เสพภาพยนตร์เป็นจานหลัก พักสายตาฟังเจป๊อบเป็นจานรอง ให้อาหารสมองด้วยโดระมะ แปลเนื้อเพลงญี่ปุ่นเป็นงานอดิเรก
Group Blog
 
<<
ตุลาคม 2548
 1
2345678
9101112131415
16171819202122
23242526272829
3031 
 
14 ตุลาคม 2548
 
All Blogs
 

Review หนังในรอบสองเดือน อย่างไม่เกรงใจใคร

***** ขออนุญาตลบดาวที่ใส่ลงไป เนื่องจากเห็นว่าหนังทุกเรื่องก็มีข้อดีของมันกันทั้งนั้น และผมก็ไม่อยากจะให้ดาวที่มีเป็นตัวตัดสินความดีของมัน เนื่องจากมันไม่มีหลักเกณฑ์อะไรทั้งนั้นเป็นตัวตัดสินว่าดีหรือไม่ดีก็ได้ หวังว่าคงจะเข้าใจ ก่อนจะใส่คะแนนลงไปก็คิดแล้วคิดอีกเหมือนกันว่าจะให้ดีหรือไม่


เนื่องจากไม่ได้เขียนบล็อกเป็นเวลานาน ๆ นั้น ทำให้สมองเกิดอาการกลวงมากเป็นพิเศษ เพราะช่วงนี้ยุ่งกับทั้งเรื่องงาน เรื่องเรียน เรื่องส่วนตัว และเรื่องดูหนัง ทำให้เจียดเอามาเขียนบล็อกได้ไม่มากนัก อีกทั้งการเขียนบล็อกเกี่ยวกับหนังไม่ได้อาศัยเพียงแค่การดูหนังเพียงอย่างเดียว แต่มันต้องมีสมองอันจะคิดวิเคราะห์ ตีความและวิพากษ์วิจารณ์ ซึ่งที่จะเขียนต่อไปนี้จะไม่มีสิ่งที่วางไว้ข้างต้น ก็คงได้แต่เหมือนกับเพื่อนบอกเพื่อนว่าเป็นยังไงเท่านั้น แต่มันก็คงจะมีอะไรที่แตกต่างออกไปจากการพูดปากเปล่าได้ไม่กี่ประโยคนั่นแหละ เอาเป็นว่านี่เป็นการไกด์หนังของนักดูหนังคนหนึ่งละกัน


=================================

เพื่อนสนิท

เป็นการเข้าโรงหนังที่ต้องบอกว่า ไม่เคยเห็นคนมายืนรอซื้อตั๋วเพื่อจะไปดูหนังเรื่องเดียวกันแบบยาวเหยียดมานานมาก ๆ แล้ว แต่ก็ยังไม่ใช่บทสรุปว่าจะเป็นหนังที่ดีได้ แต่อย่างไรก็ยังชื่นใจอยู่เล็ก ๆ ว่าอย่างน้อยหนังไทยก็ไม่ได้มีแต่หนังที่ต้องมีนักแสดงตลกเท่านั้นที่ขายได้ แต่เรื่องต้องได้ การแสดงต้องดูดี ผกก.ต้องมีฝีมือต่างหาก แต่ที่จะกล่าวนี่ไม่ได้จะชมมันซะทุกอย่างหรอกนะ เอาเป็นว่าส่วนตัวชอบหนังเรื่องนี้ในระดับนึงที่หนังทำให้เราได้ย้อนรำลึกถึงเวลาในสมัยเรียนหนังสือที่เป็นช่วงเวลาที่มีเรื่องราวต่าง ๆ ที่ซึ้งใจกินใจจนกระทั่งเปลี่ยนแปลงชีวิตเราได้เลย รายละเอียดของหนังก็ขอให้ไปดูเอาเอง เอาเป็นว่าเรื่องนี้บททำออกมาดูดี และโดนได้ไม่ยาก แม้ว่าจะเป็นการทำหนังแบบท่าบังคับก็เหอะ ในส่วนของนักแสดงขอติคนที่เล่นเป็นนุ้ยนิดหน่อย และภาษาเหนือของนางเอกที่ดูดัด ๆ ไปเหมือนกัน แต่โดยรวมแล้วถือว่าเป็นหนังที่ทั้งสนุก ฮา ซึ้ง และทำออกมาอย่างตั้งใจแล้วดูดี เรื่องนี้ ยกผลประโยชน์ให้กับผกก.ไปเต็ม ๆ (ขอบอกว่า อยากกลับเชียงใหม่ไว ๆ จัง เห็นแล้วคิดถึงบ้านมาก ตั้งแต่ดูวัยอลวนแล้ว)

