Group Blog
 
 
มกราคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
21 มกราคม 2548
 
All Blogs
 
@-->- นางเงือกตาแดง-<--@

เขาว่ากันว่า ที่นี่มี ผี!!!!

O_______________o"

จั่วหัวให้น่ากลัวไปอย่างนั้นเอง แต่จริงๆคงไม่น่ากลัวเท่าไรนัก เพราะมันก็เป็นแค่เรื่องผีในตอนเด็กๆ

หรือ...มันจะยังน่ากลัวสำหรับใครบางคน เหอ เหอ เหอ *เสียงหมาหอน*

ออกตัวไว้ก่อนนะ ว่าป้ากิมจูไม่ถนัดการเล่าเรื่องผี เพราะไม่ได้เป็นคนกลัวผี แล้วก็ยังไม่เคยเห็นผี ถ้าใครหวังว่าจะได้อ่านเรื่องผีผีแบบการ์ตูนขวัญผวา หรือเหมือนกับดูรายการมิติลี้ลับล่ะก็... เสียใจด้วยจ้ะ เพราะนี่คือเรื่องผีๆแบบกิมจู (คนที่อาจจะน่ากลัวกว่าผี)

เชื่อได้ร้อยเปอร์เซ็นเลยว่า เกือบทุกที่ จะต้องมีเรื่องเล่าเกียวกับ "ผี" ไม่ว่าจะเป็น ผีในโรงแรม ผีในบ้านร้าง บ้านไม่ร้าง ผีในวัด (อันนี้แหล่งชุมนุมสุดฮิต) ผีป่า ผีแม่น้ำ แต่วันนี้จะเน้นแค่ ผีในโรงเรียน

ผีในโรงเรียนจะค่อนข้างมีเอกลักษณ์เฉพาะตน (ของผี) ในขณะที่ผีประเภทอื่นๆจะชอบมาเยี่ยมเยียนในเวลากลางคืน และได้รับการกล่าวขวัญแกมกลัว โดยพวกผู้ใหญ่ ซึ่งนั่นทำให้เรื่องมันดูน่าเชื่อมากยิ่งขึ้น แต่ผีในโรงเรียนกลับชอบมาตอนกลางวันแสกๆ (ก็ถ้ามาตอนกลางคืน ใครจะเห็นล่ะ) เป็นผีที่ถูกร่ำลือด้วยเสียงสั่นๆ ของเด็กๆ ปากต่อปาก จากสิบเป็นร้อย จากร้อย ก็ทั้งโรงเรียน จนในที่สุด "ผู้ใหญ่" ผู้ที่ไม่เคยกลัวผีในโรงเรียนเลย ซึ่งก็คือครูในโรงเรียนนั่นเอง ก็จะออกมาประกาศห้ามหน้าเสาธง

"ห้ามกลัว" "ห้ามเล่าลือ" "ห้ามหลอกเพื่อน" และสุดท้าย.... "ผีไม่มีจริงงงงง"

แต่จริงๆ ครูอาจจะกลัวก็ได้นะ แค่เราไม่รู้ เท่าที่รู้นักเรียนเริ่มกลัวครูมากกว่าผีแย้วววว

อย่างที่บอกว่า ป้าไม่ค่อยสนใจเรื่องผีมากมายนัก เท่าที่จำได้ก็เลยมีไม่กี่เรื่องเอง

ผีเด็กดองที่ห้องวิทยาศาสตร์ชั้น 5 ผีสาวชุดไทยนั่งบนกิ่งต้นโพตรงห้องดนตรีไทย ผีในกระจกที่คอหมุนได้แต่ตัวอยู่กับที่ ผี...ผี... แล้วก็ เรื่องของนางเงือกตาแดง
.
.

