เสาร์อาทิตย์ที่ผ่านมา (๖-๗ พฤศจิกายน)
ไปทอดกฐินที่วัดป่าเป็นครั้งที่สองปีนี้ แต่ไม่ใช่วัดเดิมเพราะวัดหนึ่งทอดกฐินได้แค่ปีละครั้งเท่านั้น ครั้งนี้เป็นวัดสวนป่าสิริธโร อ.วังน้ำเขียว
วัดสวนป่าสิริธโร เป็นวัดสร้างใหม่ อยู่ที่ อ.วังน้ำเขียว แต่ขึ้นทางเขาใหญ่จะสะดวกกว่า
ประวัติสั้นๆ คือ มีผู้บริจาคที่ดินให้ แล้วหลวงปู่สาครก็มาดำเนินสร้างเป็นวัดป่าตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อน จุดประสงค์เพื่อให้เป็นที่ภาวนาของภิกษุ และรองรับสามเณรภาคฤดูร้อนจากวัดป่ามณีกาญจน์ที่มีเพิ่มมากขึ้นทุกปี
ไปครั้งนี้มีผู้ฝากปัจจัยทำบุญเพิ่มมา ๓ ท่าน ก็จัดการเตรียมชุดทอดกฐินเพิ่มให้โดยเฉพาะ
คือ ผ้ามัสลินสีขาว ๒ พับ ด้ายผ้าฝ้ายสีขาวหลอดใหญ่
เข็มจักรเย็บผ้าสำหรับจักรธรรมดาและสำหรับจักรอุตสาหกรรม
สีย้อมจีวรสีทองและสีกรัก
ของพวกนี้ผู้ที่ฝากทำบุญมาจะได้รับอานิสงส์เหมือนกับการถวายสังฆทาน
พร้อมได้รับอานิสงส์พิเศษเพิ่มขึ้นตามที่เคยอ่านพบ คือ
การถวายผ้าทำให้ได้บวชโดยวิธีเอหิภิกขุ
แต่ถ้าเป็นหญิงจะได้เครื่องประดับมหาลดาปสาธน์อันมีค่ามากเหมือนนางวิสาขา
เข็มเย็บผ้าทำให้ได้พระขรรค์วิเศษแบบพระเจ้าชมพูบดี
ส่วนสีจำไม่ได้ว่าในพระไตรปิฎกว่าไว้อย่างไร แต่คงทำให้เกิดมาได้พบแต่สิ่งสวยๆ งามๆ ทำนองนั้น (มั้ง)
อานิสงส์นี้เป็นเพียงอานิสงส์พื้นๆ เพราะพระพุทธเจ้าปทุมุตตระตรัสว่า
ผู้ใดถวายกฐินย่อมได้เป็นเศรษฐี ท้าวพระยา มหากษัตริย์ เป็นอย่างต่ำ
แม้ปรารถนาเป็นพระพุทธเจ้าก็สัมฤทธิผล
วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๕๓
ออกเดินทางก่อนวันงาน ๑ วัน โดยออกจากบ้านตอนเที่ยงครึ่ง
ไปกันสองคนพ่อลูก คู่แชมป์แรลลี่สาธิตเกษตรสัมพันธ์ กรุงเทพ-เขาใหญ่ เมื่อ ๘ ปีก่อน
แต่ไปคราวนี้มัวแต่โอ้เอ้ กว่าจะถึงวัดปาเข้าไปสี่โมงครึ่งกับระยะทางแค่ ๒๒๐ กม.
