เรื่องราวผู้หญิงกับการเดินทางด้วยหัวใจ 2 ล้อ (มอเตอร์ไซด์) รวมถึงการท่องไปในโลกกว้างด้วยวิธีการอื่นๆ คลอเคล้าด้วยคนตรีไพเราะหลากหลายรูปแบบ เรามาผจญภัยด้วยกันนะคะ

ความหมายเรื่อง "เหรียญ 5 บาท กับ ผู้หญิง"

คุณพ่อถามลูกสาว ที่กำลังก้าวเข้าสู่วัยรุ่น
"อยากรู้มั้ยว่ามีอะไรอยู่ในมือ
พ่อ"

ลูกสาวพยักหน้า


"ถ้าอยากรู้ต้องเอามือเขกพื้น 3 ที" ... ... ลูกสาวทำตาม

"ไม่พอ ต้อง 5 ที" และเปลี่ยนเป็น 10 ที จนถึง 15 ที จนลูกสาวอุทธรณ์

"ก็ลูกอยากทราบนี่คะว่า เป็นอะไร"

... เมื่อคุณพ่อแบมือออก มันคือ เหรียญ 5 บาทธรรมดานี่เอง
คุณพ่อหัวเราะ แล้วกำมือกับเหรียญ 5 บาทเดิม

"อยากดูอีกมั้ย ถ้าอยากดูต้องเขกพื้น 10 ที"

"หนูรู้แล้วไม่อยากดูค่ะ"

"เอ้า.. เขกพื้น 1 ทีก็ได้"

"ทราบแล้วไม่อยากดูอีกเบื่อ"

"ให้ดูฟรี ๆ ก็ได้" แล้วก็แบมือออก ลูกสาวก็ดูไปอย่างนั้นเอง คุณพ่อเลยสอนว่า


"นี่นะลูก อะไรที่เป็นความลับ คนมักยอมทำทุกอย่างที่จะได้สมปรารถนา
อยากดู อยากรู้ อยากเห็น
แต่เมื่อสมปรารถนาแล้ว ดูบ่อย ๆ แล้วก็มักจะเบื่อ
ให้ดูฟรี ๆ ยังไม่อยากดูเลย
แล้วสิ่งที่พึงหวงแหนที่สุดสำหรับลูกผู้หญิงเป็นสิ่งที่มีค่า
ถ้าให้ใครรู้ก่อนเวลาอันควร ก็จะไม่มีค่าอะไร
ไม่ต่างกับเหรียญ 5 บาทที่พ่อให้ลูกดูฟรีหรอก"

( คุณโชติช่วง ลิ่มถาวรกุล )

ขอบคุณผู้แบ่งปัน Suntisuk Mongkutvisut




 

Create Date : 21 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 21 พฤษภาคม 2555 17:22:35 น.
Counter : 847 Pageviews.  

ทัศนคติของคนต่างชาติมองการทำงานของคนไทย....

ทัศนคติของคนต่างชาติมองการทำงานของคนไทย....

เราคว้าตัวฝรั่งมาทั้งหมด 12 คน ซึ่งแต่ละคนโชกโชนกับการทำง
านในแวดวงคนไทยไม่ต่ำกว่า 10 ปี

เมื่อถามว่าพวกเค้ามีความเห
็นอย่างไรกับการทำงานแบบไทยๆ เราก็ได้คำตอบว่า:

1. ทัศนคติต่อการเปลี่ยนแปลง
คนไทยมักจะยึดติดกับความเคย
ชินแบบเดิมๆ เคยทำมาอย่างไรก็จะทำอยู่อย่างนั้น
... ไม่ค่อยมีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลง และถ้าฝรั่งเอาวิธีใหม่ๆ เข้ามาทำให้พวกเขาต้องทำอะไรที่ต่างไปจากเดิม
ก็จะถูกมองว่าเป็นการสร้างความรำคาญให้พวกเขา มักจะไม่ค่อยได้รับความร่วมมืออย่างเต็มที่หรือไม่ก็ถึงกับถูกต่อต้านก็มี
- เจฟฟรีย์ บาร์น

