|
| 1 | 2 |
3 | 4 | 5 | 6 | 7 | 8 | 9 |
10 | 11 | 12 | 13 | 14 | 15 | 16 |
17 | 18 | 19 | 20 | 21 | 22 | 23 |
24 | 25 | 26 | 27 | 28 | 29 | 30 |
|
|
|
|
|
|
|
นโยบายภาคใต้
โดย นิธิ เอียวศรีวงศ์
กว่าหกเดือนภายใต้คณะรัฐประหาร สถานการณ์ภาคใต้ยังไม่ดีขึ้น ตรงกันข้ามดูเหมือนฝ่ายตรงข้าม จะมีสมรรถนะในการปฏิบัติการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย อันที่จริงนโยบายของคณะรัฐประหารต่อเหตุการณ์ความไม่สงบ ไม่ได้แตกต่างจากในตอนท้ายๆ ของสมัยนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร แต่อย่างไร คือนั่งร้องเพลงชาติรอให้เหตุการณ์คลี่คลายไปตามยถากรรม
นั่นหมายความว่า ยิ่งนับวัน รัฐก็ยิ่งอันตรธานไปจากพื้นที่ ในขณะที่ประชาชนหาที่พึ่งจากใครไม่ได้ เพราะอีกฝ่ายหนึ่งก็ไม่พร้อม หรือไม่สามารถที่จะสร้างรัฐขึ้นมาได้เช่นกัน อย่างที่พวกเขาเรียนรู้จักรัฐจากพฤติกรรมของรัฐไทย และกลุ่มก่อการร้าย รัฐคืออำนาจดิบที่กระทำต่อประชาชนได้อย่างไม่มีขีดจำกัดเท่านั้น
รัฐบาลของคณะรัฐประหารแก้ปัญหานี้โดยการคิดตั้งรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคงขึ้น เพื่อจัดให้เกิดการประสานงานด้านความมั่นคง แต่ความหมายของความมั่นคงก็แคบเสียจนรวมเฉพาะหน่วยงานรัฐ ที่มีศักยภาพจะใช้ความรุนแรงเชิงกายภาพได้เท่านั้น
แท้จริงแล้ว เพื่อจัดการปัญหาที่เกิดขึ้นในสามจังหวัดภาคใต้ สิ่งที่รัฐบาลต้องการคือแนวทางที่ชัดเจน จนอาจปฏิบัติได้จริง และการประสานงานอย่างรอบด้าน ซึ่งเป็นหน้าที่ของนายกรัฐมนตรีนั่นเอง แต่น่าเสียดายที่ประเทศไทยเวลานี้ มีแต่พลเอกสุรยุทธ์ จุลานนท์ แต่ไม่มีนายกรัฐมนตรี
น่าประหวั่นว่า สภาพไร้รัฐกำลังขยายมาถึงประเทศไทยทั้งหมดด้วยซ้ำ หลังจากที่รัฐถูกประหารไปในวันที่ 19 ก.ย.ปีกลาย
สังคมไทยจึงควรเข้ามากำกับควบคุมรัฐให้มากขึ้น มีแนวทางของตนเองในการจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น โดยไม่ปล่อยให้ "ผู้เชี่ยวชาญ" ในกองทัพหรือนอกกองทัพ จัดการโดยไร้ประสิทธิผลมาเกือบ 4 ปีแล้ว
โดยการคิดตามแนวนี้ ผมมีข้อเสนอเกี่ยวกับนโยบายภาคใต้ต่อสังคมไทยดังนี้
1/ ผมเห็นด้วยกับนโยบายสมานฉันท์ แต่สมานฉันท์ไม่ได้หมายความแต่เพียงการกล่าวคำขอโทษ หรือการละเว้น ไม่ใช้กฎหมายในบางกรณีเท่านั้น การสำนึกผิด (ซึ่งมีมากกว่ากรณีตากใบ) ต้องนำไปสู่ความพยายามจะแก้ไขความผิดพลาด และชดเชยความเสียหาย (ซึ่งไม่จำเป็นต้องหมายถึงเงินแต่เพียงอย่างเดียว) แก่เหยื่อทั้งหลายอย่างเป็นธรรม ทั้งนี้ยังรวมถึงการลงโทษเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งร่วมกระทำความผิดเหล่านั้นในนามของรัฐอย่างจริงจัง เพื่อเป็นหลักประกันว่ารัฐจะไม่ทำผิดเช่นนั้นอีก
