|
| 1 | 2 | 3 | 4 | 5 | 6 |
7 | 8 | 9 | 10 | 11 | 12 | 13 |
14 | 15 | 16 | 17 | 18 | 19 | 20 |
21 | 22 | 23 | 24 | 25 | 26 | 27 |
28 | 29 | 30 | 31 | |
|
|
|
|
|
|
|
...หลงเสียงนาง บทที่ 6
คืนนั้นมณีมัญชุญ์นอนอยู่ในห้องชมจันทร์ แรกทีเดียวทั้งหล่อนและสาวรุ่นพี่ต่างนั่งเงียบ จนหล่อนตาปรือ สัปหงก ‘ง่วงก็ไปนอนเสียไป มะขาม’ แต่กระนั้นสาวตัวเล็กก็ได้แต่ส่ายศีรษะปฏิเสธ จนจู่ๆ เอนหลับลงกับพื้นได้อย่างไรก็มิทราบ แถมมีผ้าห่มคลุมตัวพร้อม เมื่อตื่นมาเจ้าของห้องก็หายไปเสียแล้ว
หญิงสาวรีบเปิดดูตู้เย็นทันทีเพราะขวดเหล้าก็หายไปจากสายตาด้วย ก่อนที่จะถอนหายใจโล่งอกเมื่อพบว่าว๊อดก้าใสสีตาตั๊กแตนนั้นไม่ได้พร่องลง สักนิด หล่อนไม่ได้เคร่งครัดว่าสาวๆ ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ แต่ในสถานการณ์แปลกๆ ที่แสดงอาการออกมาว่าเสียใจ สติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว มณีมัญชุญ์คิดว่าควรดื่มเหล้าให้เมาเประอยู่แต่ในห้องส่วนตัวดีกว่าเพื่อความปลอดภัย
“ตื่นแล้วเหรอ” ประตูห้องเปิดออกพร้อมกับเจ้าของห้องที่ก้าวเข้ามา ชมจันทร์ใส่กางเกงวอร์ม รองเท้าผ้าใบ เสื้อยืดสีดำมีรอยเปียกเป็นวงกว้าง “กินโจ๊กไหม” มือข้างหนึ่งถือถุงอาหารมาด้วย
“แกะเผื่อด้วยนะ ไปวิ่งมาเหนื่อยเป็นบ้า” แล้วเจ้าของห้องก็ไปค้นเสื้อผ้าในตู้ก่อนที่จะตรงไปยังห้องน้ำ มณีมัญชุญ์มองอาการนั้นของชมจันทร์งงๆ รู้สึกแปลกปนประหลาดใจที่สาวรุ่นพี่มีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น ทั้งๆ ที่เมื่อคืนชวนหล่อนดื่มเหล้าเสียอย่างนั้น แต่ก็สมเป็นชมจันทร์ดี สาวแกร่งที่สอนให้หล่อนสู้ชีวิตทั้งหนี้สินและอาการอกหักถูกรักทรยศ เสียใจแป๊บเดียวก็หาย
“เมื่อคืนนี้ ขอบใจนะมะขามที่มาอยู่บนเพื่อน” “ไม่เป็นไรหรอกเจ้” สาวข้างห้องว่าพลางตักหมูเด้งในโจ๊กเคี้ยวตุ้ยๆ “ตอนมีเรื่องไม่สบายใจ เจ้ยังช่วยปลอบหนูเลย แค่นี้น่ะสบายมาก” นานๆ มณีมัญชุญ์จะได้ทานข้าวเช้าแบบครบสูตรเสียที จึงสนุกสนานกับการทานมาก ปรกติหล่อนดื่มแค่นมกับทานขนมปังเท่านั้นเพราะเวลาอันเร่งรีบในการเข้างาน วันหยุดก็ตื่นเอาเกือบเที่ยง วันนี้จึงเป็นวันที่พิเศษหน่อย
“เอ้า! ไส้หมู ตับ ฉันให้ไข่เยี่ยวม้าด้วยนะ” ชมจันทร์ตักเนื้อสัตว์ประเคนให้เต็มที่ สาวตัวเล็กเคี้ยวอาหารแก้มตุ่ย ยิ้มชอบใจจนตาหยี “วันนี้ว่างหรือเปล่ามะขาม เดี๋ยวสิบโมงไปซื้อของในห้างกัน เดี๋ยววันนี้เจ้เลี้ยง”