ไปถึงจอดรถหน้าศาลาใหญ่ พบพระอาจารย์กฤษณ์กับอาจารย์โตอยู่ตรงนั้นพอดี
เข้าไปกราบท่าน ท่านถามว่าณัชมาด้วยหรือเปล่า (ถามแบบนี้เพราะท่านรู้ว่าเห็นพ่อก็ต้องเห็นลูก ขณะที่เห็นลูกอาจไม่เห็นพ่อ) เรียนท่านว่าน้องณัชบ่นว่าเมารถ วิ่งเข้าโรงครัวไปหามาม่าแล้วครับ
ท่านคงเห็นว่ามาหิวๆ เลยยกรากบัวเชื่อมมาให้ กินเข้าไปครึ่งถ้วยจึงค่อยถามว่าวันนี้ถือศีลแปดกินรากบัวได้หรือ ท่านหัวเราะบอกว่าได้สิ เป็นยา อันนี้พระก็ฉันอยู่
แหม.. อยากได้ยาแบบนี้สักชาม
เรื่องยาหรือคิลานเภสัชนี่เคยสงสัยว่าบางอย่างมันเยอะจนเหมือนเป็นอาหารมื้อใหญ่ อย่างเช่นพวกปรมัตถ์ห่อใบชะพลูก็เหมือนเมี่ยงคำเอามากๆ และวันนี้ก็เป็นรากบัวเชื่อม ถามท่านว่าไม่อาบัติหรือ ท่านว่าอยู่ที่ใจว่าตอนฉันน่ะคิดอะไร คิดว่าเป็นเภสัชฉันเป็นชามก็ไม่เป็นไร แต่ถ้าคิดว่าฉันแก้หิวก็อาบัติทุกคำกลืน
ศาลาหลังใหญ่วัดสวนป่าสิริธโรวันนี้ปูพื้นไม้เสร็จเรียบร้อย ใหม่เอี่ยมอ่อง กว้างขวาง
พื้นศาลาเงาวับ แต่ก็คว้าไม้ถูพื้นไปช่วยถูศาลากันอีกรอบ ถูไปไถมาสักพัก
ก็มีคนมาขอไม้ถูพื้นน้องณัชไปถูบ้าง บอกว่าอยากมีส่วนร่วมทำบุญด้วย
ผมก็เลยยกไม้ถูพื้นให้น้องณัชไป ส่วนตัวเองนั่งพักเหนื่อย
(เหนื่อยเพราะแก่ ไม่ใช่เหนื่อยเพราะถูพื้น)
มีเวลาว่าง ครูบาอุยบอกว่าลองขับรถไปเที่ยวหลังวัดดูสิ จะได้ดูอะไรรอบๆ
ด้านหลังมีกุฏิอยู่หลายหลัง แต่ละหลังอยู่ห่างกันมาก ที่พิเศษคือกุฏิทุกหลังมีหลังคาครอบทางเดินจงกรมด้วย เป็นอันว่าฝนตกฟ้าร้องพระท่านก็เดินจงกรมได้ไม่มีปัญหา
กุฏิหลังนี้อยู่ไกลสุด มองลอดช่องออกไปจะเห็นศาลาหลังใหญ่อยู่ไกลๆ
ไกลมาก
แถมเดินขึ้นเนินอีกต่างหาก เดินทุกวันสุขภาพแข็งแรง
ในพื้นที่วัดมีต้นไม้ใหญ่หลายต้นอยู่ห่างๆ กัน เดาเอาว่าน่าจะเป็นต้นยางนา
แต่ที่พันอยู่นี่น่าจะเป็นเถาวัลย์ ส่วนพื้นที่ว่างที่ยังเป็นหญ้าและพืชล้มลุกก็เริ่มเอาไม้ใหญ่มาลง
วันหน้าเมื่อต้นไม้ใหญ่โตเต็มที่แต่ละกุฏิคงมองไม่เห็นกัน
ใกล้ค่ำแล้ว มานั่งพักอยู่หลังอาคารก่อสร้างดูพระอาทิตย์ตกเขา เล็งเอาไว้ว่าเดี๋ยวจะกางเต้นท์นอนตรงนี้