โรงเรียนสมัยประถมของป้าเป็นโรงเรียนเก่า ตั้งมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2475 แต่อาคารที่เรียนกันอยู่ในปัจจุบันตรงเชิงสะพานซังฮี้นั้น เป็นอาคารสร้างใหม่ เพิ่งย้ายมาเมื่อตอนปี 2510 ซึ่งก็ยังนับว่าใหม่มากตอนที่ป้าเข้ามาเรียน

แต่ความใหม่ก็ไม่ได้สะกัดกั้นผู้บุกรุกนิรกายหรอกนะ

หลังจากที่ตัดสินใจย้ายมาอยู่ที่ที่ใหม่ ทางโรงเรียนก็ได้ชะลอเอาอาคารเก่าจากที่เดิมมาด้วย ซึ่งก็คือ ตำหนักที่ท่านเจ้าของโรงเรียนเคยประทับอยู่ เป็นอาคารเรือนไม้ตามแบบสมัยนิยมในสมัยรัชกาลที่ 6 ที่ 7 โดยดัดแปลงเป็นห้องสมุดแต่ก็ยังคงสภาพเดิมไว้ เพียงแค่รื้อฝาออกเท่านั้น

อาคารหลังนี้โดดเด่นเป็นสง่ามากในความรู้สึกของเด็กทุกคน เพราะในขณะที่ตึกข้างๆเป็นแท่งปูนสูงๆ ดูเข้มแข็งมั่นคง อาคารไม้กลับตั้งอยู่ที่มุมเกือบลึกสุดของโรงเรียน อย่างสงบ ร่มเย็นไปด้วยแมกไม้ทั้งเล็กและใหญ่ที่เรียงรายรอบสระน้ำ

ก็เพราะมีทั้งสระน้ำ มีทั้งไม้ใหญ่น้อยที่อยู่รอบเรือนไม้นี่เอง ที่ทำให้เกิดเป็นเรื่องขึ้นมา


"เที่ยงนี้เราไปดูนางเงือกกันเหอะ"

เสียงเล็กๆจากเพื่อนร่างยักษ์กระซิบกระซาบพอให้ป้ากับเพื่อนได้ยิน

เงือกๆๆๆ นางเงือกๆๆๆๆ O____o

"ก็นางเงือกที่ใต้ถุนหอสมุดไง"

และแล้วขบวนการตามล่าหานางเงือกก็เริ่มขึ้น ไม่มีใครต้นตอของข่าวลึกลับข่าวนี้ แต่ที่แน่ๆ ช่วงพักเที่ยง จะมีเด็กนับสิบ จูงมือกันเดินไปยังอาคารไม้ห้องสมุด ดูจะน่ารักถ้าเด็กเหล่านั้นจะเดินขึ้นไปอ่านหนังสือ ไม่ใช่ไปนั่งยองๆ มองที่ใต้ถุนตึกแทน

เรื่องก็มีอยู่ว่า อยู่ดีดี วันนึงก็มีคนมาเริ่มเล่าว่า เห็นนางเงือกตาแดงวาบอยู่ที่ใต้ถุนตึก

"ต้องเป็นนางเงือกแน่ๆเลย ก็ที่ข้างๆเป็นสระน้ำไง"
คนเล่าพยายามโน้มน้าวให้เห็นจริง แต่เรื่องแบบนี้ ไม่ต้องโน้มน้าวมาก คนฟังก้เชื่อไปตั้งค่อนแล้ว

อาคารเก่าๆ ต้นไม้ต้นใหญ่ๆ ใบหนาๆ บรรยากาศมืดๆสลัวๆ ใต้ถุนตึกก็มืดสนิท ความคิดของเด็กย่อมมุ่งเข้าหาเรื่องเหลือเชื่อมากกว่าเรื่องจริงอยู่แล้ว ยิ่งมีคนมายืนยันอีกว่า เห็นจริงๆ นะ ตาแดงแจ๋เลย เพียงแค่นี้ ขบวนการตามล่านางเงือกก็พร้อมออกทำงาน