ดูเหมือนเมฆหมอกเรื่องร้ายๆ จะคลายไปพร้อมกับความมืดยามค่ำคืน เพราะหลังจากหล่อนกลับมาที่ห้อง โทรศัพท์ไปถามพี่สาวก็ได้รับข่าวดี “ตอนนี้กำลังเจรจาอยู่ ญาติของเพื่อนป๊าเขาจะเจรจาเอง ดูท่าทางมีเงินอยู่ คงไม่มีปัญหาอะไร” โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง วันนี้หล่อนจึงไปเดินซื้อของกับชมจันทร์ได้อย่างสบายใจ
“ลดแปดสิบเปอร์เซ็นต์นะมะขาม เสื้อผ้าของซีซั่นที่แล้ว” ชมจันทร์ร้องพลางปราดเข้าไปในร้านเสื้อดังกล่าวที่ติดป้ายเตะตาว่าลดราคา “อย่าเลยเจ้ สีเขียวเจ้มีแล้ว ยีนส์ตอกหมุดเจ้ก็มี เจ้บอกว่าเดือนนี้จะประหยัดไม่ใช่เหรอ” มณีมัญชุญ์รีบร้องห้าม แต่ดวงตากลมโตกลับเหลือบแลไปยังเสื้อยืดเนื้อดีที่ลดราคาเหลือตัวละไม่กี่ร้อยบาท
“แต่มันลดแปดสิบเปอร์เซ็นต์เลยนะแก เนี่ยดูสิเนื้อผ้าก็ดี๊ดี...ดีกว่าเสื้อร้อยเก้าเก้าจม” กระนั้นสาวรุ่นพี่ก็หาข้ออ้างมาจนได้ มือยังจับเสื้อเชิ้ตลดราคาไว้ไม่ปล่อย “เจ้มีแล้วนะ อีกยี่ห้อหนึ่งไง คล้ายๆ กันเลย” “ไม่เหมือนนะมะขาม อย่ามั่ว คนละแพทเทิร์น” “เดือนที่แล้วเจ้ก็ซื้อแบบนี้หนูจำได้”
สาวรุ่นพี่หน้างอทันทีที่โดนขัด “งั้นเลือกตัวอื่นก็ได้ แกก็ไปเลือกสิมะขาม” ชมจันทร์กระฟัดกระเฟียดเล็กๆ “ไม่เอาหรอกเจ้ มันเปลือง” มณีมัญชุญ์พยายามอย่างยิ่งที่จะไม่มองไปที่เสื้อยืดลดราคาที่ราวแขวน แต่ชมจันทร์ก็เลือกเสื้อผ้านานเหมือนแกล้ง รุ่นน้องเบื่อจึงไปดูเสื้อยืดเหล่านั้นแก้เซ็ง รู้สึกตัวอีกทีก็หยิบเสื้อยืดสองตัวมาทาบกับตัวเสียแล้ว
“ซื้อสิ...ซื้อเลย” ชมจันทร์มายุอยู่ข้างหู “ไม่เอาหรอกเจ้ มันแพง” หล่อนทำหน้าแหย แต่ก็ยังจับเสื้อเหล่านั้นไว้ไม่ปล่อย “จะเป็นไรไปมะขาม มันลดราคาอยู่แล้ว เหมือนซื้อสองแถมหนึ่ง” รุ่นพี่เชียร์เต็มที่ในมือก็จับเสื้อไว้หลายตัวอยู่
“มันก็ยังแพงอยู่ดีหนูเอาตัวเดียวดีกว่า เจ้ว่าตัวไหนสวยล่ะ” เสื้อสองตัวยื่นมาตรงหน้าให้ชมจันทร์เปรียบเทียบ “แล้วแต่แกสิ แกจะใส่นี่มะขาม เดี๋ยวฉันไปเลือกกางเกงก่อนนะ” สาวผิวคล้ำวิ่งกลับไปที่ราวแขวนกางเกงยีนส์
มณีมัญชุญ์ยืนเปรียบเทียบเสื้ออยู่นาน ตัวซ้ายก็สวย...ตัวขวาก็ดี ใจพยายามคิดหาเหตุผลร้อยแปดมาประกอบการตัดสินใจว่าจะไม่ซื้อ แต่เหตุผลก็โดนความอยากได้โต้แย้งไปเสียหมด ผู้หญิงเวลาจะซื้ออะไรแล้วนั้นต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่อยู่ ...โดยเฉพาะของที่แปะป้ายพรมมนตร์ไว้ด้วยคำว่า ‘ลดราคา’
สรุปแล้วมณีมัญชุญ์กับชมจันทร์ก็ออกมาจากร้านนั้นด้วยถุงเสื้อผ้าหลายใบ ตลอดทางเดินในห้างสรรพสินค้า หล่อนท่องเหมือนตั้งใจจะสะกดจิตตัวเองว่าไม่ซื้อๆ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล เพราะมักจะมีของติดมือออกมาร้านที่เข้าไปร้านละชิ้นสองชิ้น
