No Country for Old Men : คุณฆ่าลมหายใจ ?



น่าแปลกที่ No Country for Old Men หนังโหดของสองพี่น้องโจเอลและอีธาน โคเอ็น ที่แม้จะมาแบบปราศจากดนตรีประกอบ แต่เสียงหัวเราะเบาๆของผู้ชมในโรงกลับปรุงแต่งบรรยากาศความมีชีวิตชีวาของหนังได้อย่างน่าทึ่ง ความดิบเถื่อนจริงจังในตัวยังคงมีอยู่ครบถ้วน ทว่าอารมณ์ขันหน้าตายทั้งจากบทสนทนาและสถานการณ์ก็เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งที่สำคัญของหนังเรื่องนี้ (อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า No Country for Old Men เป็นหนังตลกทุบถาด นี่คือเรื่องราวหนักแน่นจริงจังที่หยอดอารมณ์ขันฉลาดๆ อย่างมีวัตถุประสงค์)

ประเด็นว่าด้วยความเสื่อมของมนุษย์ ทั้งความเสื่อมทรามในจิตใจ ความชราแห่งวัยที่เสื่อมถอย และความเสื่อมโทรมของสังคม หนังตั้งคำถามว่าความเสื่อมเหล่านี้คือวาระเบื้องปลายตามธรรมชาติของมนุษย์ จำต้องทำใจยอมรับหลังจากผ่านช่วงที่รุ่งโรจน์ในอดีตมาแล้ว หรือแท้จริงมันคือธรรมดาโลก ที่ไม่ว่าจะในยุคใดสมัยใดก็ล้วนแต่ปรากฏความเสื่อมนี้อยู่แล้วเป็นปกติ ไม่ว่าผู้ชมจะเลือกมองในแง่มุมใดก็ย่อมขึ้นอยู่กับทัศนะส่วนบุคคลที่ไม่มีผิดหรือถูกอย่างสมบูรณ์



คุณค่าและราคา คือมาตรฐานหลักที่หนังเรื่องนี้นำมาทาบวัดพฤติกรรมของมนุษย์ เราประเมินราคาของวัตถุและคุณค่าของชีวิตกันอย่างไร No Country for Old Men วิเคราะห์จาระไนออกมาอย่างคมคาย สะท้อนถึงผลของทางเลือกในแต่ละทางให้เห็นอย่างชัดเจน ถ้าถามว่าแม้เราจะรู้อยู่เต็มอกว่าหากเลือกทางเดินอันนำไปสู่ความเสื่อม ผลสุดท้ายแห่งหายนะย่อมบังเกิด เราจะยังเลือกทางเดินนั้นไหม ผลของทางเลือกที่หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นข้างต้น กลับไม่ได้ช่วยให้เราตอบคำถามได้ง่ายขึ้น การตัดสินใจยังคงยากอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หากประตูของเส้นทางสู่ความเสื่อมยังคงประดับประดาไปด้วยเงินทอง หญิงงามและอำนาจ

เรื่องราวเริ่มต้นด้วยเสียงบรรยายของนายอำเภอเบลล์ ( ทอมมี่ ลี โจนส์ ) ผู้พิทักษ์กฎหมายแห่งท้องถิ่น ที่กล่าวถึงคุณค่าของการผดุงความยุติธรรมในสังคม เขาสืบทอดภาระนี้มาจากบรรพบุรุษรุ่นเก่าก่อนประหนึ่งเป็นหน้าที่ที่ถูกปลูกฝังอยู่ในสายเลือด นายอำเภอมีความคาดหวังว่าในโลกยุคหน้า ความยุติธรรมนี้จะยังคงดำรงอยู่ต่อไป



เกิดคดีฆาตกรรมใหญ่ ปรากฏเพียงซากศพที่ถูกยิงนอนเกลื่อนอยู่ในทะเลทราย นายอำเภอเบลล์ในวัยชราพร้อมด้วยผู้ช่วยหนุ่มที่ยังอ่อนประสบการณ์ เดินหน้าสืบคดีนี้ด้วยการโยงความสนใจไปที่ชายฉกรรจ์ในหมู่บ้านชื่อ ลูเวลลีน มอสส์ ( จอช โบลิน ) ว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวพันกับเรื่องร้ายนี้เนื่องจากรถยนต์ของเขาไปอยู่ ณ ที่เกิดเหตุด้วย