กลับมานั่งคิดตอนนี้ก็ยังขำตัวเองไม่หาย อันที่จริง อาคารไม้หลังนั้นก็ไม่ได้ดูสลัวๆน่ากลัวอย่างที่เคยนึก แม้แต่ในวันที่ออกไปดูนางเงือกเองก็ตามที ด้านหน้าอาคารไม้ก็เป็นที่เด็กๆวิ่งเล่น มีตึกเรียนตั้งอยู่ เพียงแค่ด้านหลัง เมื่อก่อนเป็นสระน้ำ แล้วรอบๆสระน้ำก็เป็นต้นหูกวาง ที่ใบหนากว่าไม้อื่นก็เท่านั้น


แต่มันก็ดูน่ากลัวพอที่จะทำให้เด็กๆในวันนั้นได้สร้างเรื่องราวการผจญภัยอันน่าตื่นเต้น เกี่ยวกับนางเงือกตาแดงที่อาศัยอยู่ในสระน้ำแล้วมานั่งสางผมอยู่ที่ใต้ถุนตึก นานๆทีก็ฉายแสงในแววตาให้เด็กๆ ได้ร้องกรี๊ดกร๊าดวิ่งหนีออกมา ท่ามกลางแสงอาทิตย์แจดจ้ายามเที่ยงตรง

มันน่ากลัวตรงไหนล่ะนั่น

แต่ความรู้สึกในวัยผู้ใหญ่มันมีเรื่องของเหตุผลมากำกับมากขึ้น มากเสียจนเราเริ่มไม่เชื่อในพลังของจินตนาการ

คุณครูของพวกเราก็คงเป็นเช่นนี้เหมือนกัน คำสั่งห้ามไปดูนางเงือกก็เลยถูกประกาศขึ้นในเช้าวันหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่า เสียงกรี๊ดกร๊าดไปรบกวนคนที่อ่านหนังสือในห้องสมุด

ต่อมาอีกไม่นาน สระน้ำนั้นก็ถูกถม ต้นหูกวางถูกตัด แล้วอีกไม่กี่ปี อาคารหอประชุมขนาดใหญ่ก็เกิดขึ้นมาในที่ตรงนั้น

ป้าจำไม่ได้แล้วว่า ไปก้มๆเงยๆ หานางเงือกอยู่กี่ครั้ง แต่ก็ไม่เคยได้เห็นตาแดงๆ คู่นั้นสักที

วันนี้ อาคารหอสมุดก็ยังคงสง่าเช่นวันวาน แม้ว่าจะดูเล็กจ้อยไปมากเมื่อเทียบกับความทรงจำที่เคยมี คนเราก็มักจะเป็นอย่างนี้ เมื่อเราโตขึ้น หลายสิ่งหลายอย่างที่เราเคยคิดว่ามันใหญ่โต กว้างไกล ก็กลับเล็กแคบลง

ในวันที่โลกกว้างไปไกลกว่าขอบรั้วของโรงเรียน ป้าก็ได้ลองก้มลงมองที่ใต้ถุนตึกนั้นอีกครั้ง ด้วยความหวังว่า จะได้เห็นตาสีแดงคู่นั้น ฉายแสงเสียที





หมายเหตุ... หลังจากเขียนเรื่องนี้จบลง ก็ได้ไปคุยกับเพื่อนคนนึงที่เรียนด้วยกันมาตั้งแต่ชั้นประถม ขึ้นมัธยมก็ยังตามกันมาเรียนด้วยกันอีก เจ้าเพื่อนคนนี้ก็บอกว่า แล้วมันไม่ใช่รูปปั้นนางเงือกที่เขาเอามาวางทิ้งไว้เหรอ

สุดท้าย เพื่อนเก่าวัยเดียวกันก็นั่งเคาะแป้นพิมพ์ ใช้ความคิดถึงเรื่องเก่าๆ กันต่อไป -________-"



Create Date : 21 มกราคม 2548
Last Update : 21 มกราคม 2548 15:00:36 น. 16 comments
Counter : 1932 Pageviews.

