น่าแปลกที่ No Country for Old Men หนังโหดของสองพี่น้องโจเอลและอีธาน โคเอ็น ที่แม้จะมาแบบปราศจากดนตรีประกอบ แต่เสียงหัวเราะเบาๆของผู้ชมในโรงกลับปรุงแต่งบรรยากาศความมีชีวิตชีวาของหนังได้อย่างน่าทึ่ง ความดิบเถื่อนจริงจังในตัวยังคงมีอยู่ครบถ้วน ทว่าอารมณ์ขันหน้าตายทั้งจากบทสนทนาและสถานการณ์ก็เป็นอีกเสน่ห์หนึ่งที่สำคัญของหนังเรื่องนี้ (อย่าเพิ่งด่วนสรุปว่า No Country for Old Men เป็นหนังตลกทุบถาด นี่คือเรื่องราวหนักแน่นจริงจังที่หยอดอารมณ์ขันฉลาดๆ อย่างมีวัตถุประสงค์)
คุณค่าและราคา คือมาตรฐานหลักที่หนังเรื่องนี้นำมาทาบวัดพฤติกรรมของมนุษย์ เราประเมินราคาของวัตถุและคุณค่าของชีวิตกันอย่างไร No Country for Old Men วิเคราะห์จาระไนออกมาอย่างคมคาย สะท้อนถึงผลของทางเลือกในแต่ละทางให้เห็นอย่างชัดเจน ถ้าถามว่าแม้เราจะรู้อยู่เต็มอกว่าหากเลือกทางเดินอันนำไปสู่ความเสื่อม ผลสุดท้ายแห่งหายนะย่อมบังเกิด เราจะยังเลือกทางเดินนั้นไหม ผลของทางเลือกที่หนังเรื่องนี้แสดงให้เห็นข้างต้น กลับไม่ได้ช่วยให้เราตอบคำถามได้ง่ายขึ้น การตัดสินใจยังคงยากอยู่เช่นเดิมไม่เปลี่ยนแปลง หากประตูของเส้นทางสู่ความเสื่อมยังคงประดับประดาไปด้วยเงินทอง หญิงงามและอำนาจ
เส้นเรื่องหลักของ No Country for Old Men มีเพียงแค่นี้ พล็อตเรื่องไม่มีอะไรสลับซับซ้อน เรียบง่ายและชัดเจน แต่หากไม่ปรากฏว่ามีประเด็นอื่นที่ลึกซึ้งจับใจแอบซ่อนอยู่ งานชิ้นนี้ของสองพี่น้องโคเอ็นคงไม่กวาดรางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมมาแล้วเกือบทุกสถาบัน ประเด็นที่ว่าด้วยคุณค่าของชีวิตซึ่งไม่สามารถประเมินค่าออกมาเป็นราคาเงินได้
หลายๆ ฉากเดินตามข้อความคิดนี้จนทำให้หนังมีจุดยืนที่เป็นเอกภาพ (การตัดสินใจว่าอะไรมีค่ามากกว่ากัน) อาทิเช่น ฉากที่มอสส์เอากระเป๋าเงินกลับบ้านโดยไม่ได้ช่วยชีวิตชายที่ทะเลทราย ฉากที่หญิงสูงวัยคนหนึ่งทวงค่าเช่าม้าจากนายอำเภอเบลล์และนายอำเภอตอบว่าความรักที่มีให้เธอเพิ่มขึ้นทุกวันต่างหากคือค่าเช่า ฉากที่เด็กวัยรุ่นเห็นมอสส์เดินโซเซเลือดท่วมตัวในสภาพกึ่งตายแต่ก็ไม่ได้ให้ความช่วยเหลือใดๆ จนกระทั่งมอสส์เอ่ยปากขอซื้อเสื้อเป็นราคาเงินห้าร้อยเหรียญ หรือพล็อตเรื่องตอนที่ภรรยาของมอสส์กลับไปอยู่กับแม่ชราที่ป่วยเป็นมะเร็งซึ่งตัวเธอเองจากมานานแล้ว หนี้สินที่เกิดขึ้นจากการจัดงานศพของแม่เทียบไม่ได้เลยกับคุณค่าทางจิตใจที่ได้อยู่ใกล้ชิดผู้มีพระคุณอีกครั้งในวาระสุดท้าย เปรียบเทียบกับมอสส์ที่จำแทบไม่ได้ว่าแม่ของตนตายไปแล้วหรือยัง และฉากตอนใกล้จบที่หญิงโสเภณีเชิญชวนมอสส์ให้มีความสัมพันธ์ด้วยในขณะที่มอสส์กำลังรอภรรยาของตน การตัดสินใจเล็กๆ ของมอสส์นำไปสู่ฉากจบเพื่อเปรียบเทียบกับชีวิตของนายอำเภอเบลล์ได้อย่างทรงพลัง และอีกหลายฉากที่หากผู้เขียนหยิบยกมาเล่าต่อมันอาจจะกลายเป็นการเล่าหนังทั้งเรื่อง เพราะสิ่งละอันพันละน้อยที่ปรากฏอยู่ใน No Country for Old Men ล้วนแต่สนันสนุนประเด็นหลักให้หนังมีความชัดเจนที่สุดในข้อความคิดที่ต้องการจะนำเสนอ ชนิดที่ไม่ยอมปล่อยให้ผู้ชมต้องเผลอหลงทางออกนอกลู่ที่วางไว้