ก่อนนั้นในตอนเที่ยงวัน ขณะที่ ลูเวลลีน มอสส์ กำลังล่ากวางอยู่ในทุ่งทะเลทรายที่ร้อนระอุ เขาสังเกตเห็นรถยนต์หลายคันจอดนิ่งอยู่ ข้างๆ มีศพมากมายนอนจมกองเลือด คาดว่าเป็นการดวลปืนสังหารระหว่างกลุ่มผู้ค้ายาเสพติดจากเม็กซิโกที่ผิดใจกัน เขาเดินสำรวจไปรอบๆ บริเวณ พบชายคนหนึ่งยังมีชีวิตอยู่ทว่าปิ่มจะขาดใจเนื่องจากกระหายน้ำ เขาเดินไปต่อจนพบกระเป๋าสีดำใบใหญ่ภายในบรรจุธนบัตรเต็มกระเป๋า แม้วันนั้นจะล่ากวางไม่ได้เลยซักตัว แต่เขาก็หิ้วโชคใหญ่กลับบ้านและปิดบังเรื่องนี้กับภรรยา



ค่ำนั้น มอสส์นอนไม่หลับเนื่องจากมีอะไรบางอย่างรบกวนอยู่ในห้วงความคิด เขาตัดสินใจเอาน้ำใส่แกลลอนและหิ้วมันไปยังสถานที่เกิดเหตุอีกครั้ง หวังจะช่วยชีวิตคนที่จากมาตอนเที่ยงวัน สถานการณ์เลวร้ายขึ้นอย่างไม่คิดฝัน มีกลุ่มคนลึกลับอยู่ในที่นั้นด้วย และเมื่อกระเป๋าเงินจำนวนมหาศาลหายไป มอสส์ก็เลยกลายเป็นเป้าหมายสำคัญในการตามล่าเอาเงินคืน

แอนตัน ไชการ์ (ฆาเบียร์ บาเดม) คือฆาตกรเลือดเย็นที่คอยตามล่าตัวมอส ไชการ์ฆ่าเหยื่อด้วยวิธีการที่แปลกประหลาด นั่นคือใช้ถังอัดลมปล่อยแรงดันมหาศาลที่ให้ผลไม่ต่างจากอาวุธปืน ศพแล้วศพเล่าที่ตายไปจึงไม่เหลือกระสุนไว้เป็นหลักฐานให้ตามจับตัวได้ ไชการ์เดินทางทวงคืนกระเป๋าเงินใบนั้นด้วยการชิงไหวชิงพริบกับมอสส์ พร้อมๆ กับนายอำเภอเบลล์ที่กำลังพยายามไขคดีและตามล่าหาตัวไชการ์อย่างชนิดที่ไม่ยอมวางมือ แม้ว่าตนเองจะอยู่ในวัยเกษียณแล้วก็ตาม



เส้นเรื่องหลักของ No Country for Old Men มีเพียงแค่นี้ พล็อตเรื่องไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เรียบง่ายและชัดเจน แต่หากไม่ปรากฏว่ามีประเด็นอื่นที่ลึกซึ้งจับใจแอบซ่อนอยู่ งานชิ้นนี้ของสองพี่น้องโคเอ็นคงไม่กวาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาแล้วเกือบทุกสถาบัน ประเด็นที่ว่าด้วยคุณค่าของชีวิตซึ่งไม่สามารถประเมินค่าออกมาเป็นราคาเงินได้

