YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~

วันที่ 3 มองฤาษีเกศ : เงียบๆ











แม่น้ำคงคาวันนี้


เงียบๆ เพราะเรากับเพื่อนร่วมทางของเราคือ ผึ้ง ตกลงกันว่าวันนี้เราจะแยกกันเดิน

เมื่อเช้าขึ้นไปฝึกโยคะแต่เช้า แต่ก็ยังรู้สึกว่ายังเช้าไม่พอ 

พรุ่งนี้จะขึ้นไปตั้งแต่ตีห้าครึ่งเลย อยากอยู่กับความเงียบให้นานกว่านี้หน่อย


วันนี้ที่ hostel มีคลาสโยคะให้ฝึกกันฟรีๆ แต่เราขอตัวไปกินข้าวดีกว่า

ฝึกโยคะ 8 โมงครึ่ง แล้วกินข้าวเช้าตอน 10 โมงนี่หนูไม่ไหวค่ะ แดดร้อน หิวด้วย

ทานข้าวเสร็จก็นั่งพัก อ่านหนังสือ อัพรูปลงบล็อกที่เมื่อคืนเน็ตพัง ทำไม่เสร็จ

นั่งอ้อยอิ่งอยู่ที่ดาดฟ้าของ Hostel ที่เป็นทั้งที่กินข้าวด้วย ตากผ้า เล่นโยคะด้วย ครบเลย

พอสายหน่อย กลุ่มคนนั่งกินข้าวที่พูดคุยเสียงดังก็สลายตัวไปแล้ว มีเพียงเรากับฝรั่งอีกคนนั่งชิลอยู่

จากมุมนี้มองออกไปจะเห็นภูเขาด้านหน้าท่ามกลางบรรยากาศฝนใกล้จะตก ลมแรงทีเดียว

เป็นช่วงเวลาที่เงียบสงบที่สุดตั้งแต่ออกจากอาศรมที่นาสิกมา เงียบทั้งที่แตรรถดังตลอดเวลานี่แหละ


บรรยากาศได้เลย


เพลินอยู่กับบรรยากาศได้เพียงพักเดียว ก็ได้เวลาออกจา Hostel ไปเรียน Tabla หรือกลองอินเดีย

วันนี้ครูให้ไปเรียนที่บ้านครูเลย บ้านครูอยู่ชั้น 2 ของตึกที่ขายของให้นักท่องเที่ยว 

ห้องดนตรีในบริเวณบ้านครูดูสวยคลาสสิค แต่ไม่กล้าถ่ายรูปมา เกรงใจครู

บทเรียนวันนี้ยากขึ้นไปอีก สมาธิต้องจดจ่อ auto pilot ไม่ได้เลย 

รู้ตัวอีกที นั่งท่าขัดสมาธิเพชรไปเป็นชั่วโมงโดยไม่ต้องขยับขาเลย 

ปกติเวลานั่งสมาธิ นั่งไป 15 นาทีก็ปวดเมื่อยแล้ว

เรียนเสร็จครูบอกถ้าไม่รีบไปไหนให้นั่งซ้อมต่อ นั่งไปเถอะนี่บ้านครูเอง

และในขณะที่เรานั่งซ้อม ครูเขาก็อยู่ในบ้าน เดินไปเดินมานั่นแหละ 

มีหันมาบอก ดี แบบนั้นแหละ ซ้อมไป อยู่เนืองๆ

มันให้ความรู้สึกเหมือนสมัยก่อนที่ศิษย์ต้องไปฝากเนื้อฝากตัวให้อาจารย์

เรียนกันที่บ้าน ขับเคี่ยวกันตัวต่อตัว แบบวัฒนธรรมตะวันออกหลายๆ วัฒนธรรม

ไม่ใช่ไปเสียตังค์เรียนตามโรงเรียน ครูคิดค่าสอน ค่าห้อง เป็นชั่วโมง 

ครูกลายเป็นลูกจ้าง ศิษย์กลายเป็นนายจ้าง เพราะเป็นคนจ้างครูมาสอน

อันนี้ก็ต้องจ่ายตังค์ครูเหมือนกัน แต่ความรู้สึกมันต่างกัน 

คุณภาพชีวิตขึ้นอยู่กับคุณภาพความสัมพันธ์ระหว่างเรากับผู้คนและสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัว

เข้าใจเลย


ฤาษีเกศแบบฝนตกพรำๆ



หน้าโรงเรียน



ระหว่างรอครูก็แวะดูงานศิลปะแบบอินเดียๆ สวยมากๆ ขอบอก



บ้านครูอยู่ชั้น 2



ห้องดนตรีของครูแบบแอบถ่าย ^^"


ซ้อมอยู่เกือบชั่วโมงเราก็ออกมาเพราะหิวข้าว ระหว่างเดินก็เจอเพื่อนต่างวัยจากที่อาศรม

มีคนจากอาศรมที่เราไปเรียน Yoga Therapy ขึ้นมาหลายคนมาก 

เราเจอ Katia แล้วรู้สึกเหมือนเจอเพื่อนเก่าที่จากกันไปนาน (ทั้งที่ก็ไม่ได้สนิทอะไรกันเลย)

ชวนกันไปกินกาแฟ กินขนม ระหว่างนั้น Katia ก็เล่าให้ฟังถึง Satsang ของ Mooji ที่เธอไปเข้ามา

(Satsang คือการชุมนุมกัน พูดคุยเรื่องราวต่างๆ เถามคำถาม ถกปัญหา เพื่อพัฒนาปัญญา)

มีอยู่เรื่องหนึ่ง เธอบอกว่า ในขณะที่ Mooji กำลังจะ เดินออกไป เขาพูดขึ้นมาว่า

ให้จำความรู้สึกสงบ สันติ นี้ไว้ และให้ความรู้สึกนี้แผ่ออกมาจากตัวเธอ

ให้เธอกลายเป็นความสงบ ความสันติ ที่คนอื่นรู้สึกไปด้วยได้แค่เพียงมองตาของเธอ


เราแยกย้ายกับ Katia พร้อมรับคำว่าจะไปร่วม Meditation Class สักวันหนึ่งที่อาศรมที่เธอพักอยู่

แต่ยังไม่ใช่วันนี้ เพราะเราอยากไปนั่งดูพระอาทิตย์ตกที่ริมแม่น้ำคงคา ใกล้ๆ สะพานรามจุฬา

แผนที่คิดไว้ว่าจะไปคลีนิคอายุรเวทวันนี้ต้องระงับไปก่อน เพราะใช้เวลากินกาแฟไปแล้ว

จากจุดนั้น ถ้าจะไปรามจุฬาก็ต้องเดินไปสองกิโล เลยคิดว่าวันนี้นั่งรถไปดีกว่า และจะไม่ให้โดนหลอกอีก

เห็นคนขับตะโกนเรียกอยู่ รามจุฬาๆ เราเลยเดินไปถามว่าเท่าไหร่ เขาบอก 30 รูปี

ฝรั่งอีกสองคนที่เดินมาถามด้วยกันบอก no way ไม่ไปด้วย แต่เราช่างมัน 30 ก็ 30 

เลยขึ้นรถไปเจอกับคนอินเดียที่ต้องการไปทางเดียวกันอีกสามคนนั่งอยู่ 

เราเลยถามว่าจ่ายกันคนละเท่าไหร่เนี่ย ผู้หญิงตอบกลับมาว่า 20 รูปี

เราขอบคุณพร้อมตั้งใจไว้ว่า เดี๋ยวตอนลงจากรถเราก็จ่าย 20 รูปีเนี่ยแหละ

แต่กระนั้น รถก็ไม่ออกเสียที รอให้คนมาขึ้นอีก เสียเวลาอยู่พักใหญ่ ในที่สุดเราก็ลง เดินไปดีกว่า

ซึ่งการตัดสินใจครั้งนี้ นับว่าเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดครั้งหนึ่งในชีวิต


เส้นทางเดินไปรามจุฬานั้นสวยงามมาก เป็นทางลงเขาเดินสบายๆ

แต่ถ้าไม่มีคนเดินด้วยก็นับว่าเปลี่ยวอยู่พอสมควร เพราะติดตัวป่าตลอด 

แต่ไม่ต้องกลัวหรอกนะ เดินกันขวักไขว่มาก ทั้งคนทั้งลิงทั้งวัว (ยังไม่นับรถ)