2. การโต้แย้ง
เมื่อมีการเจรจา คนไทยจะไม่กล้าโต้แย้งทั้งๆ ที่ตัวเองกำลังเสียเปรียบ ส่วนใหญ่มักจะปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นคนคุมเกม
บางคนบอกว่ามีนิสัยอย่างนี้เรียกว่า " ขี้เกรงใจ " แต่สำหรับฝรั่งแล้ว นิสัยนี้จะทำให้คนไทยไม่ก้าวหน้าเท่าที่ควร
- ทานากะ โรบิน (จูเนียร์) ฟูจฮาระ

3. ไม่พูดสิ่งที่ควรพูด
เอกลักษณ์อีกอย่างหนึ่งของคนไทยคือ มักจะไม่ค่อยกล้าบอกความคิดของตัวเองออกมาทั้งๆ ที่คนไทยก็มีความคิดดีไม่แพ้ฝรั่งเลย แต่มักจะเก็บความสามารถไว้ ไม่บอกออกมาให้เจ้านายได้รู้และจะไม่กล้าตั้งคำถาม บางทีฝรั่งก็คิดว่าคนไทยรู้แล้วเลยไม่บอกเพราะเห็นว่าไม่ถามอะไร ทำให้ทำงานกันไปคนละเป้าหมาย หรือทำงานไม่สำเร็จ เพราะคนที่รับคำสั่งไม่รู้ว่าถูกสั่งให้ทำอะไร
- ไมเคิล วิดฟิล์ค

4. ความรับผิดชอบ
1. ฝรั่งมองว่าคนไทยเรามักทำไม่ค่อยกำหนดระยะเวลาในการทำงานไว้ล่วงหน้า
ทั้งๆ ที่งานบางชิ้นต้องทำให้เสร็จภายในระยะเวลาที่กำหนดยิ่งงานไหนให้เวลาในการทำงานนาน ก็จะยิ่งทิ้งไว้ทำตอนใกล้ๆ จะถึงกำหนดส่ง เลยทำงานออกมาแบบรีบๆ ไม่ได้ผลงานดีเท่าที่ควร
2. ไม่ค่อยยอมผูกพันและรับผิดชอบเป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าให้เซ็นชื่อรับผิดชอบงานที่ทำคนไทยจะกลัวขึ้นมาทันที เหมือนกับกลัวจะทำไม่ได้ หรือกลัวจะถูกหลอก
- สเตฟานี จอห์นสัน

5. วิธีแก้ไขปัญหา
คนไทยไม่ค่อยมีแผนการรองรับเวลาเกิดปัญหา แต่จะรอให้เกิดก่อนแล้วค่อยหาทางแก้ไปแบบเฉพาะหน้า หลายคั้งที่ฝรั่งพบว่าคนไทยไม่รู้จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอย่างไรต้องรอให้เจ้านายสั่ลงมาก่อน แล้วค่อยทำตามถ้านายเจ้านายไม่อยู่ทุกคนก็จะประสาทเสียไปหมด
- ดร.มาเรีย โรเซนเบิร์ก

6. บอกแต่ข่าวดี
คนไทยมีความเคย
ชินในการแจ้งข่าวที่แปลกมาก คือ
1. จะไม่กล้าบอกผู้บังคับบัญชาชาวต่างชาติเมื่อเกิดปัญหาขึ้น จนกระทั่งบานปลายไปเกินแก้ไขได้จึงค่อยเข้ามาปรึกษา
2. จะเลือกบอกแต่สิ่งที่คิดว่าเจ้านายจะชอบ เช่น บอกแต่ข่าวดีๆ แทนที่จะเล่าไปตามความจริงหรือถ้าหากเจ้านายถามว่าจะทำงานเสร็จทันเวลาๆไหม ก็จะบอกว่าทัน (เพราะรู้ว่านายอยากได้ยินแบบนี้) แต่ก็ไม่เคยทำทันตามเวลาที่รับปากเลย
- โจนาธาน ธอมพ์สัน

7. คำว่า " ไม่เป็นไร "
เป็นคำพูดที่ติดปากคนไทยทุกคน ทำให้เวลามีปัญหาก็จะไม่มีใครรับผิดชอบ และจะไม่ค่อยหาตัวคนทำผิดด้วยเพราะเกรงใจกัน แต่จะใช้คำว่า " ไม่เป็นไร " มาแก้ปัญญหาแทน
- เจนิส อิกนาโรห์

