Tokyo Tower - Mom & Me, and sometimes Dad. : สถาปัตยกรรมของแม่
ผมเสียน้ำตาไปไม่น้อยกับหนังที่เช่ามาดูสุดสัปดาห์เรื่องนี้ ทั้งในแง่อารมณ์ที่บีบคั้นกันแบบเอาตายและประเด็นสำคัญที่แอบซ่อนอยู่ Tokyo Tower เป็นหนังที่ทรงคุณค่าควรแก่การดูชมแบบไม่จำกัดเพศและวัย (แต่ถ้าจะให้เหมาะสุด คงเป็นผู้ชมในวัยทำงานที่เพิ่งก่อร่างสร้างตัว เริ่มต้นการลอกคราบชีวิตจากวัยรุ่นที่สนุกคะนองไปวันๆ สู่ความเป็นผู้ใหญ่ที่ต้องมีวุฒิภาวะและเรียกร้องความรับผิดชอบที่มากขึ้น)
บางส่วนของ Tokyo Tower ทำให้นึกถึง Nada Sou sou หนังญี่ปุ่นอีกเรื่องที่โดยภาพรวมทำได้ดีไม่แพ้กัน ทว่า Tokyo Tower ดูจริงจังและมีอารมณ์ร่วมได้มากกว่า เราอาจไม่มีพี่ชายที่แสนดีแบบฟ้าประทานอย่างใน Nada Sou sou แต่ทุกคนมีแม่ และเรื่องราวความรักระหว่างแม่ลูกก็ทำให้ผู้ชมสามารถเข้าถึงได้ไม่ยากนัก
Tokyo Tower เล่าเรื่องตัดสลับกันไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน นอกจากจะสะท้อนที่มาของตัวละครแล้วหนังยังสอดแทรกภาพสังคมในแต่ละยุคสมัย เมื่อใดที่เห็นการพัฒนาของตัวละคร ผู้ชมจะเห็นการพัฒนาของประเทศญี่ปุ่นควบคู่ไปด้วยในเวลาเดียวกัน
หนังเปิดเรื่องกับความรุนแรงในครอบครัวซึ่งพ่อของหม่าคุง (พระเอกของเรา) กำลังเมาเหล้าเอะอะโวยวาย เราจะเห็นพฤติกรรมหยาบคายของพ่อที่แสดงต่อย่า แม่ของหม่าคุงไม่ต้องการให้ลูกชายต้องเติบโตและซึมซับพฤติกรรมลักษณะนี้ จึงย้ายหนีไปอยู่บ้านคุณยายในชนบท ชีวิตวัยเด็กของหม่าคุงเติบโตที่นั้นก่อนที่จะมาเรียนต่อชั้นมัธยมปลายในเมือง หม่าคุง (ตอนโตแสดงโดยโจ โอดางิริ) จากแม่อีกครั้งเมื่อต้องย้ายมาอยู่โตเกียวหลังจากสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แม่ของหม่าคุงทำงานหนักเพื่อหาเลี้ยงส่งเสียจนหม่าคุงเรียนจบ แต่สุดท้ายหม่าคุงตกงานและใช้ชีวิตไปวันๆ ดื่มด่ำกับอิสรภาพที่เคว้งคว้างไร้แก่นสาร หม่าคุงทราบข่าวการเป็นมะเร็งของแม่จึงตัดสินใจรับแม่มาอยู่ด้วยกันในโตเกียว เวลากว่าครึ่งของหนังให้รายละเอียดในการดูแลแม่ของหม่าคุงตราบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
