ชีวิตคือการเดินทาง

****หมายเหตุ***ห้ามผู้ใดนำข้อความ และ ภาพในบล๊อกนี้ไปใช้หรือนำไปตัดต่อดัดเเปลงโดยไม่ได้รับอนุญาติจากเจ้าของเป็นอันขาด หากละเมิดจะถูกดำเนินคดี ตามที่กฏหมายบัญญัติไว้สูงสุด ตามพรบ.ลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539 ******

This road is mine
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[ดู Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 4 คน [?]




ชีวิตคือการเดินทางบนถนนที่เราเลือกเอง เลือกที่จะเป็น ขอให้ทุกคนมีความสุขที่ได้เดินบนเส้นทางของตัวเอง เเล้วคุณจะรู้ว่าทางเดินนี้มันสวยงามเพียงใด
New Comments
Group Blog
 
 
พฤษภาคม 2550
 12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031 
 
27 พฤษภาคม 2550
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add This road is mine's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friend

 
“STAY”



นี่คือ diary ของวันที่ 4 กย. 2546 จะหยิบยกเอาบางส่วนออกมา ความจริงแล้วอยากจะแต่งใหม่ซะมากกว่า แต่ดูเหมือนที่เขียนไว้ใน diary มันเป็นคำพูดสดๆที่พรั่งพรูออกมาจากใจในวันนั้นเลย เลยไม่อยากจะหาคำไหนๆมาแทนมาแต่งใหม่ เพราะกลัวจะบิดเบือนไปจากความรู้สึกตอนนั้น...

“ แล้วมันก็พาตัวมาจนได้ มาเพราะเสียงเรียกร้องของหัวใจ มาเพื่อความหวังอะไรบางอย่างซึ่งก็อาจจะเป็นหมดหวังไปเลยก็ได้

มาแล้วก็รู้ดีว่า...ไม่เจอ! แต่ก็ยังคิดจะมา!

4 โมงเย็นอยู่ที่คณะ นั่งคิด stabile หัวเกือบแตก ก็คิดไม่ค่อยออก นั่งภาวนาไปว่า “ขอให้ได้ไป” “ขอให้ได้ไป(เจอ)” แต่จนแล้วจนรอดก็ดิ่งตรงไปขึ้น taxi ไปแบงค์ชาติในทันทีที่เลิกเรียน...

พิธีรับทุน (สหกรณ์ของแบงค์) จัดที่สโมสรตอน 5 โมงเย็น ไปถึงก็ได้เวลารับพอดี...ช่วงนี้ไม่ค่อยน่าสนใจหรอก น่าเบื่อ...แต่ก็ยังมองหาพี่ตู่อยู่ดี ทั้งที่ไม่น่าจะเจอเขาในนี้...ก็ไม่เจอจริงๆ

บอกแม่ว่าจะออกไปเดินดูรอบๆแบงค์ ดูความเปลี่ยนแปลงของแบงค์ก่อนกลับ...ฉันก็มานั่งกินขนมตรงหลังสโมสร...นั่งมองดูน้ำในแม่น้ำไปเรื่อย...ที่ตรงนี้ฉันเคยเดินผ่านพี่ตู่ที่กำลังยืนคุยกับใครคนนึง...ตอนที่ฉันจำเขาได้จากแค่ด้านหลังแค่นั้น...แต่ตอนนี้ไม่มี...

แล้วก็ย้ายก้นไป เดินเอื่อยๆมองดูความเปลี่ยนไปต่างๆ มีการตั้งรั้วกั้นบริเวณที่ก่อสร้างอาคารใหม่...ครอบคลุมบริเวณที่ฉันเคยมีความหลังทั้งหมด มันกลืนความทรงจำของฉันไปแล้ว... ที่ๆเคยเจอเขาเมื่องานพนง.45 ที่ฉันเคยยิ้มแก้มปริมองดูเขาเต้นบนเวที... ที่ๆฉันเหลียวหลังมองดูเขาเดินลงจากเวทีสวนฉันไป... ที่ๆใจฉันหวั่นไหวกับรอยยิ้มครั้งแรกที่ฉันได้รับมาจากเขา ก็ที่ตรงนั้นฉันเจอเขาครั้งแรก... ที่นั่น ตอนนั้นมันเต็มไปด้วยความสุข แต่ตอนนี้มันกลายเป็นที่ฝังเข็ม ฐานรากไปจนหมดแล้ว... ฉันได้แต่มองดูรั้วสังกะสีชั่วคราวที่ล้อมรอบ site งาน... ฉันยืนดูอยู่นาน แม้ว่าที่ตรงนั้นมันจะไม่มีทางเหมือนวันเก่าอีกแล้ว