 
อันว่าด้วยเรื่องของผีในวัยเรียน เอ๊ย ผีในโรงเรียนนั้น ตัวเราไม่ยักกะเคยเจอ สมัยเรียน ไม่เห็นมีเพื่อนหน้าไหนมันพูดถึงเรื่องผีเลย

จนกระทั่งได้เข้าไปเรียนในสถาบันการศึกษาระดับอุดมศึกษาแล้วนั่นแหละ จึงมีการเล่าเรื่องผีกัน

แต่เราก็ไม่เคยเห็นเองสักกะที

มีเรื่องเล่ากันว่า ในห้อง sound lab อันไม่ใช่ห้องปฏิบัติการทางเสียง ไม่ใช้ห้องทดลองทางเสียง แต่เป็นห้องเอาไว้เปิดเทปฟังเสียงภาษาอังกฤษของวิชาภาษอังกฤษ รหัสวิชา LS 101เป็นที่สุมหัวของบรรดาผีๆ กัน

บ้างก็ลือว่า ตอนหมดชั่วโมง เดินออกไปทางหน้าห้อง เห็นคนข้างหน้า มองไปมองมา ไม่มีขา(หรือเท้าไม่ติดพื้นอย่างใดอย่างหนึ่ง)

บ้างก็ลือว่า อาจารย์นับหัวนักศึกษาแล้วพบว่าเกินไปหนึ่งหัว ก็เดินไปดู (ไม่รู้ว่ารู้ได้ไงว่าต้องเดินไปตรงไหน) เดินไปใกล้ๆ ต้องบูธ พอไปใกล้ๆ แล้วก็พบว่า นักศึกษาคนนั้น ไม่มีหน้า!!! เบ๋ยยยยยย!!!!

เมื่อเราเป็นเฟชชี่ (ชีวิตนี้ผมก็เคยเป็นนะครับ) ไปทำกิจกรรมให้กับสโมฯ ก็เตรียมงานรำลึก "ศาลาวีรชน" (ศาลาที่ถือกำเนิดจากตุลาวิปโยค เมื่อนักศึกษาที่นี่เสียชีวิตไปหนึ่งคน) เราก็อยู่ฝ่ายปชส. เราก็ทำป้ายปชส. ทำซิลค์สกรีนสามสี ติดไล่ดะมันรอบสถาบันฯ

งานนี้ล่วงเลยไปจนดึกดื่น แต่นแต๊น

เมื่อเดินแปะประกาศมาถึงหน้าห้อง sound lab ทันใดนั้นเอง...... หมามันก็หอนขึ้นมา....

ก็ไม่เห็นมีอะไรนี่หว่า...เหอ เหอ เหอ..... พี่ก็เลยเล่าเรื่องผีห้องซาวนด์แล็บให้ฟัง.....

ย้อนกลับไป(มั้ง) สมัยยังอยู่ชั้นมัธยม ประสบการณ์เฉียดผีที่สุดก็คือ ผีเปรตมาร้องขอส่วนบุญอยู่แถวๆ บ้าน

จริงเปล่าไม่รู้ รู้แต่ว่า คนข้างบ้านเป็นคนทรง

คืนหนึ่ง เราตื่นขึ้น ไม่รู้ตกใจตื่นหรือเปล่า แต่เราได้ยินเสียงกรีดร้องโหยหวนความถี่สูง บัดเดี๋ยวมันดังข้างหน้าต่างห้องนอนเรา บัดเดี๋ยวมันไปดังหน้าบ้านคนอื่น เวียนวนอยู่เช่นนี้หลายที

เปรตชัวร์ หัวใจขี้ขลาดบอก!!!

ก็ตัวแข็งสิ เกิดเปิดหน้าต่างไปดู เห็นมันอยู่ตรงนั้น เราตายพอดี

เช้าวันต่อมา คนทรงข้างบ้านก็เอ่ย.... เมื่อคืนเปรตมา...

อือ.....

ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ก็ไม่เคยเห็นหน้า เปรตอีกเลย....