รัฐไม่ได้ทำอะไรในเชิงสมานฉันท์มากกว่าคำขอโทษ และไม่ใช้กำลังปราบปรามผู้ประท้วง ในกรณีที่คาดว่า จะทำให้เหตุการณ์บานปลาย (อย่าลืมด้วยว่าด้านหนึ่งการประท้วง เป็นสิทธิตามธรรมชาติของความเป็นมนุษย์) แม้แต่ข้อเสนอของคณะกรรมการสมานฉันท์แห่งชาติ ก็แทบจะไม่มีการปฏิบัติตามสักข้อหนึ่ง เช่นประชาชนตามเทือกเขาบูโดซึ่งถูกกรมป่าไม้ประกาศเขตอุทยานทับที่ทำกิน เคยมีมติ ครม.สมัยรัฐบาลทักษิณ ให้ป่าไม้ระงับการจับกุมไว้ก่อน จนกว่าจะสำรวจกันใหม่อย่างแน่ชัดแล้ว ก็ไม่มีผลในทางปฏิบัติจนถึงทุกวันนี้ นายทุนยังใช้เรืออวนลากอวนรุนผิดกฎหมายโดยเจ้าหน้าที่ไม่จับกุม ซ้ำยังอาจรู้เห็นเป็นใจด้วย เฉพาะการแย่งชิงทรัพยากรอย่างไม่เป็นธรรมประเด็นเดียว ซึ่งเกิดจากการกระทำของรัฐและทุนภายใต้การอุปถัมภ์ของรัฐ นโยบายสมานฉันท์ของทั้งสองรัฐบาล ก็ไม่ช่วยทำให้สถานการณ์ดีขึ้นแต่อย่างใด
ผมคิดว่าประเด็นการเข้าถึงทรัพยากรเป็นหัวใจสำคัญของนโยบายสมานฉันท์ ที่ผู้คนยากจน, ไม่มีงานทำ, ไม่ได้เกิดขึ้นจากการไม่มีโอกาสด้านการศึกษาเพียงอย่างเดียว แต่เกิดขึ้นจากทรัพยากรที่เขาเคยใช้ประโยชน์ ถูกแย่งยื้อจากคนอื่น จนแทบไม่เหลืออะไรให้ดำรงชีวิตต่อไปได้ต่างหาก
สมานฉันท์จึงต้องหมายถึงการนำเอากฎหมายและความเป็นธรรมในการเข้าถึงทรัพยากรกลับมาสู่ดินแดนแห่งนี้โดยเร็วก่อนอื่น
2/ ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินเป็นเหตุผลหลักของการมีรัฐ จะต้องฟื้นฟูสภาพที่ทำให้เกิดความปลอดภัยนี้ขึ้นมาให้ได้ ในการนี้ต้องร่วมมือกับคนในท้องถิ่น จะร่วมมือได้ก็ต้องได้รับความไว้วางใจจากเขา ฉะนั้นการบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นธรรมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่ง กองกำลังติดอาวุธไม่ใช่คำตอบสำเร็จรูป แม้มีความจำเป็นต้องใช้ในบางกรณีหรือบางระดับ แต่หัวใจสำคัญอยู่ที่ความวางใจต่ออำนาจรัฐของประชาชน
อาจเริ่มสร้างชุมชนปลอดภัยไปทีละชุมชน และขยายขึ้นไปเรื่อยๆ โดยเรียนรู้จากกันและกัน เพื่อบีบให้พื้นที่ปฏิบัติการของฝ่ายตรงข้ามแคบลง
นโยบายพัฒนาเข้ามาเสริมความปลอดภัยได้ แต่ต้องเข้าใจการพัฒนาให้ถูกต้อง มิฉะนั้นจะยิ่งซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงไป เท่าที่ผ่านมาในประเทศไทย การพัฒนาหมายถึงการเปิดให้ทุนเข้ามาทำกำไรกับทรัพยากร และแรงงานราคาถูก แต่การพัฒนาที่แท้จริง หมายถึงการเพิ่มขีดความสามารถของประชาชนในการใช้ทรัพยากรอย่างยั่งยืนและมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่ไปปลดเปลื้องเขาจากความสามารถที่เขามีอยู่ แล้วต้อนเขาเข้าสู่โรงงานในฐานะแรงงานไร้ฝีมือ