ยังไงก็ขอให้มีหลังคาหลบน้ำค้างหน่อย มีบางคนมาจับจองที่กางเต้นท์นอนกันแล้ว
ครูบาอุยถามว่ามีที่นอนหรือยัง เรียนท่านว่าคงกางเต้นท์นอนแถวนี้แหละครับ
ท่านบอกว่าหนาวนะ กลางคืนอุณหภูมิ ๑๖-๑๗ องศา
ได้ยินว่าหนาวเลยเปลี่ยนใจ ขอเข้าไปกางเต้นท์นอนในศาลาหลังยาวที่พักพระอาคันตุกะดีกว่า
ท่านก็ว่าได้ ที่ว่างเยอะแยะ กางเต้นท์เสร็จก็รีบไปอาบน้ำตั้งแต่ ๖ โมงเย็น
น้ำเย็นเจี๊ยบเหมือนอาบน้ำแช่น้ำแข็ง
อาบน้ำเสร็จน้องณัชมาบอกว่าส่วนใหญ่ที่มาพักกันคืนนี้เขาไม่อาบน้ำกันนะ
อืมม.. หาเรื่องจะไม่อาบน้ำล่ะสิพ่อหนุ่ม
คืนนี้มีคนมาวัดราวร้อยคนเศษ ส่วนใหญ่น่าจะตามหลวงปู่มาจากกรุงเทพ
บางคนหน้าตาท่าทางบอกว่าเป็นคนแถวนี้ แต่คงเพิ่งมาเป็นครั้งแรก จึงคว้าหนังสือสวดมนต์มาถามผมว่าคืนนี้สวดหน้าไหน ผมก็เปิดให้ดูว่าหน้าทำวัตรเย็นทั้งหมด จากนั้นก็เป็นพระสูตรซึ่งกระโดดไปกระโดดมา เอาแน่เอานอนไม่ได้แล้วแต่ครูบาอาจารย์ท่านจะนำไป
แต่ปรากฏว่าคืนนี้หลวงปู่ไม่ได้นำทำวัตรเย็น แต่ท่านสวดพระปริตรบอกว่าเรามาฉลองศาลากัน ศาลาหลังนี้เพิ่งจะเสร็จหมาดๆ เงินญาติโยมที่ทำบุญมากันทั้งนั้น ใครจะสวดไปพร้อมกันก็ได้ หรือใครจะนั่งสมาธิไปก็ได้
เริ่มต้นก็อาราธนาศีลกันก่อน ปกติที่เป็นวันพระอย่างนี้ถ้ามีการอาราธนาศีลก็จะเป็นศีล ๘
แต่สงสัยวันนี้ป้าหนึ่งจะไม่ได้รักษาศีล ๘ (มั้ง) เลยอาราธนาแค่ศีล ๕
แล้วอาราธนาพระปริตรด้วยทำนองสรภัญญะ
เสียงป้าหนึ่งเพราะมาก น่าจับมาสวดมนต์บันทึกใส่แผ่น CD จริงๆ
จากนั้นอาจารย์อำนวยก็สวดชุมนุมเทวดา พอจบผมก็ถือโอกาสทำตามคำหลวงปู่
คือนั่งสมาธิ
แต่วันนี้สมาธิดีเหลือเกิน เพราะเผลอนั่งหลับไปหน้าตาเฉย
รู้สึกตัวอีกทีตอนพระท่านสวดธรรมจักรไปถึงพรหมโลกแล้ว ขณะที่ป้าวรรณถามวันรุ่งขึ้นว่า
เมื่อคืนพระสวดธรรมจักรบทเต็มหรือบทย่อ เพราะป้าวรรณหลับตอนท้าย
อ้าว.. นึกว่าเราเพลียจนหลับไปคนเดียวเสียอีก
พอสวดมนต์จบหลวงปู่สาครก็เทศน์ ตามกำหนดเดิมต้องเป็นหลวงปู่อุทัย ไม่รู้เหมือนกันว่าท่านไปติดกิจที่ไหน หลวงปู่สาครจึงเทศน์เอง
คืนนี้หลวงปู่เทศน์ว่า...