ฉากหนึ่งที่ผู้เขียนยกย่องให้เป็นฉากที่โดดเด่นที่สุดของหนัง คือตอนที่ไชการ์โยนเหรียญให้เหยื่อทายหัวก้อย หากเหยื่อทายถูกก็จะรอดชีวิต ( ก่อนทายเหยื่อจะรู้สึกว่าแม้ตนชนะก็ไม่เห็นจะได้รางวี่รางวัลอะไรขึ้นมาเป็นพิเศษ ) แต่หากเหยื่อทายผิด กระบอกที่อัดแรงลมมหาศาลก็จะเริ่มต้นทำงาน ผู้กำกับใช้วิธีการโยนเหรียญ ( เป็นสัญลักษณ์แห่งมูลค่าของวัตถุ) มาพิพากษาชีวิตอันประเมินค่ามิได้ของมนุษย์ แน่นอนว่าผู้ชมย่อมมีอารมณ์ร่วมและคิดต่อไปต่างๆนานา ว่าเราจะทำยังอย่างไรเพื่อเอาตัวรอดหากตนเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนั้น ผลสุดท้ายที่ผู้ชมได้รับ คือความรู้สึกรักและหวงแหนแต่ละลมหายใจที่เราเคยมองข้ามและไม่เห็นค่า ประหนึ่งเป็นบทเรียนจากความตายที่คอยสั่งสอนให้เรารักชีวิตเพิ่มมากขึ้น



หลายๆ ฉากเดินตามข้อความคิดนี้จนทำให้หนังมีจุดยืนที่เป็นเอกภาพ (การตัดสินใจว่าอะไรมีค่ามากกว่ากัน) อาทิเช่น ฉากที่มอสส์เอากระเป๋าเงินกลับบ้านโดยไม่ได้ช่วยชีวิตชายที่ทะเลทราย ฉากที่หญิงสูงวัยคนหนึ่งทวงค่าเช่าม้าจากนายอำเภอเบลล์และนายอำเภอตอบว่าความรักที่มีให้เธอเพิ่มขึ้นทุกวันต่างหากคือค่าเช่า ฉากที่เด็กวัยรุ่นเห็นมอสส์เดินโซเซเลือดท่วมตัวในสภาพกึ่งตายแต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ จนกระทั่งมอสส์เอ่ยปากขอซื้อเสื้อเป็นราคาเงินห้าร้อยเหรียญ หรือพล็อตเรื่องตอนที่ภรรยาของมอสส์กลับไปอยู่กับแม่ชราที่ป่วยเป็นมะเร็งซึ่งตัวเธอเองจากมานานแล้ว หนี้สินที่เกิดขึ้นจากการจัดงานศพของแม่เทียบไม่ได้เลยกับคุณค่าทางจิตใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดผู้มีพระคุณอีกครั้งในวาระสุดท้าย เปรียบเทียบกับมอสส์ที่จำแทบไม่ได้ว่าแม่ของตนตายไปแล้วหรือยัง และฉากตอนใกล้จบที่หญิงโสเภณีเชิญชวนมอสส์ให้มีความสัมพันธ์ด้วยในขณะที่มอสส์กำลังรอภรรยาของตน การตัดสินใจเล็กๆ ของมอสส์นำไปสู่ฉากจบเพื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของนายอำเภอเบลล์ได้อย่างทรงพลัง และอีกหลายฉากที่หากผู้เขียนหยิบยกมาเล่าต่อมันอาจจะกลายเป็นการเล่าหนังทั้งเรื่อง เพราะสิ่งละอันพันละน้อยที่ปรากฏอยู่ใน No Country for Old Men ล้วนแต่สนันสนุนประเด็นหลักให้หนังมีความชัดเจนที่สุดในข้อความคิดที่ต้องการจะนำเสนอ ชนิดที่ไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชมต้องเผลอหลงทางออกนอกลู่ที่วางไว้



No Country for Old Men หนังชื่อแปลกเรื่องนี้ยังมีประเด็นแตกออกไปถึงคุณค่าแห่งวัยชราที่หลายคนอาจมองข้าม หากถามผู้เขียนว่าความชราแห่งวัยคือประเด็นหลักของเรื่องหรือไม่ ผู้เขียนกลับเห็นว่ามันเป็นเพียงตัวเสริมประเด็นหลักเท่านั้น ตัวเสริมที่เป็นกุญแจสำคัญเพื่อไขฉากจบว่าหนังเรื่องนี้คือแฮบปี้เอนดิ้งในอีกลักษณะหนึ่ง ในขณะที่มอสส์กำลังตามหาความสุขที่เขาคิดว่ามันต้องมาจากเงินก้อนใหญ่ ไชการ์ก็กำลังตามหาเงินที่อยู่กับมอสอย่างไม่ยอมลดละ นายอำเภอเบลล์ในวัยเกษียณก็กำลังพิสูจน์ฝีมือตัวเองอีกครั้งในการตามล่าตัวไชการ์ ไม่ใช่เพียงเหตุผลในทางคดีเท่านั้น การกระทำของเบลล์ยังเป็นการเดินทางเพื่อตามหาความมีคุณค่าของตนในวัยชรา

