหลาดเวทย์มนต์ผู้กระหายสงคราม



หอกสีเลือดเปล่งประกายแดงฉาน...เกลเดอร์กที่ตัดการไหลเวียนของพลาน่า ทุกอย่างที่อยู่บนวัตถุหรือร่างกายนั้นคำรามกรีดร้อง... แน่นอนมันคือความสามารถที่เกิดมาเพื่อเป็นคู่ปรับทางเวทย์มนต์วิเศษของเบอร์เซอร์กอร์อย่างชัดเจนที่สุดทีเดียว



ทว่าอัศวินดำผู้บ้าคลั่งเองนั่นก็ได้เคยเห็นการโจมตีเช่นนี้มาแล้วครั้ง หนึ่ง ณ การต่อสู้ที่ถนนคลังสินค้า, เซอร์แวนท์สีดำคำรามด้วยความ โกรธแค้นแต่ไม่สูญเสียความเยือกเย็น... มันไม่ยอมสร้างความผิดพลาดเป็นครั้งที่สองเหมือนที่เคยปะทะกับอาวุธวิเศษของ แลนเซอร์ในครั้งนั้น ในจังหวะที่เกลเดิร์กกำลังถูกเสียบเข้าสู่เครื่องบินนั่นเอง, เบอร์เซอร์เกอร์ตตัดสินใจทิ้งเครื่อง F15 อันทรงพลังในทันทีจังหวะเดียวกับหอกสีแดงกำลังเจาะทะลวง...



แต่มันไม่ได้กระโดดหนีเหมือเปล่า…ในจังหวะพริบตาเดียวอัศวินดำได้ทุบส่วนหัว ของเครื่อง F15 จนแหลกละเอียดและขว้าของติดมือมันมาหนึ่งชิ้นในอ้อมแขน ขณะที่ส่วนที่เหลือของเครื่องบินขับไล่นั่นก็ถูกคมหอกสีเลือดเปลี่ยนไปเป็นเศษเหล็กและเสียหลักตกลงสู่พื้นน้ำไปพร้อมกับแลนเซอร์บนปีก ทิ้งฝอยน้ำขนาดมหึมาสาดไปทั่วบริเวณ



ชิ้นส่วนของเครื่องบินที่เบอร์เซอร์เกอร์ขว้าออกมาในวินาทีสุดท้ายนั่น มันคือรังปืนกลอากาศอัตโนมัติวัลแคน, ปืนใหญ่อัตโนมัตินั้นหลบพ้นคมหอกของแลนเซอร์ได้อย่างเฉียดฉิวและมันก็ยังคง เคลือบด้วยพลาน่าสีดำเข้มข้นอย่างที่เคยเป็น... ดังนั้นมันคือส่วนประกอบชิ้นใหม่ของอาวุธวิเศษแห่งอัศวินดำ... ปืนใหญ่อากาศวิเศษ M61 ... ลำกล้องทั้ง6 ของมันเบนเข้าหาเซเบอร์อย่างไม่ละความพยายามก่อนจะเริ่มหมุนอีกคำรบ



“■〓〓〓〓■■■■■■〓〓〓〓!!”
ในขณะที่กำลังแบกปืนใหญ่อากาศ 6 ลำกล้องที่หนักกว่า 200 กิโลกรัมไว้ใต้อ้อมแขน พร้อมคลังกระสุนทรงกระบอกบนบ่านั้นเอง, เบอร์เซอร์เกอร์ก็คำรามด้วยภาษาที่ฟังไม่ออกอีกครั้ง เมื่อเห็นเซเบอร์เข้ามาขวางทางปืน... ลำกล้องโรตารี่ที่เคลือบด้วยพลานาเข้มข้น—กระสุนวิเศษที่กำลังจะถาโถมออกมา


ในช่วงพริบตา... เซเบอร์เองก็ตระหนักดีว่าบัดนี้ไม่มีที่ให้หลบหนีอีกต่อไปแล้วต่อหน้าห่ากระสุนที่กำลังจะโปรยปรายลงมาใส่เธอในเมื่อเบอร์เซอร์เกอร์นั้นอยู่เหนือหัว เธอพอดิบพอดี


นั่นก็เป็นเพราะในจังหวะที่เบอร์เซอร์เกอร์กระโดดออกจากเครื่องนั่นเอง… มันได้เล็งเป้าหมายซึ่งก็คือเซเบอร์ไว้ก่อน เมื่อมันพุ่งดิ่งลงมาจากท้องฟ้านั้นย่อมทำให้ระยะห่างระหว่างทั้งคู่แคบลง ขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งคราวนี้เซเบอร์ย่อมไม่มีเวลาเหลือพอที่จะหลบได้แม้แต่น้อย และไม่ว่าเธอจะหลบไปในทิศทางใดย่อมไม่มีทางหนีพ้นขอบเขตของห่าฝนกระสุนวิเศษ ที่ระยะประชิดเช่นนี้แน่นอน



“ข้าทำได้แค่เดิมพันครั้งนี้ซะแล้ว...” เซเบอร์นั้นเตรียมตัวสำหรบกรณีเลวร้ายที่สุดนั่นคือการใช้อาวุธวิเศษของเธอ แลกสวนกับปืนใหญ่วิเศษของเบอร์เซอร์เกอร์... แต่ในจังหวะที่เธอกำลังเงื้อดาบนั่นเอง


ลำแสงสีเงินสว่างจ้าก็พุ่งเข้ามาจากทิศทางที่ว่างเปล่าและมุมโจมตีที่เกือบจะเป็นไปไม่ได้เข้าปักกลางหลังของเบอร์เซอร์เกอร์ผู้ลอยอยู่กลางท้องฟ้าและ ปราศจากหนทางหลบหลีกเข้าอย่างจัง ค้อนขนาดยักษ์, ขวาน แล้วก็ลูกศร พุ่งเข้าทยอยเสียบชุดเกราะสีหมึกอย่างถี่ยิบ, อัศวินสีดำร่างใหญ่เสียหลักขณะที่ปืนวัลแคนอันร้ายกาจถูกขวานสับจนขาดครึ่ง และลูกศรก็ปักเข้าที่บ่าส่งผลให้กระสุนปืนใหญ่อากาศที่เหลือในคลังเกิด ระเบิดซ้ำต่อเนื่องขึ้นมาอีกอย่างรุนแรง...