ตั้งใจจะเดินกลับ แต่จนแล้วจนรอดก็ขอให้ได้ดูที่สุดท้ายอีกที่นึงที่จะลืมไม่ได้ ฉันเดินกลับไปที่ริมเขื่อน บริเวณที่จัดลอยกระทง 45 เมื่อปีที่แล้ว... ตรงนั้นฉันเคยเดินจากเขามาพร้อมกับจ้องหน้า ยิ้มให้เขาไป... ฉันเดินย้อนกลับไปอีกทาง ไปตรงที่ฉันยืนอยู่บนลาดเนินมองดูเขาเฮฮากับเพื่อนๆ และฉันก็คิดว่ามันครบแล้วล่ะกับที่ๆฉันเคยมีความทรงจำกับเขา ฉันย้อนมองกลับไปดูหมดแล้ว... ฉันจึงได้ตัดสินใจกลับ...

ฝนกำลังจะตก ลมแรงมาก ฉันเดินผ่านที่แรกที่เจอเขาอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่หยุดยืนดู กลับเดินตรงลิ่วกลับออกจากแบงค์ไปแทน... ในใจคิดถึงเพลง “แน่ใจว่ารัก” แล้วน้ำตาก็เอ่อ... ฉันเหลียวมองหาเขาในทุกที่ๆฉันไป ฉันมองดูคนขึ้นรถจะกลับบ้าน มองดูรถที่ขับออกไปจากแบงค์ เผื่อว่าจะได้เจอเขา แต่ก็ไม่เห็นเขาเลยจริงๆ...
แล้วฉันก็นึกถึงเพลง STAY ของ Plamy ขึ้นมาได้...

“อาจเป็นฝนที่หล่นมาชั่วคราว และเมฆขาวที่ผ่านมาเพียงชั่วคืน
เจอะกับลมก็ปลิวไป ไม่มีใครรื้อฟื้นไม่ได้เป็นความยั่งยืนเสมอไป
แต่กับเธอที่ผ่านมาชั่วคราว และเรื่องราวที่เปลี่ยนไปชั่วข้ามคืน
กับอะไรที่เป็นไป ก็ยังไม่เคยลืม เหมือนว่ามันเป็นส่วนหนึ่งของหัวใจ
เราไม่เคยจะรักกัน มีแต่วันที่อ่อนไหว ผ่านเลยไปและไม่เคยจะกลับมา
เป็นแค่ความประทับใจที่ยังคงแน่นหนา มีแต่ฝนมีแต่ฟ้าที่เข้าใจ
ใต้ต้นไม้ที่ไม่มีร่มเงา กิ่งก้านมันไม่ได้สูงสักเท่าไร
แต่รากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในใจ มีความหมายที่มากมายตลอดมา”


บรรยากาศเป็นใจ... อารมณ์ที่อัดอั้นอยู่ตอนนี้ มันตรงกับเพลงนี้มากๆ ฉันอยากจะร้องไห้มากๆ แต่ก็ได้แต่ตันคอ เอ่อๆ แค่นั้น...

ในใจก็คิด “เรื่องมันจบไปแล้ว... มันจบไปแล้วจริงๆ มันเป็นการจบและจากอย่างสวยงาม ก็ไม่น่าจะคิดจะขออะไรอีกมากมายอีกแล้ว... เนื้อเรื่องมันจบแค่ตรงบรรทัดนั้นจริงๆ ไม่มีปาฏิหาริย์ ไม่มีภาคต่อ มันเป็นเรื่องที่ perfect สมบูรณ์แล้วและมันก็จบลงอย่างสวยงามแล้วจริงๆ... ก็ไม่น่าจะคิดมากนะ” ฉันปลอบใจตัวเอง....