นอกจากคุณค่าด้านต่างๆ ที่กล่าวมาข้างต้น หนังยังแอบเหน็บแนมความไร้ค่าสูญเปล่าในสงครามเวียดนามครั้งอดีตของอเมริกา ผู้กำกับเล่นกับความคิดนี้อย่างสนุก ด้วยการให้มอสส์ใช้สงครามเวียดนามเป็นข้ออ้างเข้าเมืองกับเจ้าพนักงานของสหรัฐที่ด่านชายแดนเม็กซิโก ประหนึ่งว่านี่หรือคือคุณค่าหรือประโยชน์ที่ได้มาจากการพ่ายแพ้สงครามครั้งนั้น



No Country for Old Men วางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในปี 1980 ณ ดินแดนแถบชนบทอันเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งของสหรัฐ ตัวละครส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยผู้สูงวัยเพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นของเรื่อง หนังให้ภาพที่ดิบเถื่อนและจริงจัง แม้จะเรียบง่ายในงานเทคนิคแต่ทว่าแพรวพราวไปด้วยลูกเล่นชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง ทั้งในส่วนของบท การกำกับและการแสดง ซึ่งเรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี

ฆาเบียร์ บาเดม นักแสดงจากสเปนที่โด่งดังมาจาก The Sea Inside กลับมาได้อย่างโดดเด่นยิ่งในบทของฆาตกรโรคจิต เพียงแค่ผู้ชมเห็นใบหน้าที่บ้าเข้าขั้นของเขาก็ผวาไปแล้วถึงหัวใจ ความเย็นชาและไม่ยี่หระต่อมนุษยธรรมใดๆ ทำให้ตัวละครตัวนี้ของบาเดมช่างห่างไกลจากคุณสมบัติแห่งความเป็นมนุษย์ ฉากทะเลทรายที่รำไรสายฟ้าแลบทว่าฝนก็ยังไม่ยอมตก ประหนึ่งเป็นห้วงใจของไชการ์ที่ชีวิตนี้คงไม่เคยพาลพบน้ำจิตน้ำใจของเพื่อนร่วมโลก จนกว่าฉากตอนใกล้จบจะมาถึง เมื่อเขาได้รับความช่วยเหลือจากเด็กวัยรุ่นคนหนึ่ง หวังว่าหยดน้ำแห่งความดีเล็กๆ ที่หล่นใส่จิตใจของเขาจะทำให้ทะเลทรายที่แห้งผากรู้สึกชุ่มชื้นขึ้นมาได้บ้าง อะไรหนอที่สร้างฆาตกรให้เลวร้ายได้ถึงเพียงนี้ คำตอบคงหนีไม่พ้นโลกที่แห้งแล้งน้ำจิตน้ำใจใบนี้นั่นเอง



คุณค่าแท้จริงของชีวิตอยู่ที่ไหน หนังชี้ทางออกอย่างฉลาดว่าไม่ต้องไขว่คว้าแสวงหาให้เหน็ดเหนื่อย เพราะมันอยู่กับตัวเราแล้วตลอดเวลา มนุษย์ไม่ได้ไม่มีค่า หากแต่เรายังเขลาและมองมันไม่เห็นต่างหาก คนที่รักเรามีอยู่รอบตัวเรา แม้จะธรรมดา ไม่ตื้นเต้นและอาจไม่เร้าความสนใจอะไรมากนัก แต่หากลองจินตนาการดูถึงวันที่เราต้องสูญเสียคนเหล่านั้นไป หากมันทำให้เราต้องเสียใจและเริ่มตระหนักเห็นถึงคุณค่า จงมองสิ่งนั้นให้มีค่าขึ้นมาเลยทันที ณ บัดนี้