The Myth

หนังพากย์ไทยเรื่องแรกในรอบหลายเดือนที่ดูในโรง (นับตั้งแต่หนังโจวซิงฉือเมื่อต้นปี) เพราะปกติจะไม่ชอบดูหนังพากย์อยู่แล้ว ปกติถ้าฉายพากย์ไทยทุก copy จะรอดีวีดีท่าเดียว แต่เนื่องจากภาพที่เห็นตามที่โปรโมตไว้ในสื่อต่าง ๆ นั้นเมื่อพิจารณาดูแล้วก็เห็นสมควรว่าไปดูภาพในโรงดีที่สุด แต่เอาเถอะ ดูก็ดู ไปดูแล้วก็ต้องบอกว่า โปรดักชั่นที่ยิ่งใหญ่ อาจไม่จำเป็นต้องมากับภาระบางอย่างที่ยิ่งใหญ่ เพราะเห็นได้เลยว่า เอาเข้าจริง นี่ก็ยังเป็นหนังตระกูลฟัดของเฉินหลงที่ออกมาดูดีเรื่องหนึ่งเท่านั้น และการที่ให้เฉินหลงมาเล่นดราม่าก็ถือว่าเฮียแกก็เรียกได้ว่าโอเคอยู่ในระดับหนึ่ง น้ำหนักของเรื่องราวในสมัยจินซีฮ่องเต้ ดูเหมือนจะถูกทิ้งไว้ให้เป็นความฝันเสียมากกว่า ทำให้รายละเอียดที่แท้จริงเทน้ำหนักให้เรื่องในสมัยปัจจุบัน ซึ่งก็ขอชมว่าโปรดักชั่นนั้นหรูเริด แต่บทนั้นเปรียบได้ดังเชือกที่หย่อนยาน ไร้น้ำหนัก และขาดเหตุผลไปมาก โดยรวมก็เรียกได้ว่าเป็นหนังดูสนุกครบรสตามสไตล์เฉินหลงชั้นดี

Charlie and the Chocolate Factory

หนังของทิม เบอร์ตันเรื่องนี้ ที่ไม่มีภาพที่ดูมืด ๆ ทมึน ๆ แต่มีสีสันฉูดฉาดเรื่องนี้ เอาเข้าจริงโดยสรุปแล้วมันคือนิทานอีสป 1 เรื่องที่มีนิทานอีสปอีกประมาณ 4-5 เรื่องซ้อนเข้าไปอยู่ในหนัง เราเห็นได้ชัด ๆ จากตัวหนังที่จะมีเด็กเวรอยู่ 4 คน กับเด็กดีนั่นคือชาลีอีกหนึ่งคน ที่เข้าไปในโรงงานช็อคโกแล็ตแห่งนี้ แล้วพวกเด็กเวรที่พ่อแม่เอาไม่อยู่นั้น ต้องให้นายวิลลี่ วอดก้าเป็นคนสั่งสอน ซึ่งทุกครั้งที่เด็กเวรทั้งสี่ได้รับการสั่งสอน ก็จะมีตัวละครประหลาด ๆ มาร้องเพลงเพื่อที่จะบอกว่า "นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า..." แต่จะมีนิทานใหญ่ ๆ คลุมอยู่ คือเรื่องของตัวชาลี กับตัววิลลี่ วอดก้า ซึ่งเป็นพล็อตหลักใหญ่ ๆ โดยท้ายเรื่อง คนที่ต้องมาสำนึกก็คือตัววอดก้าเอง สรุปคือ เป็นหนังบันเทิงขนานแท้ และดูรุนแรงไปสักหน่อยถ้ามันเป็นหนังสำหรับเด็ก

