Group Blog
 
 
ธันวาคม 2558
 
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
4 ธันวาคม 2558
 
All Blogs
 
2 ข้อปฏิบัติอนุสสติ๑๐ เพื่อพระนิพพาน





  ข้อปฏิบัติอนุสสติ๑๐ เพื่อพระนิพพาน

 ข้อปฏิบัติอนุสสติ๑๐  (ทำตามขั้นตอนข้อ ๑-๑๗)
อ้างอิงจาก 15-06-2009, 08:50 PM           #2999 kananun    ทบทวน อารมณ์กรรมฐาน
.กราบอาราธนาบารมีพระพุทธเจ้า(เป็นประธาน)
ท่านมาประสิทธิประสาทเหนือเศียรเกล้าของเราก่อนเสมอ


๓.จับภาพพระ ให้ใสสว่างมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ขอให้ท่านนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ที่ท่านชอบที่สุด จำได้แม่นยำชัดเจนที่สุด ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ(จำภาพสมเด็จองค์ปฐมปางนิพพานใสสว่าง)
ให้อธิฐาน กราบขอบารมีพระ ขอให้พุทธบารมีของพระพุทธองค์ท่านมาสถิต มั่นคง เป็นหนึ่งเดียวกับพระพุทธรูปหรือพุทธนิมิตรในจิตของเราตลอดเวลาตลอดไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ"
ทรงอารมณ์ใจนี้ไว้สักระยะ..พร้อมกับน้อมจิตยอม รับนับถือองค์พระรัตนตรัยเป็นที่พึ่งสูงสุด ไม่มีที่พึ่งอื่นใดจะประเสริฐไปกว่านี้อีกแล้ว.
นึกน้อมยอมรับ นึกกายตัวเองเป็นพระปางนิพพานใสสว่างกายวิสุทธิเทพ
อธิฐาน ขอพระพุทธเจ้าท่านเมตตาพาอาทิสมานกาย พระวิสุทธิเทพของเรา ขึ้นไปกราบต่อหน้า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบนพระนิพพาน 
-กราบขอให้พระพุทธเจ้าท่านเมตตาเป็นประธานและพยานให้แก่ข้าพเจ้าในการอธิฐานดังต่อไปนี้
-ขอบารมีพระท่านให้มาเมตตาสงเคราะห์ทุกครั้ง 
-อธิฐาน"ขอให้พระพุทธเจ้าโปรดเมตตา รักษากำลังใจของข้าพเจ้า ให้มั่นคงใน สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ และสามารถยกจิตขึ้นมาสู่พระนิพพานได้ทุกขณะจิตที่ข้าพเจ้าต้องการ
-ขอให้ข้าพเจ้าได้ทรงอารมณ์นิพพาน รักในพระนิพพาน พอใจในพระนิพพาน มั่นคงในพระนิพพาน
-ขอให้ วิถีชีวิตของ ข้าพเจ้า ทั้งในทางโลกและทางธรรมตั้งมั่นอยู่ใน สัมมาทิษฐิสัมมาสมาธิสัมมาปัญญาสัมมาปฏิบิติ
ไป ทุกภพทุกชาติจนกว่าจะเข้าสู่พระนิพพาน
-ขอให้ข้าพเจ้ามีความเจริญทั้งทางโลกทางธรรม มีดวงตาเห็นธรรมเข้าถึงที่สุดแห่งธรรม โดยฉับพลัน และมีพระนิพพานเป็นหลักชัยด้วยเถิด  เสร็จแล้ว
นึกให้เห็นภาพ ตัวเองก้มลงกราบที่พระบาทขององค์สม เด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จองค์ปฐมท่าน พร้อมกับน้อมนึกแยกกายไปกราบพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ทั้งหลายพร้อมๆกัน บนพระนิพพาน
-จับภาพพระใสสว่างประกายเพชร 3ฐานคือ
1พระอยู่บนศีรษะ 2พระอยู่ในศีรษะ 3พระอยู่ในอกของเรา
ใช้อารมณ์สบาย ฝึกย่อขยายองค์พระท่านให้ เล็กใหญ่ เลื่อนซ้ายขวบนล่าง วนรอบตัวเรา นึกให้ท่านมีจำนวนเพิ่มขึ้น เป็น 2องค์ 3องค์ ให้ท่านเพิ่มเป็นจำนวนนับไม่ถ้วนก็ทำได้ นึกขอให้ท่านกลับมารวมกันเป็นองค์เดียว ได้ดั่งใจนึก โดยที่พระท่านก็ยังทรงรัศมีสว่างอยู่ตลอด เวลา ทุกอิริยาบท ให้ได้นานที่สุด  
-ให้ทรงบ่อยๆ ช่วงสวดมนต์ ก่อนลุกจากที่นอน ก่อนนอน 
1.ตอนเช้า เมื่อตื่นขึ้นยังไม่ต้องลุกจากที่นอน ให้ทรงภาพพระ 3 ฐาน ให้ใจสบายก่อนแล้ว อธิฐาน ให้ท่านคุ้มครองชีวิตร่างกาย ขอเรื่องการค้าการขายการติดต่ออาชีพการงานตามต้องการ ถ้าใช้ประกอบคาถาเงินล้านจะได้ผลเป็นพิเศษ แล้วจึงค่อยลุกจากที่นอน จะสังเกตุว่า วันนั้นจะเจอแต่สิ่งที่ดี ชีวิตและการงานราบรื่นกว่าเดิม
2.ตลอดเวลาที่สวดมนต์ทำวัตรเช้าเย็น  3.ช่วงก่อนนอน 
4.ถ้ากำลัง ไม่พอให้จับ พระท่านองค์เดียวเหนือศีรษะ

๔.แผ่เมตตาให้จิตของตนเอง  แผ่เมตตาให้กับผู้อื่น  จากนั้น เราแผ่ เมตตาฌาน  
15-06-2009, 10:06 PM      #3000 kananun
จะเห็นว่าในความง่ายมีความละเอียดปรากฏอยู่ด้วย หากจิตเราละเอียดพอ
จากนั้น เราก็พิจารณาใน อารมณ์ของการแผ่เมตตาให้จิตของตนเอง โดยการให้จิตของเราถูกหล่อเลี้ยงด้วยบุญอันเป็นอารมณ์ของ ความสุข กุศล ปิติ ความอิ่มเอมใจ ซึ่งในการแผ่เมตตานี้หากเรากำหนดอารมณ์ได้อิ่มเต็ม ชุ่มชื่นได้มากเท่าไร จิตเราเองก็จะยิ่งมีกำลังในการแผ่เมตตาให้กับผู้อื่นได้มากเท่านั้น 
 
