"Fear is not real. it's only imagination of future that has not come yet." Credit: Will Smith. After earth.
Group Blog
 
 
ตุลาคม 2557
 1234
567891011
12131415161718
19202122232425
262728293031 
 
30 ตุลาคม 2557
 
All Blogs
 
สู่เป้าหมาย เป็นบริษัทพัฒนาที่ดิน และ มีทรัพย์สินไว้ปล่อยเช่า...ผมเดินมาถูกทางรึเปล่า

แชร์ประสบการณ์สิ่งที่ทำอยู่เพื่อไปสู่เป้าหมาย เป็นบริษัทพัฒนาที่ดิน และ มีทรัพย์สินไว้ปล่อยเช่า...ผมเดินมาถูกทางรึเปล่า

ตอนนี้ผมอายุ32 ลาออกจากงานประจำมา 6 ปีได้แล้ว เพื่อมาทำกิจการของที่บ้านเป็นโรงงานเล็กๆผลิตขนมขายส่ง ด้วยความตั้งใจจะให้พ่อแม่ได้พัก และ จะขยายกิจการให้ใหญ่โต ร่ำรวยๆ ช่วง3ปีแรกบู๊มาก ตะลุยขับกระบะหาลูกค้า ส่งของ จัดระบบในโรงงาน จนกิจการก็ขยายขึ้นมาได้บ้าง ตอบโจทย์ข้อแรกแล้วคือให้พ่อแม่สบายขึ้นไม่ต้องลงมาเหนื่อยเองเหมือนเมื่อก่อน แต่โจทย์ข้อสองนี่หนักครับ ไม่รู้จะไปยังไง กิจการที่ทำอยู่ตอนนี้แนวโน้มไม่ดี บวกกับผมไม่ค่อยมีใจเหมือนแรกๆ เพราะความรู้สึกลึกๆมันบอกผมว่าขายขนมเนี่ย อยู่ได้แต่ไม่รวยหรอก

ผมเลยมองย้อนไปในอดีตว่าผมทำอะไรมาบ้างที่ได้กำไร ผมชอบตระเวนดูที่ดินที่เค้าปักป้ายขาย(ไม่รู้ดูไปทำไม เงินก็ไม่มีซื้อ 55) ดูบ้าน คอนโด ซื้อๆขายๆใบจอง,ช่วยญาติพี่น้องขายบ้านเก่า รวมๆทำกำไรให้ผมได้หลายแสนจนผมพอมีเงินแต่งงานและดาวน์บ้านโดยที่ไม่ต้องขอพ่อแม่ ผมเลยมาคิดว่าสิ่งที่ผมชอบ และมีดวงน่าจะทำได้คือพวกเกี่ยวกับอสังหา (รึเปล่า)

ที่จริงผมลองทำอะไรมาหลายอย่างมากครับ ความคิดมันฟุ้งๆ เคยหาซื้อขนมมาแบ่งบรรจุขาย, ขายน้ำส้มขวด, เล่นหุ้นเหมือนเล่นพนัน .... คิดทุกวันว่าจะทำอะไรดี คิดจนผมหงอกเพียบเลยครับ 55 ผมจะโรคจิตอย่างนึงคือ คิดแล้วผมจะลองทำเลยครับ รู้สึกเรายังมีแรงที่จะพลาดได้อยู่ แต่งานที่บ้านผมก็ทำอยู่ครับทิ้งไม่ได้เพราะยังเป็นรายได้หลัก คนรอบข้างก็บอกว่างานที่ทำอยู่น่ะดีแล้ว ทำไมไม่ปรับปรุงนู่นนี่ ผมก็รับฟังนะครับ แต่ลึกๆก็แย้งว่า เราทำมาตลอด เราพอจะรู้ถึงขีดจำกัดของสิ่งที่เราทำ เวลาคนเรามีเท่าๆกัน บางคนหาได้เดือนละเยอะๆ บางคนหาเช้ากินค่ำ เราต้องเลือกว่าจะเป็นแบบไหน พูดง่ายทำโคตรยาก !!