ความกลัวผีก็เลยเหลือแค่ นั่งบุปผา ตอนที่เราดูดีวีดีในยามราตรีเท่านั้น





โดย: พี่แอลสุดที่รักของกิมจู IP: 202.176.120.133 วันที่: 21 มกราคม 2548 เวลา:14:38:09 น.  

 
ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ นางเงือกตาแดงจริงๆ ด้วย (ไม่เชื่อก็ดูจากภาพซิ ที่มีจุดสองจุดแดงๆ นั่นอ่ะ) ป้ากิมจูเอารูปมาจากไหนอ่ะ ดูลึกลับ น่ากลัวอ่ะ

อืมม์ เห็นด้วยกะป้ากิมจูนะที่ว่าเกือบทุกที่ต้องมีเรื่องเล่าเกี่ยวกับผี อ่านที่ป้ากิมจูเขียนแล้ว ทำให้นึกถึงเรื่องผีในโรงเรียนมัธยมปลายที่เราเคยเรียนเลยอ่ะ โรงเรียนนี้ตั้งอยู่บนถนนพญาไท ไม่ไกลจากสยามฯ และมาบุญครอง เรื่องผีที่โรงเรียนนี้นะ เป็นผีที่มาตอนกลางวันเหมือนกัน แต่เราไม่เคยเจอนะ และไม่อยากเจอด้วย ก็เพื่อนๆ ที่โรงเรียนเคยเล่าให้ฟังว่า มีคนเคยได้ยินเสียงฝีเท้าคนหลายๆ คนที่ใส่รองเท้าบู๊ททหารกำลังเดินบนชั้น 2 ของ "ตึก 1" ซึ่งมี 2 ชั้น ในช่วงบ่ายๆ ของวันศุกร์วันหนึ่ง ซึ่งในสมัยที่เราเรียนนั้น ทุกวันศุกร์ นักเรียนเลิกเรียนตอนเที่ยง เพราะนักเรียนชายต้องไปเรียน ร.ด. ดังนั้นในช่วงบ่าย ห้องเรียนก็จะถูกปิด พอคนที่ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินนั้นขึ้นไปดูชั้น 2 ของตึก ปรากฏว่าไม่มีใครอยู่เลย ห้องเรียนก็ปิดหมดแล้วด้วย และพวกนักเรียนชายก็ไปเรียน ร.ด. กันหมดแล้วด้วย แล้วนั่นเป็นเสียงฝีเท้าใครเดินล่ะ? อ้อ ยังมีอีกเรื่องคือว่า เพื่อนเราเล่าให้ฟังว่า มีคนๆ หนึ่ง(เป็นนักเรียนหรืออาจารย์ ซึ่งเราก็จำไม่ได้แล้วอ่ะ) มาถึงโรงเรียนแต่เช้าตรู่ ขณะที่กำลังนั่งอยู่ในห้อง คนๆ นั้นได้เห็นคนใส่ชุดทหารญี่ปุ่นเดินผ่านหน้าห้องไป พอรีบออกไปดู ปรากฏว่าก็ไม่เห็นใครอยู่เลย เราคิดว่าคงมีเรื่องเล่าอะไรทำนองนี้อีกหลายเรื่อง แต่ที่เราได้ยินมามีแค่นี้ เรื่องเล่าพวกนี้ทำให้หลายคนที่โรงเรียนคิดไปต่างๆ นานา ว่าต้องเป็นผีทหารญี่ปุ่นในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 แน่ๆเลย เพราะว่าช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บริเวณโรงเรียนมีทหารญี่ปุ่นมาอยู่ด้วยอ่ะ

อืมม์..เรื่องผีทหารญี่ปุ่นนี้นะ เราก็ไม่รู้ว่าปัจจุบันนี้ยังมีการเล่าอยู่ไหม หรือยังมีใครในโรงเรียนเคยเห็นอีกไหมหนอ?


โดย: Rainbow Gecko วันที่: 21 มกราคม 2548 เวลา:15:40:17 น.  