คนระลึกชาติ

นี่คือการรีเมคงานของออกไซด์ แปงดี ๆ นั่นแหละ คือการเอาแนวความคิดของหนังเรื่อง ท้าฟ้าลิขิตมาทำใหม่ แต่เปลี่ยนตัวละคร เปลี่ยนหัวโขน และเปลี่ยนผกก.เท่านั้น หนังอาจจะดูงง ๆ ไปบ้าง เอาเข้าจริงหนังดูสนุกไม่ใช่เล่น แต่ความดีความชอบนั้น นักแสดงแทบจะไม่ได้กลับไปเลย เพราะหนังนั้นมีการตัดต่อที่ดูโดดเด่นมากเป็นพิเศษ และเรื่องก็เป็นเรื่องสไตล์ออกไซด์ ซึ่งนักแสดงทั้งสองที่ได้มานั้นเรียกว่าเป็นนักแสดงที่มีระดับการแสดงที่ดีเอามาก ๆ (และนาน ๆ หรือแทบไม่ได้เล่นหนัง) แต่กลับไม่ได้ใช้ประโยชน์ตรงนั้นเลย ยิ่งมือใหม่อย่างอ้อมพิยะดานั้น เรียกได้ว่าผกก.ยังใส่ใจกับเธอน้อยไปหน่อย เพราะเธอยังเล่นไม่ต่างจากละครทีวีที่เคยทำมา และเชื่อว่าเธอมีความสามารถมากกว่านี้ เพราะอย่างน้อยในหนังเราดูแล้วรู้สึกตอนท้ายเรื่องเธอจะเข้าที่เข้าทางมากที่สุดเมื่อเทียบกับต้น ๆ เรื่อง ตัวเรื่องก็เรียกได้ว่าไปได้และกำลังดี และเมื่อเทียบกับท้าฟ้าลิขิตก็เรียกว่าการตีความใหม่ครั้งนี้มีพัฒนาการมากขึ้นในด้านวิธีการนำเสนอเพื่อสร้างความแปลกใหม่ แต่อาจจะน่าผิดหวังในฐานะที่รอหนังเรื่องนี้มานานแล้ว

Rice Rhapsody

หนังสัญชาติสิงคโปร แต่เงินจากที่อื่นเรื่องนี้เป็นหนังสิงคโปรเรื่องแรกในชีวิตที่ได้ดู (ไม่ทราบว่าคนแถวนี้เขาจะเห่ออะไรประเทศที่มันยังเล็กกว่ากรุงเทพฯอีกทำไมกัน) เรื่องราวก็เป็นเรื่องราวน่าประทับใจและเรียกน้ำตาได้ประมาณนึง พอเอาเข้าจริง ผมกลับได้รับรู้อะไรบางอย่างเกี่ยวกับประเทศเล็ก ๆ แห่งนี้ว่า บ้านเมืองดูไม่แออัดนัก อีกทั้งยังดูใหม่ตลอดเวลา ซึ่งกลับสะท้อนในความเจริญแบบไร้ร่องรอยของอารยธรรมดั้งเดิมของตน อีกทั้งภาษาที่ใช้มันก็ยังสะท้อนให้เห็นว่า ลูกหลานจีนในสิงคโปร (ซึ่งก็น่าจะเหมือนกับในอีกหลายประเทศ) เลือกที่จะไม่ใช้ภาษาแม่ของตนในการสื่อสารกัน ทั้งที่คนรุ่นบุกเบิกก็ยังใช้กันอยู่เหมือนเดิม

Dear Frankie

หนังอังกฤษเรื่องนี้ ตอนแรกที่ไปหย่อนตัวอยู่แถว ๆ โรงหนัง House RCA นั้นกะว่าวันนี้จะมาดูหนังที่ผ่อนคลายสองเรื่องควบ นั่นคือ Dear Frankie และ Rice Rhapsody (คือตอนเห็นจากหน้าหนังอ่ะนะ) แต่เอาเข้าจริงเรื่องนี้กลับไม่ได้มาทางนั้น 100 เปอร์เซ็นต์ กลับเป็นหนังดราม่าเรียบง่าย และซึ้งกินใจซะนั่น(ซึ่งมันก็ทั้งสองเรื่องนั่นแหละ) บังเอิญว่าไปดูวันที่กะไปผ่อนคลาย ทำให้ต่อมจี้ดไม่ทำงาน ดังนั้นก็ขอสรุปว่า ทั้งสองเรื่องนี้ดีทั้งคู่นะครับ เพียงแต่ได้ดูผิดเวลาไปหน่อยเท่านั้น