อุปมาดังเราเองหากมีทรัพย์มากก็ย่อมแจกจ่ายกระจายทานออกไปทั่วถึง แต่การแผ่เมตตานี้ก็คือการรำลึกถึงบุญกุศลที่เรราสร้างบำเพ็ญมา และกำหนดให้รวมตัวกันมาหล่อเลี้ยงดวงจิตให้ปรากฏปิติความอิื่ิมเอมใจอย่างเต็มที่จนล้น
  จากนั้นเราจึงกำหนดให้บุญที่เราแผ่นี้เป็นรัศมีสีทองจากดวงจิตของเราออกไปยังทุกๆดวงจิตรอบๆ ตัวเรา กระจายออกไปเรื่อยๆจนสุดหมื่น โลกธาตุ ตลอดจน ทั้งสามภพภูมิ -
การตั้งจิตในกุศลในบารมีที่บำเพ็ญ นั้น ประ กอบไปด้วยการตั้งในบารมีทั้งสามสิบทัศนฺ์ การทรงกรรมฐานใน ทาน และจาคะ อนุสติ อันมีอานิสงค์นับแต่สวรรค์สมบัติ(จากการให้ทาน) ไปจนถึงนิพพานสมบัติ(จากอารมณ์จิตในการให้เพื่อละวางกิเลสความโลภ และการยึดมั่นถือมั่น)
-การกำหนดรัศมีจากความเมตตาเป็นแสงสว่างสีทองกระจายออกไป เป็นอโลกสิณควบกสิณสีทอง อันมีอานิสงค์ให้เกิด ทิพยจักษุญาณ และอภิญญา
-และด้วยอานิสงค์ของอาโลกกสิณ
การปรากฏภาพของโลกธาตุ และภพภูมิทั้งหลายในจิต เป็นมโนมยิทธิ ด้วยอำนาจของทิพยจักษุญาณ
  เมื่อจิตเจริญเมตตาอัปปันณานฌานแล้ว จิตก็จะตื่นขึ้นจากภายใน สู่ จิตเดิมแท้อันประภัสสร ตื่นสู่โพธิจิตสำหรับท่านผู้ปรารถนาพุทธภูมิและ สามารถยกจิตสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ได้โดยง่าย เนื่องจากเห็นคุณประโยชน์ต่อมวลสรรพสัตว์ที่จะเข้าถึงพระนิพพาน
สำหรับบุคคลทั่วไปก็จะทำให้เข้าใจเรื่องการเสียสละเพื่อส่วนรวม
  และหากทรงอารมณ์ใจเอาไว้ได้เป็นปกติ ทั้งยามหลับ ยามตื่น จิตก็จะปรากฏความสุข ความชุ่มเย็น อยู่ตลอดเวลา กำลังใจในการสร้างกุศลจะเป็นปกติ ความคิดในการละเมิดศีลก็จะไม่มีในจิตของเรา มีแต่การเอื้อเอ็นดูสงเคราะห์กันเป็นสำคัญ  กิเลสจะเบาบางลงไปด้วยอำนาจแห่งพรหมวิหารสี่ ด้วยเมตตาเจโตวิมุติ การบรรลุหลุด พ้นด้วยจิตอันเจริญเมตตา  ในขณะจิตอารมณ์นี้ เราสามารถพิจารณาตัดสังโยชน์สิบ เป็นการเจริญวิปัสสนาญาณไปเลยก็ได้

๔.๑ เมตตาอัปปัณนาณฌาณ ครับ
-จับลมสบาย จิตจับภาพพระพุทธเจ้าให้ใสเป็นเพชรครับ
 จากนั้นนึก กราบขอให้ท่านมาลอยอยู่ เหนือหัวของเรา
แล้วกำหนดจิตของเราให้"รู้สึก"ถึง บุญกุศล ความดีงาม ความงดงาม ความชุ่มใจ ความอิ่มเอิบใจ ความปลื้มปิติ ความรักที่บริสุทธ์ความตื้นตันใจรักที่ ความรักที่เรามีต่อพ่อแม่ ที่มีต่อพระเจ้าอยู่หัวในวันมหาปิติ 60 ปี
ให้ความรู้สึกเป็นสุขปิติอิ่มเอิบใจนี้เติมให้เต็มหัวใจของเรา
นึกถึงภาพดอกไม้ที่ค่อยๆแย้มกลีบด้วยความงดงาม
เมื่อจิตใจแย้มยิ้มชื่นบานเต็มหัวใจ กายเราก็ยิ้มเบิกบานมีความสุขอย่างที่สุด
เรากำหนดจิตว่า
“บุญคือความสุข ที่ข้าพเจ้าปรากฏ ณ บัดนี้
ข้าพเจ้าขออุทิศความสุขและส่วนกุศลนี้ไปยังสรรพสัตว์ทั้งหลายทั่วอนันตจักรวาลขอให้สรรพสัตว์ทั้งหลาย ได้ประสพแต่ความสุขพ้นจากความทุกข์ พ้นภัยจากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ”
แล้วค่อยๆทำความรู้สึกว่าตัวเราสว่างมีแสงรัศมีสีทอง
อันเป็นรัศมีแห่งความรัก ความสุข ความเมตตา ที่เรามีให้แก่สรรพสัตว์ไม่มีวันจบสิ้น ให้แสงแห่งความเมตตานี้แผ่ส่องสว่างปกคลุมห้องที่เราอยู่นี้สว่างเรืองรอง
จิตของสรรพสัตว์ดวงใดได้สัมผัสกับรัศมีนี้ ก็ให้มีความสุข สงบ ชุ่มเย็นไปด้วย จิตเรายิ่งเปร่งรัศมีเท่าไหร่ จิตเราก็ยิ่งมีความสุขชุ่มเย็นยิ่งขึ้น
แผ่รัศมีสีทองระยิบระยับค่อยๆปกคลุมบ้านหรืออาคารที่เราอยู่ทั้งหลังครับ ค่อยๆทำใจเย็นๆ จากนั้นแผ่ปกคลุมอำเภอ จัง หวัดที่คุณอยู่ ประคองใจให้ชุ่มเย็นอิ่มเอิบตลอดเวลานะครับ
แล้วค่อยๆแผ่ให้กว้าง จนคลุมประเทศไทยจนมองเห็นเป็นขวานสีทองแล้ว
อธิฐานให้ประเทศไทยจงสงบสุขร่มเย็น ผู้คนจิตใจดีงาม
จากนั้น แผ่รัศมีแห่งความสุขนี้ปกคลุมโลกจนเป็นสีทองสว่างไสว
อธิฐานว่า  ขอให้โลกนี้จงสงบสุขร่มเย็น แล้วจึงแผ่รัศมีสีทั้งออกไปทั่วสุริยจักรวาล ไม่มีที่สิ้นสุดจนออกไป ยังอนันตจักรวาลไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณ
จิตเรายิ่งแผ่รัศมีเท่าไหร่จิตเรายิ่งแย้มยิ้มอิ่มเอิบใจ ยิ่งให้มากมายเท่าไหร่ จิตเราก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้นเท่านั้น ประคองอารมณ์ใจที่แสนปิติสุขนี้ไว้ตามที่ต้องการครับ
ส่วนพุทธภูมิและผู้ที่ได้มโนฯให้ประคองจิตไว้ แล้ว
แผ่รัศมีแห่งความเมตตานี้จากขอบอนันตจักรวาลเข้ามาสู่ตัวครับ แล้วแผ่ย้อนกลับออกไปใหม่ครับ