 
ขอถามป้ากิมจูเรื่องเกี่ยวกับผีเรื่องนึงนะ แม้มันไม่ใช่ผีในโรงเรียนประถมหรือมัธยมนะ แต่เป็นผีในมหาวิทยาลัยอ่ะ ในฐานะที่เป็นป้าแก่ๆที่ยังคงมีความทรงจำยอดเยี่ยม ป้าเคยได้ยินเรื่อง "ลิฟต์แดง" ที่อยู่ในคณะแห่งหนึ่งของมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยาไหม เรารู้มาว่าเมื่อก่อนที่นั่นเรื่องเล่าเกี่ยวกับ "ลิฟต์แดง" นี้ฮิตมากเลย เรื่องมันเป็นยังไงอ่ะ แล้วตอนนี้ยังมีคนเล่าเรื่อง "ลิฟต์แดง" กันอีกไหมอ่ะ


โดย: Rainbow Gecko วันที่: 21 มกราคม 2548 เวลา:16:01:20 น.  

 
หงิง ผีหลอก แฮ่!!!


โดย: BeeJang วันที่: 21 มกราคม 2548 เวลา:19:36:16 น.  

 
-_________-"

ก็อยู่ที่คณะฯนั่นมาตั้งสิบปี ยังไม่เคยจำเรื่องลิฟท์แดงให้แม่นๆ ได้สักที

เฮี้ยนแค่ไหนไม่รู้อ่ะ เพราะขึ้นอยู่ประจำ แต่เรื่องของความอืดกับความเสี่ยงว่าจะค้างเนี่ย รู้แน่นอน


โดย: กิมจู IP: 202.57.179.10 วันที่: 21 มกราคม 2548 เวลา:20:14:15 น.  

 
ป้าๆ อย่าลืมจิ๊งหน่องด้วยนา... อาศัยคณะเค้าอยู่เค้าเล่นมาตั้งนาน ไม่รู้อ่ะ ตกลงจิ๊งหน่องคืออะไรเหรอ บอกคนต่างคณะหน่อยจิ


โดย: ก๊อกๆ IP: 61.90.9.155 วันที่: 23 มกราคม 2548 เวลา:3:12:34 น.  

 
หวาย ทอปปิกของป้าน่ากัว
ปรกติไม่ว่าจะข่าวลือหรือเรื่องเล่าทั้งหลาย
ลุงไม่ขอพิสูจน์ล่ะ ขอผ่าน
ปรกติจะไม่แตะต้องของแบบนี้ กัวอ่ะ ^^"


โดย: melkor วันที่: 23 มกราคม 2548 เวลา:8:47:28 น.  

 
^^"
อ่านะลุง ท่าทางลุงก็ไม่ได้เหมาะกับการกลัวผีเลยนะ

จิ๊งหน่องอ่ะเหรอ เขาว่ากันว่าเป็นนักศึกษาที่เรียนดีแต่อาภัพ ไม่เรื่องรักก็เรื่องอะไรซะอย่าง เลยตัดสินใจฆ่าตัวตาย บ้างก็ว่า โดดแม่น้ำเจ้าพระยาตาย บ้างก็ว่าโดดตึก จะทำฉันใดก็ตายล่ะนะ

ทีนี้ มันก็เลยเกิดเรื่อง
วันดีคืนไม่ดี ก็มีคนเห็นเด็กคนนี้มาวิ่งไปวิ่งมารอบๆ คณะ เลยกลายเป็นตำนานไป รุ่นน้องที่เข้ามาใหม่ ก็ต้องโดนต้อนไปไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั่วมหาวิทยาลัย ซึ่งหนึ่งในนั้นก็จิ๊งหน่องนี่เอง

แล้วจิ๊งหน่องจริงๆคืออะไร เหอ เหอ เหอ

จิ๊งหน่องตัวจริง ก็คือรูปปั้นผู้ชายในชุดไทย ไว้ผมแสกกลางตามสมัยนิยมเมื่อหลายร้อยปีก่อน มือหนึ่งถือหนังสือ มือหนึ่งแตะนิ้วไว้ที่ปลายคาง (ที่บางคนบอกว่า สะกิดสิว -___-") ขาข้างหนึ่งก้าวสืบไปข้างหน้า อีกข้างอยู่ด้านหลัง สายตามองขึ้นไปยังผนังตึกของคณะศิลปศาสตร์ที่สลักเป็นจารึกหลักหนึ่ง ของพ่อขุนรามคำแหง