Cinderella Man

555555 หนังเรื่องล่าสุดของ รอน ฮาเวิร์ด ประเภทฮีโร่คนชนชั้นกรรมมาชีพ ถ้าใครดูเรื่องนี้แล้วบ่อน้ำตาไม่แตก หรือต่อมซึ้งไม่ทำงานนี่ต้องเรียกได้ว่าควรไปพบจิตแพทย์แล้วมั้ง เพราะอัดมันทุกลูกตั้งแต่ต้นเรื่อง ไม่ได้บอกว่าไม่ดีนะ เพียงแต่การยัดเยียดหนังแบบสูตรสำเร็จมาก ๆ เนี่ยมันทำให้เกิดอาการสะอิดสะเอียนแบบไม่รู้ตัว (คือดูแล้วจะอ้วกออกมาเป็นน้ำตา) เพราะถ้าฉากที่คุณกำลังดูอยู่นี้ยังไม่ทำให้คุณรู้สึกอะไรได้บ้าง หนังก็จะทำให้ฉากต่อมาต้องทำให้คุณเกิดความรู้สึกให้ได้แหละ ถามว่าหนังเรื่องนี้มีกลิ่นออสการ์โชยมาไหม ตอบได้เลยว่า โอกาสเข้าชิงก็พอมี แต่ก็ต้องดูช่วงปลายปีนี้ว่าจะมีคู่แข่งอะไรอีก ตัวหนังนั้นได้เครดิตจาก ผกก. โปรดิวเซอร์ นักแสดง และทีมงานระดับออสการ์ เลยทำให้มีความน่าดูขึ้นมาบ้าง ส่วนที่ดูแล้วจะเป็นส่วนที่ดีที่สุดในหนังเห็นจะเป็นการแสดงของพี่อ้วนรัสเซล โครว กับน้องหนู เรเน่ เซลเวเกอร์ เท่านั้น

Shining Boy and Little Randy

หนังเรื่องนี้ไอ้หนุ่มยูยะมาถ่ายเมืองไทยด้วย โอ้ว ตอนมาถ่ายนี่จะมีคนไทยสักกี่คนฟะที่จะมาสะดุดเห็น เอาเถอะ ถ้าพูดถึงการแสดงของยูยะแล้ว ต้องบอกได้ว่า "Two Thumbs Up!" (กระแดะไปไหมเนี่ย เห็นพวกนักวิจารณ์อเมริกันชอบใช้กัน แต่มักจะไม่น่าเชื่อถือ แต่อันนี้เชื่อถือได้(มั้ง)) เรื่องราวของเด็กที่มีพรสวรรค์ในด้านการเป็นควาญช้าง ซึ่งตอนท้ายเรื่อง มันไม่ได้ต่างจาก Cinderella Man ที่กล่าวมาข้างต้น คือหนังยัดเยียดจนยังไงก็แล้วแต่ ถ้าบ่อน้ำตาไม่แตก หรือไม่เกิดอารมณ์ ความรู้สึกก็ควรไปพบจิตแพทย์ได้แล้ว และส่วนที่ดีที่สุดของหนังเรื่องนี้หนีไม่พ้นน้องยู อาโออิ ที่การแสดงของเธอ ไม่ว่าเธอจะทำอะไรก็ดูดีไปหมด


About Love

หนังรักสามชาติเรื่องนี้ทำเก๋อยู่อย่างคือหลอกล่อให้คนดูต่อจิ๊กซอว์ตัวละครของแต่ละตอน ประเด็นในแง่ของความรักที่ผกก.แต่ละชาตินำเสนอ ล้วนมีความน่าสนใจอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว จะว่าไปแล้วหนังเรื่องนี้น่าจะเป็นสิ่งที่ชี้ให้เห็นถึงการผนึกพลังทางวัฒนธรรมในภูมิภาคนี้ เพราะสไตล์ของหนังนั้นออกมาในโทนเดียวกันอย่างไม่รู้ตัว