พอคิดแบบนี้ผมก็ลุยเลยครับ บ้านผมไม่ได้รวย พ่อแม่ผมขยันและประหยัดมาก ทำงานมาตั้งแต่ท่านเด็กๆส่งผมเรียนจนจบ ผมฟังมาเยอะว่าอสังหา เป็นอะไรที่ใช้เงินเยอะซึ่งเราไม่มี ผมเลยนั่งมองดูว่าเรามีอะไรอยู่ในมือบ้าง มีที่แปลงเล็กๆอยู่ในซอยลึกแถวบางบอน(ตอนนี้ใช้ค้ำประกัน odอยู่ ใช้เกือบเต็มวงเงิน) กับมีกิจการผลิตขนมที่แนวโน้มไม่ค่อยดี และมีหนี้บ้านที่กู้ร่วมมากับแฟน ผ่อน 30 ปี

เป้าหมายตอนนี้คือรวบรวมเงินทุนให้ได้ ซัก 6 ล้าน แล้วพัฒนาที่ดินเพื่อขาย และปล่อยเช่าครับ โปรเจคปัจจุบันที่ทำอยู่คือซื้อบ้านเก่ามาปรับปรุงขายต่อ (หลังแรก-จุดประสงค์เพื่อผลกำไรและหาประสบการณ์), เดี๋ยวมาเขียนต่อครับว่าทำอะไรลงไปแล้วบ้าง

ปล. ผมยังไม่สำเร็จนะครับ ทุกวันนี้ยังทำงานเหงื่อแตก หมุนเงินหน้าดำคร่ำเครียดอยู่ แต่มาเขียนเพราะผมเป็นคนชอบอ่านหนังสือ และบังเอิญได้อ่านหนังสือที่คนที่เค้าสำเร็จแล้วมาแชร์ให้ฟัง ผมรู้สึกว่าดีมากๆครับ ผมเชื่อในเรื่อง Give and Take ครับ เผื่อสิ่งที่ผมทำอยู่อาจจะไปโดนใจใครเค้าบ้าง หรือไม่ก็ มีข้อคิดจากเพื่อนๆให้ผมมาปรับปรุงสิ่งที่ทำอยู่ครับ



เพิ่งไปดูบ้านที่ซ่อมอยู่อะครับ สีที่ทามันโป่งๆออกมาเพียบเลย ช่างบอกฝนตกอากาศชื้น ก็ต้องให้เค้าช่วยแก้กันไป หน้าตาช่างนี่แบบคงอยากเอากระสอบปูนทุ่มใส่ผม ใช้ช่างนี่เป็นเรื่องหนักใจของผมเลยครับ เคยใช้แบบจ่ายรายวันช่างบางคนแกก็ทำแบบอารมณ์ติสท์มาก ไปดูแต่ละทีนึกว่าโลกหยุดหมุน งานแทบไม่เดิน บางจุดใช้แบบงานเหมาค่าแรง ช่างแกก็มา2วันหาย1วันไปรับงานที่อื่น แต่ก็พยายามทำใจครับคือเรายังไม่มีอำนาจต่อรองอะไรได้เยอะ ผมยังคิดเลย ลองถ้าผมมีงานต่อเนื่องทั้งปี ผมจะหาช่างซักทีมไว้เป็นช่างคู่ใจ ตอนนี้ขอแค่งานเสร็จดีๆก่อน จะได้เริ่มประกาศขาย แล้วไปลุ้นดูอีกทีว่าจะขายได้มั้ย กำไรอย่างที่หวังรึเปล่า

ผมคล้ายๆคุณ Le droit อะครับ คือจบมาก็ได้งานที่แรกที่บริษัทมหาชนที่แปลว่าต้นไม้ ยังจำวันสัมภาษณ์ได้เลยครับ วันเดียวสัมภาษณ์3รอบ รอบสุดท้ายสัมภาษณ์กับเจ้าของ (ล่าสุดอ่านข่าวว่าเป็นเศรษฐีหุ้นอันดับ1ของเมืองไทย เก่งจริงๆครับ) ทำอยู่แปบเดียวได้ offer จากบริษัทปูนซีเมนต์ ก็เลยย้ายงานไปทำด้านการเงินอะครับ ตอนนั้นตั้งใจว่าอยากเป็นนักการเงินที่เก่งๆ จะไปเรียนโท ต่างประเทศ แล้วจะหางานด้าน Finance บริษัทข้ามชาติทำ ดูเท่มากกก จากวันนั้นถึงวันนี้ ชีวิตเปลี่ยนไปเยอะครับ พอมานั่งนึกๆดู ผมเข้าใจเลยที่ผู้ใหญ่เค้าว่า เวลาเป็นทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด จะทำไรรีบๆทำ เพราะเราไม่รู้ว่าวันพรุ่งนี้หรือชาติหน้าอันไหนจะมาก่อน