“เดือนนี้ติดลบอีกแหง” ใจนั้นคร่ำครวญ แม้การชอปปิ้งกับผู้หญิงจะเป็นของคู่กัน แต่สำหรับผู้หญิงที่มีหนี้สินอย่างหล่อนนั้นถือว่าเป็นศัตรูตัวฉกาจ ที่เป็นหัวหน้าใหญ่ของศัตรูทั้งมวลก็คือตัวหล่อนเองนั่นแล กิเลสที่ชื่อคำว่า ‘ความอยากได้’ ที่ตัดอย่างไรก็ไม่ขาด
“เอาน่า แก้เครียด เดี๋ยวค่อยไปลดค่าใช้จ่ายอย่างอื่น” คนที่โดนกิเลสครอบงำมากกว่าหล่อนหัวเราะเบาๆ ถือถุงสินค้าหลากยี่ห้อเต็มมือ “เอาล่ะ เดี๋ยวเราไปฝากของกัน จะได้ไปซื้อหนังสือ” “ยังจะซื้ออีกเหรอเจ้” มณีมัญชุญ์ร้องอย่างอ่อนใจ ในหัวคำนวณยอดติดลบของเดือนนี้อุตลุด
“นี่แก...ฉันเป็นนักเขียนนะยะ จะปล่อยให้สมองกลวงได้ยังไง เดี๋ยวนักอ่านอย่างแกก็ไม่อ่านงานของฉันพอดี ต้องหารอยหยักใส่สมองบ้าง” นักเขียน...เจ้าของผลงาน ‘จอมใจชี้คทมิฬ’ ที่ยังเขียนไม่จบ ก้าวไปอย่างมุ่งมั่นตรงไปที่เคาน์เตอร์ฝากของ นักอ่านยากจนเงินติดลบอย่างหล่อนที่ชอบอาศัยอ่านฟรีก็จำต้องเดินตามไปด้วย
หลังจากออกมาจากร้านหนังสือชมจันทร์และมณีมัญชุญ์ก็เริ่มหิวกันแล้ว สองสาวจึงเลือกไปทานบุฟเฟ่ต์สเต๊กพร้อมสลัดบาร์เจ้าดังซึ่งมีสาขาอยู่ในห้าง สรรพสินค้าหลายแห่ง “เจ้ แล้วตกลงตอนต่อไปชี้คบารัคจะทำยังไงกับยัยแฮปปี้ล่ะ” สาวตัวเล็กเลือกที่จะเรียกมณีมัญชุญ์ในนิยายว่า ‘แฮปปี้’ คงแปลกพิลึกหากจะเรียกชื่อนางเอกที่มีชื่อจริงเหมือนตัวเอง
“ไม่น่าถาม ...ก็ต้องยื่นข้อเสนอแลกกับหนี้สินน่ะสิ” ปากคนเขียนนิยายก็พูดไปมือก็หยิบช้อนและส้อมมาคนสลัดในจาน “น้ำเน่าจังเจ้ นิยายเรื่องอื่นเขาก็มีกัน พล็อตโหลไปมั้ง” หากเป็นกับคนอื่นมณีมัญชุญ์คงไม่กล้าพูด เพราะการวิจารณ์งานตรงๆ เสี่ยงต่อการโดนเกลียดขี้หน้าเป็นอย่างยิ่ง “เอาให้มันแปลกใหม่หน่อยสิ เอะอะอะไรก็หนี้ ความแค้น ความรัก ความหลง”
ชมจันทร์ชะงักสักครู่ก่อนที่จะใช้ส้อมชี้มาทางหล่อน “มะขาม ไอ้ที่แกพูดน่ะ มันคือกิเลสขั้นพื้นฐานของมนุษย์นะ ถ้าไม่มีเรื่องพวกนี้โลกมนุษย์ก็ไม่หมุน มันคงจะนิ่งเงียบ แล้วนิพพานกันไปทั้งโลก” สาวรุ่นพี่ร่ายด้วยใบหน้านิ่งๆ ติดจะดุด้วยซ้ำ ถ้าคนไม่คุ้นเคยจะคิดว่าโกรธเป็นแน่ แต่มณีมัญชุญ์กลับเถียงต่อเพราะรู้ดีว่าเจ้าตัวแกล้งตีสีหน้าข่มไปอย่างนั้นเอง “แต่มันควรจะมีอะไรที่แปลกใหม่กว่านี้นะเจ้ น้ำที่นิ่งคือน้ำเน่าไม่ใช่เหรอ”
“ย่ะ ก็ฉันเขียนเรื่องน้ำเน่านี่ยะ ไม่ได้เขียนเอารางวัลซีไรท์ เขียนเรื่องเบาๆ ไม่หนักหัว ขืนเขียนพล่ามมีเหตุผลร้อยแปดเชิงอรรถอีกสามสิบหน้า แกก็คงไม่อ่านงานของฉันพอดี” เสียงนั้นมีแววประชดประชันกึ่งยิ้มๆ แสดงว่าชมจันทร์กำลังอารมณ์ดีและสนุกในการต่อปากต่อคำกับหล่อน “แต่แหม...มันเดาง่ายจัง อะไรจะเหมาะเจาะขนาดนั้น พอพระรองโผล่ หนี้ก็ผุดขึ้นมาเชียว” หญิงสาวบ่นอุบอิบขัดใจที่เดาตอนต่อไปของนิยายได้ง่ายมาก