“รู้สึกเหมือนกับว่า ครั้งนี้ฉันมารื้อฟื้นเรื่องเก่าเพื่อที่จะสั่งลา ฉันควรจะเก็บเรื่องราวนี้ไว้ในใจ แต่ไม่ใช่ว่า ฉันจะต้องอยู่กับอดีตไปตลอดชีวิต... ฉันน่าจะเก็บเขาไว้ลึกๆและก็มีความสุขกับปัจจุบันซะ มีความสุขกับความหวังใหม่ๆ กับความรักใหม่ๆ กับคนอื่นๆที่จะได้เข้ามาในชีวิตภายภาคหน้า”

ฉันว่าฉันเริ่มเข้าใจตัวเองแล้วล่ะ และรู้ว่าฉันควรจะทำตัวอย่างไรต่อไป
จริงมั้ย!!!
มีความสุขกับความหวังใหม่ๆ
อย่าจมปลักกับความหลังกับอดีต
ปล่อยให้มันจบลงอย่างสวยงาม เก็บเรื่องราวต่างๆไว้ให้อยู่ลึกๆในใจ
เรื่องมันจบในตัวมันเองอยู่แล้ว

ฉันรู้สึกว่า ฉันคงไม่มีทางได้พบเขาอีกแล้วแน่ๆ ความหวังที่จะได้ไปเที่ยวที่ไกลๆกับเขาดูจะค่อยๆเลือนหายไปโดยปริยาย เขาก็อาจจะมีความสุขในทางที่เขาควรจะไป... ฉันก็มีความสุขในทางของฉัน”


สาเหตุที่หยิบเอา diary วันนั้นมาเขียนนะหรือ...

เพราะว่าวันนี้...วันเสาร์ที่ 13 ธค. 2546 ... ฉันได้รับรู้ความรู้สึกลึกๆในใจของฉันอย่างแท้จริงแล้ว...

วันนี้ อดีตและเรื่องราวเก่าๆเกี่ยวกับพี่ตู่ ได้ถูกรื้อฟื้นอีกครั้ง...

ก็เพราะวันนี้เป็นวันพนักงาน 46...

ฉันทำตัวไม่ถูก ไม่รู้ว่าวันนี้ควรจะทำตัวอย่างไร ถ้าฉันได้เจอพี่ตู่อีก—ซึ่งฉันคิดว่าได้เจอเขาแน่ๆ—ความรู้สึกของฉันจะเปลี่ยนไปมั้ย ในเมื่อตอนนี้ฉันยอมรับว่าใจของฉันเปลี่ยนไปแล้ว ใจของเขาก็อาจจะเปลี่ยน แต่มันอดใจไม่ไหวแล้วจริงๆ ยังไงๆฉันก็ต้องมาให้ได้...

ตอนแรกที่มาถึงที่แบงค์ ประมาณบ่าย 3 โมงกว่าๆ เข้าไปในสโมสรก่อนเลย คราวนี้ฉันไม่ตั้งความหวังหรือคาดหวังอะไรเกี่ยวกับการมาที่นี่อีก...เกี่ยวกับพี่ตู่... ก็อย่างที่บอก... ใจของฉันมันเปลี่ยนไปแล้ว...

หลังจากนั้นไม่นาน พี่ชายฉันก็มาถึงแบงค์ ก็ชวนกันไปถ่ายรูปสะพานพระรามแปด ตรงริมเขื่อน
ตรงนั้นใกล้ๆกับทางเดินไปโป๊ะเรือ ฉันยืนคุยอยู่กับพี่ชาย แต่สายตาฉันมองไปที่บรรดาผู้คนที่ยืนบ้าง นั่งบ้าง พูดคุยกันแถวๆนั้นบ้าง แล้วสายตาฉันก็ไปสะดุดอยู่ที่คนๆหนึ่ง เบื้องหน้าทางขวามือของฉัน เขานั่งบนสนามหญ้า บนเนินเล็กๆริมเขื่อน หันหลังให้กับแม่น้ำเจ้าพระยา กำลังคุยโทรศัพท์อยู่...