ให้พวกเราหมั่นกันสวดมนต์ รักษาศีล ภาวนา พวกเราอย่ากลัวรวย เพราะกิจอย่างนี้เป็นปัจจัยให้รวยได้ แต่คนส่วนใหญ่ไม่เอากัน กลัวว่ารวยแล้วจะบริหารทรัพย์ไม่ได้ แต่พวกเราเข้ามาปฏิบัติกันแล้วรักษาได้ ให้หมั่นทำกันไว้
ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็น หลวงปู่จึงให้นำผ้าห่มมาแจกจ่ายกัน หลายคนเอามาคลุมหัวเข่ากันยุง บางคนห่มกันหนาว เด็กบางคนห่มคลุมโปงนอนฟังเทศน์หลับไปเลย
ห้าทุ่มกว่าลุกออกมานอกศาลา เห็นพวกโรงทานนอนกางเต้นท์กันอยู่ ท่าทางจะหนาว
เลยเอาผ้าห่มไปแจกให้ ใครได้ผ้าห่มไปไม่พอกันหนาวก็ให้เอาไปเพิ่มเพราะผ้าห่มเขาทอมาบางนิดเดียว คงต้องซ้อน ๔ ชั้นแหละมั้งจึงจะพอหายหนาว
แจกเสร็จก็แอบหนีไปนอนเลย เพราะคิดว่าหลวงปู่คงจะเทศน์ยาว และหลังๆ ท่านเทศน์ประวัติความเป็นมาของการสร้างวัดซึ่งฟังบ่อยแล้วเลยไปนอนดีกว่า รุ่งเช้าน้องณัชบอกว่าหลวงปู่เทศน์ต่ออีก ๑๕ นาทีเอง
เช้าตื่นตั้งแต่ก่อนพระทำวัตรเช้า แต่ขี้เกียจลุกเพราะยังอาลัยอาวรณ์กับผ้าห่ม
ออกมาอีกทีตอน ๖ โมงเช้า มาช่วยตั้งเก้าอี้สำหรับนั่งรอใส่บาตรด้านหน้าศาลา
พวกในโรงครัวก็วุ่นวายกับการเตรียมอาหาร
พวกโรงทานก็เหมือนกัน ก่อนจะทำทานก็ทำอาหารถวายพระกันก่อน
โรงทานวันนี้มีหลายเจ้าและมีอาหารหลายอย่าง บางเจ้ามาจากกรุงเทพ บางเจ้ามาจากโคราช และบางเจ้าเดินสายกลับมาจากวัดป่าบ้านตาด
สำหรับเจ้านี้ต้องขอไปดูใกล้ๆ เพราะไม่รู้จัก เขาบอกว่าเป็นข้าวจี่
พอเริ่มสายญาติโยมที่นอนค้างวัดก็เริ่มมาจับจองที่นั่งใส่บาตรกันที่ต้นขบวน
ใครมาทีหลังก็มายืนต่อแถวไกลออกไปจนครบวง
วันนี้ป้านงยิ้มแย้มแจ่มใสตักข้าวสวยใส่ถ้วยสำหรับให้ญาติโยมเอาไปใส่บาตร
ปากก็ร้องเชิญค่ะๆ ข้าวสวยใส่บาตร
ป้านงทำร้านต้นไม้อยู่ใกล้วัดป่ามณีกาญจน์ ที่นนทบุรี สวนต้นไม้เล็กๆ กระจุ๋งกระจิ๋งในวัดป่ามณีกาญจน์ส่วนใหญ่จะเป็นฝีมือป้านงทั้งนั้น วันนี้มาไกล ตั้งใจมาร่วมทอดกฐินโดยเฉพาะ ปกติป้านงไม่ค่อยยิ้ม แต่วันนี้บอกว่าดีใจได้มาทำบุญ เลยอารมณ์ดีให้คนโน้นคนนี้ถ่ายรูปให้หน่อย
เรื่องการใส่บาตรแบบนี้ บางคนสงสัยว่าได้บุญหรือ ในเมื่อข้าวก็ไม่ใช่ข้าวของเราสักหน่อย
ตอบว่าได้ครับ และมีคนที่มีส่วนร่วมในการได้บุญเยอะมาก ทั้งคนที่นำข้าวสารมาถวายวัด คนหุงข้าว คนตักข้าว คนนำข้าวไปใส่บาตร คนเก็บหม้อเก็บชามไปล้าง เรียกว่าได้บุญร่วมกันเป็นคณะใหญ่ ใครมีโอกาสได้ทำแบบนี้จะได้ร่วมขบวนเดินทางไกลในสังสารวัฏฏ์ไปด้วยกันเป็นหมู่คณะ ได้ช่วยเหลือเกื้อกูลกันไปจนกว่าจะทะยอยขึ้นฝั่งกันจนหมด
เจ็ดโมงกว่าหลวงปู่สาครก็เดินนำแถวพระภิกษุออกมาบิณฑบาต
พรรษานี้วัดสวนป่าสิริธโรมีพระภิกษุปวารณาจำพรรษาแค่ ๗ รูป แต่ที่เห็นเยอะเพราะมีมาสมทบจากวัดป่ามณีกาญจน์ วัดเวฬุวัน และวัดวาชูคุ อย่างหลวงปู่สาครปีนี้อยู่อำนวยการก่อสร้างวัดนี้เป็นส่วนใหญ่ แต่ท่านจำพรรษาที่วัดเวฬุวัน อ.ทองผาภูมิ ไม่ใช่จำพรรษาที่วัดนี้
บางคนหายไปนานเพิ่งจะได้โอกาสมาทำบุญ หลวงปู่และครูอาจารย์เดินรับบาตรไปจึงสนทนาทักทายไปด้วย ส่วนบางคนมาวัดบ่อยๆ แต่พระท่านหายไปอยู่วัดอื่น ก็กลายเป็นญาติโยมทักทายปราศัยถามความเป็นอยู่ของท่านแทน
ส่วนผมก้มหน้าก้มตาใส่บาตรไม่มองเลยว่าท่านเป็นใคร ส่วนน้องณัชนั้นรู้จักครูบาอาจารย์เกือบทั้งหมดก็จะถามว่าเห็นอาจารย์นั่นไหม เห็นครูบานี่ไหม ได้แต่ตอบว่าไม่เห็น ไม่ได้มอง !!