“มะขาม ...เรื่องบางเรื่องในโลกนี้บางทีมันก็บังเอิญอย่างร้ายกาจนะแก เขาถึงได้เรียกว่าโชคชะตาไงล่ะ ไม่แน่นะมะขามบางทีในห้างนี้ ตอนนี้ ...เนื้อคู่ฟ้าประทานของแกเขาอาจจะมาอยู่ใกล้ๆ ก็ได้ ชี้คบารัครูปหล่อของแกไงล่ะมณีมัญชุญ์” สาวรุ่นพี่ยื่นหน้ามาบอกดวงตาวาววับ เจ้าของชื่อย่นจมูกแล้วตักสลัดเข้าปากเสียคำหนึ่ง
“ไม่เอาหรอกเจ้ ผู้ชายในชีวิตจริงเลวกว่าผู้ชายในนิยายเยอะ หนูก็แค่ฝันหวานในนิยายไปแค่นั้นแหละ ถ้ามาจริงหนูก็ขอลา ยังเข็ดเรื่องรักอยู่” ชมจันทร์หัวเราะครื้นเครงกับปากบางที่ทั้งพูดทั้งเคี้ยวสลัดนั่น รุ่นน้องเป็นสาวช่างฝันที่แยกโลกความเป็นจริงและความฝันออกจากกันได้อย่าง เด็ดขาดเสียจริง ทั้งๆ ที่บางครั้งปากก็ร้องปาวๆ ว่าอยากได้ผู้ชายดีๆ พอทำท่าว่าจะมีคนมาติดพัน สาวตัวเล็กก็ตัดไมตรีคนติดพันเสียฉับ
ชมจันทร์ราวกับเห็นภาพสะท้อนของตนเองซ้อนทับอยู่ในตัวมณีมัญชุญ์
ความปรารถนาที่จะเป็นที่รักของใครสักคน ความหวาดกลัวที่จะก้าวลงในบ่วงแห่งความรัก ความขลาดเขลาเกินกว่าจะเริ่มต้นรักใหม่ ทุกอย่างเริ่มต้นจากรัก...และสิ้นสุดด้วยความเจ็บ เหลือทิ้งไว้เพียงรอยแผลและผลข้างเคียงจากพิษรักเก่า
มื้อกลางวันแสนอร่อยผ่านไปชมจันทร์และมณีมัญชุญ์หมดความสนใจในห้างสรรพสินค้าหรูแห่งนี้เสียแล้ว จึงตกลงกันที่จะกลับหอดีกว่า ก่อนที่จะไปเอาของที่เคาน์เตอร์รับฝากชมจันทร์มีสายโทรศัพท์เข้า เสียงคุยเป็นภาษาเขมรพื้นถิ่นดังเบาๆ จากสาวรุ่นพี่
มณีมัญชุญ์จึงขอตัวเลยไปห้องน้ำก่อน เมื่อทำธุระเสร็จ ออกมาส่องกระจก สำรวจความเรียบร้อยพอไม่ให้เป็นที่ขายหน้า ประตูห้องน้ำห้องหนึ่งก็เปิดออกพร้อมกับร่างระหงในชุดแสกสั้นสีเขียวมะนาว คนเพิ่งออกมาจากห้องน้ำและมณีมัญชุญ์ต่างสบตากันที่กระจกเงาเหนืออ่างล้าง หน้า
ร่างนั้นเยื้องกรายมายืนห่างจากจากหล่อนไม่กี่อ่างล้างหน้าคั่น ดวงตานั้นนิ่งสงบเจือเย้ยหยัน มือขาวผ่องงดงามสอดเข้าไปในผมสีดำสนิทและแผ่ยาว สยายผมราวกับจะแสดงความยิ่งใหญ่ในมาดนางพญา มณีมัญชุญ์สูดลมหายใจเข้าเต็มปอดแล้วรีบสาวเท้าออกไปทันที
นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบุคคลที่หล่อนคงจะไม่มีวันลืม ...วริญาภร ผู้หญิงที่ทำให้ไรวินทร์ทิ้งหล่อนไป สมควรอยู่หรอกที่อดีตคนรักเก่าจะทิ้ง ก็ในเมื่อวริญาภรสวย ร่ำรวย การศึกษาดีจบเมืองนอก แม้จะมีนิสัยเอาแต่ใจ และชอบเอาชนะก็ตาม แต่สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นข้อเสียเพียงจิ๊บจ๊อยเมื่อเทียบกับข้อดีข้างต้น