ฉันเจอเขาแล้วล่ะ... นั่นคือพี่ตู่... ฉันมองดูเขา—ซึ่งเหมือนเหม่อมองมากกว่า—สัญญาณสมองของฉันทำงานรวดเร็วมาก บอกฉันว่า บุคคลที่ฉันไม่เจอหน้ามา 1 ปีกับอีก 1 เดือน นับตั้งแต่วันลอยกระทงปีที่แล้วนั้น จะมาอยู่ข้างหน้าฉัน ให้ฉันได้เห็น ได้เจอเขาอีกครั้งตอนนี้...และเดี๋ยวนี้....

ตอนนั้นฉันยืนอยู่กับพี่ พยายามอย่างยิ่งมากที่จะไล่พี่ออกไปให้พ้นๆหน้า แล้วฉันก็สมหวัง พี่บอกฉันว่าจะไปถ่ายรูปที่อื่น ทันทีที่พี่เดินออกไป ฉันก็ไม่รู้จะทำตัวยังไง ก็มายืนอยู่ที่ริมเขื่อน แกล้งทำเป็นว่ามาดูวิวแม่น้ำเบื้องหน้า... จริงๆแล้วฉันมองดูเขาอยู่...

นี่เป็นครั้งที่ 6 ที่ได้พบกับเขาในระยะเวลา 2 ปี กับอีก 10 เดือน นับตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอเขา... เขาดูเปลี่ยนไปค่อนข้างมากเลยทีเดียว ทำให้ฉันเกือบจะจำเขาไม่ได้แล้ว... เขาใส่เสื้อยืดสีขาวข้างในโดยมีเสื้อเชิ้ตสีดำแขนสั้นหรือยาวก็จำไม่ได้แล้วคลุมทับอีกที กางเกงยีนส์สีน้ำเงินเข้ม ผมยาวไม่มาก ดูออกจะเหยียดตรงด้วยซ้ำ จอนยาวๆนั้นก็สั้นลงเหมือนเพิ่งไปตัดผมมา ผิวก็ดูขาวขึ้น ดูดีมากและดูสุภาพกว่าทุกๆครั้งที่เคยเห็นมา และที่ทำให้แน่ใจว่าเป็นเขาจริงๆคือรองเท้าผ้าใบเก่าๆคู่นั้น... ฉันจำได้ตั้งแต่ตอนที่อยู่บนเรือตอนไปตรังครั้งก่อนนู้น... ฉันจำเขาและทุกๆอย่างเกี่ยวกับเขาได้ แม้ว่ามันจะผ่านมานานแล้วก็ตาม... แม้ว่าฉันจะรู้ดีว่ายังไงๆก็ “ไม่บังเอิญ” หรอกที่เราจะได้รักกัน

ฉันอยู่ห่างจากเขาไม่เกิน 5 เมตร และเขาดูเหมือนจะไม่ได้สังเกตเห็นฉันด้วยซ้ำไป เป็นฉันฝ่ายเดียวที่มองดูเขา มองดูเขาคุยโทรศัพท์ ไม่รู้ว่าเขาพูดอะไรอยู่กับใคร แม้ว่าฉันจะได้ยินเสียงของเขาอีกครั้งก็ตาม

ตอนนั้นและตรงนั้น เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมมากถ้าจะทักทายกัน… ฉันก็ยืนอยู่คนเดียว ด้านขวาของฉัน พี่ตู่ก็นั่งหันหลังอยู่คนเดียว ไม่ได้คุยโทรศัพท์แล้ว... ฉันเอี้ยวตัวไปมองดูเขาเป็นระยะๆ ดูว่าเขาจะสังเกตเห็นฉันบ้างรึเปล่า หันมาทางฉันบ้างรึไม่... เสื้อสีชมพูที่เคยใส่ไปเที่ยวพังงาในวันสุดท้ายของทริป วันที่พี่ตู่ได้ถามชื่อฉันและล้อฉัน วันที่พี่ตู่น่าจะจำฉันได้... ฉันก็ใส่มาในวันนี้เช่นเดียวกัน แต่ดูเหมือนมันจะไม่ได้ช่วยให้เขาจำฉันได้สักเท่าไหร่เลย... ฉันเลยตัดสินใจอยู่ว่าฉันควรจะเข้าไปทักเขามั้ย...

