YOU are not afraid. You think YOU are afraid. ~Shantimayi~
วันที่ 7 พื้นที่ส่วนตัวในเมืองฤาษีเกศ







ฤาษีเกศเงียบลงทุกวัน ยิ่งอยู่นานมันยิ่งเสียงเบาลงๆ 

แต่เอาจริงๆ นะ เมืองนี้ไม่เคยเงียบหรอก มีเสียงเพลงแทบตลอดเวลา

ทั้งเสียงท่องบ่นมันตรา และเสียงเพลงจากร้านอาหารเอาใจโยคีหัวทอง

ยังไม่นับเสียงแตรรถ เสียงนกร้อง เสียงหมาเห่า เสียงน้ำจากแม่น้ำ เสียงพูดคุย

จริงๆ มันคือใจเรานั่นแหละเนอะ สิ่งรอบข้างเหมือนเดิม เรานั่นแหละ ที่หงุดหงิดกับมันน้อยลง

นั่นแหละ วันนี้เลยเป็นที่เงียบๆ นิ่งๆ ดีอีกหนึ่งวัน ตื่นขึ้นมาฝึกโยคะแต่เช้าเหมือนเคย 

ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่าฤาษีเป็นเมืองที่ไม่เหมาะกับการฝึกโยคะแบบโลกภายนอกฝึกยังไงไม่รู้

มันเป็นเมืองที่เรารู้สึกว่าเราอยากมานั่งนิ่งๆ มันไม่มีที่ว่างให้การเคลื่อนไหวที่วุ่นวาย

มีรุ่นน้องที่เคยร่วมงานกันที่สิงคโปร์ถามว่าไปทำอะไรที่ฤาษีเกศ ไปเรียนโยคะเหรอ

เราตอบไปว่า ส่วนตัวนะ เมืองฤาษีเกศไม่เคยอยู่ในความสนใจเลย แต่พอได้มาแล้ว 

ความเป็นเมืองหลวงแห่งโยคะแห่งยุคสมัยปัจจุบัน ไม่สำคัญเท่าความเป็นเมืองต้นกำเนิดแห่งโยคี

คนฝึกโยคะควรต้องมาให้ได้สักครั้ง แต่ไม่จำเป็นต้องมาเรียนโยคะในสำนักที่ขึ้นเป็นดอกเห็ดหรอก

ไม่ต้องมาเรียนให้รู้ถึงโยคะ แต่มารู้ถึงตัวเองเสียมากกว่า

มาเรียนท่ามกลางความวุ่นวายทั้งหมดทั้งมวล เราต้องขุดลึกลงไปเท่าไหร่ ถึงจะถึงใจตัวเอง


ใครที่เคยมาอินเดียจะรู้ว่าแตรรถที่นี่ไม่เคยเงียบเลยจริงๆ

แล้วเวลาบีบทีนี่แสบหูแสบใจมากๆ คือ แทบประสาทกินเอาเลยจริงๆ

ถ้าเป็นบ้านอื่นเมืองอื่นก็น่าจะถึงขั้นลงจากรถมาชกต่อยกันเลยทีเดียว

แต่มารยาทในการขับขี่ของที่นี่แปลกกว่าที่ใดๆ ในโลก

การบีบแตรที่นี่เป็นไปเพื่อความปลอดภัย ประมาณว่า ชั้นมาแล้ว พวกเธอระวังนะ หลีกไปๆ

เวลาเราเดินอยู่บนถนนแล้วมีรถบีบแตร เขาไม่ได้ด่าเราว่าเราเดินเกะกะเขา

เขาบีบแตรเป็นการเตือนว่า ชั้นมาข้างหลังนะ ระวังด้วย ซึ่งตรรกะนี้ใช้ไม่ได้กับวัว 

และเราเริ่มตัวว่าเราเหมือนวัวเข้าไปทุกวันเมื่อตอนเดินกลับ Zostel เมื่อเเย็นวันนี้แหละ

กับอีกอย่างคือ ที่ท้ายรถจะมีเขียนไว้ว่า Horn please (ช่วยบีบแตรด้วย) 

ตอนมาครั้งแรกงงมากว่ามันคือตรรกะอะไรเนี่ย 

รถที่นี่ไม่นิยมเหยียบเบรก (ยกเว้นตอนเจอวัวนะ) เขาจะขับจี้คันหน้าจนติด

ถ้าจี้ติดแล้ว และไปไม่ได้ เขาจะบีบแตร เป็นทำนองว่า .. มีรถอยู่ข้างหลังแล้วนะเว้ย 

คันที่โดนจี้ก็ต้องขับให้เร็วขึ้น หรือไม่ก็เปลี่ยนเลนไป ซึ่งเลนก็ไม่ใช่เลนที่เห็นได้ชัดเจน