Way of Blue sky

เรื่องนี้ขอบอกว่าไม่มีอะไรมากไปกว่าการได้เฝ้าดูชีวิตของนักเรียนมัธยมปลายกลุ่มหนึ่ง ที่เพื่อนคนหนึ่งจะต้องลาจากเพื่อไปเรียนต่อต่างประเทศอย่างกระทันหัน เรื่องรักในวัยแรกรุ่นนั้นเป็นสิ่งที่หลายคนยากจะลืมเลือน หนังเรื่องนี้เมื่อพิจารณาจากการนำเสนอแล้วต้องบอกว่าธรรมดา เนิบ ๆ ช้า ๆ ไม่มีการสร้างอารมณ์มากไปกว่าการแสดงของตัวละครและเรื่องราวเท่านั้น ทำให้หนังมันดูมีพลัง แต่ยากที่จะเป็นหนังที่มีการแสดงออกมาเป็นรูปของละครเหมือนหนังทั่ว ๆ ไป เลยทำให้เมื่อเราได้ดูมันจนจบแล้ว เราอาจระลึกถึงวันเวลาเก่า ๆ ที่เคยมี

Seven Swords

ฉีเคอะกำกับ............... หนังเรื่องนี้ของฉีเคอะ ขอบอกว่าไม่มีดาราคนไหนโดดเด่นเท่ากับเฮียดอนนี่ เยนแล้ว เพราะเรื่องราวเหมือนจะเทมาให้เขาเป็นเหมือนฮีโร่คนเดียว ทั้งที่มีดาราระดับซุปเปอร์สตาร์อีกหลายคนก็ตาม และขอบอกว่า ฉากบู๊ต่าง ๆ ก็ยังมาในสไตล์ฉีเคอะ ซึ่งทำออกมาได้ดีทีเดียว เพียงแต่ในส่วนของบทและการนำเสนอนั้น ถือว่ามึนมาก เพราะไม่ทราบว่ารายละเอียดมันเยอะจนยัดเข้ามาแน่นซะขนาดนั้น แต่หลายอย่างอาจจะละไว้ในฐานที่คนดูส่วนนึงรู้เรื่องราวหมดแล้ว(เพราะมาจากนิยายกำลังภายในเรื่องดัง) ยังพูดได้ว่าการกลับมาครั้งนี้ของฉีเคอะอาจจะน่าผิดหวังไปนิด แต่เขาก็ยังคงรักษามาตรฐานของเขาได้ (หลังจากหลงทางอยู่ในฮอลลีวู้ดมาพักนึง)

5X2

ใครว่าเรื่องนี้คล้ายหนังเรื่อง Closer ของ Mike Nicoles นั้นต้องบอกว่า ไม่น่าจะใช่ เพราะมันเป็นคนละเรื่อง เรื่องนี้ทำเก๋ตรงที่เล่าเรื่องห้าเรื่องที่เรียงจากตอนจบไปหาตอนเริ่มต้น และแต่ละตอนของหนังห้าเรื่องย่อยนั้น ก็จะมีการเว้นช่องว่างของแต่ละตอนไว้ ให้คนดูได้มีส่วนร่วมกับการปะติปะต่อเรื่องเอาเอง หนังนั้นออกมาได้ดีทีเดียว และมีจุดโดนใจเยอะมาก ในแง่ของลักษณะของความสัมพันธ์ จุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุด ซึ่งขอบอกว่าใครพลาดจะเสียดายเอามาก ๆ

Stratosphere Girl

เรื่องนี้ใน IMDB บอกว่า พูด English/German/Japanese แต่ตอนไปดูในโรงเป็นพากย์ภาษาอะไรก็ไม่รู้(เดาว่าเป็นภาษาเยอรมัน) ไม่ทราบว่า trend ของเฮียหวังเจียเหว่ยมันไปมีอิทธิพลกับผกก.คนอื่น ๆ มาแล้วอย่าง Sofia Coppola ในเรื่อง Lost in translation ทำให้หนังเรื่องนี้ถูกนำไปเทียบกับหนังเรื่องดังกล่าวอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะความดูละม้ายคล้ายกันในลักษณะนั้น แต่ประเด็นที่นำมาใช้จะต่างออกไป แต่โดยรวมก็มองว่าออกมาใช้ได้ขึ้นกับต่อมจี้ดของแต่ละคน