8. ทักษะในการทำงาน
1. ไม่สามารถทำงานร่วมกันเป็นทีมได้ ถ้าทำงานเป็นทีมมักมีปัญหาเรื่องการกินแรงกัน บางคนขยัน แต่บางคนไม่ทำอะไรเลย บางทีก็มีการขัดแย้งกันเองในทีม หรือเกี่ยงงานกันจนผลงานไม่คืบหน้า
2. ไม่ค่อยมีทักษะในการทำงาน แม้จะผ่านการศึกษาในระดับสูงมาแล้ว และไม่ค่อยใช้ความพยายามอย่างเต็มทีเพื่อให้ได้ผลงานที่ดีที่สุด
3. พนักงานชาวไทยที่รู้จัก ส่วนใหญ่ไม่ค่อยรู้สึกกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้เรื่องร าวความเคลื่อนไหวของโลกเท่าไรนัก แล้วไม่ค่อยชอบหาความรู้เพิ่มเติมแม้จะเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับงานก็ตาม
- เดวิด กิลเบิร์ก

9. ความซื่อสัตย์
พนักงานคนไทยควรจะมีความซื่อสัตย์และตรงไปตรงมามากกว่านี้ หลายครั้งที่ชอบโกหกในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เช่น มาสาย ขาดงานโดยอ้างว่าป่วย ออกไปข้างนอกในเวลางาน
- เฮเบิร์ก โอ ลิสส์

10. ระบบพวกพ้อง
คนไทยมักจะนำเพื่อนฝูงมาเกี่ยวข้องกับธุรกิจเสมอ ผมไม่เคยชอบวิธีนี้เลย ตัวอย่างเช่น การจัดซื้อข้าวของภายในสำนักงาน พวกเขามักจะแนะนำเพื่อนๆ มาก่อนโดยไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ที่บริษัทควรจะได้รับ นี่เป็นประสบการณ์จริงที่ประสบมา การให้ความช่วยเหลือเพื่อนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่การที่ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของบริษัทเลยเป็นอะไรที่แย่มาก และเมื่อพบว่าเพื่อนพนักงานด้วยกันทุจริต คนไทยก็จะช่วยกันปกป้อง และทำให้ไม่รู้ไม่เห็นจนกว่าผู้บริหารจะตรวจสอบได้เอง
- มาร์ค โอเนล ฮิวจ์

11. แยกไม่ออกระหว่างเรื่องงาน และเรื่องส่วนตัว
คนไทยมักจะไม่รู้ว่าอะไรว่าอะไรคือเรื่องงาน และอะไรที่เรียกว่าเรื่องส่วนตัว
พวกเขาชอบเอาทั้งสองอย่างนี้มาปนกันจนทำให้ระบบการทำงานเสียไปหมด ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่อย่างหนึ่งขององค์กร
1. ชอบสอดรู้สอดเห็น โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวของเพื่อนร่วมงาน
2. มักจะคุยกันเรื่องส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวกับงานมากเกินไป บางครั้งทำให้บานปลายและนำไปสู่ข่าวลือ และการนินทากันภายในสำนักงา
3. มักจะลาออกจากบริษัทโดยไม่ยอมแจ้งล่วงหน้าตามข้อตกลง แต่กลับคาดหวังว่าจะได้รับผลประโยชน์เต็มที
4. ไม่ยอมรับความผิดชอบที่มีมากขึ้นในช่วงวิกฤติ
5. ต้องการเงินมากขึ้นแต่กลับไม่ค่อยสร้างคุณค่างานอะไรเพิ่มขึ้นเลย
- วิลเลี่ยม แมคคินสัน

12. นับถือระบบอาวุโส
คนไทยให้เกียรติคนที่อายุมากกว่ามากเกินไป จนไม่กล้าทำอะไรที่เรียกว่าเป็นการข้ามหน้าข้ามตา บางครั้งคนที่อายุน้อยกว่าอาจจะมีความคิดความสามารถมากกว่า แต่ก็ไม่กล้าแสดงออกเพราะเกรงใจคนที่อายุมาก เป็นการทำลายโอกาสของตัวเอง และโอกาสของบริษัท
- เนลสัน ฟอร์ด

ที่มา: ที่ไหนซักแห่งจากโลกไซเบอร์

มุมมองของนักบริหาร ซึ่งในมุมมองของพนักงาน ก็อาจจะมีความได้เปรียบเสียเปรียบของความเป็นบริษัทต่างชาติที่แตกต่างออกไป ทุกวัฒนธรรมล้วนแล้วแต่มีข้อดีเสียในตนเอง การปรับเลือกใช้ให้เหมาะสมในแต่ละสถานการณ์ เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดทั้ง 2 ฝ่าย เป็นสิ่งที่ต้องหาจุดลงตัวเกิดขึ้น




 

Create Date : 16 พฤษภาคม 2555    
Last Update : 16 พฤษภาคม 2555 14:46:50 น.
Counter : 801 Pageviews.  

ขบวนการกู้โลก...ลำบากแค่ไหนเราก็จะไป ^^

ตั้งแต่เกิดเหตุภัยพิบัติน้ำท่วม จากการติดตามข่าวสาร ก็มีแต่ความเครียดและความสงสารพี่น้องร่วมประเทศไทย ไหนๆ อาชีพเราก็ช่วยคนได้อยู่แล้ว จึงมานั่งคิดว่าเราทำอย่างไรได้บ้าง

ด้วยความที่เราก็อิสระ ไม่ได้ขึ้นกันหน่วยงานใด ไปด้วยใจ ทำกันเอง ทำให้แรกเริ่มที่เริ่มลงพื้นที่ไปช่วยน้ำท่วม พกความผิดหวังกลับบ้าน เหมือนเราได้ช่วยไม่เต็มที่ จนได้มาเจอกับเพื่อนกลุ่มนี้ ขบวนการกู้โลก [ตามไปดูภาพภารกิจได้ที่ FB page เลยค่ะ] ทำให้เราได้ออกปฏิบัติภาระกิจร่วมกันบ่อยครั้ง เพราะในหนึ่งครั้งที่เราออกพื้นที่ อาจมีมากกว่าหนึ่งภาระกิจ (หลายหลาย) ในแต่ละครั้ง ไม่ว่าจะเป็นแจกถุงยังชีพ, ตั้งหน่วยแพทย์, อพยพคน, ช่วยสัตว์, หรือการนำสุขาลอยน้ำไปมอบให้



ขบวนการกู้โลก" คือ องค์การเอกชนอิสระ ที่รวมตัวกันขึ้นเพื่อช่วยเหลือเฉพาะกิจในเหตุอุทกภัยปี 54 นี้ จริงๆ ที่รู้จักได้ก็เพราะเป็นเพื่อนกันแหละ ตัวเองช่วยเหลือได้โดยการตั้งหน่วยแพทย์จัดหาเวชภัณฑ์ สิ่งที่ขาดก็คือทีมที่จะลงพื้นที่ หาข้อมูล และพาเราเข้าไป เป็นอะไรที่ลงตัวพอดี

มีคนกล่าวว่า "หมอ...เสพติดขบวนการกู้โลกแล้วหล่ะ" ตอบเลยว่าไม่ได้เสพติดขบวนการ แต่เสพติดสิ่งที่ขบวนการทำอยู่ นั่นคือ การช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อน ในขอบเขตทางร่างกาย จิตใจ และกำลังทรัพย์ที่มี ด้วยความตั้งใจ

หลังจากวิกฤติเริ่มคลีคลายในปัจจุบัน ได้พบว่ามีจิตอาสาที่ไปช่วยเองเป็นจำนวนมาก จาการพบปะพูดคุยกับบรรดาจิตอาสา ทั้งตัวเป็นๆ (บางคนก็เป็นเพื่อนกันอยู่แล้ว) และจากสื่อสังคม Social network ปัญหาคือ ขาดหน่วยงานบัญชาการประสานงานจากภาครัฐที่มีประสิทธิ์ภาพจริงๆ ที่จะคอยแจกพื้นที่ ให้เหล่าจิตอาสาเหล่านี้ได้เข้าไปช่วยเหลือไม่ให้ซ้ำซ้อนกันเพื่อให้ได้รับอย่างทั่วถึง, ข้อมูลความต้องการความช่วยเหลือ เพื่อให้ความช่วยเหลือที่นำเข้าไปตรงประเด็นและความต้องการ, ข้อมูลสภาพพื้นที่ที่ชัดเจน การเข้าไปช่วยเหลือโดยคนนอกพื้นที่อาจก็ให้เกิดอันตรายต่อผู้ที่เข้าไปช่วยเหลือได้มาก ถ้าไม่ทราบสภาพพื้นที่ รวมทั้งปัญหาการเมืองท้องถิ่นเอง ที่ทำให้จิตอาสาเหล่านี้ต้องพับโครงการและการให้การช่วยเหลือต่อเนื่องไปอย่างน่าเสียดายจริงๆ