ใส่บาตรเสร็จก็กลับขึ้นศาลา ในบาตรมีแต่ข้าวสวย ส่วนกับข้าว ของหวาน และผลไม้ทั้งหลาย ประเคนกันในศาลา ธรรมเนียมใส่บาตรพระวัดป่าเป็นอย่างนี้ครับ
นึกขึ้นได้เรื่องหนึ่ง คือ เคยถามอาจารย์กฤษณ์ว่าเวลาไปอยู่ที่วัดวาชูคุซึ่งอยู่ในทุ่งใหญ่นเรศวรนั้น ชาวกะเหรี่ยงเขาใส่บาตรด้วยอะไร ท่านว่าข้าวเหนียวก็มี ข้าวสวยก็มี ถามท่านว่าแล้วกับข้าวล่ะ คือถามเพราะอยากรู้ว่าชาวบ้านเขากินอะไรกัน อาจารย์ท่านว่าไม่มีกับข้าว สงสัยไม่มีใครบอกว่าพระก็ฉันกับข้าวเหมือนกัน แล้วท่านก็หัวเราะ ท่านว่ากับข้าวต้องพึ่งอาหารแห้งที่ญาติโยมมาถวายที่วัดป่ามณีกาญจน์หรือที่วัดเวฬุวันนี่แหละขนเข้าไปเก็บไว้ที่โรงครัว แล้วก็มีแม่ครัวคอยทำมาถวายอีกทีหนึ่ง ถ้าหมดก็อด ต้องฉันข้าวเปล่า เห็นแว๊บๆ ว่าวันนี้ครูบาบอยออกจากวัดวาชูคุมาร่วมพิธีรับกฐินด้วย ไม่ได้ถามท่านว่าเดี๋ยวนี้กะเหรี่ยงใส่บาตรมีกับข้าวหรือยัง
เมื่อพระขึ้นนั่งประจำที่บนอาสนะ ก็เริ่มประเคนจังหัน วางบนรถเข็นผ่านหน้าไป พระท่านก็จะตักอาหารไว้อย่างละนิดอย่างละหน่อย พระท่านฉันในบาตรครับ ไม่ได้ใส่ถ้วยชามแล้วนั่งล้อมวง ถ้าตามพระวินัยดั้งเดิมจริงๆ ฉันแบบล้อมวงนี่จะผิดพระวินัยครับ เว้นแต่รับกฐินแล้วจึงจะนั่งฉันแบบล้อมวงได้จนถึงเดือน ๔
อาหารมากมายถูกลำเลียงออกมาเตรียมไว้ให้ญาติโยม จะเห็นว่าแต่ละอย่างแทบจะไม่ยุบเลย แต่ถ้าไปดูในบาตรพระ จะเห็นว่าแต่ละบาตรนี่เกือบล้นนะครับ ไม่ใช่ว่าท่านตักเยอะ ท่านตักอาหารแค่อย่างละช้อนก็เกือบเต็มบาตรแล้ว และส่วนใหญ่ท่านจะตักอาหารทุกอย่างด้วย ท่านว่าเขาถวายมาแล้วก็ต้องฉัน บางคนชอบมองตามอาหารที่ตัวเองถวายด้วยว่าพระรูปไหนตักบ้าง ถ้าไม่เห็นพระตักก็จะเสียใจ พระท่านเลยตักเกือบจะหมดทุกรายการ
เรื่องการตักอาหารนี้ เคยเห็นความเมตตาของหลวงปู่ท่อน บางครั้งมีญาติโยมนำอาหารมาถวายช้าตอนที่พระท่านกำลังจะให้พรอยู่แล้ว หลวงปู่ท่อนนั่งหัวแถว ท่านจะตักอาหารนั้นใส่บาตรเยอะมาก และพูดดังๆ ว่าตักเยอะๆ พอตักเสร็จก็สวดให้พรเลย ไม่ส่งอาหารนั้นต่อไปให้พระรูปอื่น แต่เพียงเท่านี้คนนำอาหารมาก็ใจพองโตที่สุดแล้ว