“มะขามๆ” ชมจันทร์ร้องเรียกทันทีเมื่อเห็นหล่อน
“แกออกมาจากห้องน้ำช้า เมื่อกี้นี้นะ ฉันเห็นผู้ชายคนหนึ่ง หล่อมากๆ ตาคม ผมเข้ม สูงสง่า มาดดี สาวๆ แถวนี้งี้มองกันตรึม ท่าทางอย่างนี้เหมาะจะเอาไปเป็นต้นแบบของพระเอกในนิยาย” คนอายุมากกว่าพรรณนาถึงความหล่อของผู้ชายที่ได้พบเห็นมาอย่างไรนั้น มณีมัญชุญ์ไม่ได้ฟังเสียแล้ว ใจนั้นลอยไปที่ห้อง อยากปิดประตูและร้องไห้อยู่ตามลำพังเสียจริง
สัปดาห์นี้เป็นช่วงระลึกความหลังในละครหลังข่าวหรือไร ผู้คนในอดีตจึงทยอยดาหน้ามาขุดคุ้ยรอยแผลแห่งพิษรักที่เจ็บแสบ
“กลับหอเลยเถอะเจ้ชม หนูเหนื่อยแล้วก็เพลีย” หล่อนตัดบทซึ่งสาวรุ่นพี่ก็เห็นดีด้วย เมื่อกลับถึงหอแทนที่จะได้พักผ่อน ข่าวร้ายกลับตามมาหลอกหลอนผ่านเสียงโทรศัพท์มือถือ “ญาติของคนที่ป๊าเราไปค้ำประกันให้น่ะ เขาไม่ยอมชดใช้หนี้ อ้างว่านั่นเป็นหนี้ที่ใช้ไปกับการพนัน” เสียงพี่สาวเครือ
“เขาปฏิเสธไม่ยอมรับผิดชอบท่าเดียว” คำยืนยันที่เล่นเอาคนฟังจิตวิตกเข้าไปกันใหญ่ “แล้วทางกฎหมายทำอะไรเขาไม่ได้เลยเหรอพี่”
“มันเป็นเงินนอกระบบนะมะขาม กฎหมายแทบไม่มีความหมายอะไรเลย หนี้อย่างนี้แหละที่เขาฆ่ากันตายอย่างง่ายดาย” หูของหญิงสาวได้ยินเสียงร้องไห้ดังมาแว่วๆ จากปลายสาย สลับกับเสียงบริภาษเป็นภาษาจีน “แล้วที่บ้านเป็นยังไงบ้างล่ะพี่”
“ม๊าปวดหัวหนึบนอนซม ป๊าก็เก็บตัวในห้องเงียบ ต้องให้คนไปเฝ้า กลัวแกจะล้มไปอีกคน” คำตอบยิ่งทำให้น่าหนักใจเข้าไปใหญ่ บุพการีทั้งสองทุกข์หนักถึงขนาดต้องล้มป่วย “เราไม่มีวิธีการเจรจากับทางเจ้าหนี้เลยเหรอพี่”
“ทีแรกก็ดูเหมือนจะดี แต่ข่าวกระแสหนึ่งบอกว่าเจ้าหนี้เขาอยากได้ร้านของเราก็เลยฮั้วกับลูกหลานลูกหนี้ตัวจริง” นั่นปะไร! นี่สินะความจริงหลังฉาก มีผลประโยชน์ร่วมกันนี่เอง ทุกอย่างถึงได้พอเหมาะพอเจาะ “พวกพี่จะลองปรึกษากับตำรวจแล้วก็ทนายที่รู้จักกันดูอีกครั้ง จะลองหาทางแก้ดู ทางนั้นน่ะลูกไม้พราวพราว แขกอินเดียทั้งนั้น” พี่สาวตัดสายไปด้วยเสียงที่ไม่ค่อยดีนัก
เย็นวันนั้นและตลอดทั้งคืนมณีมัญชุญ์จึงจำต้องพึ่งยาแก้ปวดหัวตามเคยเพราะมิฉะนั้นคงข่มตาไม่หลับแน่ ซึ่งก็ได้ผล เพราะขนาดชมจันทร์มาเคาะประตูห้องชวนไปทานข้าวเย็น หญิงสาวก็ยังไม่ตื่น อาจจะเป็นเพราะฤทธิ์ยาแก้ปวดบวกกับอาการเพลียที่เมื่อคืนนอนไม่เต็มอิ่มทำให้มณีมัญชุญ์ฝัน
หล่อนยืนอยู่ในหมอกหนาจนมองไม่เห็นทาง มือข้างขวาจับอะไรบางอย่างไว้ ...อุ่นนิ่ม ในฝันนั้นหล่อนรู้สึกปลอดภัยและรู้สึกว่ามือข้างนั้นจับอะไรบางอย่างที่ เชื่อถือได้ มณีมัญชุญ์เดินตามมือข้างขวาของตนเองที่ถูกจูงไปเรื่อยๆ หมอกเริ่มจางลง จมูกเริ่มสัมผัสกลิ่นหอมบางอย่าง ที่คล้ายกลิ่นเครื่องหอมผสมธูปเหมือนอยู่ในวิหารศักดิ์สิทธิ์