ฉันเชื่อว่าทุกคนมีจิตใจที่ดีงาม พร้อมจะช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกันทั้งนั้น แต่จะมากจะน้อยก็แล้วแต่ อย่าได้อายที่จะก้าวออกมาปฏิบัติ พลัง Social network ในคราวนี้กลับกลายเป็นช่องทางข่าวสารที่ทรงประสิทธิ์ภาพได้อย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ต้องรู้จักกัน...เราก็ร่วมมือช่วยกันได้ อยากให้ผู้มีจิตอาสาทุกท่าน ประเมินว่าความช่วยเหลือจากท่านในด้านใดที่มีประสิทธิ์ภาพสุด มุ่งตรงไปที่อย่างนั้น ไม่จำเป็นต้องลงพื้นที่ ถ้าคุณถนัดด้านประสานงาน หรือ IT ทุกแรงงานมีค่า เพียงแต่ต้องหาจุดยืนที่เหมาะสมให้เจอค่ะ

ขอปรมมือ ชื่นชม ส่งกำลังใจให้กับจิตอาสาทุกๆ ท่าน และ ขอเป็นแรงใจให้กับผู้ประสบภัยทุกท่านในการผ่านวิกฤติน้ำท่วมนี้ค่ะ

ปล.ขอแนะนำอีกกลุ่ม ที่มีภาระกิจเข้าไปแจกของทุกวัน รับอาสาสมัครอยู่ค่ะ เป็นกลุ่มพี่น้องกับขบวนการกู้โลก ^^ คือ กลุ่มนักเดินป่าอาสากู้ภัยค่ะ [ตามไปดูภาพภารกิจได้ที่ FB page เลยค่ะ] ภาระกิจค่อนข้างหนักหน่วงนะคะ ลุยน้ำกันทั้งวัน ใครชอบแบบโหดๆ ออกแรงแช่น้ำ แต่ช่วยจริงไรจริงแล้วล่ะก็ แนะนำค่ะ




 

Create Date : 20 พฤศจิกายน 2554    
Last Update : 21 พฤศจิกายน 2554 0:29:15 น.
Counter : 1270 Pageviews.  

โดดีผู้น่าสงสาร และกับดักของสังคม [กระทู้ดีจาก pantip.com]

โลกไซเบอร์ทำให้ปัจจุบันเต็มไปด้วยข้อมูลข่าวสารที่ท่วมท้น จนยากที่จะรับรู้และแยกแยะได้หมดด้วยตัวเอง พอดีได้อ่านกระทู้หนึ่งใน pantip.com รู้สึกว่าน่าสนใจ จึงนำมาเล่าสู่กันฟังไว้นะที่นี้ค่ะ

ที่มา: www.pantip.com

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------


โดดีพู้น่าสงสาร และกับดักของสังคม

ในหนังสือเรื่อง on my write ของ สตีเฟน คิง ซึ่งเป็นหนังสือเล่มเดียวของเขาที่ผมกล้าอ่าน(เพราะเขาชอบเขียนนิยายแนวสยองขวัญ ซึ่งผมไม่ชอบ)

ได้มีตอนหนึ่ง ซึ่งเป็นกล่าวถึงชีวิตในวัยเด็กของเขาซึ่งอยู่ในเมืองที่บ้านนอก ห่างไกล และกันดาร

เขามีเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง ซึ่งมีชื่อปรากฏว่า โดดี เธอเป็นหญิงสาวที่ยากจน
ในทุกวัน เธอจะใส่ชุดนักเรียนชุดเดิมไป โรงเรียนเนื่องจะไม่มีเงินซื้อชุดใหม่ เพื่อนคนชั้นกลางต่างพากันเยาะเย้ยยากถาง และค่อยๆ ดูชุดนักเรียนของเธอเปื้อยยุ่ยไปทีละน้อย ทีละน้อย จนกระทั้งเธอต้องใส่ชุดที่มีรอยปะชุนเต็มตัว