เบอร์เซอร์เกอร์ซึ่งโดนโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัวถึงกับกระเด็นลอยเป็นวงโค้ง พาราโบลาไปตามผิวน้ำยามค่ำคืนก่อนจมหายไปไร้ร่องรอยราวกับฟองอากาศ เซเบอร์หันหน้ากลับมาหาที่มาของอาวุธลึกลับ, อย่างที่คาดหมายไว้ เธอเห็นอาเชอร์ยืนอยู่บนยอดของสะพานฟูยูกิ เจิดจ้าไปด้วยโนเปิลฯมากมายที่กำลังรายล้อม และภายใต้แสงสว่างนั่นเองเขาก็ส่งรอยยิ้มอย่างแปลกประหลาดให้กับเธอ



“นั่นแหละเซเบอร์! บัดนี้ขอให้ข้าเป็นพยานสักหน่อย... ขอให้เจ้าแห่งราชาผู้นี้ได้ยืนยันสักทีสิว่าเจ้านั่นคู่ควรกับเกียรติยศของ วิญญาณวีรชนหรือไม่!”


เซเบอร์เองนั่นก็มีความคิดเช่นนั้นอยู่ในใจของเธอเช่นกัน...เธอผู้ซึ่งถูกอา เชอร์ทำเป็นเล่นและกวนโมโหอยู่เรื่อยๆ นั่นยอมอยากแสดงพลังของตนให้เป็นที่ประจักษ์ยอมรับเช่นกัน, บัดนี้อาเชอร์ผู้ซึ่งท้าทายเธอก็มาอยู่ตรงหน้าด้วย เซเบอร์หันกลับมาสนใจที่แม่น้ำอีกครั้ง เธอยืนตั้งท่าจับดาบสีทองแน่น... ดาบแห่งเจ้าอัศวิน

อุปสรรคทุกอย่างถูกขจัดหมดสิ้น.... บัดนี้ เวลานี้....นี่คือเวลาสำหรับศึกตัดสินอันเด็ดขาดแห่งการต่อสู้



คิริงิสุ ผู้ซึ่งได้เห็นการถอนตัวออกจากสนามรบของเบอร์เซอร์เกอร์กับตา, กำลังนั่งอยู่บนเรือชูชีพติดเครื่องยนต์ลำเล็กมุ่งหน้าเข้าสู่จุดว่างเปล่า กลางแม่น้ำไร้สิ่งกีดขวางแล้วก็ยิงกระสุนแฟรล์ส่งสว่างขึ้นสู่ท้องฟ้า ซึ่งเห็นได้ชัดจากตำแหน่งของเซเบอร์



“ใต้ไอ้นั่นแหละ! ใต้แสงนั่น!”
เวฟเวอร์ร้องอย่างตื่นเต้นเมื่อเห็นแสงสัญญาณที่รอคอย เขาร้องตะโกนพร้อมชี้ไม้ชี้มือให้พลนำสารแห่งองค์ราชาที่กำลังรออยู่ – วิญญาณวีรชนเมทิลิอุสพยักหน้ารับทราบแล้วหายตัวไปทันที... กลับไปสู่อนาเขตที่ราชาของเขาและเหล่าสหายกำลังรอคอยอย่างอดทน ก่อนที่จะมีใครทันพูดอะไร, พื้นที่รอบๆก็เริ่มบิดเบี้ยวราวกับเป็นสัญญาณของการปิดตัวของพื้นที่ต่างมิติ เงาทะมึนราวกับสิ่งก่อสร้างขนาดยักษ์ของอสูรทะเลก็ปรากฎขึ้นทาบทับผิวน้ำ



โดยตอนแรกนั่นเป็นแค่เงา ก่อนที่มันจะค่อยๆแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆจนกระทั่งทะลุออกมาสู่ มิติแห่งความเป็นจริง... สัตว์ประหลาดยักษ์ทิ้งร่างของมันลงสู่ผืนน้ำใต้ตำแหน่งแฟร์ที่คิริงิสุยิงพอดี ตามมาจากการปรากฎตัวของอสูรทะเล, ข้างใต้เงายักษ์ระหว่างเซเบอร์และสัตว์ประหลาดของคาสเตอร์... รถศึกกอเดียร์อุสของไรเดอร์ก็ปรากฎขึ้นอีกครั้งพุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า... ร่อยรอยของบาดแผลและคมเขี้ยวจากสัตวัอสูรนับร้อยรอบตัวรถบอกเป็นอย่างดีถึง ความดุเดือดในการต่อสู้ภายใน Reality Marble, แต่ท่าทางของราชาผู้พิชิตกับเสน่ห์ที่เหล่าผู้ติดตามอันภักดีนั้นไม่ได้จาง หายไปแม้แต่น้อย



“--- เฮ้!... เอาจริงเด๊ะ!... ทำไมพวกเราถึงต้องมาลงแบบนี้หมดด้วยนะ..โอ๊ะ!....โหวววววววววววว!?”
ไรเดอร์ซึ่งเหมือนอึดอัดมานานกำลังจะตั้งท่าบ่นโวยวาย แต่ในขณะที่กำลังจะอ้าปากนั่นเองเขาก็ตระหนักขึ้นมาทันทีว่าอะไรกำลังจะเกิด ขึ้นเมื่อมองเห็นลำแสงประหลาดจากดาบสีทองของเซเบอร์กำลังส่งประกายเจิดจ้าไป ทั่ว,



ราชาผู้พิชิตสะบัดบังเหียนตีวงเลี้ยงแคบพุ่งออกไปโดยทันทีโดยทิ้งพื้นที่ เสี่ยงภัยไว้กับอสูรทะเลผู้อืดอาดอยู่เบื้องหลัง, สัตว์ประหลาดก้อนเนื้อขนาดมหึมานั่นย่อมไม่มีทางหลบหลีกอะไรได้แน่นอนไม่ว่า มันจะพยายามขนาดไหน... และมันจะเป็นครั้งแรกที่สัตว์ประหลาดมหึมาจะต้องรู้สึกสั่นไหวต่อความกลัว เมื่อเผชิญหน้ากับลำแสงสว่างจ้าที่มันไม่รู้จัก