พลันหมอกก็หายไปกลายเป็นกลีบดอกไม้สีเหลืองโปรยปรายลงมาจากฟากฟ้า หล่อนมองไปที่มือข้างขวา ...ดวงตาเบิกโพลงพร้อมกับกรีดร้องลั่น เพราะสิ่งที่อยู่ข้างกายหล่อนคืองูตัวใหญ่ ดวงตาดำสนิทนั้นแวววาว ลิ้นยาวพันมือข้างขวาหล่อนไว้
มณีมัญชุญ์พยายามมันสะบัดออกท่ามกลางกลีบดอกไม้เหลืองโปรยปรายและเสียงเพลง ดู ม! มะ จา เล๊ ดูม! มะ จา เล ดูม !!! ดู ม!!! ที่แว่วมา
“โหย...มะขาม ฉันขอก๊อปเป็นความฝันของนางเอกในนิยายหน่อยนะ” เจ้ชมหัวเราะร่วนเมื่อหล่อนเล่าความฝันให้ฟังในยามเช้าวันต่อมา “ไม่ขำเลยนะเจ้ หนูตกใจแทบตาย ยังรู้สึกขยะแขยงอยู่เลย” คนฝันเอามือลูบแขนแสดงอาการรังเกียจออกมาโต้งๆ ผู้หญิงกับงูนั้นถูกกันเสียเมื่อไหร่
“โบราณเขาว่าฝันเห็นงูจะเจอเนื้อคู่” “ไหงมันมาเป็นงูอย่างนั้นล่ะเจ้ ไม่โรแมนติคเลย สยองขวัญเสียด้วยซ้ำ” “ไม่รู้สิ” ชมจันทร์ยักไหล่ “โบราณเขาว่ามา สงสัยงูจะแทนเรื่องทางเพศมั้ง แบบว่าเป็นความรู้สึกส่วนลึกในจิตใจที่โหยหาอะไรประมาณนี้น่ะ”
“โห...อีโรติกมากเลยเจ้ งูเนี่ยนะ” มณีมัญชุญ์ค้านอีกตามเคย “ถ้าฉันตายไปเมื่อไหร่จะไปเคาะฝาโลงถามคนโบราณให้นะมะขามว่าทำไมเขาถึงเอาเจ้างูเนี่ยมาแทนเรื่องนี้” พูดแล้วก็หัวเราะอีก ท่ามกลางอาการหน้าหงิกของสาวตัวเล็ก
ถ้าใครไม่มาฝันเองคงไม่รู้สึก ไม่โรแมนติกสักนิด หล่อนรับรู้ถึงรังสีคุกคามจนน่าหวาดหวั่น ความรู้สึกอุ่นวาบในลิ้นเจ้างูนั้นยังไม่จางไปมือขวา ดวงตาวาววับยังติดอยู่ในความทรงจำ หากสัตว์น่าขยะแขยงนั้นคือลางบอกเหตุเนื้อคู่ ...แล้วอนาคตชีวิตคู่ของหล่อนจะเป็นเช่นไรหนอ ภาพในฝันน่ากลัวเสียขนาดนั้น
ช่วงบ่ายมณีมัญชุญ์โทร.หาพี่สาว ไม่มีคนรับสาย จึงลองโทร.เข้าที่ร้านของพ่อแม่ดู “เจ้กับเจ้ใหญ่แล้วก็เฮียไปทำบุญที่วัดจีนแถวนี้ ตามคำแนะนำของซินแซค่ะ คงจะกลับเย็นๆ” เด็กที่เป็นพนักงานขายของในร้านรายงานพร้อมกับเอ่ยชื่อซินแซที่หล่อนรู้จักดี
“คุณมะขามมีอะไรจะฝากบอกเจ้กับเจ้ใหญ่หรือเปล่าคะ” หล่อนจึงได้แต่ปฏิเสธเบาๆ คิดว่าช่วงเย็นจะโทร.ถามข่าวเรื่องหนี้ใหม่ แต่ก็ต้องหลงลืมความตั้งใจนั้นไปเมื่อชมจันทร์เดินมาเคาะประตูห้องให้มาช่วยกันทำงานแปลด่วนรายได้ดี สาวที่เต็มไปด้วยหนี้และเพิ่งจะชอปปิ้งเพิ่มหนี้มาเมื่อวานนี้อย่างมณีมัญชุญ์มีหรือจะปฏิเสธ กว่างานด่วนจะเสร็จก็สี่ทุ่มหล่อนจึงทานข้าวอาบน้ำแล้วก็นอนเลย
มณีมัญชุญ์เข้างานแปดโมงเช้า ส่วนชมจันทร์จะเข้างานช่วงเที่ยง การเทรนโปรแกรมใหม่จะเริ่มจะเริ่มตอนเก้าโมง ระหว่างนั้นหล่อนจึงนั่งเคลียร์อีเมลล์และตามงานลูกค้าเร่งด่วน วันนี้มีงานไม่เยอะลูกค้าไม่ซีเรียสอะไรมาก การประสานงานกับวิศวกรระบบก็ราบรื่น เมื่อคืนก็นอนหลับสนิทไม่ฝันอะไรเลย