คุณค่ามหาศาลของมนุษย์ไม่ได้อยู่ที่เงินในกระเป๋า ไม่ได้อยู่ที่อำนาจพิพากษาชีวิตใคร และไม่ใช่สถิติความเก่งกาจในตามจับตัวคนร้าย ขุมสมบัติอันยิ่งใหญ่ถูกฝังอยู่แล้วที่บ้านของแต่ละคน นั่นคือความรักความอบอุ่นจากคนที่รักเราจริงๆ โดยไม่เคยเรียกร้องสิ่งตอบแทน



No Country for Old Men จบลงแบบตัดห้วน จนอาจเรียกได้ว่าจากไปแบบกะทันหัน (เหมือนชีวิต) เป็นฉากจบตอนเกษียณของนายอำเภอเบลล์ที่นั่งดื่มกาแฟกับภรรยาพร้อมกับการเล่าถึงความฝันเมื่อคืนให้เธอฟัง นายอำเภอเล่าไปเรื่อยๆ ถึงฝันที่นิมิตภาพเป็นเรื่องราวของบรรพบุรุษครั้งเก่าก่อน และจบเรื่องเล่าของตนพร้อมการจบลงของหนังเรื่องนี้ด้วยประโยคที่ว่า “แล้วผมก็ตื่นขึ้น”...

อย่างน้อยก่อนที่แรงในกระบอกอัดลมของนายอำเภอจะหมด นายอำเภอก็ได้ตระหนักแล้วว่าการตามล่าฆาตกรคือรูปแบบหนึ่งของการฆ่าตัวตาย และอะไรกันแน่คือสิ่งที่มีค่าแท้จริงที่ควรแก่การอุทิศลมหายใจให้




Create Date : 22 กุมภาพันธ์ 2551
Last Update : 21 มีนาคม 2552 9:44:45 น. 20 comments
Counter : 7411 Pageviews.

 
แวะมาอ่านเรียบร้อยแล้วครับ เขียนดีจริงๆ อ่านง่าย อ่านเพลิน สนุกกว่าดูหนังอีก



โดย: joblovenuk วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:12:29 น.  

 
ฉากจบของเรื่องนี้คลาสสิคมากๆ กลายเป็นว่าตอนจบของ 4 หนังที่เข้าชิงออสการ์ยอดเยี่ยมที่ผมได้ดู (ยกเว้น Juno) เข้าขั้นเป็นตำนานทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเรื่องนี้มันยิ่งกระแทกคำว่า No Country for Old Men ได้ชัดเจนและรุนแรงยิ่งขึ้น ราวกับจะไม่ให้เหลือความหวังใดๆอีกต่อไป เป็นการมองโลกแบบปลงตกของคนชรา

และอีกไม่นาน แอนตันเองก็คงรู้ความจริงข้อนี้ ไม่ต่างกับเลเวอลีน หากเขายังมีชีวิตอยู่...


โดย: nanoguy IP: 125.24.84.108 วันที่: 24 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:23:26:31 น.  

 
ดูสองรอบ และมากระจ่างชัดก็เมื่อมาอ่านที่นี่แหละค่ะ

ชอบฉากที่ภรรยาของมอสเปิดประตูเข้าห้องแล้วเจอไชการ์นั่งรออยู่ ชอบคำตอบที่เธอตอบในเรื่องการเลือกด้านของเหรียญ

และชอบอารมณ์ขันตลกร้ายกาจของพี่น้องผกก. มันขำแบบขื่นๆยังไงไม่รู้


โดย: renton_renton วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:10:40:42 น.  

 
ชื่อของหนังที่ว่า “No Country for Old Men” ว่าดูขลังแล้ว
แต่ชื่อตอน “คุณฆ่าลมหายใจ?” กลับดูขลังกว่า เดี๋ยวนี้ตั้งชื่อตอนได้น่าติดตามยิ่งกว่าเดิม

อย่างเคยๆ ผมยังไม่ได้ดูหนังเรื่องนี้ แต่บทความนี้กลับเอาศอกมากระทุ้งๆพาลจะให้อยากออกไปดู
อิจฉาคนที่ไปดูมาแล้วจริงๆ เพราะตอนที่อ่านแล้วลองนึกภาพตาม
ผมว่าถ้าได้ดูแล้วมาอ่านคงจะ “อิน” ได้สนุกกว่านี้โข