และในวันสิ้นปีนั่นเอง โดดีได้ใช้เงินที่ไม่อยู่เพื่อซื้อชุดนักเรียนตัวใหม่ กับเสื้อคลุมคนสัตว์ที่มีราคาแสนแพงเพื่อต้องการจะเปลี่ยนตัวเองใหม่ ให้เป็นคนที่ดูดี แต่ไม่ได้ผล เสื้อผ้าชุดใหม่ไม่สามารถที่จะช่วยเธอขึ้นมาจากหลุมที่สาวๆ คนชั้นกลางขุดเพื่อดึงเธอลงไปได้ พวกสาวๆ ยิ่งล้อเลียนเธอหนักยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อผลักโดดีลงไปในหลุมที่พวกเธอขุดไว้ เพราะว่าคนจน ไม่ว่าจะเปลี่ยนตัวเองอย่างไร แต่ก็ยัง จนอยู่วันยังค่ำ

โดดียังคงใส่ชุดเดิมมาเรียนทุกวันไม่ว่าอากาศจะร้อนแค่ใหน และในที่สุดเธอก็กลับเป็นโดดีคนเดิม

นิทานเรื่องนี้สอนให้เรารู้ว่าวรรณะทางสังคมนั้นยาก ที่จะเปลี่ยนแปลง

เพราะสังคมมอบ คำพิพากษาให้แก่เราแล้ว

ทำไมสมองต้องเลือกที่จะตัดสินคนด้วยข้อมูลส่วนน้อย

ข้อนี้อาจจะอธิบายได้ว่า การตัดสินคนโดยมองจากข้อมูลทั้งหมดนั้น ยุ่งยาก และใช้พลังงานมาก ดังนั้นสมองจึงเลือกวิธีการที่ใช้พลังงานน้อยกว่า และได้ผลดีพอสมควรสำหรับการเตรียมท่าทีตอบรับกับคนที่เราเจอ(เช่น แค่ดูชื่อ login ก็พอรู้แล้วว่าความเห็นจะออกมาในแนวใหน น่าเชื่อถือหรือไม่)

รูปจากอินเตอร์เน็ต แสดงคำพิพากษาของคนเราที่มักมอบให้คนหรือสิ่งอื่น มี 2 ลักษณะ คือ

เรามักตัดสินว่า สิ่งๆนั้น ดี หรือ แย่



ซึ่งปรากฏการณ์นี้เราเรียกว่า halo effect ซึ่งพูดง่ายๆ ว่ามันคือ bias ชนิดหนึ่งนี่แหละ ที่เรามักมอบให้คนหรือสิ่งของ โดยข้อมูลที่เราใช้ตัดสินใจว่าข้อมูลนี้ ดี หรือเลว มักจะเป็นลักษณะแรกๆที่เราพบเจอ

รูปแสดงความไม่เท่าเทียมกันของคำพิพากษา หากผู้พิพากษาเคยได้รับข่าวเกี่ยวกับด้านที่ไม่ดีของคนที่ต้องตัดสินมาก่อน เขาย่อมมีความเชื่อฝังใจว่าคนนี้มันต้องเลว และเลวทุกด้าน ซึ่งทำให้คำพิพากษามีความคลาดเคลื่อน จากกรณีคดีที่โจทย์และจำเลยไม่มีชื่อเสียง



สิ่งที่ผมอยากจะบอกตรงนี้คือ ในกรณีที่คิดว่าศาลหรืออะไรไม่มีความยุติธรรมนั้น เนื่องมากจาก ผู้พิพากษานั้นเคยได้รับข่าวสารด้านลบเกี่ยวกับสิ่งที่จะตัดสินมาก่อน โดยข่าวด้านลบที่เข้ามานั้น เป็นข่าว แรกๆที่ผู้พิพากษาได้ยิน ผู้พิพากษาก็เป็นคนครับ ถึงจะอย่างไร จิตใต้สำนึกเขาก็ได้ตัดสินไปแล้ว ไม่ว่าดีหรือเลวก็ตาม

นอกจากนี้ ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่ผมจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงคือ Bandwagon effect และ Hindsight bias

Bandwagon effect คือปรากฏการณ์ที่เราจะเชื่อ และคิดไปตามกลุ่มคนที่แวดล้อมเราอยู่ ซึ่งจะพบได้บ่อยในกรณีที่กลุ่มคนที่รายล้อมเราอยู่มีความเชื่อเดียวกัน มักจะอยู่รวมเป็นกลุ่มเป็นก้อน ซึ่ง Bandwagon effect มักจะใช้เป็นโมเดลหนึ่งในการล้างสมอง จำกันได้ใหมครับ