นโยบายพัฒนาที่พูดถึงกันอยู่บ่อยๆ มานานว่า เป็นส่วนสำคัญหนึ่งในการแก้ปัญหาภาคใต้ มีความหมายอย่างไรกันแน่ หากหมายถึงเปิดพื้นที่ให้ทุนลงไปพร่าผลาญทรัพยากรและผู้คนอย่างที่ทำกันอยู่ ผมเชื่อว่าสถานการณ์จะยิ่งเลวร้ายลงไป แต่หากการพัฒนาคือการเพิ่มขีดความสามารถของผู้คน ก็ต้องเริ่มที่ความไว้วางใจระหว่างประชาชนกับรัฐ และดำเนินการพัฒนาไปตามแนวทางที่ประชาชนเป็นผู้เลือกเอง
3/ ปฏิบัติการทางการทหารยังมีความจำเป็นอย่างปฏิเสธไม่ได้ แต่เท่าที่ผ่านมาดูเหมือนไม่มีการพัฒนายุทธวิธีที่เหมาะสม กับสถานการณ์ ได้แต่ส่งกำลังลงไปตรึงในจุดต่างๆ (จุดเหล่านั้นมีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์อย่างไร ผมไม่แน่ใจว่าคนสั่งได้วิเคราะห์จนรู้ชัดแล้วหรือไม่)
ยุทธวิธีที่เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ไม่ได้มาจากตำรา แต่มาจากการรู้จักปรับเปลี่ยนซึ่งผมเชื่อแน่ว่ากองทัพมีความสามารถที่จะพัฒนาขึ้นได้อย่างแน่นอน ทั้งจากบุคลากรในกองทัพเองและจากบุคคลภายนอก พูดอีกอย่างหนึ่งก็คือกองทัพต้องระดมความรู้ -สภาพการณ์ที่เป็นจริงในสนาม, พฤติกรรมการรบของฝ่ายตรงข้าม, สมรรถนะที่เป็นไปได้ของกองทัพเอง, ฯลฯ - เพื่อทำให้ปฏิบัติการทางการทหารบรรลุเป้าหมาย นั่นคือการก่อเหตุร้ายต่างๆ ทำได้ยากขึ้นและราคาแพงขึ้นแก่ฝ่ายตรงข้าม จนที่สุดสามารถระงับเหตุได้ก่อนการก่อเหตุร้ายจะเริ่มขึ้น
เป็นไปไม่ได้ที่กองทัพจะปล่อยให้กำลังพลต้องสูญเสียไปจำนวนมาก ด้วยการก่อเหตุที่กระทำซ้ำเก่าอย่างเดิมเช่นนี้มาเป็นปีๆ โดยไม่สามารถคิดยุทธวิธีป้องกันได้เลย
อีกด้านหนึ่งคือขวัญกำลังใจของผู้ปฏิบัติการ ผมคิดว่าขวัญกำลังใจเกิดขึ้นจากสองปัจจัยสำคัญ หนึ่งคือต้องฝึกซ้อมยุทธวิธี ให้กำลังพลอย่างเข้มข้นจริงจัง ก่อนจะส่งลงพื้นที่ ความสามารถในการป้องกันชีวิต และความปลอดภัยของตนเองนั้น เป็นสิ่งที่สามารถฝึกซ้อมให้เกิดขึ้นได้มาก แม้ไม่เป็นหลักประกัน 100% ก็ตาม ทหาร (และตำรวจ) ทุกคนต้องมั่นใจในตนเองว่า สามารถดูแลความปลอดภัยของตนเองได้ในระดับสูง
สอง นอกจากการฝึกซ้อมแล้ว ยุทโธปกรณ์ที่จำเป็นและช่วยเพิ่มความปลอดภัยและสมรรถนะต้องจัดให้ได้อย่างเต็มที่ ไม่กี่วันมานี้มีข่าวว่าฝ่ายผู้ก่อการในภาคใต้สวมเสื้อเกราะออกปฏิบัติการ น่าเศร้าที่ทหาร-ตำรวจ ยังไม่มีเสื้อเกราะใช้ในการปฏิบัติงานครบทุกคน ทั้งนี้ยังไม่พูดถึงยานพาหนะซึ่งจะช่วยให้การเคลื่อนย้ายกำลังพล ในยามฉุกเฉินทำได้อย่างรวดเร็ว