ท่ามกลางความเงียบงันน่าอึดอัดใจที่กั้นอยู่ระหว่างเรา 2 คนนั้น ยามคนนึงเดินเข้ามาคุยกับพี่ตู่ ถามพี่ตู่ว่ามานั่งทำอะไรอยู่ พี่ตู่ตอบว่า “มานั่งดูบรรยากาศ” สักพักหนึ่งยามก็เดินจากไป... และเหลือเราอยู่ 2 คนอีกครั้ง...

ฉันภาวนาขอให้เขาเห็นฉัน แม้ว่าฉันจะมีความรู้สึกว่าเขาก็เหลียวตัวมาทางฉันด้วย แต่ฉันก็ไม่มั่นใจเลยว่าเขาจะเห็นฉันและเขาจะจำฉันได้... ในใจก็ตัดสินใจหนักมากว่าจะเดินเข้าไปคุยกับเขาดีหรือเปล่า... ใจนึงมันไม่กล้าเลย อย่างที่ฉันบอก...มันเหมือนกับว่าฉันได้พยายามตัดใจไปแล้ว คิดไปแล้วว่าฉันคงจะไม่เจอเขาอีก แต่พอได้เจอแล้วมันก็รู้สึกเหมือนมันขัดแย้งกับสิ่งที่ฉันพยายามทำอยู่... อีกอย่างใจฉันก็เปลี่ยนไปแล้วด้วย ฉันเอาใจที่รอคอยเขาไปชอบใครคนอื่นอีก... ฟังดูเหมือนฉันเป็นฝ่ายผิด แต่.......อีกใจหนึ่งก็บอกกับฉันว่าโอกาสสุดท้ายแล้ว... แต่พอฉันคิดว่า ถ้าฉันเข้าไปถามเขาว่า “ใช่พี่ตู่ชมรมท่องเที่ยวปะคะ” “จำได้มั้ยว่าฉันเป็นใคร” ฉันก็กลัวว่าเขาจะจำฉันไม่ได้ และมันก็ดูแปลกๆที่อยู่ๆจะเข้าไปถามเขา…

ในที่สุดฉันก็เลยทำได้แต่ภาวนาว่า “ขอให้เขาหันมา ให้เขาได้เห็นฉัน มองมาทางนี้นะ เลิกคุยโทรศัพท์ด้วย เข้ามาทักฉันซิ ... ถ้าจะไม่เข้ามาทัก ก็ได้โปรดอยู่ตรงนี้นานๆ อย่าลุกเดินไปไหนนะ อยู่กับฉันนานๆ อย่าไปนะ ได้โปรด... “
แต่แล้ว เขาก็ลุกเดินจากไป.... ฉันใจหาย.... มองดูเขาเดินจากไป เขาไม่หันกลับมาอีกเลย... ไม่สนใจฉันสักนิด ไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง....

กลับเป็นฉันเองที่ต้องมานั่งซึมๆน้ำตาเอ่อๆแทนที่เขาเมื่อกี้นี้ ฉันนั่งดูเขาเดินไปถ่ายรูปบรรยากาศงานในวันนี้ เดินจากไป... ห่างไปเรื่อยๆแล้วลับตาไปกับหมู่ผู้คนที่มาร่วมงาน... เขาไปแล้ว ไม่ฟังเสียงหัวใจของฉันเลย!