เวลาได้มาถึงแล้ว
เจ้าแห่งอัศวินรีดเร้นพลังทุกหยาดหยดในร่างออกไปสู่สองแขนทำกำลังกุมดาบแน่น ...แสงสีทองพุ่งเปล่งประกายจากคมดาบขึ้นสูงลิบราวกับกำลังหยิบถือดาบขนาด มหึมาไว้ด้วยสองมือ



เหล่าแสงจงมารวมตัวกัน
อันดาบศักดิ์สิทธิ์ที่เจิดจรัสด้วยความนับถือศรัทธา พร้อมทั้งแบกรับภาระหน้าที่ของความคาดหวังอันยิ่งใหญ่สุดประมาณ ประกายแสงที่กลั่นตัวออกมาเป็นรูปลักษณ์อย่างไม่รู้จักสิ้นสุด หลอมรวมรัศมีของความเชื่อถือที่ผูกพันยึดมั่นไว้เป็นหนึ่งเดียวกัน... ต่อหน้าประกายแสงนั้นทั้งวีรชนและเหล่านักเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ต่างถูกดึงดูดไป สู่ความเงียบงันและไม่อาจทำอะไรได้นอกจากจ้องมองเพียงอย่างเดียว เพราะบัดนี้--มันได้อวตารลงมาสู่ระนาบแห่งคนเป็น-- ตัวตนแห่งวีรชนที่เข้มข้นและทรงอิทธฤทธิจนไม่มีความมืดใดๆจะหาญกล้ามาเปรียบ เปรย ที่พร้อมจะทะลวงความมืดสนิทยิ่งกว่าราตรีของค่ำคืนนี้ให้พินาศสิ้น



บนโลกมนุษย์มันแสดงความแข็งแกร่งมาตลอดหลายสิบปี, ไม่มีใครอาจพิชิตมันได้ใน 12 สมรภูมิ, บรรลุถึงชัยชนะอันไม่มีใครทำเสมือน, เกีรยติยศที่ไม่มีผู้ใดจะหาญกล้าเปรียบเทียบ ที่บัดนี้มันได้กลับมาจุติอีกครั้งข้ามกาลเวลาและสถานที่ สู่มือที่ไม่มีวันลืมเลือนของผู้ครอบครอง แสงสว่างอันน่าตะลึงงันที่ทาบทับอยู่บนดาบอันศักดิ์สิทธิ์นั่นมันคือความฝัน อย่างแน่นอนที่สุด แห่งอุดมคติของเหล่านักรบและเหล่าวีรชนทั้งมวลผู้ซึ่งก้าวผ่านสนามรบและไขว่ ขว้าหามาตลอดชีวิต




– ตัวตนที่บัดนี้จำแลงกายลงมาสู่มวลมนุษย์ผู้กล้าทุกผู้ที่ต่างเฝ้าเถิดทูลไว้ เหนือ
สิ่งอื่นใด หรืออีกนัยนั่นคื ‘เกียรติยศ’ แห่งวีรชน


บัดนี้...นี่คือความภาคภูมิใจที่ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งเหนือกว่าอาวุธใดๆ... มันจักก้าวข้ามไปสู่ความเป็นที่สุด, ข้ามเกินขอบเขตแห่งความเชื่อ, บัดนี้...เจ้าแห่งอัศวินจักเปล่งเสียงสรรเสริญถึงนามอันแท้จริงอันทรงเกียรติของปฎิหารย์ด้วยสองมือของเธอ นามของมันคือ
The Sword of Promised Victory---
“Ex- Caliber!!!!”

ลำแสงสว่างจ้ากำลังควบทะยาน…
ลำแสงสว่างจ้ากำลังกู่ก้อง...




พลาน่าที่บัดนี้ถูกเร่งขึ้นจนถึงขีดสุดด้วย คุณลักษณะธาตุแห่งมังกร, ถูกปลดปล่อยจากพันธนาการของมันกลับสู่ประกายลำแสงขนาดยักษ์อันทรงฤทธิ... บัดนี้พุ่งทะยานข้ามแผ่นฟ้าและผืนน้ำโดยทิ้งไว้เพียงเสียงและแรงปะทะของสาย ลมอันโกรธกริ้วพุ่งเข้ากลืนกินร่างของอสูรทะเลและความมืดยามราตรีไปจนหมด สิ้นพร้อมๆกัน ทุกส่วน ทั้งร่าง, ทุกๆอะตอมที่ถูกรวบรวมมาเป็นแก่นและกายของสัตว์อสูรร่างมหึมา, จอมมารที่จุติด้วยร่างและคำอัญเชิญแห่งความหวาดกลัว บัดนี้...ถูกลำแสงที่ใหญ่กว่าตัวมันอย่างเทียบไม่ได้เผาผลาญจนระเหยกลายเป็น ไอไม่เหลือแม้กระทั่งเศษธุลีภายในช่วงพริบตา...



มารทะเลอันทรงพลังที่ครั้งหนึ่งเคยกลืนกินเหล่าผู้คนถูกสับทำลายด้วยลำแสงจนย่อยยับ แต่คาสเตอร์, ผู้ซึ่งบัดนี้จมอยู่ท่ามกลางปราการแห่งเนื้อและเลือด ณ ใจกลางร่างของอสูรทะเลนั่นยังไม่ได้ถูกเผาจนเป็นขี้เถ้าโดยทันที, จอมเวทย์ผู้ชั่วร้ายจ้องมองวินาทีแห่งความตายและความพินาศของร่างกายตนที่ กำลังถูกแสงสว่างกลืนกินอย่างเงียบงัน


“.....”
ใช่แล้ว— เนิ่นนานมาแล้วครั้งหนึ่งเขาเคยเห็นแสงเช่นนี้มาก่อน ย้อนกลับไปในสมัยนั้น, ทำไมนะ...ไม่ใช่ว่าเขาก็เคยไล่ตามแสงสว่างแห่งความถูกต้องเฉกเช่น อัศวิน หรอกรึ?