ที่มาของรูปปั้นนี้ เกิดขึ้นพร้อมๆกับคณะศิลปศาสตร์ และผูกพันกับธรรมศาสตร์อย่างแยกกันไม่ออก

แต่เดิมนั้น ธรรมศาสตร์เปิดสอนในลักษณะของ ตลาดวิชา กล่าวคือ ใครใคร่เรียนก็มาเรียนได้ แต่พอยุคสมัยเปลี่ยนไปความเป็นตลาดวิชา ก็ปรับมาเป็นการเรียนแบบที่ต้องสอบเข้า หลักสูตรก็เริ่มมีการเปลี่ยน โดยมีนโยบายที่จะให้เหล่านักศึกษาได้เรียนวิชาพื้นฐานทางสังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เพื่อความรอบรู้ที่กว้างไกล คณะศิลปศาสตร์จึงเข้ามาทำหน้าที่ในตรงนี้ โดยชื่อของคณะก็บอกอยู่แล้วว่า เป็นแหล่งของสรรพวิชาต่างๆ

และนี่เองที่กลายมาเป็นปรัชญาของคณะ อันมีสัญลักษณ์เป็นรูปคบไฟ

อาจารย์อดุลย์ซึ่งเป็นคณบดีในสมัยนั้นก็ได้คิดที่จะทำสัญลักษณ์อะไรสักอย่าง เพื่อสะท้อนให้เห็นถึงปรัชญาดังกล่าว เริ่มจากตึกเรียน ที่ผนังก็จะสลักเป็นอักษรไทยตามในจารึกหลักที่ 1 (อันแสนจะมีปัญหา หุหุ) นอกจากนั้นแล้ว ท่านยังได้คิดที่อยากจะให้มีการจำลองรูป The Thinker ของโรแดง มาไว้ที่สวนหย่อมของคณะด้วย

รูปปั้นนักคิด The Thinker อันนี้แหละ คือที่มาของรูปจิ๊งหน่อง

เมื่อแรกคิดที่จะจำลองรูปปั้นนักคิด ประติมากรที่จะต้องทำก็ได้ประท้วงมาว่า ทำยาก แพง ในที่สุด อาจารย์เขียน ยิ้มศิริ ก็เลยเสนอว่า ทำเป็นรูปไทยๆ จะดีกว่า อาจารย์เขียนจึงออกแบบเป็นวัยรุ่นไทย ในรูปแบบศิลปะแบบสุโขทัย ทำท่าจ้องมองดูที่ตัวหนังสือสุโขทัย พร้อมทั้งเอามือแตะคาง แสดงถึง การคิดใคร่ครวญ อีกมือถือหนังสือฝรั่ง ส่วนขานั้นก็ย่างก้าวแบบพระพุทธรูปปางลีลา รวมๆแล้ว สือให้เห็นว่า

นักศึกษารุ่นใหม่จะต้องใส่ใจกับการศึกษาหาความรู้ทั้งของนอกและของเราเอง อีกทั้งต้องคิด ใคร่ครวญ ไม่ใช่รู้แต่อย่างเดียว แต่ต้องคิดเป็น เป็นผู้ที่สามารถก้าวทันโลก ในขณะเดียวกันก็ต้องไม่ลืมรากเหง้าของตนเอง

