สมัยเด็กๆ มีชีวิตอยู่อย่างเด็กบ้านสวนถึงจะไม่เต็มร้อยแบบที่ยิงนก ตกปลา โดดข้ามท้องร่อง แต่กิจกรรมหลายๆอย่าง ต่างก็ถูกสร้างสรรค์ขึ้นกลางสวนนี่เอง- - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - - -หน้าฝนสองปีนี้ น้ำไม่ท่วมบ้านแล้วฮับ เพราะย้ายมาอยู่บ้านใหม่ยกพื้นสูงแทนบ้านหลังเดิมที่อยู่ในโซนที่ลุ่ม ... ฝนตกมากหน่อย น้ำก็ท่วมเข้าบ้านทุกทีที่บ้านเป็นบ้านสวน ด้วยพื้นเพเป็นชาวสวนแท้ๆแห่งสวนบางมด เกิดมาจึงเห็นว่า ล้อมรอบตัวเรานั่นหนา มันเต็มไปด้วยท้องร่องและคูน้ำ บ้านเก่าเป็นบ้านไม้ใต้ถุนสูง ซึ่งก็เป็นแบบสากลของชาวสวนที่จะต้องสร้างบ้านเผื่อหนีน้ำกัน ยามหน้าแล้ง ใต้ถุนก็เป็นศูนย์รวมกิจกรรมภาคกลางวัน ... ทำกับข้าว เลี้ยงเด็ก เด็กวิ่งเล่น กำกล้วยไม้ พับถุง แต่เมื่อมาถึงหน้าน้ำ กิจกรรมทุกอย่างต้องอพยพขึ้นให้พ้นน้ำ ส่วนใต้ถุนโล่งๆที่เจิ่งนองไปด้วยน้ำนั้น ก็เป็นสวรรค์ของพวกเราเป็นอันรู้กันว่า เมื่อไรที่ฝนตกจั่กๆ ไม่ลืมหูลืมตาสักวันสองวัน แล้วน้ำในคลองเริ่มสูงขึ้นๆอย่างลงไม่เป็น เมื่อนั้นก็เตรียมตัวลุยน้ำกันได้เลย ในบางครั้งมันท่วมเร็วมากจนเตรียมตัวไม่ทัน จึงเห็นรองเท้า ชามข้าวน้องหมา กระดาน ลอยตุ๊บป่องๆ ให้ต้องลงไปเก็บเล่น บางครั้งโอ่งที่ลืมใส่น้ำถ่วงไว้ ก็เลยควงมาให้น่าหวาดเสียวว่าจะไปชนอะไรแตกหรือเปล่า ก็ต้องลงไปช่วยกันกลิ้ง เอ้ย หมุนตามน้ำมาเก็บไว้ในที่ๆปลอดภัยแต่กิจกรรมที่สนุกมากๆอย่างหนึ่งในช่วงหน้าน้ำคือ การเล่นเรือกะละมังไม่รู้ว่ามันเริ่มมากจากไหน ได้แบบอย่างมาจากใคร เดาๆเอาว่า คงมาจากยายที่อยากจะอพยพหลานสามคน จากที่หนี่งไปอีกที่หนึ่งให้มันสะดวกๆ(กว่ากระเตงเข้าเอว) ก็โดยจับเจ้าพวกนี้นั่งในกะละมังซักผ้า แล้วลากไปตามน้ำ เป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ไอ้พวกคนที่ได้นั่งมันดันเลือกจำว่า "สนุกเฟ้ยยยยยย เหมือนนั่งเรือเลยยยยยย" ดังนั้น เมื่อเริ่มรู้ความ เมื่อสบโอกาส น้ำมาคราใดก็เอากะละมังลงลอยแล้วโดดขึ้นแจวแข่งกันการพายเรือเป็นเรื่องยากสำหรับคนที่พายไม่เป็น เพราะมันจะวนๆๆๆ อย่างที่เขาพูดกันว่า พายวนยังกับพายอยู่ในอ่าง