Solanin (AKA:ソラニン) เพลงนี้ของเราสอง
มีคำกล่าวกันว่า บทหนังที่ดีทำให้หนังทั้งเรื่องดีไปกว่าครึ่ง แม้ว่าองค์ประกอบด้านอื่นของหนังจะไม่สมบูรณ์เต็มร้อยก็ตามที่ยกคำกล่าวมาไว้ข้างต้นนั้น ไม่ได้หมายความว่าผมกำลังจะเขียนเชียร์หนังเรื่องที่กำลังจะกล่าวต่อไปนี้หรอกนะ แต่ทว่าบังเอิญจริง ๆ ที่ได้ไปดูหนังเรื่องหนึ่ง ซึ่งก่อนดูก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นหนังที่น่าจดจำไว้มากที่สุดเรื่องหนึ่งในปีนี้ของผมหนังเรื่องดังกล่าวคือเรื่อง Solanin (AKA:ソラニン) รับบทนำโดยมิยาซากิ อาโออิ ซึ่งส่วนตัวยอมรับเลยว่า ที่ตัดสินใจไปดูหนังเรื่องนี้ก็เพราะเธอคนนี้จริง ๆ แต่ไม่ได้เพราะความน่ารัก สดใส หรือภาพพจน์ความเป็นเจ้าแม่นางแบบโฆษณา หรือปกหนังสือแต่อย่างใด ในฐานะของนักแสดง (ที่ส่วนใหญ่รับแต่งานภาพยนตร์)นั้น น้อยเรื่องจริง ๆ ที่ทำให้ผมรู้สึกผิดหวัง หนังดัดแปลงจากมังงะชื่อเรื่องเดียวกัน เขียนโดย อาซาโนะ อินิโอะ ที่เขียนลงในหนังสือการ์ตูนรายสัปดาห์ ความโดดเด่นของนักเขียนการ์ตูนท่านนี้มีตั้งแต่การ์ตูนที่เล่าเรื่องเพื่อให้เห็นคุณค่าของชีวิต ไปจนถึงเรื่องราวระทึกขวัญเชิงจิตวิทยา จนส่งผลให้เขาเข้าชิงและได้รับรางวัลจากหลายสถาบัน สำหรับ Solanin ในเวอร์ชั่นภาพยนตร์นั้น กำกับการแสดงโดย มิกิ ทากะฮิโระ ที่มารับงานกำกับภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นครั้งแรก มิกิ เป็นที่รู้จักในงานกำกับมิวสิกวิดีโอของทั้งนักร้องและวงดนตรีชื่อดังมาแล้ว อาทิ ORANGE RANGE, mihimaruGT, K, YUI, ikimono gakari, FUNKY MONKEY BABYS และมีรางวัลการันตีจากเทศกาลภาพยนตร์โฆษณานานาชาติที่เมืองคานส์มาแล้วถ้าใครลองดูตัวอย่างหนัง (คลิกดูได้ที่ยูทูปด้านบน) ก็คงจะคาดเดาเนื้อเรื่องได้ไม่ยาก (แม้ว่าจะไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นเลยก็ตาม) ว่ารวม ๆ หนังเกี่ยวกับ "เมโกะ" (มิยาซากิ อาโออิ)ที่แฟนหนุ่มของเธอ "ทาเนดะ" (โคระ เคนโงะ) ใฝ่ฝันอยากเป็นนักดนตรีและต้องการออกอัลบั้มเป็นของตัวเอง แต่กลับประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเสียก่อน ทำให้เมโกะสานฝันต่อจากคนรัก แม้ว่ามันจะไม่ใช่สิ่งที่เธอถนัดก็ตามจากตัวอย่างหนังผู้ชมก็พอจะทราบแล้วว่าหนังทั้งเรื่องมีเนื้อเรื่องตามแบบแผนของหนังสูตรสำเร็จทุกประการ และในหนังจริง ๆ มันก็ไม่ได้ต่างไปจากนั้น แต่ทว่าจริง ๆ แล้วหนังมีมุมมองด้านอื่นแทรกอยู่ในเนื้อหาอีกมาก ประเด็นแรกที่อยากจะหยิบมากล่าวคือ การต่อสู้ระหว่างความฝันและความเป็นจริงของตัวละครเอกทั้งสอง เรื่องดังกล่าวจริงอยู่ที่ทาเนดะ มีความอยากจะเป็นศิลปินออกเพลงกับค่ายเพลง แต่นั่นอาจเป็นเพียงแค่ความฝันของนักศึกษามหาวิทยาลัยหลายคนที่กลับต้องล้มเลิกหลังจากเรียนจบไปแล้ว เนื่องจากต้องออกไปทำอาชีพที่จะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องกันได้แล้ว สำหรับทาเนดะเองเขากลับไม่ได้ล้มเลิกความตั้งใจ แม้เพื่อน ๆ ร่วมวงจะมีงานมีการทำกันแล้วก็ตาม เขาก็ยังทำงานลักษณะที่เรียกว่า ฟรีเตอร์ (คนที่ไม่มีอาชีพประจำเป็นหลักเป็นแหล่ง หาเงินเลี้ยงตัวเองด้วยการทำงานพิเศษ) แน่นอนว่าหนังมีการกล่าวย้ำประเด็นนี้อีกหลายหน เช่นในตอนที่รุ่นพี่คนหนึ่งที่ทำงานอยู่ในบริษัทเพลงยักษ์ใหญ่แห่งหนึ่งในตำแหน่งลูกจ้างธรรมดามาเชิญเขาไปออกอัลบั้มหลังจากที่ได้รับเดโม่เทป แต่เสนอให้เป็นเพียงวงแบ็กอัพให้กับไอดอลสาวหน้าใหม่ของบริษัทเท่านั้น ทั้งที่จริง ๆ แล้วรุ่นพี่คนนี้แต่ก่อนเป็นถึงแรงบันดาลใจให้ทาเนดะมาสนใจเรื่องดนตรีด้วยซ้ำไป การสนทนากันแบบส่วนตัวของทั้งสองดูเหมือนรุ่นพี่คนนี้จะบอกได้แต่เพียงว่าความฝันมันหากินไม่ได้ประเด็นเรื่องความฝันไม่ได้จำกัดอยู่แค่ที่ทาเนดะคนเดียว ด้านเมโกะแฟนสาวของเขาก็มีประเด็นนี้อยู่เช่นกัน ตรงนี้ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งของสังคมที่คนบางคนไม่ได้รู้จักว่าตัวเองฝันอยากจะเป็นอะไร ไม่ได้มีเป้าหมายอะไรในชีวิต และทำงานเป็นแค่ ไบโตะ (งานพาร์ทไทม์) ในสำนักงานแห่งหนึ่ง และได้เพียงแต่ติดตามทาเนดะต่อไปเท่านั้น แท้จริงแล้วจะว่าไป สำหรับผู้หญิงญี่ปุ่นเอง ค่านิยมทางสังคมโดยมากผู้หญิงจะรอเพียงแค่วันแต่งงานและใช้ชีวิตเพื่อรับใช้ครอบครัวเท่านั้น จึงไม่แปลกที่เมโกะจะไม่ได้มีชีวิตเพื่อเป้าหมายอะไรเป็นพิเศษอย่างที่เกริ่นไว้สำหรับอาชีพทำมาหากินของตัวละครเอกทั้งสอง คือ สภาพไม่มีงานทำเป็นหลักเป็นแหล่ง เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในสังคมญี่ปุ่นในปัจจุบัน แม้ว่าจะจบจากมหาวิทยาลัยแล้วก็ตาม นั่นเป็นเพราะโดยความเป็นจริง ประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีค่าแรงขั้นต่ำสูง ซึ่งแค่แรงของงานจำพวก เป็นเสมียนผู้ช่วยตามสำนักงาน หรืองานแรงงานที่ไม่ได้ใช้ความสามารถอะไรเป็นพิเศษเช่น นั่งเฝ้าร้าน เสริฟอาหาร นั้นก็มากพอที่จะเลี้ยงชีวิตตัวเองให้อยู่รอดไปได้ แม้ว่าจะไม่ได้ทำให้ร่ำรวยก็ตาม จนแล้วจนรอด หนังกลับพามาอยู่ในจุดที่ ตัวละครทั้งทาเนดะ และเมโกะ ลาออกจากงาน ด้วยความที่เมโกะ เบื่อหน่ายกับสภาพที่เป็นอยู่ และทาเนดะต้องการมาทุ่มเทตัวเองกับงานเพลง ที่ก็ไม่รู้หรอกว่าจะไปรอดหรือไม่ แต่แล้วการต่อสู้ระหว่างความเป็นจริงกับความฝัน มันก็เกิดจุดหักเหในการตัดสินใจของตัวละคร และมันกลับกลายเป็นจุดพลิกผันของเรื่อง หนังฉลาดที่ให้ช่วงเวลาที่ทาเนดะยอมกลับใจกลับไปทำงานที่เขาเพิ่งจะลาออก และแสดงให้เห็นถึงความเริ่มเป็นผู้ใหญ่มากขึ้นที่เขาไม่สามารถคงสภาพความเป็นอยู่แบบนี้ไปได้เรื่อย ๆ แต่ก็ยังไม่ทิ้งทางฝันที่เขาอยากเป็นนักดนตรี แต่กลับกลายเป็นว่า ในช่วงเวลาที่เขากำลังนึกทบทวนในหลายสิ่งที่เป็นอยู่นั้นเขากลับต้องเสียชีวิตไปอย่างกระทันหันอีกประเด็นหนึ่งที่หนังก็ได้พูดถึงไว้แบบกลาย ๆ คือการใช้ชีวิตแบบอยู่ก่อนแต่ง แน่นอนว่าการกระทำของตัวละครสองตัวเป็นประเภทขัดใจพ่อแม่เสียจริง ๆ ทั้งการไม่มีงานมีการทำ แถมยังมาอาศัยอยู่ด้วยกัน (ข้ออ้างที่ฟังไม่ค่อยขึ้นในแง่ที่ว่า การอยู่ด้วยกันเป็นการลดค่าใช้จ่าย) นั่นก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่สังคมญี่ปุ่นเกิดขึ้นจริง ต้องมองกันจริง ๆ ว่าค่านิยมของสังคมญี่ปุ่นนั้นแม้ว่าเราจะเห็นว่าเขายอมรับเรื่องการมีเพศสัมพันธ์กันก่อนแต่งงานก็ตาม แต่ไม่ได้หมายความว่าการใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันโดยไม่ได้แต่งงานจะเป็นที่ยอมรับได้ของทุกคน ในเรื่องนี้ก็มองได้จากการที่แม่ของเมโกะตกใจในสภาพความเป็นอยู่ของเมโกะ หลังจากมาเยี่ยมลูกจากต่างจังหวัดส่วนประเด็นหลักที่หนังกล่าวถึงคงหนีไม่พ้นความรักของผู้หญิงคนนึงที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อคนที่ตนรัก การกระทำหลาย ๆ อย่างของเมโกะ เช่น การตัดสินใจเลิกบุหรี่ การพยายามดึงทาเนดะออกมาจากความท้อแท้ ฯลฯ และหนังก็ยังให้เราเห็นถึงการพัฒนาความสัมพันธ์ของตัวละครสองตัวนี้ ตัดแทรกสลับไปทั้งเรื่อง