๔.๒ อธิฐานเจริญเมตตาอัปปันณานฌาน โดยมีจุดศูนย์กลางการแผ่เมตตาจิตนี้จากพระนิพพาน จนสว่างทั่วทั้งพระนิพพาน แผ่ปกคลุมลงมายัง พรหมโลกและอรูปพรหมทั้งปวง สวรรค์ทั้ง6ชั้นภุมเทวดาอากาศเทวดา โลกมนุษย์ ทั่วอนันตจักรวาล ตลอดจน ภพภูมิแห่งเปรตอสุรกาย สัตว์เดรัจฉาน ลงไปถึงมวลหมู่นรกทุกขุม ให้เห็นเป็นคลื่นรัศมีสีขาวสะอาด ระยิบระยับ ละเอียดแพรวพราวแผ่ไปทั่ว แล้ว
อธิฐานว่า "ขอให้บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่มีที่สุด ไม่มีประมาณทั้งสามไตรภูมิหนึ่งนิพพาน ขอจงประสพแต่ความสุข พ้นจากความทุกข์ พ้นภัย จากวัฏฏะสงสาร และได้สัมผัสพระนิพพาน อันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ"
แผ่ความรู้สึกใน อารมณ์นิพพาน ออกไป โดยใช้ความละเอียด ปราณีต และความเป็นทิพย์ของ จิต ให้แผ่ขยายออกไปยัง ดวงจิต ของสรรพสัตว์ทั้งหลาย
-ทำครั้งแรกๆใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ เน้นที่ความรู้สึกปราณีตละเอียดอ่อน เป็นรัศมีแผ่กว้างออกๆไป ยิ่งแผ่กว้างไกลเพียงไร จิตเรายิ่งสว่างและแย้มยิ้มเบิกบานยิ่งขึ้นเพียงนั้น
๔.๓ ต่อมาให้น้อมนึกถึง ความสุขสดชื่น ความอิ่มเอมเปรมปรีด์ ความดีงามทั้งหลาย ที่เคยสร้างมาดีแล้ว อีกครั้งหนึ่ง อีกทั้งกุศลผลบุญทั้งหลาย พรหมวิหารสี่ และอภัยทานที่มีอยู่เต็มเปี่ยมในดวงจิตของเราให้มารวมตัวกัน(นึกให้เห็นดวงจิตที่สว่างไสวแพรวพราว)อธิษฐาน
 แผ่เมตตาอัปปมาณฌานว่า..
"-ข้าพเจ้าขอน้อมถวายส่วนกุศลผลบุญ ทานบารมี อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน  แด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระ องค์ องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้ง หลายสืบๆ ต่อกันมาโดยมี... หลวงปู่ทวด หลวงปู่ดู่ หลวงพ่อสด หลวงปู่ปาน และหลวงพ่อฤาษี เป็นที่สุด
อีกทั้งท่านพ่อท่านแม่ ท่านผู้มีพระคุณทั้งหลาย บูรพกษัต ริย์ไทย บรรพชนไทย นักรบไทย ทุกๆพระองค์ ทุกๆองค์ ทุกๆท่าน..พรหมเทพเทวา และสิ่งศักดิ์สิททั้งหลาย โดยมีท่านท้าวจตุมหาราช และท่านพญายมราชเป็นที่สุด..
-ขอทุกๆพระองค์ ทุกๆองค์ ทุกๆท่าน ได้โปรดมาร่วมกัน รับ และ อนุโมทนาในส่วนกุศลผลบุญทั้งหลายเหล่านี้ และขอได้โปรดมาเป็น สักขีพยานในการบำเพ็ญกุศลผลบุญในครั้งนี้ของข้าพเจ้าด้วยเทอญ.. (น้อมนึกให้เห็นว่า ในมือของเรามี ดอกบัวแก้วสว่างไสวแพรวพราวซึ่งเกิดจาก กุศลผลบุญของเราเองมารวมตัวกันเป็น ดอกบัวนั้น แล้วน้อมถวายแด่ ทุกๆพระองค์ ทุกๆองค์ ทุกๆท่าน)
-และข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญ ทานบารมี อีกทั้งพรหมวิหารสี่ อันมี เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา พร้อมอภัยทาน ให้แก่..เหล่าสรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลายทั่วสากลจักรวาล อนันตจักรวาลนี้...  ที่เสวยความสุขอยู่ก็ดี เสวยความทุกข์อยู่ก็ดี เป็นญาติก็ดี มิใช่ญาติก็ดี... 
ขอให้ ทุกๆท่าน จงมาร่วมกัน อนุโมทนาและรับ ซึ่งส่วนกุศลผลบุญ อีกทั้งทานบารมี ทั้งหลายเหล่านี้เฉกเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับ นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน..  ขอให้ทุกๆท่าน มีดวงตาเห็นธรรม และเข้าถึงที่สุดแห่งธรรม โดยฉับพลันเทอญ"