แต่เท่านี้ก็หรูแล้ว ช่วงนี้ซื้อนิตยสารมากี่ปก – กี่ปกก็ไม่ค่อยอ่าน
ขอจดชื่อเอาไว้ก่อนรอแผ่นออกอีกที

ปล ส่วนหนึ่งที่อยากดูเพราะชอบทอมมี่ ลี โจนส์มาตั้งแต่ดูแบทแมนตอนเด็กๆแล้ว 555+


โดย: ขอรบกวนทั้งชุดนอน วันที่: 25 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:23:05 น.  

 
ยังไม่ได้ดูเลยครับ
ว่าจะไปดูพรุ่งนี้พร้อม atonement (เชยมากๆ )

ไว้จะแวะมาอีกทีนะครับ


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:14:31:55 น.  

 
ดูมาสองรอบแล้ว ชอบมากๆโดยเฉพาะการแสดงของเฮียฆาเบีย บาเด็ม

โลกมันไปไวจนไม่มีที่ให้คนแก่ยืนกันแล้ว


โดย: The Kolfather (komyooth ) วันที่: 26 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:19:01:43 น.  

 
ปีนี้ชอบการแสดงแบบสุดพลังของ น้า Daniel Day Lewis และ พี่ ฆาเบียร์ บาเด้ม มากๆครับ

ชั้นเซียนเป็นแบบนี้นี่เอง


โดย: Bestkop IP: 203.146.116.24 วันที่: 27 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:11:45:43 น.  

 
ผมฉีกไปคุยใน My Network นะครับ


โดย: ข้าวหวาน IP: 125.24.221.134 วันที่: 29 กุมภาพันธ์ 2551 เวลา:15:20:05 น.  

 
ขอบคุณครับ สำหรับบทวิจารณ์ดีๆ

บทหนังเรื่องนี้มีให้โหลดด้วยนะครับที่

www.miramaxhighlights.com/pdf/no-country-for-old-men/screenplay


โดย: wayakon วันที่: 10 มีนาคม 2551 เวลา:14:13:15 น.  

 
เที่ยวนี้หายไปนานนะครับ
งานยุ่งหรือว่าเกิดอะไรขึ้นหนอ


โดย: nanoguy IP: 125.24.70.144 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:12:19:51 น.  

 
ช่วงนี้คุณ beerled กำลังยุ่งเกี่ยวกับการโยกย้ายงานนิดนึงค่ะ

อีกสักพักคงมีเวลาเขียนงานชิ้นใหม่...อดใจรอสักพักนะคะ


โดย: เลขาฯ beerled IP: 124.121.22.86 วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:13:08:07 น.  

 
ได้ดูแล้วครับ
อ่านแล้วก็เห็นภาพชัดขึ้น
ชอบที่พูดถึงการโยนเหรียญ-สัญลักษณ์แห่งมูลค่าของวัตถุ กับค่าของชีวิตมนุษย์

ตอนที่ดูผมเสียดายฉากจบ
ไม่รู้พี่ๆ เสื้อเหลืองจะรีบเดินมาเปิดประตูทางออกทำไม
เสียสมาธิหมด


โดย: แค่เพียงรู้สึกสุขใจ วันที่: 11 มีนาคม 2551 เวลา:21:05:43 น.  

 
No country for Old men น่าจะมีประเด็นที่สำคัญกับเรื่องมากเลย มากกว่าคุณค่าของชีวิตที่ดับไปในเรื่อง
main conflict ยังคงเป็นเรื่องของวิถีชีวิตในโลกเก่าที่ตามโลกใหม่ไม่ทัน ไม่ว่าจะรู้ทันและเข้าใจฆาตกรมากแค่ไหน แต่ Coen ก็บอกชัดเจนเลยว่า มันไม่ทัน เพราะตอนนี้มันเป็น No cpuntry for Old World แล้ว