The Day I became a woman

สังเกตคะแนนที่ให้แล้วไม่ต้องมาถามว่าทำไม ถ้าคุณได้ดูหนังอิหร่านเรื่องนี้แล้ว จะมีสักกี่ครั้งที่เราจะได้ดูหนังจากดินแดนที่ไม่รู้ว่าชาตินี้จะได้ไปเหยียบไหม เรื่องราวนั้นชัดเจนมากว่าเป็นหนังที่พูดถึงผู้หญิงในสังคมที่ผู้หญิงถูกปิดกั้นในเรื่องของโอกาสทางสังคมและฐานะทางสังคม การนำเสนอนำตัวแทนของผู้หญิงในสามช่วงอายุ ที่เรื่องราวตั้งแต่วัยเด็กที่ถูกสอนให้เข้าครรลองครองธรรมตามหลักศาสนา วัยสาวที่โอกาสที่จะเลือกเส้นทางเดินของชีวิตที่ฝ่ายชายเป็นผู้กำหนด และวัยชรา เมื่อหญิงชราที่แสดงให้เห็นถึงผลลัพธ์ของเพศหญิงในสังคม ซึ่งวิธีการนำเสนอนั้นออกมาดูแปลกหูแปลกตาไปสักหน่อย แต่สิ่งที่สะท้อนออกมานั้นสามารถโดนได้ไม่ยาก

P.S.

ไปดูหนังเรื่องนี้ที่ลิโด้ ไม่ทราบว่าเป็นความตั้งใจของคนฉายหรือเปล่า เพราะผมได้ยินเสียงเพลงก่อนเปิดเครื่องฉายว่า "Tell Laura I love her...." เอาเถอะ.....เรื่องนี้ตามรอยของเรื่อง You can count on me อย่างเห็นได้ชัด เปลี่ยนกันที่เรื่องเท่านั้น เรื่องนี้จะดูออกไร้สาระกว่า You can count on me เนื่องจากประเด็นที่ใช้เป็นแค่เรื่องแม่ม่ายสาวแก่คนหนึ่งที่บังเอิญเจอเด็กผู้ชายที่มีหน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกับอดีตคนรักของตน จึงเกิดเรื่องไม่ค่อยถูกจารีตเท่าไหร่นัก ผิดกับเรื่องก่อนหน้าที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างพี่สาวน้องชาย หนังก็ยังโดนได้ไม่ยากเช่นกัน และการแสดงของลอร่า ลินนี่ก็ยังออกมาดีเช่นเดิม แต่น่าเสียดายมาก ๆ ที่ได้ฉายเพียงแค่โรงหนังสำหรับคอหนังอย่าง House และ Lido เท่านั้น

Hidden Blade

ใครชอบวิถีหรือขนบหนังแบบญี่ปุ่นแท้ ๆ ซึ่งสมัยนี้หายากเต็มทน และมันได้ฉายโรงด้วย หนังของผกก.รุ่นเดอะ โยจิ ยามาดะ (Twilight Samulai) ครั้งนี้ก็ยังกล่าวถึงเรื่องราวในแวดวงซามูไรอยู่ แต่ครั้งนี้ก็ได้น้องทากาโกะ มัทสุ ต้องเล่นบทที่ดูหนักเกินกว่าอายุของเธอ และเธอก็ยังสามารถทำออกมาได้ดี ประเด็นว่าด้วยความสัมพันธ์ในระดับครอบครัวของซามูไร ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดก็ตาม หนังสะท้อนแนวคิดและขนมธรรมเนียมประเพณีของญี่ปุ่นในสมัยโบราณได้เป็นอย่างดี ประเด็นหลายอย่างดูน่าสนใจทีเดียว นาน ๆ ครั้งจะได้ดูหนังญี่ปุ่นแบบนี้ซักที (ถ้าใครอยากแบบนี้ดูอีก คงต้องไปพึ่งพาแถว ๆ มูลนิธิญี่ปุ่น)