หญิงสาวอารมณ์ดีที่เช้าวันทำงานสบายหนักหนาจึงเดินไปที่ตู้ขายเครื่องดื่มอัตโนมัติข้างห้องน้ำ หยอดเหรียญลงช่อง ตั้งใจว่าจะกดน้ำส้มกระป๋องมาดื่ม ...เหรียญสิบหย่อนลงไป เหรียญบาทอีกสองเหรียญ และเหรียญสุดท้าย “แกร๊-ง” เหรียญบาทสุดท้ายไหลคืนมาที่ช่องคืนเงินทอน หล่อนนิ่วหน้าแปลกใจแล้วจึงก้มไปหยิบมาหยอดลงไปใหม่
“แกร๊-ง” แต่มันก็ไหลลงมาที่ช่องคืนเงินทอนอีกเช่นเคย อะไรกัน! หล่อนร้องอยู่ในใจ ...เครื่องเสียหรือเปล่า แล้วหล่อนจะได้เงินที่ยอดลงไปแล้วคืนไหม
มณีมัญชุญ์รีบบิดที่ช่องคืนเหรียญ แต่เหรียญก็ไม่ออก ตั้งสิบสามบาท! หล่อนไม่ยอมหรอก สิบสามบาทนี่ได้น้ำเปล่าสองขวดเชียวนะ ในยามขัดสน ...เงินแม้น้อยนิดก็จำเป็น ถ้าไม่ได้กินหล่อนก็ไม่ขอเสียเงิน!
ทันใดนั้นก็มีมือหนึ่ง ...ใหญ่ ขาวสะอาด มาบิดเจ้าช่องคืนเหรียญเจ้าปัญหา
“แกร๊-ง” เสียงเหรียญพรั่งพรูออกมาที่ช่องคืนเหรียญ มณีมัญชุญ์ตาเป็นประกายดีใจรีบล้วงมือไปเก็บเหรียญพวกนั้นโดยพลัน “ขอบคุณมากค่ะ...ขอบคุณ...” คำขอบคุณของหล่อนค้างเมื่อหันมามองเจ้าของมือ
หล่อ! นี่คือคำแรกที่สมองวิเคราะห์ ตามด้วยใจที่เต้นแรงแบบกระฉึกกระชักเป็นจังหวะรถไฟวิ่ง ผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหล่อน สูง สมาร์ท ผมดกดำนั้นยุ่งเล็กน้อย คิ้วเข้ม ดวงตาดำขลับมองตรงมายังหล่อน ขนตายาวเป็นแพ จมูกโด่ง ริมฝีปากหนาได้รูป สมองหล่อนไม่รู้จะบรรยายเขายังไงรวมความได้คำเดียวคือหล่อ! แม้ว่าริมฝีปากที่เม้มเป็นเส้นตรงติดจะบึ้งตึงไปหน่อยก็ตาม
“ขอบคุณจริงๆ ค่ะ” มณีมัญชุญ์พึมพำราวกับเคลิ้มฝัน คำขอบคุณที่สมองก็ตีความไม่ออกเหมือนกันว่าขอบคุณเขาจริงๆ หรือขอบคุณโชคชะตาที่ทำให้ได้มายืนใกล้คนหล่อเทพ ชนิดห่างกันไม่กี่นิ้ว ฉากคลาสสิคในนิยายหวานแหว๋วเลยนะนี่
เขาพยักหน้าไปทางตู้กดน้ำกระป๋อง เป็นทำนองว่าให้กดสิ หญิงสาวเปลี่ยนความตั้งใจจากเมื่อครู่ทันทีรีบหยอดเหรียญลงในตู้ เอาน่า...สิบสามบาทถ้าจะโดนเจ้าตู้กดน้ำกินไป ก็ถือว่าเป็นค่ายลโฉมคนหล่อให้นานอีกนิด แต่ทว่า... ไฟบนตู้กดน้ำกลับแดงเถือก อันเป็นสัญญาณให้กดเลือกชนิดเครื่องดื่มได้
“ชิช๊ะ” หล่อนเข่นเขี้ยวอยู่ในใจ เมื่อกี้นี้เจ้าตู้ตัวแสบยังทำท่าจะกินเงินหล่อนอยู่เลย คราวนี้กลับใช้งานได้ดีเสียนี่ มือบางจึงจำต้องกดที่ปุ่มน้ำส้มกระป๋อง ซึ่งหล่นดึงปึงออกมาให้อย่างง่ายดาย หลังจากนั้นจึงถอยให้คนรูปหล่อเข้ามาใช้บริการตู้กดน้ำต่อ แม้เท้าจะเดินห่างออกไปแต่ตาก็ยังไม่วายเหลือบแลไปทางตู้กดน้ำ