เอาเป็นว่าต้องทำตัวหลีกไปให้พ้นทาง ถ้าขึ้นหน้าไม่ได้ หรือพ้นทางไปไม่ได้ ก็บีบแตรไล่คันข้างหน้าต่อไป

บางทีก็คิดเหมือนกันนะ ถ้าไม่บีบแตรแล้วเขาจะเคลื่อนไปข้างหน้ากันเหรอ

อ้อ! รถที่นี่ไม่มีกระจกข้างด้วย และไม่มีคันไหนไม่บุบ เอากับเขาสิ

ระยะห่างระหว่างคันแทบไม่มี และระหว่างคนเดินถนนกับรถก็แทบไม่มีเหมือนกัน

แม้แต่หมาก็นอนหลับได้สบายแม้ว่ารถจะเฉียดจมูกคุณเธอไปแค่ 2 นิ้ว แต่ก็หาสะทกสะท้านไม่


เราว่ามันสัมพันธ์กับ personal space หรือพื้นที่ส่วนตัวของคนที่นี่

เพราะที่นี่คนเยอะมาก การจัดการกับพื้นที่ส่วนตัวของแต่ละคนจึงพิเศษกว่าที่อื่น

ตรงข้ามกับญี่ปุ่น ในฐานะที่เป็นประเทศที่มีความหนาแน่นของประชากรเช่นกัน 

ญี่ปุ่นจัดการกับพื้นที่ส่วนตัวด้วยการเหมือนกับจะเก็บตัวเองเข้าไปในกล่อง 

และแพ็คกล่องๆ ไว้ในสังคม จึงสะท้อนออกมาด้วยการเป็นสังคมที่มีระเบียบวินัยมาก

แต่อินเดียเป็นความสัมพันธ์แบบยุ่บยั่บ คือ ทุกคนเข้าถึงทุกคน อย่างใกล้ชิดด้วย

โดยไม่ได้รู้สึกถึงความ “ใกล้เกินไป” ระหว่างตัวเรากับคนรอบข้างเลย

จึงเป็นที่มาของการขับรถใกล้คันอื่น และคนอื่นอย่างมาก โดยไม่รู้สึกอะไรเลย

การเดินแผ่เต็มถนนโดยไม่รู้สึกว่ามีคนเดินอยู่ข้างหลังและกำลังรีบ

การบีบแตรก็เป็นตัวอย่างหนึ่งที่แสดงถึงเรื่องนี้ คือ ถ้าไม่บีบแตร ก็ไม่รู้ว่ามีรถอยู่ใกล้ๆ นะ

นอกจากนี้ การที่อยู่ดีๆ หยุดรถกันกลางถนนแคบๆ เพื่อคุยกับรถอีกคัน 

โดยไม่สนใจว่าขวางคนอื่นไหมก็เป็นอีกตัวอย่างที่แสดงถึงเรื่อง personal space นี้

ไม่ใช่แค่เรื่องการใช้ถนน แต่ลงถึงเรื่องของนิสัยใจคอด้วย 

แรกๆ เราอึดอัดเวลาคนอินเดียมาบอกว่า ฮัลโหลมายเฟรนด์

คือเรารู้สึกว่า แค่รู้จักกันสองนาทีกลายเป็นเฟรนด์กันแล้วเหรอ เร็วไปนะ 

หรือบางทีเจอกันในร้านอาหาร คุยกันพอถูกคอ เขาก็ชวนไปกินกาแฟบ้านเขา

บอกว่าถ้าไปเดลีบอกเขานะ เขาจะรับรองอย่างดี 

แรกๆ ตกใจ ไม่ไว้ใจหรอก แต่พอเจอเยอะๆ เข้าก็เออ มันเป็นวัฒนธรรมเขาแหละ

คนอินเดียเป็นเพื่อนด้วยง่ายดายเลยแหละ แต่จะเป็นเพื่อนกันนานแค่ไหนก็อยู่ที่แต่ละคนด้วยล่ะเนอะ