จนเกือบจะเป็นหนังรักชั้นดีที่คอยให้จังหวะและอารมณ์สอดรับกับเรื่องแกนหลักไปโดยไม่เคอะเขินประเด็นความรักที่ให้เราเห็นมากที่สุดก็คงหนีไม่พ้นกับช่วงครึ่งหลังของหนังหลังจากทาเนดะเสียชีวิตเพียงอุบัติเหตุบนถนน เมโกะยอมแลกทุกอย่างเพื่อเติมเต็มความหมายของชีวิตให้กับทาเนดะ ซึ่งการที่คนที่ไม่รู้ดนตรีมาก่อนเลย จะลุกขึ้นมาจับกีตาร์ร้องเพลงคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ หนำซ้ำเธอยังพยายามถึงที่สุดที่จะสานความฝันนั้นให้กับคนรักของเธอ จนกระทั่งหนังพาเราไปในวันที่เธอทำมันสำเร็จส่วนตัวแล้วยกให้ฉากที่เมโกะร้องเพลง Solanin เพลงสุดท้ายในหนัง ให้เป็นหนึ่งในฉากที่น่าประทับใจที่สุดในปีนี้ ทั้งที่เป็นการวางโครงเรื่องไว้ให้เป็นจุดไคลแมกซ์ของหนังเรื่องนี้แล้วก็ตาม ในฉากนี้เข้าใจว่า ผกก.ไม่ได้ให้มิยาซากิไปเรียนร้องเพลงมาก่อน แต่ให้เธอด้นสดแบบดิบ ๆ ในหนังเลย (อาจมีการซ้อมมาบ้าง) และขอบอกว่าเธอร้องเพลงห่วยมากถ้าเทียบกับนักร้องทั่ว ๆ ไป แต่ฉากนี้ถึงอารมณ์ที่สุดก็ตรงที่เธอพยายามเล่นออกมาให้ดีที่สุด และเป็นครั้งแรกที่ผมได้ยินมิยาซากิร้องเพลงต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าด้วยแกนเรื่องของหนังที่เรียบง่าย และคาดเดาได้ไม่ยากนัก แต่รายละเอียดหลาย ๆ อย่างนั้นดังที่กล่าวไว้ รวมไปถึงอารมณ์ของหนังที่นำเสนอแบบค่อยเป็นค่อยไป จนส่งให้อารมณ์ของหนังในตอนท้ายก็ส่งผลทำให้ผู้ชมคล้อยตามไปได้อย่างไม่น่าเชื่อ ทั้งที่จุดจบของหนัง ก็ไม่ได้ระบุว่าหลังจากการได้เล่นสดของวงนี้แล้ว ตัวละครเหล่านี้จะเป็นเช่นไรต่อไป แต่สิ่งหนึ่งที่เมโกะเรียนรู้แน่ ๆ คือเธอหาความหมายให้กับชีวิตเธอได้แล้ว แม้ว่าทาเนดะจะไม่ได้อยู่ข้าง ๆ เธออีกแล้วก็ตามสุดท้ายนี้ ต้องขอกล่าวชมเชยน้องมิยาซากิอีกสักรอบ เพราะเธอต้องแบกรับหนังเอาไว้ทั้งเรื่อง จริง ๆ แล้วบทบาทนี้ก็ไม่ใช่บทบาทที่ยากจนเกินไป และไม่ได้ถึงขนาดยอดเยี่ยมเข้าชิงรางวัลก็ตาม แต่ถ้าให้คนอื่นมารับบทนี้ก็นึกไม่ออกเช่นกันว่าหนังจะออกมาเป็นยังไงสำหรับที่มาของเพลง Solanin ตามความเป็นจริงในเรื่องเป็นเพลงไว้สำหรับเชื่อมโยงจิตใจของตัวละครหลักทั้งสองเข้าด้วยกัน แต่ในความเป็นจริงคือทาง อาซาโนะ เจ้าของเรื่องฉบับการ์ตูนได้เป็นคนแต่งเนื้อเพลงนี้ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากเพลง Mastang ของวง Ajikan นี่จะเป็นครั้งแรกที่จะแปลเพลงไปพร้อมกับการเขียนรีวิวหนังครับ (อิอิ) การแปลผมจะแปลโดยอ้างอิงจากเรื่องให้มากที่สุด คิดซะว่ากำลังดูฉากที่น้องมิยาซากิร้องเพลงไปพร้อม ๆ กับซับไตเติ้ลหนังเรื่องนี้แล้วกันครับソラニン - ASIAN KUNG-FU GENERATION (Thai Translation)作詞:Inio Asano 作曲:Masafumi Gotoh思い違いは空のかなたさよならだけの人生かほんの少しの未来は見えたのにさよならなんだความคิดแบบผิด ๆ ของฉันมันคงไปไกลกว่าท้องฟ้าเสียอีกชีวิตของฉันมันมีแต่ "ซาโยนะระ" (การจากลา) หรือยังไงทั้งที่ฉันเห็นอนาคตอยู่รำไรแล้วแท้ ๆก็ยังต้องเจอกับ "ซาโยนะระ" อีก昔 住んでた小さな部屋は今は他人が住んでんだ君に言われた ひどい言葉も無駄な気がした毎日もในห้องนอนเล็ก ๆ เดิมที่ฉันเคยอยู่นั้นตอนนี้ใครกันนะที่มาอาศัยอยุ่ทั้งคำพูดทำร้ายจิตใจของเธอนั่นด้วย...ทั้งทุกวันคืนที่รู้สึกไร้ความหมายนั่นด้วย...あの時こうしてれば あの日に戻れればあの頃の僕にはもう 戻れないよถ้าตอนนั้นฉันทำแบบนี้นะ ถ้าฉันกลับไปยังวันนั้นได้นะฉันคงจะไม่กลับไปเป็นแบบที่ฉันเคยเป็นหรอกたとえばゆるい幸せがだらっと続いたとするきっと悪い種が芽を出してもう さよならなんだถ้าเกิดว่า ความสุขอันเปราะบางมันยังง่อนแง่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แน่นอน มันจะเป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีแล้วแตกหน่อออกมาสุดท้าย ก็คง "ซาโยนะระ" (จากกัน) ไป寒い冬の冷えた缶コーヒーと虹色の長いマフラーと小走りで路地裏を抜けて思い出してみるลองคิดถึงเรื่องวันนั้นดูสิตอนที่เรารีบ ๆ วิ่งหนีกันไปที่ตรอกแห่งนั้นไปพร้อมกับกาแฟกระป๋องที่เย็นจากอากาศในฤดูหนาวกับผ้าพันคอสีรุ้งยาว ๆ ผืนนั้นたとえばゆるい幸せがだらっと続いたとするきっと悪い種が芽を出してもう さよならなんだถ้าเกิดว่า ความสุขอันเปราะบางมันยังง่อนแง่นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ แน่นอน มันจะเป็นดั่งเมล็ดพันธุ์ที่ไม่ดีแล้วแตกหน่อออกมาสุดท้าย ก็ "ซาโยนะระ" (จากกัน) ไปさよなら それもいいさどこかで元気でやれよさよなら 僕もどーにかやるささよなら そうするよ"ซาโยนะระ" (ลาก่อน) ได้แค่นี้คงต้องช่างมัน"ไม่ว่าจะอยุ่ที่ไหน เธอก็รักษาตัวเองนะ""ซาโยนะระ" (ลาก่อนนะ) ฉันก็คงต้องทำอะไรสักอย่างเหมือนกัน"ซาโยนะระ" (ลาก่อนนะ) ฉันคงทำได้แค่นี้
things that happen in your life and u have no longer
able to keep and hold it then turn back and then you
will found THE GOD is right there wating for you to seek
for his help!