เดินตามทางนี้ไปไม่นานก็จะเจออาศรมศิวะนันทะอันโด่งดัง ตัวอาคารสีส้มตั้งอยู่เงียบๆ 

ตรงข้ามเป็นโรงพยาบาลที่บริหารโดยอาศรมนั่นแหละ มีป้ายติดไว้

..เขตโรงพยาบาล ห้ามใช้แตร.. มิน่าล่ะ เงียบเชียว


วันนี้ใช้บริการเรือข้ามฟากข้ามไปฝั่งตรงข้าม เที่ยวเดียว 10 รูปี ถ้าไปกลับ 15 รูปี

เราจัดไปแค่เที่ยวเดียว เพราะตั้งใจเดินกลับอีกฝั่งของแม่น้ำคงคา

เรือข้ามฟากใช้เวลาแค่ไม่ถึง 5 นาทีก็ข้ามมาถึงอีกฝั่ง ที่ท่าเรือมีคนอาบน้ำอยู่บ้าง ไม่หนาตาเท่าไหร่

มีขายขวดให้เราใส่น้ำจากแม่น้ำคงคากลับไป มีขายกระทงดอกไม้ และกระทงขนม

ขนมในกระทงนี้ บางคนก็หยิบใส่ปาก บางคนก็โยนลงน้ำ



ณ ท่าเรือ







ถ้าพูดว่าอินเดียมุมนี้สะอาดกว่าไทย จะมีใครเสียใจไหม


มองแม่คงคา จากกลางลำน้ำของแม่



ถึงอีกฝั่งแล้ว ชอบมุมนี้มาก ดูครบองค์ประกอบ


จากท่าเรือ เราเดินย้อนกลับขึ้นไปทางเหนือ ซึ่งเป็นบริเวณที่เหมือนชายหาด

มีก้อนหินตามธรรมชาติให้นั่ง มีหาดให้นั่งพัก ผู้คนค่อนข้างหนาตาเพราะเป็นวันอาทิตย์

โชคดีที่หินก้อนที่น่านั่งที่สุด พลุกพล่านน้อยที่สุดว่างอยู่พอดี เราเลยจัดไป

นั่งอยู่ได้แป๊บเดียวก็มีเด็กมาขายกระทงเหมือนเมื่อวานเป๊ะ ดีดี้ ดีดี้ คือคำเรียก พี่สาว พี่สาว

ดีดี้นางนี้ทำเป็นไม่ได้ยิน นั่งตาปรือมองพระอาทิตย์ตก จนหนูน้อยเดินผ่านไปเอง

จำนางได้ดีแหละ นางคือเด็กคนเมื่อวานที่มาขายกระทงเราไปอันละ 50 รูปี 

ไหนบอกว่าให้เราช่วยซื้อเมื่อวานเพราะวันนี้ต้องไปโรงเรียนไง แหม่..

สักพักก็มีอีกหลายนางเดินมา ดี่ดี๊ ดี่ดี๊ อิหมี่มี้หลับตาสู้ นั่งฝึกกะปาละบาติอยู่บนหินนั่นแหละ

ได้ผลดีมาก วันนี้ไม่ถูกรุม ไม่มีคนมาตอแย เพราะคงงงว่านางทำอะไรหายใจฟึดๆ

(กะปาละบาติเป็นเทคนิคการล้างสมองส่วนหน้า ทำให้ใจโล่ง สมองโล่ง

เวลาฝึกจะกระแทกลมหายใจออกจากหน้าท้องเป็นจังหวะสั้นๆ เท่าๆ กัน

ประมาณวินาทีละสองครั้ง แต่ละครั้งปล่อยให้ลมหายใจเข้าไหลเข้าตามธรรมชาติ)



เรานั่งหลับตามองฟ้ามองน้ำ (หลับตามองได้ด้วย) 

เสียงแตร เสียงพูดคุย เสียงรถรา เสียงนกร้อง เสียงน้ำไหล ดังไม่มีหยุด

มีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นในเวลาเดียวกัน เราควรโฟกัสทั้งหมด หรือโฟกัสที่สิ่งใดสิ่งเดียว

