รถถังแบบ Panzer IV ติดตั้งปืนใหญ่ 75 ม.ม. ในภาพนี้เป็นรถถังของกองพลยานเกราะที่ 2 (2nd Panzer Division) ของกองทัพบกเยอรมัน (Heer) โดยจะเห็นสัญญลักษณ์ของหน่วยอยู่ตรงช่องพลขับทางด้านขวามือของภาพ ซึ่งต่างจากกองพลยานเกราะ เอส เอส ที่ 2 (2nd SS. Panzer Division) ซึ่งเป็นของหน่วยเอส เอส (Waffen SS)
รถถังรุ่นนี้เป็นแกนหลักของหน่วย Panzer ตั้งแต่ในระยะแรกๆ ของการรบของกองทัพเยอรมัน จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่สอง แต่เนื่องจากการพัฒนารถถังรุ่นใหม่ๆ ของรัสเซียและพันธมิตร ทำให้เยอรมันต้องพัฒนารถถังแบบใหม่ๆ ขึ้นมาเสริม อย่างไรก็ตาม Panzer IV ก็ยังคงมีบทบาทในกองทัพยานเกราะนาซีเยอรมันจนถึงปลายสงคราม
ในระยะแรกนั้น หน่วย Panzer ได้ใช้รถถังแบบ Panzer II และ Panzer III เป็นรถถังหลัก โดยเฉพาะรถถังแบบ Panzer III ซึ่งในระยะแรกติดตั้งปืนใหญ่ขนาด 37 ม.ม. แต่เมื่อเผชิญกับ รถถังมาทิลด้า (Matilda) ของอังกฤษในการรบในฝรั่งเศสในช่ววงต้นของสงคราม ที่แม้จะมีสมรรถนะด้อยกว่า แต่มีเกราะที่หนากว่า ทำให้เยอรมันต้องทำการปรับปรุงรถถังรุ่นนี้ใหม่
การปรับปรุงรถถังแบบ Panzer III ทำขึ้นด้วยการเปลี่ยนขนาดปืนใหญ่จาก 37 ม.ม. เป็น 50 ม.ม. ซึ่งในระยะแรกนั้น เหนือกว่ารถถังของฝ่ายสัมพันธมิตรอย่างมาก และได้กลายเป็นกำลังหลักของหน่วย Panzer ประกอบกับรถถังรุ่นนี้มีความเชื่อถือได้ในเรื่องเครื่องยนต์
ในช่วงที่เยอรมันรุกสู่สมรภูมิแอฟริกา ภายใต้การนำของนายพล เออร์วิน รอมเมล (Erwin Rommel) แห่งกองกำลังแอฟริกาของเยอรมัน หรือ ดอยช์ แอฟริกา คอร์ (Deutsch Afrikakorps - DAK ในภาษาเยอรมัน หรือ German Africa Corps ในภาษาอังกฤษ) ทำให้เยอรมันมีความได้เปรียบกว่ากำลังของอังกฤษในแอฟริกา
รอมเมลได้ใช้หน่วยยานเกราะที่ขึ้นชื่อในการรบที่มีนามว่า กองพลยานเกราะที่ 21 (the 21st Panzer Division) ซึ่งในขณะนั้นใช้ชื่อหน่วยว่า กองพลเบาที่ 5 (the 5th Light Division) ร่วมกับหน่วย Panzer คือกองพลยานเกราะที่ 15 และกองพลเบาที่ 50 โจมตี เอลอากลีล่า (El Agheila)
แม้ว่าทหารเยอรมัน จะติดอยู่ในสนามทุ่นระเบิดของฝ่ายอังกฤษ แต่ด้วยความตกใจ ฝ่ายอังกฤษไม่ได้ทำการโต้ตอบ และกลับเป็นฝ่ายถูกทหารหน่วย Afrika Korps โจมตี และยึดที่หมายได้
ต่อมารอมเมลก็เข้าตีเบงกาซี (Benghazi) และโทบรุก (Tobruk) หน่วย Panzer (กองพลยานเกราะที่ 21 และ กองพลยานเกราะที่ 15) ได้สร้างความตื่นตะลึงให้กับฝ่ายอังกฤษ ถึงความสามารถของหน่วยยานเกราะเยอรมันในแอฟริกา แม้ว่าในภายหลัง Afrika Korps จะประสบกับความพ่ายแพ้ เนื่องจากขาดการส่งกำลังบำรุงที่เพียงพอทั้งน้ำมัน และยุทโธปกรณ์มราจำเป็น เนื่องจากขบวนเรือขนส่งของอิตาลี ถูกโจมตีจากอังกฤษ แต่ชื่อเสียงของ Panzer ก็เป็นที่จดจำไปอีกนาน
ชัยชนะที่น่าชื่นชมของหน่วย Panzer ที่มีในฝรั่งเศส และกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวีย ในช่วงต้นสงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1940 ทำให้หน่วย Panzer มีการประเมินการความสำเร็จของพวกเขาผิดพลาด ชัยชนะในครั้งนั้นเกิดขึ้นจากความเร็ว ความแข็งแกร่ง และการวางแผนที่ดีก็จริง แต่กำลังของฝ่ายต่อต้านในฝรั่งเศสและกลุ่มประเทศสแกนดิเนเวียนั้น ด้อยกว่าเยอรมันอย่างมาก