พล็อตเรื่องอาจเชยสนิท แต่วิธีการนำเสนอและจังหวะจะโคนของ Tokyo Tower กลับโดดเด่นเป็นพิเศษ หนังค่อยๆ ลำเลียงและบีบไล่อารมณ์ร่วมจนต่อมน้ำตาระเบิด (อย่างน้อยก็ผมคนนึงล่ะ...) ทั้งที่หนังสุ่มเสี่ยงต่ออาการฟูมฟายไร้สติ แต่ Tokyo Tower ก็ถ่ายทอดออกมาอย่างมั่นคงบนพื้นฐานโครงเรื่องที่หนักแน่น
หอคอยโตเกียวเป็นสัญลักษณ์หลักเหมือนชื่อเรื่อง ทั้งตอนที่ยังเป็นโครงเหล็กและตอนที่สร้างเสร็จแล้วอย่างสมบูรณ์ เปรียบกับชีวิตของตัวละคร พ่อของหม่าคุงรักในเสรีแต่ขาดซึ่งวินัยและความรับผิดชอบ ภาพถ่ายพ่อวัยหนุ่มกำลังชูกีต้าคู่กับหอคอยโตเกียวที่ยังสร้างไม่เสร็จสะท้อนให้เห็นลักษณะนิสัยของชายผู้นี้ได้ดียิ่ง แม้พ่อจะเป็นศิลปินที่มีพรสวรรค์แต่กลับสร้างสรรค์งานไม่เคยเสร็จสมบูรณ์ ทั้งภาพเขียนสีที่ค้างคา เรือจำลองลำเล็กซึ่งเก็บรายละเอียดงานไม่เรียบร้อย การติวศิลปะให้หม่าคุงเพื่อสอบเข้าเรียนอย่างขอไปที รวมไปถึงความรับผิดชอบที่มีต่อลูกและเมียแบบขาดๆหายๆ
หรือแม้แต่หม่าคุงเองที่ถอดใจจะลาออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันแต่แม่ก็ยับยั้งไว้และผลักดันจนลูกชายได้ปริญญามาชื่นชมสมใจ หรืองานเขียนต้นฉบับที่หม่าคุงทำไม่เสร็จตอนงานศพของแม่ เหล่านี้ล้วนสรุปความคิดว่าด้วยการกระทำที่ค้างคาและไปไม่ถึงจุดสำเร็จของชีวิต ( Unfinished Life )
แม่ของหม่าคุงพยายามให้เขาซึมซับความคิดนี้อยู่ตลอด ให้หม่าคุงเป็นผู้ใหญ่ที่มีจิตใจอ่อนโยนและมุ่งมั่นในการทำทุกสิ่งให้สำเร็จ พยายามสร้างหม่าคุงให้แตกต่างจากพ่อผู้ล้มเหลวในชีวิต ท้ายที่สุดผลงานชิ้นนี้ของแม่ก็ปรากฏ เป็นสถาปัตยกรรมที่งดงามโดดเด่นผ่านชีวิตของหม่าคุงที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่อย่างสมบูรณ์และถึงพร้อมซึ่งวุฒิภาวะ
หอคอยโตเกียวคือตัวแทนการสร้างชาติของญี่ปุ่นยุคใหม่ ไม่ต่างจากสัญชาติญาณของแม่ในการสร้างคน ผ่านรสมือในการทำกับข้าว ผ่านน้ำคำให้กำลังใจ เป็นความจริงน่าอัศจรรย์ของธรรมชาติที่ทำให้หญิงธรรมดาๆ ผู้หนึ่งในโลกมีโอกาสเป็นสถาปนิกได้โดยไม่ต้องร่ำเรียน Tokyo Tower ถ่ายภาพหอคอยโตเกียวจากภายนอกหลากหลายแง่มุมในตอนเริ่ม ฉากจบผู้ชมมีโอกาสได้เห็นโตเกียวจากมุมมองภายในของหอคอย เป็นวิสัยทัศน์ที่ทั้งสูงและกว้างขวางจากดวงตาของผู้ที่กำลังจะเป็นสถาปนิกรุ่นต่อไป
Create Date : 27 สิงหาคม 2551 |
|
12 comments |
Last Update : 31 สิงหาคม 2551 16:58:02 น. |
Counter : 2659 Pageviews. |
|
|
|