ต้มยำกุ้ง

ลืมหนังเรื่องนี้ไปได้ยังไง หนังลำไยช่วยชาติเรื่องนี้ โอ้ว พระเจ้าจอช มันยอดมาก การทำหนังเรื่องนี้ โจทย์ที่ยากที่สุดก็คงจะเป็น ทำยังไงให้ซ้ำรอยองค์บากน้อยที่สุด วิธีทำก็คือ 1. ไปถ่ายเมืองนอก(จะได้ไม่ซ้ำโลเคชั่นเดิม) 2. หาศิลปะการต่อสู้แนวใหม่ (จะได้ไม่ซ้ำมวยไทย) 3. หานักแสดงมาเสริมบารมีจาพนมให้เพิ่มขึ้นอีก (จากเดิมที่ไม่มีเลย) 4. เปลี่ยนตัวคุณหม่ำจากเดิมเป็นไอ้กระจอกมาเป็นตำรวจนอก แค่นี้ก็..... แต่ว่าในฉากบู๊มันก็ยังดูดีอยู่ (แต่ก็ไม่ได้สร้างความแปลกใหม่) ส่วนในแง่ของบทนั้น หากทำให้ดูมีน้ำหนักมากกว่านี้จะดูดีไม่น้อย เพราะการที่จะไม่ทำให้บทเป็นส่วนสำคัญก็ใช่ว่าจะสามารถปล่อยปะละเลยไปได้เลย จะดีกว่านี้ถ้าบทดูมีเหตุมีผลมีน้ำหนักมารองรับมากขึ้น และเรื่องนี้ดูแล้วเสียวไส้แทนพวกตัวร้ายทั้งหลายแหล่ คาดว่าคงจะมีคนเป็นอัมพาตไปหลายคนแน่ เนื่องจากโดนหักกระดูก หักนู่นหักนี่ จนกลายเป็นภาระสังคมต่อไป

P.S. ร่วมแสดงความคิดเห็นได้โดยส่ง sms มาที่ *5678 เอ้ย ไม่ใช่ ขอเชิญร่วมแสดงความคิดเห็นกันได้ตามสะดวกครับ




 

Create Date : 14 ตุลาคม 2548
5 comments
Last Update : 27 ตุลาคม 2548 17:07:02 น.
Counter : 1780 Pageviews.

 

555

อ่านคอมเม้นท์คุณแล้วรู้สึกว่าคุณจะมีฉันทคติกับหนังที่ไม่ใช่ฮอลลีวู้ดหรือหนังที่ไม่ใช่กระแสหลักนะคะ

และมีอคติกับหนังฮอลลีวู้ดนะคะ


สำหรับเราได้ดูแต่ชาร์ลีฯ กะ ซินเดอเรลล่าฯ น่ะ คงให้ระดับ


เขียนไว้ที่บล็อกแล้วนะ (เผื่อจะอยากไปอ่าน)


ส่วนเพื่อนสนิท กำลังพยายามอ้อนให้คนข้างๆ ไปเลี้ยงอยู่

เพราะหมดตังค์ไปกับงานหนังสือหมดแล้วค่ะ



อืมม์..เขียนรวดเดียว เลยได้แต่ความรู้สึกเนาะ อยากอ่านแบบเขียนเจาะหนังแบบยาวๆ นะคะ จะรอนะ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 14 ตุลาคม 2548 16:34:44 น.  

 

เอ ..... ก็ว่าไม่ได้ใส่อคตินะ P.S. ก็เป็นหนังสหรัฐนะ

 

โดย: Filmism 14 ตุลาคม 2548 17:00:30 น.  

 

ค่ะ P.S. น่ะหนังสหรัฐ แต่ไม่ใช่กระแสหลักไงคะ


แต่ก็ไม่เป็นไรค่ะ ไม่ได้ว่าอะไร เป็นเพียงข้อสังเกตเฉยๆ



เขียนเจาะหนังแบบยาวๆ นะคะ จะยังรออ่านค่ะ

 

โดย: สาวไกด์ใจซื่อ 1 พฤศจิกายน 2548 18:35:37 น.  

 

ตามมาอ่านจากบล็อคคนข้างบนแน่ะค่ะ
เอาใจช่วยให้หาแนวทางการเขียนของตัวเองเจอ

 

โดย: quin toki 25 พฤศจิกายน 2548 22:27:34 น.  

 

ชอบเรื่อง About Love มากมายคะดูแล้วหนังทำให้เราเชื่อได้สนิทใจว่าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความรักจริง ไม่ว่าที่แห่งหนใด ในช่วงเวลาใด หรือกับใคร ความรักนั้นก้สามารถเกิดขึ้นได้ทุกแห่งหน ส่วนตัวชอบที่โตเกียวมาคะ ชอบเรื่องราวของญี่ปุ่นอยู่แล้วด้วย พอดูแล้วรู้สึกว่าเหมือนความมหัศจรรย์ที่เรียกว่า About Love

 

โดย: CC IP: 113.53.89.236 26 พฤษภาคม 2553 19:48:20 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 


Filmism
Location :
กรุงเทพ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




Friends' blogs
[Add Filmism's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.