ความทรงจำอันน่าสับสนและแปลกประหลาดผุดขึ้นมาเมื่อ จิล เดอร์ ราห์ไอส์ มองย้อนกลับไปยังอดีตของตนเอง ครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่กษัตริย์ชารล์เข้าสู่พิธีสวมมงกุฎและเถลิงราชสมบัติ ณ เมืองแห่งเรมน์


ประกายแสงที่ส่องผ่านจากวิหารซึ่งทำพิธีอันยิ่งใหญ่ก็ได้ทาบทับสู่ตัวเขา เช่นนี้...เฉกเช่นเดียวกับการอวยพรสรรเสริญ, ร่างสีขาวบริสุทธิ์ที่อันอ่อนโยนที่ปรากฎตัวขึ้นในฐานะผู้ที่กอบกู้ชาติบ้าน เมือง ผู้ยืนอยู่ข้างเคียงกันกับเขา... โจนส์ ออร์ฟ อาร์ค, จิรล์ และเหล่าวีรบุรุษผู้อื่น ในชั่วเวลานั้นทุกคนต่างอิ่มเอมกับเวลาแห่งความสุขภายใต้รัศมีอันกรุณาของอา ร์ค


อา.....ไม่ผิดพลาดแน่นอน –
นั่นคือแสงอันเดียวกัน แม้กระทั่งปัจจุบันนี้, เขาก็ยังคงความทรงจำที่แปลกประหลาด....แม้กระทั่งวันนี้เอง,

เมื่อไหร่นะที่เขาตกต่ำลงไปสู่วิชามารของเหล่ามารและอสูรกายและทำตัวเลวร้าย เฉกเช่นเดียวกันที่ความชั่วอย่างที่พวกปีศาจนั้นทำ, ความทรงจำของเกียรติยศในระหว่างอดีตเหล่านั้นยังคงไม่จางหายและหลงเหลืออยู่ ในส่วนลึกของจิตใจของคาสเตอร์ แม้ว่า ในบั้นปลายเขาจะแปดเปื้อนและเต็มไปด้วยการถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากรอบทิศ

– แต่ก็ไม่มีใครกล้าปฎิเสธถึงเกียรติยศอันรุ่งเรือง, ไม่มีใครบิดเบือนเกียรติภูมิที่เขาเคยมี... แท้จริงแล้วศักดิ์ศรีนั่นยังคงมีเหลืออยู่ในส่วนลึกของจิตใจของคาสเตอร์ มีบางสิ่งที่แม้แต่พระเจ้าหรือโชคชะตาก็ไม่อาจสามารถช่วงชิงหรือทำลายมันได้ .



..น้ำตาหยดหนึ่งหลั่งไหลผ่านอดีตลงมาสู่แก้ม, เมื่อคาสเตอร์ รู้สึกถึงประสบการณ์ในอดีตที่ผิดพลาดไป...แค่ความผิดพลาดที่เขาสับสน, อะไรกันแน่ที่เขาพลาดพลั้งไป...แค่จดจำอดีตได้และยอมรับในความผิดพลาดนั้น มันไม่เพียงพอรึ?

“นี่ข้าทำอะไรลงไป...”
โดยปราศจากผู้ฟัง, คำพูดสุดท้ายของเขาที่หลุดออกจากปากก็ถูกลำแสงสีขาวกลืนกินจนหมดสิ้นสู่อีก โลกนึง
------------------------------------------------

อาเชอร์, ผู้ซึ่งกำลังยืนอยู่บนยอดของโครงสะพานจ้องมองดูเหตการณ์ทุกอย่างโดยตลอด, ช่วยไม่ได้เลยที่เขาจะมีรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าเมื่อเห็นอนุภาพอันทรงพลังของ ลำแสงสีขาวที่แผดเผาและกลืนกินทุกอย่างจนหมดสิ้น

“เฮ้ๆ เจ้าเห็นรึเปล่า, ราชาผู้พิชิต? เห็นแสงนั่นของเซเบอร์ไหม..”
อาเชอร์พูดกับไรเดอร์ที่อยู่บนรถศึกด้านล่างเขาและกำลังจับตาดูอยู่เช่นกัน, ไรเดอร์ผู้ซึ่งพึ่งผ่านประสบการณ์ของการต่อสู้อันไร้ปราณีกับอสูรทะเลมาก่อน หน้าชักรถศึกของเขาที่ยังคงลอยอยู่บนฟ้าให้หันตามไปมองแสงเจิดจ้าของเอ็ก ซคาลิเบอร์จนหายลับตาไป




“ข้าว่าเจ้าคงต้องเปลี่ยนใจยอมรับเธอซะแล้วแน่ๆเลย เมื่อได้เห็นลำแสงนั้น...ข้าว่าถูกรึไม่” อาเชอร์ถามไรเดอร์ต่อแบบยิ้มๆ ไรเดอร์ทำเสียงฟืดฟาดทางจมูกเหมือนไม่สบอารมณ์, เพิกเฉยต่อคำถามของอาเชอร์ แต่อย่างไรก็ดีบนสีหน้าของเขานั้นไม่มีอาการทั้งเกลียดชังหรือเยาะเย้ยแต่ อย่างใด ทว่ากลับเคร่งขรึมเมื่อมองไปทั่วๆสภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่ลำแสงนั้นพาด ผ่านพลางตอบด้วยเสียงเข้ม



“มันแน่นอนที่สุดเลยว่า เป็นเพราะเธอนั้นแบกรับทุกอย่างไว้บนบ่าของตัวเอง, ความคาดหวังของมนุษย์ทุกคนที่มองเห็นตัวเธอในช่วงเวลานั้นต่างหยิบยื่นให้ – แต่ยิ่งข้าดูแล้วมันน่าเจ็บปวดจริงๆสำหรับอานุภาพที่ทรงพลังเจิดจรัสแบบนี้, จะมีใครคิดมั่งหละว่าคนที่กำลังแบกรับภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ขนาดนั้นจะกลาย เป็นเด็กผู้หญิงตัวนิดเดียว...ใครหละจะกล้าฝันถึงเรื่องแบบนี้?”