ด้านหน้าศาลามีตู้รับปัจจัยทำบุญ หรือใครอยากจะปักต้นกฐินก็ตามสะดวก
เห็นผู้ชายคนนี้แล้วนึกถึงมหาทุคตะที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ตัวเองหาได้น้อยและยากจน แต่มีศรัทธาสละทรัพย์เพื่อทำบุญ บางคนอาจจะคิดว่าแค่ ๒๐ บาทเอง แต่เชื่อเถอะว่าเขาน่าจะได้อานิสงส์มากกว่าใครในศาลาเพราะ ๒๐ บาทของเขามีค่าเท่ากับชีวิต ส่วนของเราพันบาทมีค่าแค่น้ำมันรถ
สาธุ.. แอบอนุโมทนาแบ่งบุญด้วยคน
แถวหลังนี่เป็นญาติโยมเหมารถมาจากทองผาภูมิ เพิ่งเดินทางมาถึงเมื่อเช้ามืด
ถวายจังหันเสร็จพระท่านก็ให้พร แล้วก็แยกย้ายกันทานอาหารรองท้อง
ทานอาหารเสร็จก็ทยอยกลับเข้าไปนั่งในศาลาเพื่อถวายกฐินร่วมกัน
อัฐบริขารและผ้ากฐินเตรียมไว้ข้างหน้า
ก่อนอื่น หลวงปู่ให้ถวายพระประธานร่วมกันก่อน ป้าหนึ่งกล่าวนำบูชาพระรัตนตรัย
ป้าหนึ่งอายุไม่มากเท่าไหร่หรอกครับ ผมเรียกป้าแทนเด็กๆ เพราะบางทีป้าหนึ่งก็เรียกตัวเองกับเด็กๆ ว่าพี่บ้าง ป้าบ้าง บางทีก็ยาย เรียกว่ามีหลายวัยในตัวเอง เป็นนักภาวนาที่มีอาศรมส่วนตัวสุดหรูอยู่หน้าวัดสวนป่าสิริธโร หรูเพราะหลังคาและฝาผนังเป็นสังกะสีทั้งหมด คงไม่มีอะไรหรูกว่านี้อีกแล้ว เวลาอยู่วัดป่ามณีกาญจน์ก็ยึดโรงไฟฟ้าเป็นอาศรม
ตั้งใจถวายพระประธานร่วมกัน
ถวายพระประธานแล้วหลวงปู่บอกว่าใครอยากได้สายสิญจน์ก็เอาไป
สายสิญจน์นี่เขาเชื่อกันว่าต้องดึงเอา ห้ามตัด แต่สายสิญจน์ยี่ห้อนี้เหนียวสุดๆ ดึงไม่ขาด
สุดท้ายก็ต้องตัดจนได้
ด้านหลัง พ่อหนุ่มป๋องช่างจัดดอกไม้มากฝีมือเดินบริการรับปัจจัยทำบุญกฐิน เมื่อคืนก็อยู่จัดดอกไม้และโต๊ะเครื่องกฐินจนดึก บอกว่าปีหนึ่งได้มาจัดดอกไม้งานบุญไม่กี่ครั้งต้องทำให้เต็มที่ บอกผมว่าเดี๋ยวไปเจอกันต่องานต่อไปที่วัดเวฬุวัน
ไม่ไหวครับท่าน ขี้เกียจขับรถ วัดเวฬุวันผมฝากผ้ากฐินไปกับป้าวรรณแล้ว
หลวงปู่ให้แต่ละคนนำผ้าขาวมาไว้กับตัว มองหาน้องณัชเขาก็ก้มหน้าหลบอยู่ข้างหลวงปู่โน่น บอกว่าไม่อยากถวายผ้า มีงานอื่นต้องทำอีกเยอะ เลยวางผ้าไว้ตรงหน้าก่อนแล้วกัน ฝีมือจัดพานของพ่อหนุ่มป๋องเหมือนกัน มีเฉพาะผ้าขาว ส่วนบริวารวางไว้ที่โต๊ะกลาง แต่ก่อนถวายวิ่งไปเอาด้ายกับเข็มเย็บผ้ามาถวายด้วย