นี่ก็คือ ความเป็นมาอันแท้จริงของรูปปั้นที่คณะศิลปศาสตร์ ธรรมศาสตร์ท่าพระจันทร์

แล้วทำไมจึงได้ชื่อว่า "จิ๊งหน่อง" ?
ได้มีคนเคยอธิบายว่า เป็นการพยายามตั้งชื่อ ซึ่งในขณะนั้น เพลงจิ๊งหน่อง กำลังดังเป็นพลุแตก ก็เลยเอามาใช้เรียนชื่อรูปปั้นนี้ไป นานวันเข้า เรื่องจริงก็กลายเป็นเรื่องเล่า เรื่องเล่ากลายเป็นตำนาน ที่พร้อมจะมีการเสริมแต่งให้ดูลึกลับซับซ้อนขึ้น

the Thinker ของ อาจารย์เขียนก็เลยกลายเป็นรูปเคารพ ที่ทุกๆปลายเทอม จะมีเหล่านักศึกษาเอาเครื่องเซ่นมา "ถวาย" หมุนเวียนเปลี่ยนไปตามฤดูกาล และตามสภาพสังคมรอบรั้วธรรมศาสตร์

จากข้าวแกง เป็น S&P

แม้แต่นิ้วมือที่ทำท่าครุ่นคิด วันดีคืนดีก็ยังมีคนมาเล่าว่า รูปปั้นเปลี่ยนมือแตะคาง

-__________-"

นี่แหละนะ เอกลักษณ์เฉพาะตัวของคนไทย
ไม่เว้นแม้แต่ในคณะฯของป้าเอง

หุ..หุ



โดย: กิมจู IP: 202.57.184.159 วันที่: 23 มกราคม 2548 เวลา:13:56:14 น.  

 
ขอนอกเรื่องผี นิดนึงนะป้า
เอ่อ.. ได้ข่าวมาว่าสาวๆ ที่คณะฯ ของป้า มีแต่คนสวยๆ น่ารักๆ ทั้งนั้นเลยใช่ไหมจ๊ะ ป้ากิมจูจ๋า อิอิอิ


โดย: Rainbow Gecko IP: 202.28.181.7 วันที่: 23 มกราคม 2548 เวลา:14:52:32 น.  

 
แม่นแล้ว เหอ เหอ เหอ :P


โดย: กิมจู (Meliot Baggins ) วันที่: 23 มกราคม 2548 เวลา:20:28:49 น.  

 
ตูไม่เชื่อ สาวๆ ที่คณะฯ ของป้า มีแต่คนสวยๆ น่ารักๆ ทั้งนั้น ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ ตูไม่เชื่อ


โดย: พี่แอลสุดที่รักของกิมจู IP: 202.176.120.241 วันที่: 24 มกราคม 2548 เวลา:16:41:56 น.  

 
เชื่อหน่อยสิจ๊ะ

*เอาปืนจ่อหัว*


โดย: กิมจู IP: 202.5.88.128 วันที่: 24 มกราคม 2548 เวลา:18:53:37 น.  

 
ถุงว่า



โดย: +++ IP: 58.10.93.91 วันที่: 24 กันยายน 2550 เวลา:10:46:13 น.  

 
ไม่มีรายจะเขียน


โดย: ยีนส์คับ IP: 124.157.212.119 วันที่: 7 พฤศจิกายน 2550 เวลา:19:44:00 น.  

 
ควาย


โดย: แจน IP: 222.123.59.118 วันที่: 9 มีนาคม 2551 เวลา:11:32:49 น.  

 
ห้ามหลอกกันนะ


โดย: พิ้งกี้ IP: 124.120.124.38 วันที่: 31 กรกฎาคม 2552 เวลา:19:39:50 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

Meliot Baggins
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed

ผู้ติดตามบล็อก : 3 คน [?]




สวัสดีค่ะ ... กลับมาแล้วค่ะ



อัพบล็อกใหม่แล้วค่ะ
... ชมสวนที่คาดว่า จะอังกิ๊ด อังกฤษได้ที่กรุ๊ป เมื่อดอกไม้บาน


Photobucket ...ภาพงานกระดาษของขวัญวันแต่งงาน ที่กรุ๊ป งานกระดาษ
ค่ะ
Friends' blogs
[Add Meliot Baggins's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.