บนผิวน้ำ, ที่ซึ่งราชาทั้งสองกำลังจ้องมองลงไป... เซเบอร์นั่นเอง บัดนี้ร่างกายบางเบาของเธอกำลังหอบโครงอย่างเจ็บปวดหลังจากการต่อสู้อันดุ เดือดที่ตัดสินเป็นตายกันพึ่งจบสิ้นลง...ไรเดอร์นั้นพึ่งจะตระหนักรู้เพียง แค่ว่าน้ำหนักของภาพระหน้าที่บนบ่าทั้งสองของเธอนั้นหนักหนาขนาดไหนเมื่อได้ เห็นอาวุธวิเศษที่แบกรับมัน...ต้องขอบคุณถึงเกมคำถามจอกฯในคืนก่อน แต่สำหรับเขา, ไรเดอร์ผู้ที่ใช้ชีวิตเปิดเผยและตรงไปตรงมา การที่เด็กผู้หญิงคนนึงต้องมาแบกรับ ‘วิถีชีวิต’ เฉกเช่นเซเบอร์นี้เป็นเรื่องที่ตัวเขารับไม่ได้อย่างยิ่ง



“เด็กผู้หญิงตัวน้อยคนนี้นี่แหละคือผลลัพธ์อันแท้จริงของการละทิ้งความใฝ่ ฝันของหนุ่มสาว, ละทิ้งแม้กระทั่งความรักที่ควรมี แล้วจมดิ่งลงไปสู่คำสาบอันเป็นนิจนิรันดร์ที่ถูกเรียกว่า ‘อุดมคติ’ มันเป็นเรื่องเจ็บปวดที่สุดจริงๆ ที่แม้แต่ข้าก็ไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป...” ไรเดอร์พูดพลางส่ายหน้า



“แต่ข้าว่านั่นก็เป็นสิ่งที่ทำให้เธอดูมีเสน่ห์น่ารักขึ้นเยอะเลยนะ, รึเจ้าว่าไม่จริง?” อาเชอร์พูดต่อ แต่ต่างจากราชาผู้พิชิตที่แสดงสีหน้าสลดหดหู่อย่างเห็นได้ชัด, วีรชนสีทองกลับยิ้มละไมราวกับปลาบปลื้มต่อการแสดงที่ได้พบเห็นเบื้องหน้าโดย ไม่พยายามปิดบังเจตนาที่ไม่สุจริตของตนแม้แต่น้อย



“แบกรับอุดมการณ์ที่ยิ่งใหญ่เกินกว่าจะเป็นจริงได้ แล้วก็อย่างที่เห็นว่าเธอพยายามโอบอุ้มชูไว้สุดกำลังแม้ว่ามันจะแผดเผาเรือนร่างของเธอไปจนเป็นขี้เถ้าในที่สุดก็ตามที กระนั้นเธอก็ยังดึงดันแบกมันไว้โดยไม่ท้อถอย... ข้านี่อดคิดไม่ได้เลยว่าน้ำตาที่เธอหลั่งยามสิ้นกำลังในเวลาสุดท้ายนั้นมัน จะหอมหวานขนาดไหนกันเชียว...”



อย่างพึงพอใจ, อาเชอร์ปล่อยให้จินตนาการของเขาเตลิดเปิดเปิงไปอย่างที่ไม่เคยมี และในไม่นานที่สบตากับไรเดอร์, เซอร์แวนท์ร่างยักษ์ก็มองกลับด้วยสายตาที่เป็นปฎิปักษ์ชัดเจน


“...ดูเหมือน, สุดท้ายแล้วข้าก็ทำใจให้ชอบเจ้าไม่ได้จริงๆแฮะ – ราชาแห่งวีรชนบาบิโลน
“โอ้ว โห? นี่เจ้ารู้ตัวจริงของข้าแล้วงั้นรึเนี่ย?” คำเรียกขานนั้นยิ่งทำให้วีรชนสีทองตื่นเต้นขึ้นไปอีก – อาเชอร์ส่งยิ้มกว้างตอบรับอย่างชื่นชม ก่อนถามต่อ



“แล้วเจ้าคิดจะวางแผนอะไรต่อรึ, ไรเดอร์? อยากจะใช้เรี่ยวแรงที่เจ้ามีปลดปล่อยความโกรธที่คาใจอยู่ไหมหล่ะ?”
“แม้ว่าข้าจะชอบใจที่ได้ทำเช่นนั้นก็เถอะ, แต่คืนนี้ข้าว่าแรงที่เหลือสงสัยจะมีไม่พอที่จะสนองตอบต่อความรู้สึกต่อเจ้า ซะแล้วเนี่ยสิ” ไรเดอร์พูดตรงๆแบบไม่ปิดบังแม้แต่นิด, แต่เขาก็ยังจ้องตอบอาเชอร์พร้อมทั้งสำทับ “แต่แน่นอน, ถ้าเจ้าไม่อยากให้โอกาสนี้พลาดไปแล้วยังดึงดันอยากสู้, ข้าก้ยินดีตอบสนองกับเจ้าอย่างดียิ่งทุกเมื่อเช่นกัน”


“นั่นไม่สำคัญเลย, ข้าอนุญาติให้เจ้าหลบหนีไปได้... ราชาผู้พิชิต— ว่าไปข้าเองก็รู้สึกไม่ปลื้มใจนักถ้าไม่อาจต่อสู้กับเจ้าที่ไม่ได้อยู่ใน สภาพเต็มกำลัง” เมื่อได้ยินคำตอบจากอาเชอร์ผู้เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางของทุกอย่างเช่นนั้น ไรเดอร์ก็เลิกคิ้วหนาขึ้นพร้อมระเบิดเสียงหัวเราะ