ฉันนั่งอยู่จนพระอาทิตย์เกือบลับไป ท้องฟ้ายามเย็นเริ่มมืดครึ้มปกคลุมไปทั่ว ลมเย็นๆพัดผ่านตัวคล้ายๆกับการพัดความหวังของฉันที่มีอยู่ให้หายออกไปจากตัวฉันให้หมด ฉันนั่งกอดเข่าเอาหน้าซุกไว้กับแขน เพราะไม่อาจจะเอาหน้าเปรอะเปื้อนน้ำตาของฉันไปให้ใครดูได้ “นั่นคงเป็นความใกล้ชิดที่ไม่ใกล้เลย...ครั้งสุดท้าย” 5-10 นาทีที่อยู่ใกล้เขาตรงนั้น ช่วงเวลาไม่นาน แต่ฉันไม่อาจลืม เพราะมันอาจจะไม่ได้ใกล้อย่างนี้อีกแล้วก็ได้

ช่วงเวลาที่เหลือในวันนี้ คือการที่ฉันพยายามปั้นหน้าให้ดูเหมือนปกติมากที่สุด ถ้าในปีก่อนๆ ทุกสิ่งที่ฉันภาวนามักจะเป็นจริงเสมอ เมื่อตอนที่ฉันภาวนาให้ฉันยังได้เจอเขาในค่ำคืนแบบนี้เมื่อปีที่แล้ว แต่มันไม่ได้เป็นอย่างนั้นในค่ำคืนนี้ ความมืดมิดของคืนนี้ ทำให้ฉันมองหาเขาในความมืดได้ยากมาก... อีกครั้งหนึ่งตรงริมเขื่อนแถวๆหลังเวที ฉันมองไกลๆเห็นผู้ชายคนนึงใส่ชุดคล้ายๆเขานั่นแหละ กำลังถ่ายรูปเวทีอยู่ เขาเดินมาทางด้านหลังเวทีริมเขื่อน ฉันอยู่อีกฟากหนึ่งของเวที พยายามจ้องดูว่านั่นใช่เขาหรือเปล่า ฉันสังเกตเห็นว่า ผู้ชายคนนั้นเหมือนจะหันมาทางฉันแว๊บนึงแล้วก็หันไปทางอื่น แล้วคล้ายๆกับว่าเขาสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง จึงรีบหันกลับมาทางฉันอีกครั้ง... มองย้อนมาทางฉัน...นานกว่าแว๊บแรกเมื่อสักครู่นี้ แล้วเขาก็หายไปไหนไม่รู้ ส่วนฉันก็ได้เวลาไปนั่งที่โต๊ะกับครอบครัวแล้ว ฉันหมดโอกาสที่จะมองหาเขาอีกแล้ว... ฉันไม่เจอเขาอีกแล้วในคืนนั้น

การแสดงบนเวทีน่าสนใจดี แต่ฉันไม่สนใจเท่าไหร่ เท่าที่รู้คือฉันคงหมดโอกาสที่จะเจอเขาในคืนนี้อีก ภาวนาอย่างไรก็ดูจะไม่มีผล ไม่เหมือนงานเมื่อปีที่แล้วที่ฉันได้ยิ้มแก้มปริให้เขาไป คราวนี้โต๊ะที่นั่งก็อยู่ห่างกันคนละฟากเวทีด้วยซ้ำ

เหลืออีกอย่างที่จะพอให้มีหวังคือ เขาจะต้องขึ้นเวทีมารับรางวัล เพราะเขาเป็นตัวแทนพนักงาน มีชื่ออยู่ในสูจิบัตรรายชื่อผู้ที่ต้องรับรางวัลนั่น ฉันก็รอดูว่าเขาจะขึ้นมาเมื่อไหร่จะได้ตั้งใจดู...ให้ได้เห็นเขาอีกครั้ง... แต่ปรากฏว่าพอมีการเรียกชื่อเขา ในจอก็มีรูปเขา แต่เขาไม่ขึ้นมารับรางวัลบนเวที ได้ยินแต่เสียงพิธีกรที่บอกว่าเขาติดภารกิจ...