๕.น้อมนึกถึงศีล ที่ถือปฏิบัติอยู่ไม่ว่าจะเป็นศีล๕หรือศีล๘ โดยน้อมนึกว่า"ณ ขณะนี้ศีล๕(๘)ของข้าพเจ้าสมบูรณ์ บริบูรณ์ดีทุกประการข้าพเจ้า ไม่ได้ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต ไม่ได้ลักขโมยผู้ใด ไม่ได้ผิดลูกผัว-เมียใคร ไม่ได้พูดโกหกมดเท็จใดๆ ไม่ได้เสพสุราของมึนเมาหรือเล่นการพนันแต่อย่างใด (ไม่ได้ทานอาหารหลังเที่ยง,ไม่ได้ใช้เครื่องไล้ของหอมเว้นจากการฟ้อนรำ ดูสิ่งบันเทิงเริงรมย์ ไม่ได้ใช้เครื่องประดับตกแต่งใดๆ, ไม่ได้นอนบนที่นอนสูงใหญ่)" 

 แต่เพื่อความก้าวหน้าในการปฏิบัติ
เราก็เอากำลังของเมตตาฌานนี้ มาอธิฐานจิต ในฌานสมาธิ ใน

๖.การให้อภัยทาน อันเป็นการอโหสิกรรมต่อหมู่สรรพสัตว์ทั้งหลาย เป็นการตัดสายโยงใยของกรรมที่เป็นเครื่องเหนี่ยวยั้งความเจริญทั้งทางโลกทางธรรมและการก่อภพชาติสืบไป   นอกจากนั้น ยังเป็นวิปัสสนาการตัดกิเลสในสายโทสะ อัน มีความอาฆาต พยาบาท เป็นต้นให้ เล็กลง เบาลง อารมณ์แห่งความชั่วที่มีความรุนแรงบรรเทาลง ตัดลงด้วยอำนาแห่งเมตตาฌาน
๖.๑ การให้อภัยทาน ให้น้อมนึก อโหสิกรรมให้ก่ผู้ที่เคยล่วงเกินเรามา
"-ข้าพเจ้าอโหสิกรรม ยกโทษให้แก่  พรหม-เทพเทวา สรรพสัตว์สิ่งมีชีวิต มนุษย์ อมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ภูติผีปีศาจ ดวงจิตดวงวิญญาณทั้งหลาย ที่เคยล่วงเกินข้าพเจ้ามาด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี ในชาติที่เป็นอดีตก็ดี ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี..
-ข้าพเจ้าไม่ถือโทษโกรธเคืองใดๆ ทั้งสิ้น และขอให้พวกท่านทั้งหลาย มีความสุขกายสุขใจ พ้นจากความทุกข์ทั้งหลายทั้งมวล มีดวงตา เห็นธรรม เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม และมีพระนิพพานเป็นที่สุดด้วยเทอญ"

 
จากนั้น 

๗.อธิฐานจิตขอขมากรรมต่อพระรัตนไตร พ่อแม่ เจ้ากรรมนายเวร เพื่อให้กรรมที่มาตัดรอนและขัด ขวางความเจริญก้าวหน้าทั้งทางโลกทางธรรม บรร เทาลงด้วยอำนาจแห่งเมตตาฌาน    นอกจากนี้ ยังทำให้จิตนอบน้อม อ่อนโยน ละ คลาย มานะทิษฐิ เพื่อที่ การปฏิบัติธรรมต่อไป พระท่านจะได้เมตตาสงเคราะห์ได้เต็มที่

๗.๑.กราบขอขมากรรมต่อองค์พระรัตนตรัย ให้กราบขอขมา ในอาทิสมานกายพระวิสุทธิเทพ บนพระนิพพานต่อหน้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยการอธิษฐานว่า..
"-ข้าแต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์  หากข้าพระพุทธเจ้าได้เคยคิดประมาทพลาดพลั้งล่วงเกินต่อองค์พระรัตนตรัย อันมีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า องค์พระธรรม องค์พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย อีกทั้งครูบาอาจารย์ทั้งหลาย พรหมเทพเทวา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ และ เจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี.. ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดี หรือในชาติที่เป็นอดีตก็ดี.. ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี หรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี
–ขอองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดา สัมมาสัมพุทธเจ้า และทุกๆพระองค์ ทุกๆองค์ ทุกๆท่าน..ได้โปรดอดโทษทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้านับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ" ก้มลงกราบพระบาททุกๆพระองค์อีกครั้ง
--เมื่ออโหสิกรรมให้ผู้อื่นเสร็จแล้ว ให้น้อมนึกถึงกุศลผลบุญ อีกทั้งความดีงามทั้งหลายที่เคยสร้างมาดีแล้วให้มารวมตัวกันที่ดวงจิตของเรา(นึกให้เห็นดวงจิตของตัวเองสว่างไสวแพรวพราว)