“หืมมมม? ฮ่ะฮ่าฮ่า แม้เจ้าจะพูดแบบนั้นก็ตาม แต่อันที่จริงเจ้ายังเจ็บอยู่เพราะโดนฝีมือไอ้น้องด๊ำดำไปเมื่อกี้ แล้วแผลยังไม่หายดีสินะจริงไม๊?”
“...ใครก็ตามที่บังอาจยั่วยุราชา นั่นจะต้องตายเพื่อชดใช้!” อาเชอร์สวน


เมื่อเห็นอีกฝ่ายไม่มีอารมณ์หัวเราะด้วย แถมดวงตาสีแดงคู่นั่นเหมือนจะมีเจตนาฆ่าฟันขึ้นมาจริงๆ ไรเดอร์ก็ชักรถศึกของตนถอยออกเพิ่มระยะห่างพร้อมกับส่งยิ้มตอบ

“เราจะตัดสินแพ้ชนะกันครั้งหน้า, ราชาแห่งวีรชน ผู้ครอบครองจอกศักดิ์สิทธิ์, ข้าพอจะจินตนาการได้อะไรจะเกิดขึ้นเป็นผลลัพธ์ระหว่างการต่อสู้ของพวกเรา ทั้งคู่” ในความคิอของทั้งคู่นั้น ผู้ที่จะควรค่าจะครอบครองจอกได้นั่นมีเพียงแค่วิญญาณของเหล่าวีรชนในระดับ ‘ราชา’ เท่านั้น และนั่นเองมีเพียงหนึ่งในสองระหว่างราชาผู้พิชิตและราชาวีรชน ไม่ต้องสงสัยเลยว่าไรเดอร์นั่นเชื่อมั่นในตัวเองอย่างแน่แท้ว่ามีความคู่ควรพอ วิญญาณวีรชนอเล็กซานเดอร์ยิ้มตอบอย่างไร้ความหวาดกลัวและพุ่งลงจากยอดสะพาน ควบรถศึกคู่กายของตนมุ่งหน้ากลับไปริมฝั่งแม่น้ำ ที่ๆมาสเตอร์ตัวน้อยของเขารออยู่



“อะไรจะเกิดขึ้นในตอนท้ายงั้นรึ? … ไรเดอร์, ข้าเองยังไม่ได้ตัดสินใจเลยว่าเจ้านี่จะเป็นผู้เดียวที่คู่ควรกับสุดยอดสมบัติที่ล้ำเลิศที่สุดของข้าด้วยรึเปล่า”
อาเชอร์ซึ่งพึมพำอยู่กับตัวเองนั้น มีอีกหนึ่งวีรชนในใจที่อยู่ในสายตาของเขา แม้ไรเดอร์จะไม่ชอบใจนักแต่รูปลักษณ์ของเจ้าอัศวินนั้นก็ยังประทับใจตัวราชา วีรชนไม่น้อยทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...ในคืนนี้ ที่ๆเขาได้ประจักษ์ถึงลำแสงที่ไม่มีแสงสว่างอื่นใดเปรียบเทียบได้นั้น ได้ดึงให้อาเชอร์รำลึกถึงอดีตอันแสนห่างไกลในยุคโบราณ

-----------------------
กาลครั้งหนึ่งนานมา

มีบุรุษผู้โง่เขลาน่าขบขัน แม้ว่ากายเขาจะกอปรจากดินโคลน แต่ใจเขากลับตั้งมั่นที่จะยืนหยัดทัดเทียมกับเทพเจ้า แน่นอน ความอหังการ์ของเขานำความโกรธเกรี้ยวมาสู่ทวยเทพในแดนสวรรค์ บุรุษนั้นถูกลงทัณฑ์และสิ้นชีพ กระทั่งถึงวันนี้ ราชาวีรชนยังไม่อาจลืมภาพความทรงจำเมื่อยามที่เขาจากไปด้วยน้ำตานองหน้าได้

เหตุใดเจ้าจึงร่ำไห้? ราชาวีรชนเอ่ยถาม หรือเป็นเพราะว่า.. ยามนี้ เจ้าสำนึกเสียใจที่เลือกอยู่ข้างข้ากระนั้น?


มิใช่เช่นนั้น... เขากล่าว " หากข้าสิ้นไป จะมีผู้ใดอีกสามารถเข้าใจท่าน? ใครอื่นอีกจะบุกฝ่าเคียงข้างท่าน? สหายข้า... เมื่อข้าตระหนักได้ว่าท่านจักต้องอยู่เดียวดายนับแต่นี้ ข้าไม่อาจไม่หลั่งน้ำตา..."


เมื่อนั้น เมื่อมองบุรุษผู้อหังการสูดลมหายใจครั้งสุดท้าย ราชาไร้ผู้เปรียบก็เข้าใจ... วิถีทางซึ่งบุรุษนี้ได้ดำรงชีวิตมา...บุรุษผู้เป็นมนุษย์ หากปราถนาจะก้าวข้ามมนุษยชาติ...เป็นสิ่งทรงคุณค่าและเจิดจรัสยิ่งกว่า สมบัติใดๆที่เขาครอบครอง


“เจ้าผู้โง่เขลาซึ่งเหยียดแขนไขว่คว้าสิ่ง ที่มนุษย์ไม่อาจเอื้อมถึงเอย... ไม่ว่าจะในสรวงสวรรค์หรือบนมีพื้นพิภพ... มีเพียงผู้เดียวเท่านั้นที่ควรค่าแก่ความพินาศของเจ้า และหาใช่ใครอื่นไม่ นอกจากข้า กิลกาเมชผู้นี้”

“สู่อ้อมกอดข้าเถิดชายผู้เจิดจรัสดั่งมายา ข้าได้ตัดสินใจแล้ว” กษัตริย์สีทองอร่ามหายตัวไปในค่ำคืนเมฆมองยามราตรี, ทิ้งไว้เพียงเสียง หัวเราะแกมเย้ยหยันในชะตาชีวิตไว้เบื้องหลัง