แน่แล้ว! ค่ำคืนนี้มันจบลงอย่างน่าร้องไห้ยิ่งนัก... ในหัวฉันเห็นแต่ภาพเขาที่เดินจากไป... ฉันไม่อยากจะทำเป็นว่ามาเข้าห้องน้ำ แล้วก็มองหาเขาทั่วทั้งบริเวณงานอีกแล้ว... ฉันไม่อยากจะภาวนาใดๆทั้งสิ้นให้ฉันได้เจอเขาอีก เพราะฉันรู้ว่า ยังไงๆฉันก็ไม่มีทางหาเขาเจออีกแล้ว

ตอนเดินออกจากแบงค์—ที่รู้แน่ชัดว่าไม่เจอเขาแล้วนั้น—ฉันนึกถึงเพลง “ไม่บังเอิญ” เดินๆอยู่น้ำตาร่วงพรู มันอึดอัดมากยังไงไม่รู้ ฉันจำได้ว่าขากลับบ้านวันนั้น น้ำตาฉันไหลลงอาบแก้มตลอดทาง

คืนนั้น ฉันใช้เวลาหลังจากกลับมาบ้าน อยู่กับอดีตเกี่ยวกับพี่ตู่ทั้งหมด... ฟังเพลงทุกเพลงตลอดช่วงเวลาที่ฉันได้มีพี่ตู่เข้ามาในใจ... “แน่ใจว่ารัก” เพลงนี้เป็นเพลงที่ทำให้ฉันได้เจอพี่ตู่ ฉันฟังไปรอบที่ 100 แล้วมั้งแต่ยังไม่เบื่อ... “ไม่บังเอิญ” เพลงที่ทำให้ฉันเข้าใจสถานการณ์ของเราได้มากขึ้น... “รักเธอสุดหัวใจ” เพลงที่มา พร้อมกับคำว่า ”ขอให้ฉันได้อยู่กับพี่ตู่ตลอดไป” ในค่ำคืนแรกของการไปเที่ยวภูเก็ต... “Thank You” เพลงที่ทำให้ฉันต้องรู้สึกขอบคุณเขา ที่เขาช่วยมาเปลี่ยนวันที่เหงาเดียวดายของฉันให้กลับสดใส... จนมาถึงเพลงสุดท้าย กับบทความท้ายสุดที่ฉันตั้งใจจะเขียนในวันนี้ “Stay”

เหตุการณ์เหมือนๆเดิม เกิดขึ้นซ้ำๆทุกครั้งที่ฉันหยิบสมุดเล่มนี้ขึ้นมาอ่าน หรือแม้แต่ขณะนี้ที่ฉันพยายามจะแต่งเรื่องนี้ให้จบ(ซะที)... ฉันห้ามน้ำตาไม่ให้ไหลไม่ได้ ฉันบอกไม่ถูกว่าน้ำตาที่ไหลออกมามันมีความดีใจซาบซึ้งในเรื่องของเรา หรือมันไหลออกมาเพราะความเสียใจ ความปรารถนาที่อยากจะให้เรื่องทั้งหมดมันไม่ใช่แค่เรื่องที่ผ่านเข้ามาแล้วก็ผ่านไป โดนไม่หวนคืนกลับมาอีกอย่างที่เป็นอยู่อย่างนี้

ยิ่งฉันได้ฟังเพลง ยิ่งฉันได้อ่านบทความเหล่านี้ คล้ายกับว่าฉันยิ่งจมเข้าไปอยู่กับอดีต อยู่กับพี่ตู่

เพราะว่าเขาคือความทรงจำที่ฉันรักมากที่สุด และฉันก็ไม่พยายามที่จะปฏิเสธความคิดนี้

และแล้วฉันก็รู้ว่า ไม่ว่าวันเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน ไม่ว่าฉันจะพยายามลืมเขาสักเพียงใด ไม่ว่าฉันจะเอาใจไปให้ใครคนอื่นอีก... ในใจของฉันก็ยังเห็นพี่ตู่ชัดเจนอยู่อย่างนั้น...

เขาไม่ได้ไปไหนเลย เขายังอยู่ในใจฉัน เขายังอยู่ในทุกความทรงจำที่มีค่ามากของฉัน Stay อยู่อย่างนี้จริงๆ





“ความรู้สึกเก่าๆ ยังคงอยู่เสมอ และตลอดมา”
13 ธค. 2546




Create Date : 27 พฤษภาคม 2550
Last Update : 2 พฤษภาคม 2551 18:28:52 น. 0 comments
Counter : 448 Pageviews.

ชื่อ :
Comment :
  *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.