No Country for Old Men หนังชื่อแปลกเรื่องนี้ยังมีประเด็นแตกออกไปถึงคุณค่าแห่งวัยชราที่หลายคนอาจมองข้าม หากถามผู้เขียนว่าความชราแห่งวัยคือประเด็นหลักของเรื่องหรือไม่ ผู้เขียนกลับเห็นว่ามันเป็นเพียงตัวเสริมประเด็นหลักเท่านั้น ตัวเสริมที่เป็นกุญแจสำคัญเพื่อไขฉากจบว่าหนังเรื่องนี้คือแฮบปี้เอนดิ้งในอีกลักษณะหนึ่ง ในขณะที่มอสส์กำลังตามหาความสุขที่เขาคิดว่ามันต้องมาจากเงินก้อนใหญ่ ไชการ์ก็กำลังตามหาเงินที่อยู่กับมอสอย่างไม่ยอมลดละ นายอำเภอเบลล์ในวัยเกษียณก็กำลังพิสูจน์ฝีมือตัวเองอีกครั้งในการตามล่าตัวไชการ์ ไม่ใช่เพียงเหตุผลในทางคดีเท่านั้น การกระทำของเบลล์ยังเป็นการเดินทางเพื่อตามหาความมีคุณค่าของตนในวัยชรา
No Country for Old Men วางเหตุการณ์ให้เกิดขึ้นในปี 1980 ณ ดินแดนแถบชนบทอันเป็นทะเลทรายที่แห้งแล้งของสหรัฐ ตัวละครส่วนใหญ่ประกอบไปด้วยผู้สูงวัยเพื่อให้สอดคล้องกับประเด็นของเรื่อง หนังให้ภาพที่ดิบเถื่อนและจริงจัง แม้จะเรียบง่ายในงานเทคนิคแต่ทว่าแพรวพราวไปด้วยลูกเล่นชั้นเชิงในการเล่าเรื่อง ทั้งในส่วนของบท การกำกับและการแสดง ซึ่งเรียกร้องความสนใจจากผู้ชมได้เป็นอย่างดี
No Country for Old Men จบลงแบบตัดห้วน จนอาจเรียกได้ว่าจากไปแบบกะทันหัน (เหมือนชีวิต) เป็นฉากจบตอนเกษียณของนายอำเภอเบลล์ที่นั่งดื่มกาแฟกับภรรยาพร้อมกับการเล่าถึงความฝันเมื่อคืนให้เธอฟัง นายอำเภอเล่าไปเรื่อยๆ ถึงฝันที่นิมิตภาพเป็นเรื่องราวของบรรพบุรุษครั้งเก่าก่อน และจบเรื่องเล่าของตนพร้อมการจบลงของหนังเรื่องนี้ด้วยประโยคที่ว่า แล้วผมก็ตื่นขึ้น...
ฉากจบของเรื่องนี้คลาสสิคมากๆ กลายเป็นว่าตอนจบของ 4 หนังที่เข้าชิงออสการ์ยอดเยี่ยมที่ผมได้ดู (ยกเว้น Juno) เข้าขั้นเป็นตำนานทั้งสิ้น โดยเฉพาะในเรื่องนี้มันยิ่งกระแทกคำว่า No Country for Old Men ได้ชัดเจนและรุนแรงยิ่งขึ้น ราวกับจะไม่ให้เหลือความหวังใดๆอีกต่อไป เป็นการมองโลกแบบปลงตกของคนชรา
No country for Old men น่าจะมีประเด็นที่สำคัญกับเรื่องมากเลย มากกว่าคุณค่าของชีวิตที่ดับไปในเรื่อง main conflict ยังคงเป็นเรื่องของวิถีชีวิตในโลกเก่าที่ตามโลกใหม่ไม่ทัน ไม่ว่าจะรู้ทันและเข้าใจฆาตกรมากแค่ไหน แต่ Coen ก็บอกชัดเจนเลยว่า มันไม่ทัน เพราะตอนนี้มันเป็น No cpuntry for Old World แล้ว