ผู้ชายคนนี้ต้องไม่ใช่คนในบริษัทแน่ เพราะถ้าใช่ เครือข่ายสาวโสดในบริษัทจะต้องรู้หมด ชมจันทร์และเปมิกาไม่พลาดจะต้องเอามาเม้าท์ในช่วงเวลาอาหารกลางวันแน่ สรุปแล้วมณีมัญชุญ์ก็ไม่ได้ดื่มน้ำส้มกระป๋องนั้นเพราะมัวแต่คิดเพ้อเจ้อถึง หนุ่มรูปหล่อ จนประโยชน์ต้องมาเตือนให้เข้าไปเทรนโปรแกรมรับสายใหม่ หญิงสาวจึงปัดเรื่องของเขาออกไปจากหัว
คนหล่อมีเอาไว้ให้นึกฝันและชื่นชม ...แค่ฝันเท่านั้นจริงๆ คนหล่อย่อมต้องคู่กับคนสวย สมัยนี้นอกจากสวยเลือกได้แล้ว ก็ยังมีหล่อเลือกได้อีกด้วย เอาเถิด...ถือว่าเป็นฤกษ์ดีที่เห็นของเจริญตาเจริญใจในการทำงานวันนี้
ในห้องเทรนขนาดห้าสิบที่นั่งมีพนักงานหลายแผนกคละเคล้ากันไป หลายคนหล่อนรู้จัก หลายคนก็คุ้นหน้า มณีมัญชุญ์เลือกที่นั่งปีกซ้ายของห้องเทรน เสียงคุยจ๊อกแจ๊กจอแจหยุดลงในทันใดเมื่อวิศวกรที่จะเทรนระบบเดินเข้ามา รวมถึงหนุ่มหล่อคนนั้นด้วย สาวๆ ดูเหมือนจะตกอยู่ในภวังค์ความหล่อ ไม่เว้นแม้แต่มณีมัญชุญ์ที่นี่เป็นการตกอยู่ในภวังค์รอบสอง
“สวัสดีครับชาวเอสไอซีทุกท่าน รู้สึกเป็นเกียรตินะครับที่บริษัทลัคกี้อีเลเฟ่นของเราได้มารับหน้าที่พัฒนาระบบการรับสายของบริษัทคุณๆ” หนุ่มเชิ๊ตฟ้าเกริ่นทักทายและแนะนำตัว แต่ดูเหมือนสาวๆ ในที่นั้นทุกคนจะไม่ได้ฟัง ไม่จำแม้กระทั่งชื่อคนพูด หรือแม้แต่ชื่อบริษัทเสียด้วยซ้ำ ความสนใจพุ่งตรงไปที่หนุ่มหล่อที่ตอนนี้เอาแว่นตามาสวม ยิ่งเพิ่มความทรงภูมิดูดีเข้าไปใหญ่
หนุ่มเชิ๊ตฟ้านะนำตัวผู้อบรมทีละคน...ทีละคน จนมาถึงคนสุดท้าย ผู้ชายที่หล่อนเห็นหน้าตู้กดน้ำกระป๋องเดินไปรับไมค์จากหนุ่มเชิ๊ตฟ้า ด้านหลังของเขาเป็นจอโปรเจคเตอร์ขนาดใหญ่และกำลังทดสอบฉายสไลด์อยู่ “สวัสดีครับ” เสียงนั้นทุ้มชวนเคลิ้ม ...แต่มณีมัญชุญ์รู้สึกคุ้นหูอย่างบอกไม่ถูก
“ผม ปริยวัตร อาห์เมด” เสียงนั้นเปลี่ยนเป็นขึ้นจมูกโดยเฉพาะตอนที่บอกนามสกุล พลันมณีมัญชุญ์ก็หลุดจากภวังค์เมื่อได้ยินชื่อเขา “ยินดีที่ได้รู้จักครับ” คนที่แนะนำตัวว่าชื่อปริยวัตรหันมาทางหล่อนเหมือนจงใจ คราวนี้เขายิ้มน้อยๆ ดวงตาคมเข้มวาววับ
“ม่าย...ย” หญิงสาวกรีดร้องในใจ หูได้ยินเสียงตัวเองกลืนน้ำลายดังเอื๊อก พร้อมกับเสียงเพลง ดูม! มะ จา เล๊ ดูม! มะ จา เล ดูม !!! ดู ม!!! ที่แว่วมาไกลๆ
+++++++++++++++++
Create Date : 16 มีนาคม 2553 |
|
6 comments |
Last Update : 16 มีนาคม 2553 15:16:11 น. |
Counter : 402 Pageviews. |
|
|
|
|
| |
โดย: fiona IP: 203.171.196.81 16 มีนาคม 2553 18:09:41 น. |
|
|
|
| |
โดย: Lemon Problem IP: 161.200.208.106 21 มีนาคม 2553 15:53:46 น. |
|
|
|
|
|
|
|