แม้ว่าหน่วยยานเกราะ Panzer จะได้มีการขยายอัตรากำลังเพิ่มขึ้นกว่าเท่าตัว เพื่อเตรียมการบุกรัสเซีย รถถังแบบ Panzer III และ Panzer IV มีการเพิ่มอัตราการผลิตเพื่อให้เป็นรถถังหลัก กองพล Panzer 17 กองพล รวมรถถังทั้งสิ้น 3,332 คัน รุกเข้าสู่รัสเซีย แต่ในจำนวนนี้มีรถถัง Panzer I และ Panzer II ที่ล้าสมัยอยู่ด้วยกว่า 1,156 คัน รถถัง Panzer III และ Panzer IV ที่มีประสิทธิภาพ มีเพียง 1,404 คัน ที่เหลือเป็น Panzer 38 (t) ที่ยึดมาจากเชคโกสโลวะเกีย ในขณะที่รัสเซียมียานเกราะที่ล้าสมัย กว่า 24,000 คัน และมีรถถัง T 34 และ KV 1 ที่ทรงอานุภาพ ติดตั้งปืนใหญ่ 76 ม.ม. และเหนือกว่า Panzer III และ IV ในทุกๆด้าน กว่า 1,400 คัน
รถถัง Panzer IV รุ่น J ติดตั้งปืนใหญ่ 75 ม.ม. นายพลกูเดเรียน บิดาแห่งยานเกราะเยอรมัน ได้ยกย่องรถถังรุ่นนี้ ว่าเป็น หัวหอกของหน่วย Panzer อย่างแท้จริง
สาเหตุสำคัญอีกประการหนึ่งที่ทำให้หน่วย Panzer ต้องประสบกับความสูญเสียในรัสเซีย ก็เนื่องมาจาก การประเมินหน่วยรถถังของรัสเซียผิดพลาด นั่นก็คือ รถถังแบบ T 34 ซึ่งติดตั้งปืนใหญ่ 76 ม.ม. เหนือกว่าปืนใหญ่ของ Panzer III มีเกราะหนากว่าทั้ง Panzer III และ IV มีสายพานที่กว้างทำให้เคลื่อนที่ในพื้นที่ที่เป็นเลน โคลนหรือหิมะได้ดีกว่ารถถัง Panzer ของเยอรมัน
เยอรมันได้พบกับรถถัง T 34 ของรัสเซียครั้งแรกในเดือน ต.ค. 1941 กองพล Panzer ที่ 4 ของเยอรมันได้รับความเสียหายอย่างมาก หน่วย Panzer ไม่สามารถหยุดยั้งรถถัง T 34 ของรัสเซียได้ด้วยปืนใหญ่ต่อสู้รถถังขนาด 37 ม.ม. ของ Panzer III รถถัง T 34 ของรัสเซียบางคันถูกยิงอย่างจังหลายนัด แต่ก็ยังคงรุกเข้ามาได้อย่างต่อเนื่อง
วิธีเดียวที่หน่วยยานเกราะของเยอรมันจะหยุดยั้ง T 34 ได้ก็คือ จะต้องนำรถถังของตนเข้าไปให้ใกล้ที่สุด และจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้นหากเป็นการเข้าโจมตีทางด้านหลัง เพราะเกราะด้านหลังของรถถังทุกชนิดจะบางมาก เนื่องจากเป็นที่ตั้งของเครื่องยนต์
อย่างไรก็ตามการกระทำเช่นนี้ เสี่ยงต่อการถูกยิงจากรถถังของรัสเซีย และเสี่ยงต่อการถูกทหารราบที่ติดตามรถถัง T 34 ทำลายด้วยกับระเบิดรถถัง รถถัง Panzer III บางคันต้องเข้าไปทำลาย T 34 ในระยะ 5 เมตร ทางด้านหลัง โชคยังเข้าข้างเยอรมัน ที่พลประจำรถของรัสเซีย ด้อยประสบการณ์กว่า และรถถัง T 34 ก็ไม่มีวิทยุประจำรถเสียเป็นส่วนมาก การติดต่อสื่อสารระหว่างรถถังแต่ละคัน จึงกระทำได้ลำบาก
รถถัง Panzer V - Panther ของนาซีเยอรมัน ซึ่งนำเอาข้อดีของรถถัง T 34 ของรัสเซีย มาเป็นต้นแบบ ในการออกแบบ ปรับปรุง และผลิตมาเพื่อต่อสู้กับรถถัง T 34 ของรัสเซีย ในแนวรบด้านตะวันออก เปรียบเทียบกับ T 34 ในภาพข้างล่าง จะเห็นว่าสายพาน และช่วงล่างของ Panther มีความคล้ายคลึงกับ T 34 มาก รถถังรุ่นนี้ออกจากโรงงานผลิต และเข้าสู่สมรภูมิครั้งแรก ที่สมรภูมิ Kursk ในรัสเซีย ในปี 1943 ซึ่งประสบปัญหาเครื่องยนต์ขัดข้องเป็นจำนวนมาก จนต้องมีการปรับปรุงใหม่ จนกลายเป็นรถถังที่มีประสิทธภาพสูงในที่สุด
whenever you felt that your heart is going to breakdown feel it with the love of God ask for his and then you will find out what is the truth love in Your life as he does for me!
GOD always forgive your mistake the one that you cant even forget, he always does it and always being with us to help and blesss us for us whose heart is full of him
โดย: da IP: 124.122.247.144 วันที่: 18 เมษายน 2553 เวลา:22:18:55 น.