แต่การนั่งพายในเรือกะละมัง มันวนเป็นอ่างของจริงเลย ดังนั้น จึงใช้ไม้พายเป็นไม้ค้ำถ่อมากกว่าจะใช้พายจริงๆ กระดื้บๆ ไปข้างหน้า กระดื้บๆ ไปข้างๆ บางทีก็ต้องมีใครสักคนเสียสละเป็นขนเข็นเรือให้มันแล่นฉิวๆ การเล่นแบบนี้มันสนุกตรงที่ได้จินตนาการไปว่า เราได้ล่องเรือในมหาสมุทร ทั้งๆที่ในความเป็นจริงก็ใต้ถุนบ้านดีดีนี่เอง ... แต่โลกของเด็ก จินตนาการมันค่อนข้างเหลือเฟือเหลือใช้ กะละมังจึงกลายเป็นเรือเดินสมุทรได้ไม่ยากนักกิจกรรมลอยเรือกะละมังเล่นได้ไม่กี่ปีมันหมดไปเพราะก้นกะละมัง (หรือที่ยายเรียกว่า ตอ สระ อู ดอ )มันบุบบู้บี้ เพราะถึงจะจินตนาการให้มันเป็นเรือไททานิกยักษ์ใหญ่ไม่มีวันจมยังไง แต่สภาพแท้จริงของมันก็คือกะละมังสังกะสีที่ใช้ซักผ้าอยู่ดี มีใบเดียวที่ไม่บุบคือกะละมังเคลือบ แต่สีก็ถลอก ก้นก็ทะลุ ....มันหมดไปเพราะน้ำหนักของนักเดินเรือมากขึ้นทุกปีๆๆๆ ก้าวขึ้นกะละมังที ได้ยินเสียงสังกะสีบู้บี้อย่างชัดเจน พอน้ำหนักแยะ กะละมังก็ลอยไม่ไหว พยายามฝืนมันให้เคลื่อนไปข้างหน้า ก้นกะละมังก็ถูกับพื้นปูนดังแกรกๆ ... อืมมมม ก็น่าจะละม้ายคล้ายกับเสียงที่แจ๊คกับโรสได้ยินตอนเรือไททานิกใกล้ล่มมันหมดไปเพราะพ่อพยายามใช้ความรู้ระดับนายช่างโยธากรมชลฯ จัดการระบบระบายน้ำในบ้านครั้งใหญ่ ทั้งขุดลอกคู สร้างเขื่อนริมคลอง ทำทุกทางเพื่อให้น้ำท่วมน้อยสุด ไม่งั้นเสียชื่อนายช่างใหญ่หมด ออกแบบเขื่อออกได้ แต่บ้านตัวเองน้ำท่วมงานนี้ก็เลยไม่รู้ว่า เพราะพ่อกลัวเสียหน้า หรือกลัวเสียกะละมังซักผ้าก็ไม่รู้ น้ำที่เคยท่วมบ้าน มันก็เลยน้อยลงๆๆๆเมื่อโตขึ้นมา เกิดน้ำท่วมใหญ่บางกอกอีกหลายครั้ง น้ำก็ท่วมหนักกว่าเดิม มองดูกะละมังใบเก่า ใจยังนึกสนุก ... ก้าวขาลงไปหนึ่งข้าง ... ทั้งที่น้ำก็ท่วมสูง แต่เพียงขาข้างเดียว ....เรือกะละมังก็จมคำเตือน :: อ่านแล้ว อย่าเอาไปเล่นตามนะฮับ สงวนสิทธิ์เฉพาะเด็กๆ เยาวชนที่น้ำหนักน้อยพอลงไปลอยเรือกะละมังผู้ปกครองควรแนะนำ .... ส่วนผู้ใหญ่ที่ใจยังเด็ก คนรอบข้างกรุณาตักเตือน
มีเรื่องราวมากมายให้จดจำ
ตอนนี้คงนั่งเรือกาละมังไม่ได้แล้ว
แค่แหย่ขาข้างเดียวเรือก็จมแย้ว.....