กลับมาเรื่องซ่อมบ้านขาย ที่คิดจะทำเพราะ 1.อ่านๆมา ฟังๆมา กำไรหลักหลายแสน (ถ้าขายออก) 2.ผมอยากได้ประสบการณ์ว่าบ้าน1หลังเนี่ย มันต้องทำอะไรเยอะแยะแค่ไหน ผมว่าการซ่อมบ้านมันน่าจะสอนเราหลายอย่าง ยกเว้นเรื่องฐานราก กับโครงสร้าง ซึ่งคงต้องอาศัยสอบถามจากเพื่อนๆอีกที ผมจบ ป.ตรี คณะวิศวะครับ ความรู้อย่าให้พูดครับ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร จริงๆเพื่อนรุ่นผมหลายๆคนเป็นวิศวกรที่เก่งมากๆครับ รับออกแบบโครงสร้าง หรือไม่ก็คุมหน้างานให้บริษัทบ้านจัดสรร แต่ยังไงซะการเรียนวิศวะสอนผมหลายอย่างครับ โดยเฉพาะคิดอะไรทำอะไรให้เป็นขั้นตอน และเราทำงานเราต้องลุยงาน อย่าไปกลัวเปื้อนครับ

หลังแรกที่ตอนนี้ทำอยู่ ผมซื้อมาจากบริษัทบริหารสินทรัพย์ครับ กู้แบงค์ซื้อครับโดยใช้เสตทเม้นแฟนซึ่งเป็นพนักงานเงินเดือน
ทำงานก่อนนะครับ



ตกหน้าไวจริงด้วย หากระทู้ตัวเองเกือบไม่เจอ ^^

ไอตอนไล่ตระเวนหาบ้านเก่า ผมก็ดูจากหลายที่อะครับ web ทรัพย์ NPA ธนาคาร, webกรมบังคับคดี, ป้ายขายบ้าน... จนมาเจอทาวน์โฮม 3ชั้น แปะอยู่หน้าบ้านว่า ขาย พร้อมเบอร์ติดต่อ ผมก็โทรไปนัดทางเจ้าหน้าที่ขอเข้าดูวันรุ่งขึ้น ก่อนเข้าดูภายในบ้านผมตั้งใจไปเลยว่าจะเน้นด้านโครงสร้างเป็นหลักคือ อย่าให้เห็นรอยร้าวที่คาน หรือ ทรุดตัวอย่างเห็นได้ชัดๆ ส่วนพวกเรื่องอื่นเช่น สี หน้าต่าง ประตู สุขภัณฑ์ มันเปลี่ยนกันได้ พอดูภายในเสร็จแล้ว ครบทุกชั้น ผมก็ตระเวนดูรอบๆบ้านอีกหลายรอบ จนได้ข้อมูลหลักๆคือ
1 อยู่ใกล้ตลาดใหญ่ (เพิ่มโอกาสที่กลุ่มพ่อค้าแม่ค้าจะมาซื้ออยู่อาศัย หรือใช้เก็บสินค้า)
2 เดินไปหน้าปากซอยได้ (ง่ายต่อการเดินทาง เช่นเดินออกปากซอยไปขึ้นรถเมล์)
3 ถัดจากบ้านไปไม่มากมีที่แปลงใหญ่ รอการพัฒนา เท่าที่ถามจากเจ้าอาวาสในวัดใกล้เคียง (วัดในพื้นที่เป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารจริงๆครับ) เห็นว่าจะมีค้าปลีกยักษ์ใหญ่มาขึ้น
4 มีโครงการเกิดใหม่ในระยะ300เมตร จากบ้าน มีทั้งทาวน์โฮม และ อาคารพาณิชย์ ซึ่งราคาขายสูงมากๆ (ผมให้น้ำหนักกับข้อนี้พอมากสมควรครับ เพราะคิดว่าบ้านใหม่ราคาตั้งสูงซะขนาดนั้น ถ้าบ้านผมตั้งในทำเลเดียวกัน พื้นที่บ้านเท่ากัน ตกแต่งซ่อมแซมให้มันดูใหม่ๆหน่อยแล้วขายถูกกว่าเป็นล้าน น่าจะขายได้ไม่ยาก... คิดเองเออเองคนเดียวครับ)