 ๗.๒ อธิษฐาน ขออโหสิกรรมต่อเจ้ากรรมนายเวร ดังนี้ 
"-ข้าพเจ้าขอน้อมอุทิศส่วนกุศลผลบุญที่ข้าพเจ้าได้เคยกระทำมาตั้งแต่ต้นกัปต้นกัลป์ จนมาถึงปัจจุบันนี้ และที่จะทำต่อไปในอนาคต..ให้แก่ท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย.
ขอให้ทุกๆท่านมาร่วมกันอนุโมทนา และได้รับซึ่งกุศลผลบุญเหล่านี้นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพาน.
(ตอนนี้ให้นึกเห็นรัศมีความสว่างของกุศลผลบุญ ความดีงามทั้งหลาย จากดวงจิตของเรา แผ่ออกไปคลุมร่างของเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลายที่รายล้อมอยู่รอบตัวเรา)  
–และข้าพเจ้าขออโหสิกรรมต่อท่านเจ้ากรรมนายเวรทั้ง หลายที่ข้าพเจ้าได้เคยล่วงเกินพวกท่านไป ด้วยกายกรรมก็ดี วจีกรรมก็ดี มโนกรรมก็ดี..ในชาติปัจจุบันนี้ก็ดีหรือใน ชาติที่เป็นอดีตก็ดี..ด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดีหรือทำไปด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ดี..
-ขอให้พวกท่านทั้งหลาย ได้โปรด อโหสิกรรม(งดโทษที่จะพึงเกิดแก่ข้าพเจ้า)ทั้งหลายเหล่านั้นให้แก่ข้าพเจ้า นับแต่บัดเดี๋ยวนี้เป็นต้นไปตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานเทอญ

 จากนั้น ๘.อธิฐานจิต ถอนคำอธิฐานมิจฉาทิษฐิและอวิชชา คุณไสยทั้งปวงออกไปจากจิตใจ เพื่อเป็นการชำระล้างจิต ให้สะอาดจากอนุสัยบางตัวที่ซ่อนลึกในจิตใจ    จุดสำคัญคือการล้างมิจฉาทิษฐิเพื่อปรับจิตเข้าสู่สัมมาทิษฐิ
๘.๑ การอธิฐาน เพื่อเป็นเครื่องป้องกันตัวท่าน เพื่อก้าวหน้า รุ่งเรืองทั้งในทางโลกทางธรรม
-ตั้งจิตถอนคำอธิฐานในมิจฉาทิษฐิ ออกไปจากจิตใจของเราว่า
-"ข้าพเจ้า ขอตั้งจิตถอนคำอธิฐานที่เป็นมิจฉาทิษฐิ อันข้าพเจ้า ได้ทำไปด้วยอำนาจกิเลสอันมีความโลภ ความโกรธ
หลง อาฆาต พยาบาทจองเวร แก่ท่านผู้ใดก็ดี ความหลงในสังสารวัฏภพภูมิต่างๆก็ดี ความยึดติดในบุคคลด้วยความรักความหลงก็ดี ที่หลงผิดเป็นเจ้ากรรมนายเวรของผู้หนึ่งผู้ใดก็ดี การตั้งจิตอธิฐานเหล่านี้จะด้วยเจตนาก็ดี ไม่เจตนาก็ดี ด้วยอารมณ์ชั่ววูบก็ดี และล้วนแล้วที่ได้อธิฐาน มาในอดีตชาติก็ดี ปัจจุบันชาติก็ดี จะระลึกได้ก็ดี ระลึกไม่ได้ก็ดี  
-ข้าพเจ้านี้ ขอถอนคำอธิฐานเหล่านี้ออกไปจากดวงจิตของข้าพเจ้า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป กรรมใดที่บังเกิดจากการอธิฐานเหล่านั้น ข้าพเจ้า ขอกราบขอขมาในอกุศลกรรมความพลั้งพลาด ต่อท่านทั้งหลายด้วยเทอญ
-และข้าพเจ้า ขอน้อมจิตอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญมา นับแต่อดีตชาติ อุทิศให้กับเจ้ากรรมนายเวรทั้งหลาย พรหมเทวดาที่ประจำรักษาข้าพเจ้า ขอให้ได้อโหสิกรรม เลิกแล้วต่อกัน เป็นโมฆะกรรม ตราบเท่าที่ ข้าพเจ้า เข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ" 
-(ขอให้อำนาจแห่งพุทธคุณ สถิตคุ้มครองรักษา ขอให้ภัยพิบัติทั้งปวง สิ่งอัปมงคล คุณไสยอวิชชาคุณผีคุณคนทั้งปวงสลายตัวสิ้น ขอให้โรคภัยไข้เจ็บ โรคระบาด โรคเวรโรคกรรมโรคหรือสิ่งใดทั้วปวงอันเกิดจากเจ้ากรรมนายเวรทั้งปวง ขอจงสิ้นไปด้วยพุทธานุภาพนี้ )  
อารมรณ์ใจสบาย เข้าให้ถึงความว่างสลายคำอธิฐานที่เป็นมิจฉาทิษฐิออกไปจากจิตใจให้หมดสิ้น สุข ปลอดโปร่ง แผ่เมตตาอัปปมาณฌาน  -จบพิธีการถอนอธิฐาน 

 จากนั้น  จึง ๙.อธิฐานรวมบารมีความดีที่เราสร้าง ที่เราบำเพ็ญ กรรมฐานที่เราเคยฝึกมานับแต่อดีต ตราบจนอนาคตให้มารวมตัวกัน เพื่อให้หนุนบารมีของเราในปัจจุบันนี้ให้สูงขึ้น ท่านที่อ้างว่าไม่มีบารมีพอก็จะเข้าใจและไม่เป็นข้อติดขัด ผ่านไปได้    นอกจากนี้ก็เป็นการรำลึกในบารมีสามสิบทัศน์ ทาน และจาคานุสติกรรมฐาน
-ข้าพเจ้า ขอตั้งจิตระลึกถึงบุญบารมีคุณความดีสรรพวิชาและสายสมบัติที่ข้าพเจ้า ได้สร้าง ได้ศึกษา ได้ปฏิบัติ ได้บำเพ็ญมา(เพื่อปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณมีพระนิพพานเป็นที่สุด) นับตั้งเเต่อดีต ปัจจุบัน และจะบำเพ็ญต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทาน ศีล สมาธิ ปัญญา สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ให้มารวมตัวกัน ณ บัดนี้ เพื่อให้ข้าพเจ้า ได้ใช้สร้างบุญ สร้างบารมี เพื่อความรุ่งเรืองในทั้งทางโลกและทางธรรม มีกำลังใจ กำลังบารมีทั้ง30ทัศ ได้ช่วยตนเอง และสรรพสัตว์ ให้พ้นจากทุกข์ ประสพแต่ความสุข พ้นภัย จากวัฏฏสงสาร สัมผัสพระนิพพานอันเป็นบรมสุขด้วยเทอญ