มันเหมือนชีวิตเราหรือเปล่า หลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้น มีแรงบันดาลใจไหลผ่านเต็มไปหมด

ควรปล่อยให้มันไหลผ่านไปเหมือนน้ำไหล หรือเราควรกักมันไว้ ขยี้มันลงไป สร้างผลให้เกิดขึ้น

โค้งเมฆที่รับกับเขาพอดี เงียบ งาม ท่ามกลางเสียงแตร


โยคะมีการฝึกอย่างหนึ่งที่เรียกว่าปรัทยาหาระ หรือการฝึกการถอนผัสสะ

เช่น เวลาที่เรานั่งสมาธิแล้วโดนยุงกัดแล้วเกิดคันขึ้น ต้องฝึกใจให้หลุดออกจากความรู้สึกที่เกิดขึ้นให้ได้

ปรัทยาหาระนี้ถือเป็นประตูสู่อันตรางค์โยคะ หรือโยคะภายใน 

โยคะภายนอกคือการถือหลักยมะ นิยมะ ฝึกอาสนะ และฝึกหายใจปรานามายะ

เมื่อฝึกมาจนถึงระดับหนึ่งแล้วเราจะก้าวเข้าสู่ประตูแห่งโยคะภายใน

ซึ่งก็คือโยคะแห่งจิต ที่นำไปสู่สมาธิ อันประกอบไปด้วย ธารณะ ฌาณ และสมาธิ

การจะเข้าสู่อันตรางค์โยคะ เราต้องถอนความรู้สึกภายนอกออก และจดจ่ออยู่ที่สิ่งเดียว

เมื่อทำได้สำเร็จก็จะเข้าสู่หนทางที่จะพาเราไปสู่สมาธิได้ 

ถามว่าพูดถึงทำไม .. เกี่ยวอะไรกับก้อนหินก้อนที่เรานั่งอยู่นี่หรือ

ด้วยเสียงมากมายเต็มไปหมดนี่เองที่ทำให้เราคิดถึงปรัทยาหาระขึ้นมา

เราจะโฟกัสที่ไหน เพียงสิ่งเดียวเท่านั้น แล้วถอนสิ่งต่างๆ รอบๆ ตัวออกไปให้หมด

อินเดียคงจะเป็นประตูปรัทยาหาระบานใหญ่ ถ้าผ่านไปได้ คงได้ไปต่ออีกไกล




นั่งจนใกล้มืด เราเดินไปถามตำรวจว่าทางเลียบแม่น้ำนี้ จะพาเรากลับไปลักษมันจุฬาได้ไหม

คำตอบคือได้ เราเลยเริ่มเดิน ทางนี้เป็นทางขนานกับทางที่ต้นไม้สวยๆ เมื่อวานนี้ 

เราเดินช้ามากๆ ทั้งที่ผึ้งโทร.มาแล้วว่ารอกินข้าวอยู่นะ (เค้าขอโต้ด)

เพราะทางมันสวยมาก เราเดินซึมซับพลังของมันมาเรื่อยๆ 

ทางเส้นนี้ย้อนแม่น้ำขึ้นมาทางเหนือ บรรยากาศของแม่น้ำเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามทาง

มีบ้านเรือนผู้คน วัดเล็กๆ และโรงเรียนโยคะเล็กๆ ซ่อนตัวอยู่ตามทาง

ไม่นานก็มาโผล่ที่ถนนข้าวสาร (คือบรรยากาศมันเหมือนน่ะนะ)

ฟ้ามืดแล้ว แต่แถวนี้ไม่น่ากลัว ตราบเท่าที่คุณแต่งตัวไม่สวย 

สวยเมื่อไหร่จะโดนมอง โดนแซว การตัดผมก่อนมานี่มันก็เหตุผลเนอะ

เดี่ยว.. แล้วใครบอกก่อนหน้านี้สวยคะ?