มุมเงียบๆ ของฤาษีเกศก็มีนะ อยู่ไม่ห่างจากลักษมันจุฬาเลย

ก้อนหินข้างๆ แม่น้ำคงคาดูเหมือนจะไม่มีคนสนใจจะเดินไปนั่งเท่าไหร่นัก

ทั้งๆ จากมุมนี้มองเห็นลักษมันจุฬาชัดแจ๋ว ใกล้ชิดแม่น้ำคงคาอย่างมาก

เพียงแต่ต้องเดินลุยกองหินก้อนโตๆ จนกระทั่งมาถึงโขดหินที่ใกล้ริมน้ำที่สุด

“แถวนี้จะมีงูมั้ยเนี่ย” เราถามฝรั่งคนหนึ่งที่เดินมุ่งหน้าไปทางเดียวกัน

ดูเหมือนรอบๆ บริเวณนี้จะมีแค่เราสองคนเท่านั้น คนอินเดียส่วนหนึ่งเลือกที่จะนั่งอยู่บนบันไดด้านหลังมากกว่า

ในที่สุดเราก็ได้มาบ้าง พื้นที่ส่วนตัว ที่ขอแบ่งมาจากพื้นน้ำและภูเขา

“ไม่แน่นะ แต่เดาว่าไม่มี” เขาตอบพร้อมรอยยิ้ม แล้วต่างก็เลือกก้อนหินกันคนละก้อน 

เราเดินไปนั่งอยู่บนหินก้อนที่จมน้ำอยู่ครึ่งก้อนที่ต้องลุยน้ำเข้าไปประมาณครึ่งแข้ง

น้ำเย็นจัดทั้งที่อากาศก็ไม่ได้เย็นมาก เสียงแตรรถก็ยังมี แต่เราไม่ค่อยได้ยินแล้ว ต่อมเลือกรับรู้ทำงานอย่างดี 

ตอนนี้ได้ยินแต่เสียงน้ำจ๋อมๆ ของน้ำที่กระทบโขดหิน 

ราวหกโมงครึ่งเมื่อพระอาทิตย์เริ่มลับขอบฟ้า เสียงสวดมนต์จากวัดฮินดูแถวนั้นก็ดังขึ้น

ไม่นานก็มีเสียงสวดมนต์ดังมาก สอดประสานไปกับเสียงสวดมนต์ผ่านเครื่องขยายเสียงของวัด

ลืมตามองเห็นกลุ่มคน 3-4 คนในชุดขาวยืนอยู่ที่ท่าน้ำตรงข้าม ทำพิธีอารตี คือบูชาไฟอยู่ที่ท่าน้ำ 

เสียงระฆังดังประสานเหง่งหง่างไปทั่วบริเวณ พร้อมๆ กับเสียงนกร้องเมื่อตอนบินกลับรัง

ในขณะที่แสงแห่งวันกำลังจะหมดไปเสียงสวดมันตราก็ดังสวนขึ้นมา

เราขนลุก 



ลิงมาเยี่ยมถึงห้องครัว หลังจากนี้ 5 นาที มันก็นั่งเคี้ยวอะไรหงุบหงับๆ ก่อนจากไปเงียบๆ



เงียบพอที่จะได้นั่งเขียนอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน (แต่เขียนไม่เสร็จนะ แหะๆ)



ความวุ่นวายของสะพาน



ห้องเรียน Tabla วันนี้ เรียนหนึ่งชั่วโมง ซ้อมหนึ่งชั่วโมง




วัว น่ารักง่อว




รู้มั้ย คิออะไรอยู่ ช่างกล้า



จัดไป อันนี้ตัดเสร็จแล้ว นวดหัวอยู่ Marma Point แบบอายุรเวทเลย มันมาก



มุมนี้เลย เงียบมาก



ในที่สุดก็ได้มีเวลา .. นิ่ง




เดินผ่านโรงเรียนสัตยาไส เด็กๆ กำลังร้องเพลงกันอยู่



อาหารวันนี้ ณ Namaste Cafe กับมะเขือม่วงยัดไส้ เพื่อนร่วมโต๊ะไม่น่ารักเท่าไหร่ เราเลยหนีกลับไป Ganga Beach Cafe เพื่อกินไอติมมะม่วงกัน อิอิ





Create Date : 11 มีนาคม 2559
Last Update : 7 กันยายน 2559 10:32:43 น. 0 comments
Counter : 835 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

gluhp
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 16 คน [?]




Here...
I'm on the rooftop

Between...
pavement and stars.

Here's...
hardly no day
nor hardly no night

There're things...
half in shadow
and half way in light

It's where...
I gather my thoughts
and grow my dreams

which...
are scattered
all around

In my words,
my songs,
my dance.

คน นั่งจ้องชีวิต
Group Blog
 
 
มีนาคม 2559
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
11 มีนาคม 2559
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add gluhp's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.