ผมเชื่อว่าประเทศไทยมีฐานะทางเศรษฐกิจที่จะจัดหาสิ่งเหล่านี้ได้อย่างบริบูรณ์ และจะเป็นผลดีแก่การแก้ปัญหาได้มาก เพราะเพิ่มทั้งสมรรถนะและขวัญกำลังใจแก่กำลังพล ดีกว่าการเตรียมงบประมาณ เพื่อจ่ายให้ครอบครัวศพละหลายแสนอย่างที่ทำมานาน
4/ ถึงที่สุดแล้วเป้าหมายคือการแย่งชิงประชาชนกลับมาภักดีต่อรัฐ หรืออย่างน้อยก็ไม่ยืนอยู่ตรงกลางระหว่างความขัดแย้งดังที่เป็นอยู่
มาตรการสองประการมีความสำคัญที่สุด หนึ่งคือความยุติธรรมในการบริหาร อย่ามองความยุติธรรมแต่กฎหมาย และกระบวนการของกฎหมายเพียงอย่างเดียว เพราะแม้ดำเนินตามกระบวนการของกฎหมาย ก็ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ผู้ที่ถูกฝ่ายบริหารกลั่นแกล้งได้มาก และอย่างที่รู้กันอยู่แล้วว่าการบริหารรัฐกิจในประเทศไทย ขาดความยุติธรรมอย่างร้ายแรง ข้อเท็จจริงนี้ต้องยอมรับ และกวดขันเป็นพิเศษในพื้นที่ให้เกิดความยุติธรรม ในการบริหารอย่างสม่ำเสมอ ไม่จำเป็นต้องยกเว้นความผิดให้ใครทั้งสิ้น แต่อย่าใช้อำนาจกลั่นแกล้ง เพราะรัฐบาลจะลงโทษอย่างเด็ดขาด
ความยุติธรรมหมายถึงความรวดเร็วฉับไวในการปฏิบัติด้วย เพราะความยุติธรรมที่มาช้าคือความอยุติธรรมนี่เอง ฉะนั้นคำสั่งใดๆ ที่ชอบธรรม เช่นการให้ค่าชดเชย, การสั่งให้เจ้าหน้าที่จับกุมผู้กระทำผิด, การตรวจสอบสิทธิที่ประชาชนแย้ง, ฯลฯ ต้องกระทำอย่างรวดเร็ว
และประการสุดท้ายคือการเปิดประตูให้แก่ผู้กลับใจเสมอ ความเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มผู้ก่อการในครั้งนี้ ดึงเอาประชาชนจำนวนไม่น้อยเข้าไปร่วมด้วย นับตั้งแต่ร่วมปฏิบัติการไปจนถึงร่วมมือห่างๆ เช่นช่วยโปรยเรือใบ, ช่วยผลิตเรือใบ, ช่วยแจกใบปลิว ฯลฯ เราไม่สามารถผลักคนทั้งหมดให้หมดทางกลับมาสู่สังคมได้ ฉะนั้นต้องเปิดประตูไว้ให้แก่การกลับมา ของคนเหล่านี้เสมอ บางคนอาจได้ประตูแคบหน่อย บางคนได้กว้างขึ้นมา บางคนเปิดกว้างเลย ต้องยอมรับว่าทั้งหมดนี้ เป็นการต่อสู้ทางการเมือง แม้เป็นการต่อสู้ด้วยวิถีทางที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายก็ตาม อย่าลืมว่าประเทศไทย ได้ออกกฎหมายนิรโทษกรรม ให้แก่นักรัฐประหาร และผู้สังหารหมู่ประชาชนมาหลายฉบับแล้ว
ที่มา มติชนรายวัน วันที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2550 ปีที่ 30 ฉบับที่ 10635หน้า 6
Create Date : 15 มิถุนายน 2550 |
|
0 comments |
Last Update : 15 มิถุนายน 2550 11:53:01 น. |
Counter : 1879 Pageviews. |
|
|
|
|
|
|
|
|