--------------------------------------------

จากบนยอดดาดฟ้าของตึกใจกลางเขตชินโต

สถานที่ห่างไกลออกไปจากสนามรบอันดุเดือด, โซล่าซึ่งพยายามจับตาดูสถานการณ์ต่างๆเท่าที่เป็นไปได้มองเห็นสัตว์อสูรขนาด ยักษ์กลืนหายไปในแสงสว่างเจิดจ้าที่เกิดขึ้นชั่วพริบตา ก่อนที่ทรรศนะวิสัยของเธอจะถูกบดบังอีกครั้งด้วยสายหมอกที่หนาทึบ ระยะสายตาของเธอนั่นจำกัดลงมากภายใต้หมอกหนาเช่นนี้ และยิ่งด้วยระยะทางที่ค่อนข้างไกล มันจึงเป็นไปไม่ได้เลยที่เธอจะสามารถติดตามความคืบหน้าของการต่อสู้ได้ด้วย ตาเปล่า และด้วยความเร่งรีบเธอจึงไม่ได้เตรียมแม้กระทั่งภูติรับใช้ที่ควรมีไว้เพื่อ สังเกตการณ์ในระยะใกล้ๆ ดังนั้นเธอไม่มีทางเลือกอื่นใดนอกจากจ้องมองไปที่ริมฝั่งและเห็นเพียงเงาของ สัตว์ประหลาดขนาดยักษ์กำลังถูกรุมเร้า พร้อมๆกับจานบินลึกลับเข้าต่อสู้กับเครื่องบินเจ็ตอย่างดุเดือดกลางฟ้า นั่นเป็นแค่ไม่กี่สิ่งที่สถานภาพของเธอจะอำนวยให้


อย่างไรก็ดี, บัดนี้การต่อสู้ได้จบสิ้นเรียบร้อยแล้ว และอาคมบัญชาบนมือขวาของเธอก็ยังคงอยู่ปกติ นั่นหมายความว่าอย่างน้อยที่สุดแลนเซอร์สามารถรอดจากการต่อสู้ครั้งใหญ่มา ได้ด้วยสภาพไม่บาดเจ็บนัก


“ขอบคุณสวรรค์...”
แม้ว่าเธอจะโดนสายลมเย็นจัดจนบาดผิวกายรอบๆแต่เธอกลับรู้สึกปลอดโปล่งโล่งใจ ขึ้นมากอย่างน้อยก็ในช่วงนี้ แลนเซอร์คงนำข่าวดีกลับมาหาเธอในไม่ใช้ แม้ว่าชัยชนะของเขานั่นอาจเป็นชัยชนะร่วมพร้อมๆกับเซอร์แวนท์ตนอื่นๆ มาสเตอร์นอกจากโซล่าก็จะได้รับอาคมบัญชาพิเศษเพิ่มเติมด้วยเช่นกัน แต่นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญนักสำหรับโซล่าตอนนี้ เพราะอย่างน้อยที่สุดเธอก็รู้สึกยินดีขึ้นมากที่สามารถเก็บอาคมบัญชาทั้ง สามครั้งคืนได้เพื่อผูกมัดสายสัมพันธ์ของเธอกับวีรชนไว้ให้แน่นแฟ้นขึ้น



อันที่จริงแล้วหากเสียงลมพัดอันรุนแรงรอบตัวนั้นหยุดลง... โซล่าอาจรู้สึกได้ถึงผู้บุกรุกที่กำลังย่างกลายเข้าหาจากข้างหลัง


แต่ทว่าก็ไม่แปลกนักในการที่เธอประมาทไป เพราะสำหรับคุณหญิงที่แทบไม่เคยเรียนรู้ฝึกฝนการป้องกันตัวเองเลยแม้แต่น้อย แถมยังขาดประสบการณ์การสู้รบจริงอีก ดังนั้นไม่มีทางเลยที่จะตำหนิโซล่าในเรื่องนี้ได้ โดยกระทันหัน โซล่าสะดุดอะไรบางอย่างจนล้มลงหน้าฟาดกับพื้นคอนกรีต และรวดเร็วจนเธอไม่ทันค้นพบว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เธอหมุนตัวยกมือขวาขึ้นเพื่อร้องหาความช่วยเหลือ... ทว่ามือของเธอ, มือขวาของเธอนั่นกำลังถูกถืออยู่ด้วยใครสักคน และคนๆนั้นไม่มีทีท่าว่าจะช่วยเหลือเธอแม้แต่น้อย ในขณะนั้นเองความเจ็บปวดสุดแสนจะประมาณก็เกิดขึ้นที่ข้อมือ

“อ้ากกกกก-----”

โซล่ากรีดร้องอย่างที่ไม่อยากเชื่อสายตาของตน... ที่ข้อมือเรียวงามที่เธอภูมิใจ บัดนี้ ราวกับท่อปะปาที่แตกออกและแม่น้ำสีเลือดกำลังพวยพุ่ง... มือขวาของเธอไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไป เพียงแค่ฉับเดียว, ด้วยใบมีดคมกริบ มือขวาของเธอนั้นถูกตัดออกอย่างเฉียบขาด ปลายนิ้วและเล็บที่เธอแสนจะทะนุถนอมดูแลมัน และรวมทั้งอาคมบัญชาที่ทรงคุณค่ายิ่งกว่าสิ่งใดทั้งหมด บัดนี้หายไปหมดสิ้นพร้อมกับมือขวาของเธอ


“อ้า, อ๊ากกกกก อ๊ากกกกกกหหหหหหห” เสียงกรีดร้องของหญิงสาวดังขึ้น ขณะที่เธอทรุดตัวลงด้วยความเจ็บปวด

ไม่นะ ถ้าฉันไม่มีไอ้นั่น ถ้าไม่มีมัน ฉันก็เรียกเดียร์เมิร์ดไม่ได้ เรียกแลนเซอร์ไม่ได้!!