๑๐.อธิฐานมหาโมทนาบุญ ของมวลสรรพสัตว์ทั้งปวง เพื่อให้อำนาจแห่งโมทนามัยบุญมาปรากฏนั้น  นั่นคือการเจริญมุทิตาจิตอันไม่มีขอบเขตไม่มีประมาณ นั่นเอง    ซึ่งกำลังบุญนี้จะสะท้อนไปหนุนความดีของมวลสรรพสัตว์ทั้งปวงให้สูงขึ้นไปด้วย

จากนั้นจึงตั้งจิต
การทำมหาโมทนาบุญ ด้วยกำลังใจในขณะที่เราอยู่บนพระนิพพาน อาทิสมานกายของเราเต็มเปี่ยมไปด้วยแสงสว่างแห่งบุญกุศล ประคองจิตให้อยู่ ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ตั้งจิตให้เบาสบายและมั่นคง อธิฐานว่า
"-ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิฐานระลึกถึง บุญกุศล บารมีคุณงามความดี และจิตใจที่ดีงาม ของพระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยสงฆ์ทุกๆพระ องค์ พระโพธิสัตว์ทั้งหลาย เทพพรหมเทวาทั้งหลาย
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ตลอดจนความดีของสรรพสัตว์ทั้ง หลายทั่วมหาอนันตจักรวาลที่ได้บำเพ็ญมานับตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และที่จะบำเพ็ญประโยชน์ต่อไปในอนาคต ไม่ว่าจะเป็น ทานศีลภาวนา สัมมาทิษฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ  -ข้าพเจ้าขอกราบ มหาโมทนาในบุญกุศลทั้งหลายเหล่านี้ด้วยความจริงใจ  -ขอให้อำนาจแห่งการมหาโมทนามัยนี้จงส่งผลเป็นกระแสบุญอันบริสุทธิ์หลั่งไหลสู่ดวงจิตของข้าพเจ้า นับแต่นี้ด้วยเทอญ"
-(ข้าพเจ้า ขอโมทนาบุญกุศล ในเขตแดนพุทธศาสนาทั้ง หมดทั้งมวล  ขอโมทนาบุญ ในกุศลจิตของทุกดวงจิต ใน อนันตจักรวาล ในอดีตปัจจุบันอนาคต  ขอถวายความดีจากการ โมทนามัยนี้ ถวายเป็น พุทธบูชา.ธรรมบูชา.สังฆบูชา  ขอให้ผลบุญจากมหาโมทนาบุญในครั้งนี้ จงส่งผลไปยัง จิตที่เป็นมิจฉาทิฐิ ให้กลับกลายเป็น สัมมาทิฐิ
ขอให้ ข้าพเจ้า และดวงจิตทุกท่านทุกรูปนาม จงมีจิตที่ตั้งมั่น มั่นคง อยู่ในความเป็นไตรสรณคมน์ ขอให้ดวงจิตของเรา ทรงอยู่ในความเป็นสัมมาทิฐิ สัมมาสมาธิ สัมมาปัญญา สัมมาปฏิบัติ ตลอดไป ตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพานเป็นที่สุดด้วย
เทอญ” -ขอให้ธรรมจักรจงหมุนจงเดินภายในดวงจิตของทุกคนเพื่อให้เกิดความไพบูลย์ ความเจริญงอกงาม ในความดี ในธรรมะ ขององค์พระสมณโคดมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
( ขอให้การเข้าถึงธรรมก็ดี การบรรลุธรรมแบบฉับพลันก็ดี ปรากฏขึ้นกับดวงจิตของเรา  และดวงทุกท่านทุกรูปนาม  ให้เข้าถึง โลกุตระญาณได้โดยง่าย โดยฉับพลันด้วยเทอญ
)
( สัพเพพุทธา สัพเพธัมมา สัพเพสังฆา พะลัปปัตตา ปัจเจกานัญ จะยังพลัง อรหันตานัญ จะ เตเชนะรักขัง พันธามิ สัพพะโส พุทธังอธิษฐามิ ธัมมังอธิษฐามิ สังฆังอธิษฐามิ )

๑๒.หลังจากนั้นให้อธิษฐานว่า"ด้วยกุศลผลบุญนี้ขอจงเป็นปัจจัยให้ ข้าพเจ้า เข้าสู่พระนิพพานในชาติปัจจุบันนี้ด้วยเถิด ภพภูมิอื่นใดไม่ว่าจะเป็น อบายภูมิมนุษย์ภูมิ เทวภูมิรูปพรหมภูมิหรืออรูปพรหมภูมิก็ตาม ข้าพเจ้า ไม่ปรารถนา..
ตายจากชาตินี้เมื่อไหร่ ขอให้ดวงจิตของ ข้าพเจ้า จับจดจ่ออยู่ที่พระนิพพานเป็นที่สุด และขอให้ ข้าพเจ้า ได้พบองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าบนพระนิพพานนั้นโดยทันทีด้วยเถิด...

๑๓.หมั่นพิจารณานึกถึงความตายอยู่เสมอ พร้อมกับพิจารณาให้เห็นว่า สังขารร่างกายนี้ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของๆเรา เราไม่มีในสังขารร่างกายนี้ สังขารร่างกายนี้ไม่มีในเรา..สังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ เป็นรังของโรค มีแต่ความสกปรกโสโครก น่าเบื่อหน่าย.. นึกน้อมพิจารณาจนจิตยอมรับสภาพตามความเป็นจริง.. และมีการปล่อยวางในสังขารร่างกายนี้