ยิ่งฉากจบยิ่งชัดเลย ขนาดเจออุบัติเหตุแท้ๆ ยังรอดได้ ยิ่งเสริมคำว่า Old ให้เห็นชัดเลย
ชอบบรรยากาศแบบคาดเดาได้ยาก ของ Coen ที่จริง Ladykillers ก็ให้อารมณ์แบบนี้ คือเสียดสีแบบลึกๆ ประมาณว่าจะดูเอาฮาแบบผิวเผินก้ได้ หรือจะดูลึกๆ แบบเอาเรื่องก็ดี

หนังให้อารมณ์เดียวกับ Crash หรือ Babel เลย เพียงแต่เลือดมากกว่าเท่านั้นเอง

สรุปก็คือไม่ว่าจะอย่างไร สันดานดิบของมนุษย์ก็คือการใช้ความรุนแรงแก้ไขปัญหา


โดย: คนผ่านมา IP: 125.26.138.200 วันที่: 28 มิถุนายน 2551 เวลา:13:40:49 น.  

 
หนังเรื่องนี้ผมชอบมากเลยคับ ทั้งตลก และไม่จบแบบโรคจิต สนุกทุกฉาก


โดย: Ton IP: 58.8.103.118 วันที่: 3 กรกฎาคม 2551 เวลา:20:40:34 น.  

 
อยากดูนะเรื่องนี้ พี่ชายบอกว่าดี แต่ยังไม่เข้าใจในเนื้อหาของหนังชัดเจนนัก พี่มันบอกว่าดูแล้วยังงง อ่ะเลยลองหาข้อมูลของหนังเลยได้อ่านบทความนี้เลยพอเข้าใจ ที่หนังต้องการสื่อออกมาแล้วว่าคืออารายกันแน่ ต้องไปหาดูแล้วล่ะท่าน ขอบคุณสำหรับบทความนะจ้ะ


โดย: bandeeja IP: 125.24.197.111 วันที่: 24 มกราคม 2552 เวลา:17:35:04 น.  

 
ผมเพิ่งได้ดูวันนี้เอง

ขำได้ในหลายฉากเลยล่ะ แต่ชอบ Burn After Reading มากกว่านะ

เพราะมาดูหลัง THE DARK KNIGHT ด้วยมั้ง

เลยไม่ค่อยอินกับฉากหัวก้อยเท่าไหร่ แง่มๆ


โดย: นายตัวสูง IP: 222.123.144.228 วันที่: 20 เมษายน 2552 เวลา:20:38:05 น.  

 
แรกๆดูหนังไล่ยิงกันคิดว่า เออมันส์แน่เว้ยหลังๆ

นอนดีกว่า


โดย: s4wet IP: 222.123.230.187 วันที่: 29 มกราคม 2553 เวลา:9:12:48 น.  

 
น่าดูมากครับ


โดย: PRIVATE IP: 223.205.148.58 วันที่: 24 มีนาคม 2554 เวลา:14:03:54 น.  

 
ไม่รู้เรื่องเลย จริงๆ
หนังเข้าชิงทั้งหลาย
ยอมรับว่า ไม่เข้าใจ


โดย: ละอ่อนน้อย IP: 171.4.45.159 วันที่: 8 เมษายน 2555 เวลา:2:16:32 น.  

 
เพิ่งไปหาหนังเรื่องนี้มาดู พอดูจบก็เข้ามาเซิร์สหาวิจารณ์ทันที

บอกตามตรงว่าคุณเขียนวิจารณ์ได้ดีมากเลยค่ะ อ่านแล้วทำให้เข้าใจหนังขึ้นเยอะเลย เพราะดูไป 1 รอบยังคงรู้สึกงง ๆ ในสิ่งที่หนังต้องการจะสื่ออยู่ แต่พอมาอ่านแล้วเข้าใจแจ่มแจ้งมากค่ะ บางฉากที่ดูแล้วไม่คิดอะไรพอมาอ่านก็ เออ เนอะ เป็นอย่างนี้นี่เอง



โดย: piksi IP: 171.7.232.154 วันที่: 10 มิถุนายน 2555 เวลา:18:51:42 น.  

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 

beerled
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 8 คน [?]




New Comments
Group Blog
 
<<
กุมภาพันธ์ 2551
 12
3456789
10111213141516
17181920212223
242526272829 
 
22 กุมภาพันธ์ 2551
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add beerled's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.