พิจารณาแล้วก็ยื่นเสนอซื้อครับ ทางบริษัทตั้งราคามา 1.8ล้าน ผมก็งง งง ถามว่าเอาเลขนี้มาจากไหน เค้าบอกเค้าถามจากบ้านข้างๆมาว่าในระแวกนั้นบ้านแบบเดียวกันนี้เพิ่งขายไป 1.8 ล้าน เมื่อ ปีที่แล้ว ผมถึงได้รู้ว่า เค้าตั้งราคากันง่ายๆแบบนี้เลยหรอเนี่ย

แน่นอนผมต้องต่อราคา ผมขอไป 1.6 เพราะดูๆแล้วต้องซ่อมหลายแสนอยู่ (กะเอาแบบงูๆปลาๆครับ) เค้าไม่ให้ โดยให้เหตุผลว่าทรัพย์อันนี้เค้าซื้อต่อมาราคาสูง พูดทำนองว่า ไม่เอาก็ไม่ง้อไรเงี้ยอะครับ แต่ผมก็ยังตื๊อต่อ เพราะมั่นใจลึกๆว่ายังไงก็กำไร คุยไปคุยมา จบที่ราคา 1.76 ผมเลยรู้ตัวเลยว่า ผมต่อราคาไม่เก่ง

พอได้ราคาผมก็วิ่งหาแบงค์ว่าที่ไหนจะปล่อยกู้ให้ผมมั่ง แต่เนื่องจากผมทำธุรกิจส่วนตัว เสตทเม้นท์ไม่ชัด เพราะค้าขายกันเป็นเงินสดแบบบ้านๆ แถมมีหนี้ผ่อนบ้านอยู่แล้วโชว์ในข้อมูล ผมเลยต้องใช้เสตทเม้นท์แฟนมาช่วยกู้ เดินเข้าแบงค์สายๆ เย็นๆแบงค์แจ้งมาครับว่าเบื้องต้นน่าจะกู้ได้ไม่มีปัญหาไร ตรงนี้จุดประกายเลยครับว่า จุดแข็งจุดนึงของพนักงานเงินเดือนคือเครดิตความสามารถในการกู้ อยากให้เพื่อนๆใช้ให้เป็นประโยชน์ครับ อยากจะลงทุนทำอะไรถ้ายังพอมีกำลังจะผ่อนได้และมั่นใจ ลองดูครับ ส่วนตัวผมตั้งใจเลยว่าหลังจากนี้จะเน้นว่าเงินเข้าเงินออกจะให้ผ่านแบงค์มากที่สุด

ถึงจะมั่นใจว่ายังไงก็ขายได้ มีกำไร แต่ลึกๆก็รู้สึกกลัวว่า จะดีหรอวะ, ไม่เคยทำนะเว่ย, ถ้าขายไม่ได้ล่ะ, และอีกมากมาย แต่ก็ลองนึกดูว่าในกรณีเลวร้ายที่สุดถ้าขายไม่ได้ผมจะทำไง คำตอบคือ ก็ปล่อยเช่ารอจังหวะไป เอาเงินค่าเช่านั่นมาจ่ายแบงค์ไป น่าจะช่วยได้บ้าง คิดได้งี้ก็ลุยต่อเลยครับ

พิมพ์มาถึงตอนนี้ นึกคำพูดนึงจากหนังที่วิล สมิทพูดไว้อะครับ

Fear is not real. It's just our imagination of future that has not come yet. โดนใจผมสุดๆเลยครับ



Create Date : 30 ตุลาคม 2557
Last Update : 30 ตุลาคม 2557 8:50:17 น. 1 comments
Counter : 744 Pageviews.

 
ผม copy มาจากกระทู้ที่ผมตั้งไว้ใน Pantip นะครับ ว่าจะเขียนบันทึกให้ตัวเองอ่านและแลกเปลี่ยนกับเพื่อนๆ แต่ Pantip กระทู้เคลื่อนไหวเร็วมากครับ เลยย้ายมาไว้ที่นี่ดีกว่า


โดย: CarpeDiem69 (สมาชิกหมายเลข 1804773 ) วันที่: 30 ตุลาคม 2557 เวลา:9:08:45 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

carpediem69
Location :


[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add carpediem69's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.