เรื่องเลวร้ายกลายเป็นเลวร้ายที่สุด, อันที่จริงหากเธอต้องสูญเสียมันไปเช่นนี้ อย่างน้อยเธอก็ขอใช้คำสั่งทั้งหมดที่เหลือแล้วสั่งแลนเซอร์ว่า ‘จงรักฉัน!’ อย่างน้อยมันก็อาจจะสามารถผูกมัดเขาไว้กับเธอได้บ้าง ไมว่ามันจะต้องแรกด้วยสิ่งใดก็ตามแต่บัดนี้โซล่าก็พร้อมจะยอมแรกเพียงแค่ขอให้ได้อาคมบัญชาพวกนั้นคืนมา


ท่ามกลางสายหมอก โซล่าทรุดตัวลงร่ำไห้พลางควานหามือขวาของตนสะเปะสะปะบนพื้นคอนกรีต แต่กลับไม่มีอะไรเหลืออยู่บนพื้นโล่งๆนั้นเลย เธอลุกขึ้นควานหาต่อไป...ต่อไป ก่อนจะล้มลงร้องไห้ควานหาสิ่งที่สูญหายทั้งน้ำตา ไม่นานสายตาของเธอก็เริ่มพร่าเบรอ จากการเสียเลือดอย่างมาก ไม่นานต่อมาเธอก็ทรุดลงนิ่งหายใจรวนรินอยู่กับพื้น

“มือ....มือ ฉันนน....” ด้วยมือซ้ายที่เหลืออยู่ เธอจับไปเจอรองเท้าบู้ทของผู้หญิงคนหนึ่ง ในแววตาสุดท้ายของโซล่า สตรีคนนั้นไม่แสดงอารมณ์ใดๆทั้งสิ้น และจ้องมองเธอด้วยแววตาที่ไร้ปราณีใดๆ.... นั่นคือสิ่งสุดท้ายก่อนที่เธอจะสิ้นสติไป ยามโซล่าสิ้นสติ ผู้หญิงคนนั้นหยิบโทรศัพท์เครื่องนึงออกมาพูดกับชายอีกคนหนึ่งที่มีน้ำเสียง เรียบสนิทและเย็นชา



ดีมาก, ออกจากที่นั่นทันที แลนเซอร์น่าจะกลับมาที่นั่นในไม่ช้าแน่นอน – เสียงของคิริงิสุดังออกมาจากโทรศัพท์ของสตรีคนนั้น


End........(จบมันดื้อๆแบบนี้และวุ้ย บทต่อไปทำใจแปลไม่ได้ สงสารโซล่าหัวแดง)....................


Create Date : 02 มกราคม 2553
Last Update : 2 มกราคม 2553 5:13:23 น. 8 comments
Counter : 4078 Pageviews.

 
Happy New Yearครับ

แปลได้ดีจริงๆ นะเี่ี่นี่ย แต่ว่าบทต่อไปมันไม่ใช่บทโคโตมิเนะโชว์ความเป็นพระเอกกว่าคิริซึงุหรอ แต่ให้แปลไปอีก2บทก็Japล้วนละ


โดย: Baka-Man IP: 117.47.89.73 วันที่: 2 มกราคม 2553 เวลา:13:14:46 น.  

 
ขอบคุณมากครับ สนุกมากเลย โซล่าจะเป็นยังไงต่อนี่


โดย: pentong IP: 113.53.123.230 วันที่: 4 มกราคม 2553 เวลา:19:32:44 น.  

 
ขอบคุณมากค่ะ เป็นของขวัญปีใหม่ทีดีจริงๆ

สนุกมากๆเลยค่ะ

Happy New Year ค่ะ


โดย: ฝน IP: 118.172.71.20 วันที่: 5 มกราคม 2553 เวลา:0:15:54 น.  

 
เคยมีคนเล่าให้ฟังเกี่ยวกับบทต่อไป
ซึ้งมันทำให้ถึงขนาดเกลียดคิริงิสุเลยทีเดียว...

บอกแค่นี้หละเดี่ยวมันจะสปอย

ปล.พยายามแปลต่อไปนะครับ


โดย: LightLord IP: 125.25.236.71 วันที่: 4 กุมภาพันธ์ 2553 เวลา:16:06:37 น.  

 
สนุกมากเเปลได้ดีมากครับ อยากให้ AnimeG ซื้อมาจังจะได้อ่านเเบบรูปเล่ม


โดย: fairy tale IP: 125.25.33.55 วันที่: 22 เมษายน 2553 เวลา:0:07:53 น.  

 
สุดยอดดดดดแปลได้เยี่ยมกระชากอารมมากเลยครับ
อ่านทุกตอนแล้วมันจริงๆเลย ชอบไรเดอร์ที่สุดสมเป็นราชามากที่สุดแต่ก็ชอบพลังของป๋ากิลนะถ้าไรเดอร์ปะสานป๋ากิลให้วีรชนของตนครอบครองอาวุธของป๋ากิลนี่ไม่มีใครสูดได้แน่นอนเลย
แต่ตอนที่ 1 ไม่มีหรอครับ T^T


โดย: normal man IP: 61.90.70.212 วันที่: 12 พฤษภาคม 2553 เวลา:22:47:53 น.  

 
อยากอ่านต่อจังเลยครับ สนุกมากๆเลย


โดย: bk622 IP: 222.123.237.223 วันที่: 28 ตุลาคม 2553 เวลา:15:41:47 น.  

 
ถ่ายทอดเป็นสำนวนไทยได้ดีมากเลยค่ะ เคยแต่อ่านจาก scan ภาษาอังกฤษ เรื่องก็เข้มข้นอยู่แล้วยิ่งได้อรรถรสมากขึ้นอีก
ถึงจะเสียดายว่าไม่ได้อ่านภาษาไทยต่อแล้ว แต่ก็ขอบคุณที่แปลไทยให้อ่านสนุกได้อารมณ์มากขึ้นนะคะ


โดย: รักลุงคาริยะค่า IP: 203.170.239.231 วันที่: 8 กุมภาพันธ์ 2555 เวลา:9:38:46 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Kross_ISC
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 79 คน [?]




Blog จับฉ่ายของ Kross ครับ เทคโนโลยี, การทหาร,Military Expert, การ์ตูน, Anime, Manga, Review, Preview, Game, Bishojo Game, Infinite Stratos (IS), Hidan no Aria, Light Novel (LN)

ติดตามเพิ่มเติมได้ทาง Twitter ที่ @PrameKross
New Comments
Friends' blogs
[Add Kross_ISC's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.