๑๔.พิจารณาตัดขันธ์5 และพิจารณาถึงความทุกข์ ความไม่เที่ยงของสรรพสิ่งต่างๆ อยู่เสมอ..  เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้ว มีแต่โรคภัยไข้เจ็บแบบนี้ ต้องกระทบกระทั่งกับสิ่งที่ไม่ชอบใจ ไม่พอใจทั้งหลาย ต้องพลัดพรากจากคนที่เรารักและคนที่รักเรา..สิ่งเหล่านี้มันเป็นทุกข์..เมื่อทุกข์ขนาดนี้แล้วเรายังอยากที่จะเวียนว่ายตายเกิดอีกหรือไม่...
แต่อย่างไรก็ตามถึงสังขารร่างกายนี้เป็นทุกข์ น่าเบื่อหน่าย.. แต่ข้าพเจ้าจะยังคงรักษาธาตุขันธ์นี้ต่อไป เพื่อยังประโยชน์ต่อสรรพชีวิตอื่น และธำรงไว้ซึ่งพระพุทธ ศาสนาตราบจนกว่าจะถึงอายุขัยของข้าพเจ้าเอง..
เสร็จแล้วพยายาม พิจารณา ทุกสิ่งให้เป็น"ธรรมดา"ยอมรับสภาพของชีวิตตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น...
๑๕.หมั่นทำความดีละเว้นความชั่วและอธิษฐานให้บ่อยๆทำจนจิตชินจนจิตเขาพิจารณาและภาวนาของเขาเองได้ยิ่งดีในสิ่งเหล่านี้  
ด้วยพระบารมีแห่งองค์พระศรีรัตนตรัย และกุศลผลบุญที่บังเกิดขึ้นนี้..ขอได้โปรดมารวมตัวกันและส่งผลให้ ทุกๆท่าน(ทุกรูปนาม)..มีดวงจิตที่เต็มเปี่ยมไปด้วยเมตตากรุณามุทิตาอุเบกขาอภัยทาน มีความสุขทั้งทางโลกทางธรรม เป็นสัมมาทิฐิ มีดวงตาเห็นธรรม เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป เข้าถึงที่สุดแห่งธรรม โดยฉับพลัน และมีพระนิพพานเป็นหลักชัย โดยถ้วนทั่วกัน ด้วยเทอญ

๑๖.-กราบขอบารมีพระท่านให้ทิ้งอาทิสมานกายของเราไว้บนพระนิพพาน ตลอดเวลาตลอดไป ตราบเท่าเข้าสู่พระนิพพานด้วยเทอญ 
การทิ้งอาทิสมานกายของเราอยู่บนพระนิพพาน จะมีสายใยโยงจิตอาทิสมานกายของเราไว้กับกายเนื้อบนโลกมนุษย์ ถ้าเราตายโดยไม่รู้ตัวสายใยนั้นก็จะขาดการเชื่อมกับร่างกาย และอาทิสมานกายก็จะอยู่บนพระนิพพานเลยโดยอัตโนมัติ เป็นการเข้าถึงซึ่ง พระนิพพานที่ง่ายที่สุด

๑๗.-กราบพระขอให้เรานี้มีจิตตั้งมั่นไม่คลาดจากพระนิพพานไม่ว่ายามตื่นยามหลับ
-จากนั้นแยกอาทิสมานกายออกไป กราบลาพระและท่านผู้มีพระคุณ พร้อมทั้ง แผ่เมตตาอัปปันณานฌาน ไปยังทั้ง สามไตรภูมิ หนึ่งนิพพานครับ
-จากนั้น ถอนจิตช้าๆจากสมาธิ พร้อมภาวนา
พุทธโธ ธัมโม สังโฆ กำกับ ให้ทรงอารมณ์นิพพานไว้เสมอ
+จบขั้นตอน ข้อปฏิบัติอนุสสติ๑๐+

 

๑๑.อธิฐานในไตรสรณะคมม์ และการอธิฐานจิตตั้งมั่นในสัมมาทิษฐิ  อันเป็นจุดเริ่มต้นในมรรคมีองค์แปด เพื่อให้ธรรมจักรแห่งธรรมเริ่มหมุนในดวงจิต เข้าสู่ธรรม
  ส่วนการตั้งไตรสรณะคมม์นั้น
เป็นองค์แห่งพระโสดาบันที่จิตตั้งมั่นเด็ดเดี่ยวในการยึดถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นที่พึ่ง สรณะ สูงสุดตลอดไปตราบเท่าเข้าถึงซึ่งพระนิพพาน เป็นการละวิจิกิจฉาให้สิ้นจากใจ
ดังนั้นผลและอานิสงค์แห่งการปฏิบัตินั้น มุ่งปรารถนา ให้ผู้ฝึก  -ได้ฌานสี่ -เกิดเมตตาจิต มนุษยธรรม –ทรงพรหมวิหารสี่ -มีกำลังใจและจิตสำนึกทำเพื่อส่วนรวม
-ละความพยาบาทอาฆาตจากใจ (ซึ่งจะตัดตอนความประมาทพลั้งทำอนันตริยกรรมลงไปได้) -เจริญมุทิตาจิต ยินดี และโมทนาในความดีของท่านผู้อื่น -พลิกจิตสู่ความเป็นสัมมาทิษฐิ –ตั้งมั่นในไตรสรณะคมม์ -หากเป็นผู้ปรารถนาพุทธภูมิ็๋ก็พึงยกจิตขึ้นสู่ความเป็นพระโพธิสัตว์ ปรารถนาสัมมาสัมโพธิญาณเพื่อปรารถนารื้อขนสรรพสัตว์เข้าสู่พระนิพพาน  -หากพิจารณาให้ดี ปฏิบัติให้ได้ให้ถึง ก็จะเป็นประโยชน์ต่อตนและต่อส่วนรวมได้มาก ปฏิบัติง่าย จิตสบาย อานิสงค์สูง ยังประโยชน์มากดังนี้
 "ขอท่านทั้งหลายจงพิจารณาตริตรอง ในธรรมทั้งปวงให้ถี่ถ้วน เจริญปัญญาในเมตตาสมาธิ ครั้นเล็ง เห็นประโยชน์อันพึงมี พึงเกิดขึ้น ก็ขอจงปฏิบัติให้ยิ่ง ให้ลึกซึ้งถึงจิต เพื่ออานิสงค์แห่งการปฏิบัติืที่สมบูรณ์ บริบูรณ์เต็ม
ด้วยอำนาจแห่งพระเมตตาธิคุณแห่งพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่ปรากฏมานับแต่อดีต ปัจจุบัน ตลอดจนที่จะปรากฏต่อไปในอนาคต ขอจงส่งผลให้ธรรมรัตนมณีโชติจงส่องสว่างกลางใจของสาธุชนทุกท่านผู้เป็นสัมมาทิษฐิและปรากฏผลอัศจรรย์แห่งการปฏิบัติได้กระจ่างใจทุกๆคนด้วยเทอญ"