ระหว่างทางก็มาเจอภาพนี้ ชอบคู่นี้มาก ผู้ชายคนนี้เขาคุยกับวัวในภาษาของเขา วัวกินหญ้า เขากินขนม เป็นความสัมพันธ์ฉันเพื่อนที่น่ารักจริงๆ 



ทางเส้นนี้เลียบแม่น้ำคงคาแบบผลุบๆ โผล่ๆ คือเดี๋ยวเห็น เดี๋ยวไม่เห็น แต่รู้ว่าอยู่ตรงนี้แหละ ไม่ได้ไปไหน



ซ่อนอยู่



มุมนี้ได้เห็นแม่น้ำแบบเต็มๆ ตาเลย


IMG_9565.JPG

ฟ้าเริ่มมืดแล้ว



เจอท่าน้ำลับอีกหนึ่งท่า สวย เงียบ (จริง)


พอเจอผึ้ง ผึ้งก็กินชอกโกแลตไปแล้วชิ้นโต เพราะรอไม่ไหว (เค้าขอโต้ดจริงๆ นะ)

แต่ถึงกระนั้น มื้อเย็นเราก็ยังเจริญอาหารกันได้อยู่ กลับมาที่ร้าน Ganga Beach กันอีกครั้ง

พนักงานเสิร์ฟหน้ารัก (ผสมกวนทรีน) เป็นมื้อที่แสนวิเศษอีกครั้ง

อาหารอร่อยมากๆๆๆๆ (มันเรียกว่าอะไรก็ไม่รู้ลืมไปแล้ว) ฮ่าๆ

พอถึงห้องก็หมดแรงจะทำสิ่งต่างๆ แล้ว สลบค่ะ :)


มื้อนี้แบ่งกันกินค่ะ แต่ต่อด้วยแพนเค้กนะคะ



แล้วลองชิมเลย์รสพริกมะนาว (บ้านพี่เรียกรสต้มยำมาม่าน่ะนะ)


ก่อนนอนก็เปิดไล่ข้อความของกลุ่มเพื่อนๆ ที่มาจากอาศรมด้วยกัน 

มีนัดกันกินข้าวบ้าง ไปนั่งเล่นบ้าง ไปฝึกอาสนะที่สตูนั้นสตูนี้บ้าง เราไม่ได้ตอบอะไรเลย

ทำตัวเหมือนอากาศอยู่ในกรุ๊ป ไม่รู้เหมือนกัน ทำไมไม่อยากไป 

รอเกาะรถเขาขึ้นไปคังโคตริอย่างเดียว แหะๆ ^^"


ตอนนี้เที่ยงครึ่งของอีกวันแล้ว ผึ้งออกไปแล้ว ส่วนเราวันนี้มีเรียน Tabla ตอนบ่าย 

เย็นนี้ยังไม่รู้ ไม่มีแพลน ไม่มีแผนอะไรเลย มีแต่คำของพี่เล็กที่ส่งข้อความมาเตือนใจ


ต้องใช้จิตใจที่ปล่อยวาง ยอมรับ 

..จึงจะเจอ

เดินด้วยใจ ไม่ใช่ด้วยตา ดวงตาสร้าง

..แต่มายา


-ขอบคุณค่ะ-








 

Create Date : 07 มีนาคม 2559
3 comments
Last Update : 5 กันยายน 2559 23:07:54 น.
Counter : 758 Pageviews.

 

ตามมาอ่านอยู่เรื่อยๆ เขียนต่อนะคะ

 

โดย: settembre 7 มีนาคม 2559 17:48:33 น.  

 

สวัสดียามเช้าครับน้องเสี้ยว

เมืองบางเมือง ประเทศบางประเทศ
มันเป็นแรงบันดัลใจที่ดีมากๆในการค้นหาสิ่งที่เราต้องการเลยนะครับ

อินเดีย โยคะ ใช่เลย



ปล. พี่ก๋าชอบบล็อกตรงความช้า
ชอบเฟสตรงความสะดวกรวดเร็ว
ชอบทั้งสองที่เลยครับ

 

โดย: กะว่าก๋า 8 มีนาคม 2559 6:35:24 น.  

 

อ่านจบแล้วอีกหนึ่งตอน ^__^

 

โดย: ลมหายใจที่เหลืออยู่ IP: 27.145.226.65 1 เมษายน 2559 14:43:29 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
7 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.