กล่าวคำถวายกฐินร่วมกันแล้วก็ทยอยกันเข้าไปถวายผ้า ผ้าที่นำเข้าพิธีจะเอาเฉพาะผ้าขาวครับ เพราะกฐินนี่ต้องมีการ ตัด-เย็บ-ย้อม ถ้าใช้ผ้าไตรจีวรสำเร็จกระบวนการเหล่านี้จะหายไป
หมดผ้าขาวแล้วมีที่ว่างอีกนิดหน่อยก็ให้เอาผ้าสีถวายไปบ้างไม่กี่ชิ้น
เริ่มทำพิธีอุปโลกน์กฐิน
พิธีนี้ปกติวัดอื่นพระท่านจะยกผ้าแอบไปทำกันในอุโบสถ แต่วัดป่าท่านรับตรงนี้ก็อุปโลกน์กันตรงนี้เลย
ผ้ากฐินทั้งหลายเหมือนมาจากฟากฟ้า คณะสงฆ์ขอถวายให้พระอาจารย์มณีครับ
ตามไปดูพระท่านตัดผ้ากฐินหน่อยครับ
มีคนถวายจักรเย็บผ้าใหม่ให้ด้วยหลังหนึ่ง พระท่านฉลองศรัทธาด้วยจักรใหม่ แต่พระหนุ่มๆ ไม่ชำนาญจักรแบบนี้นัก ต้องโทรถามอาจารย์เวทย์ก่อนว่าใช้ยังไง
สำหรับท่านที่ฝากผมถวายกฐิน ด้ายม้วนโตบนจักรนั่นคือด้ายของท่านครับ
เจอม้วนโตๆ แบบนี้พระท่านชอบใจว่าไม่ต้องเปลี่ยนด้ายกันบ่อยๆ
ผ้าขาวทั้งหมดหลวงปู่บอกว่าจะนำไปแจกจ่ายพระประมาณร้อยรูปที่อยู่ในป่า ซึ่งแต่ละที่มีพระไม่พอรับกฐิน หรือบางที่พอรับกฐินแต่ไม่มีใครบุกป่าฝ่าดงเข้าไปถวาย ก็ได้ผ้าพวกนี้แหละที่นำไปตัดเป็นผ้าไตรจีวรชุดใหม่ที่อาจจะเก่าหรือขาดแล้ว พระป่าท่านไม่ค่อยเปลี่ยนผ้ากันเท่าไหร่นัก ท่านมักจะปะชุนของเก่าใช้ไปก่อนจนเห็นท่าจะไม่ไหวนั่นแหละจึงเปลี่ยน วันก่อนอาจารย์เวทย์ก็ถอดรัดประคดเอวให้ดู บอกว่านี่เป็นรัดประคดเก่ามรดกตกทอดจากพระรูปอื่น ท่านใช้มา ๑๗ ปีแล้ว ยังใช้ได้ดีไม่คิดจะเปลี่ยน ถ้าเป็นชาวบ้านอย่างเรา เข็มขัดเส้นหนึ่งเราใช้กันกี่ปีเนี่ย ?
กลับจากวัดสวนป่าสิริธโรเกือบบ่ายโมง เพราะอยู่รออาจารย์โตท่านฝากงานกลับมาให้อาจารย์กฤษณ์ที่เดินทางกลับมาก่อนด้วย แต่ขากลับค่อนข้างจะเป็นตีผีไปหน่อย ล้อหมุนทีหลังเป็นชั่วโมง แต่ถึงก่อนซะงั้น
ปีนี้คงจบเทศกาลถวายกฐินเพียงแค่วัดนี้ วัดต่อไปคือวัดเวฬุวันทอดกฐินวันที่ ๒๑ แต่ฝากผ้าป้าวรรณไปถวายแทนเรียบร้อยแล้ว
ไปทอดกฐินสองวัน แต่นอนพักเอาแรงเสียสามวัน
นำบุญมาฝากทุกท่านครับ