 ๒.เริ่มต้น เราจับที่ลมสบาย ที่จิตสบาย ลมหายใจสงบระงับดับไป เห็นอาการของจิตที่หยุดนิ่งเป็น เอกัคคะตารมณ์ได้อย่างชัดเจน
ส่วน  การทดสอบจิตของเราในขณะจิตที่ทรงในฌานสี่อยู่นี้ ว่าจริงหรือไม่
อารมณ์ของจิตตั้งมั่นจน เห็นอาการหยุดของจิต ที่เรียกว่าเอกัตคตารมณ์  หากชำเลืองจิตไปดูลมหายใจ จะพบว่า ลมหายใจดับนิ่งหายไป
อันในภาษาการปฏิบัติเรียกว่า ลมสงบระงับ  ใช้จิตที่ตั้งมั่นมากำหนดดู ผัสสะที่มากระทบอายตนะทั้งห้า อันได้แก่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ เราจะพบว่า เรารับสัมผัสทั้งหมดแต่จิตไม่ไปปรุงแต่ง ให้เกิดสุข ทุกข์ เป็นเพียง  รู้สึกสักแต่ว่ารู้สึก เห็นสักแต่ว่าเห็น ได้ยินสักแต่ว่าได้ยิน ได้กลิ่นสักแต่ว่าได้กลิ่น
  ซึ่งนั่นคือ การทรงฌานนั่นเอง เราจะพบว่าจิตเรานิ่งขึ้น จิตกระเพื่อมต่ออารมณ์กระทบและการปรุงแต่งน้อยลงจน ปรากฏได้ด้วยตนเอง และยิ่งเราเห็นอาการหยุดของจิตเรามากเท่าไร จิตนิ่งมากเท่าไร เจโตปริยญาณ หรือญาณเครื่องรู้ในวาระจิตก็จะปรากฏขึ้นเมื่อนั้น เกิดเอง รู้เองเห็นเอง ประจักษ์เอง ซึ่งเมื่อเจโตปริยญาณปรากฏแล้ว เราก็จะเข้าใจได้เองว่า สมาธิที่เราทรงได้เป็นฌานจริงๆ

๒.จับลมสบาย
สักพักจนกว่าท่านจะรู้สึกเบาสบายโล่งโปร่ง ไม่มีความกังวลใดๆทั้งสิ้น. ไม่ว่าจะเป็น..ลม 1ฐาน หรือ ลม 3ฐาน หรือ ลมไร้ฐาน ก็ได้
-อาณาปาณสติลม 1ฐาน นั่งสบายๆ มือใหม่หลับตา ปล่อยลมหายใจตามสบาย เราเป็นผู้ติดตามลมหายใจ เมื่อหายใจเข้าภาวนา"พุทธ" หายใจออกภาวนา"โธ" วางอารมณ์ใจเบาๆสบายๆ จับความรู้สึกที่ลมหายใจกระทบปลายจมูก นั่งจับลมหายใจจนรู้สึกโล่งเบาสบาย ตามดูลมและคำภาวนาอย่างเดียว ยังไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ถ้าใจอยากหยุดภาวนาก็ปล่อยหยุด จับลมอย่างเดียว  เมื่อทำได้สำเร็จแล้วอธิฐานกำกับครับว่า"ขอให้ข้าพเจ้าได้และเข้าถึงอาณาปาณสติลมหนึ่งฐานทุกครั้งที่ต้องการทุกชาติไปจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ"
-ลม 3ฐาน ลักษณะการฝึกเหมือนกัน แต่มีเพิ่มเติมในการ จับลมหายใจ สามจุด คือจมูก อก ท้อง ทั้งการหายใจเข้า หายใจออก  สมาธิจะมีสติตามลมได้ละเอียดขึ้นครับ ทำจนใจสบายแล้วจึงอธิฐานกำกับว่า "ขอให้ข้าพเจ้าได้และเข้าถึงอาณาปาณสติ ลมสามฐานนี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการทุกชาติไปจนถึงซึ่งพระนิพพานด้วยเทอญ”
-ลมไร้ฐาน ลองจับลมหายใจตลอดสายให้เหมือนกับเส้นไหมพริ้ว ผ่านจมูกผ่านอกผ่านท้องพริ้วออกไป ผ่านอกผ่านจมูกออกไป แล้วย้อนกลับไปต่อเนื่องไม่สิ้นสุด ทำจนรู้สึกใจสบายเบาโล่ง อธิฐานกำกับว่า ขอให้ข้าพเจ้าได้และเข้าถึงอาณาปาณสติลมปราณตลอดสายนี้ได้ทุกครั้งที่ต้องการในทุกๆชาติตราบเข้าถึงซึ่งนิพพานด้วยเทอญ
-อาราธนาบารมีพระท่านให้เมตตา ดึงปราณจากพระ   นิพพาน ลงมาผสานเป็นหนึ่งเดียวกับลมหายใจของเรา
โดยมีลักษณะเป็นละอองเพชรใส ระยิบระยับแพรวพราว เข้าไปในร่างกายของเรา ฟอกธาตุขันธ์ของเรา ให้ใสบริสุทธิ์ปราศจากกิเลศ โดยขอให้ชำระธาตุธรรม รักษาโรค และเพิ่มพลังลมปราณในกายเนื้อ ได้พร้อมๆกัน ฝึกจับลมหายใจ ดึงธาตุทิพย์จากนิพพาน แค่หายใจเข้าครั้งเดียวอาทิสมานกายก็แยกขึ้นไปอยู่บนพระนิพพานแล้ว ส่วนร่างกายก็ปล่อยมันไปตามเรื่อง ตั้งจิตอธิฐานว่า"ข้าพเจ้าขอให้ทุกลมหายใจเข้าออกของเราเชื่อมต่อกับพระนิพพาน



Create Date : 04 ธันวาคม 2558
Last Update : 22 มิถุนายน 2560 12:30:43 น. 0 comments
Counter : 822 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

doraeme
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 12 คน [?]




New Comments
Friends' blogs
[Add doraeme's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.