การที่จะล้างสมองคนนั้น เราต้อง จำกัด individual think และสร้าง group think ในทิศทางที่เราต้องการ

Hindsight bias คืออคติที่คิดว่า เรานี่แหละ รู้ทุกอย่าง พบเห็นได้บ่อยในกระทู้ที่มีการถกเถียงเรื่องที่ไม่มีข้อสรุปตายตัว เช่น รัฐศาสตร์
คือเรามักจะสรุปผลเอาง่ายๆว่า สิ่งนั้นเกิดขึ้นเพราะสิ่งนี้ ทำให้เกิดสิ่งนู้น คือเราคิดว่าเราทำนายได้

ซึ่งก็คงต้องพูดกันตรงๆแหละครับ คนเรามักจะถือว่าตัวเองมักจะรู้เรื่องในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้อยู่เสมอ

ซึ่งสิ่งนี้แหละครับ ทำให้เราคิดว่าเราฉลาดกว่าคนอื่น จึงเกิดความต้องการที่จะ "พูด" อยู่ฝ่ายเดียว

และเมื่อเราคิดว่าเราฉลาดกว่าคนอื่นเสียแล้ว การ "ฟัง" จึงเป็นเรื่องที่ยากพอสมควร

เพราะเรามักคิดว่าคนที่พูดขัดหูเรานั่น "โง่" เสียร่ำไป

และอคติอีกอย่างหนึ่งที่เรามักโดนหลอกใช้โดยไม่รู้ตัวคือความรู้สึกของคนเราที่มักจะเอาใจช่วยบุคคลที่เป็นรองอยู่เสมอ เช่น ถ้าเรามองว่านายเอเป็นรองนายบีอยุ่ คนที่เชียร์จะพยายามเอาใจช่วยให้นายบีสามารถเอาชนะนายเอได้ เพราะลึกๆอยู่ในใจ คนเรามีความไม่มั่นใจในตัวเองแฝงอยู่ การเชียร์คนที่คิดว่าเป็นมวยรองให้สามารถเอาชนะได้นั้น คือธรรมชาติของคน ซึ่งมักพบได้ในการ์ตูน ซึ่งมักจะเขียนให้ตัวร้ายเก่งกว่าพระเอก เพื่อให้ผู้ชมมีการสนใจติดตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งจังหวะที่พระเอกเสียทีให้ผู้ร้าย การ์ตูนเรื่องนั้นมักจะ มัน เป็นพิเศษ

ข่าวร้ายคือ การแกล้งทำเป็นมวยรองนั้นมีอยู่จริงในโลกปัจจุบัน โดยคนที่ต้องการความสนใจและเสียงสนับสนุน มักจะทำตัวเองเป็นมวยรองในตอนแรก เพื่อเรียกคะแนนสงสาร จากคนดู

Confirmation bias อคติชนิดนี้ บอกเราว่า เราไม่ได้เลือกข้อมูลมาเพื่อเลือกที่จะเชื่อ

แต่เราเชื่อก่อน แล้วจึงหาข้อมูลมาสนับสนุนความเชื่อของตนเอง

เรายังพร้อม ที่จะ "มองข้าม" ข้อเสียของสิ่งที่เราเชื่อด้วย

เช่นดวลาเราชอบใครสักคน เราพร้อม จะหาข้อมูลที่เข้าข้างตัวเองมาบอกกับตัวเองให้เราสบายใจ และเราก็พร้อมที่จะ "ละเลย" ข้อมูลที่ทำให้เราไม่พอใจไว้เบื้องหลังเช่นกัน

และเมื่อเราเลือกที่จะชอบใคร เราได้เลือก แล้ว ที่จะมองใน ด้านดีของเขา และเรา จะละทิ้งด้านที่ลบของเขาโดยเราจะไม่ให้ความสนใจมากนัก

ผมไปเจอรูปนี้มาในอินเตอร์เน็ต แสดงให้เห็นว่าคนเรา พร้อมจะตีความข้อมูลเข้าหาตัวเองอย่างร้ายกาจ ขนาดที่เห็นดาวทั้งท้องฟ้าเป็นรูป no เรายังลากเส้นจนเป็น yes ขึ้นมาได้



NIH คืออคติ ชนิดหนึ่งที่เรามักจะไม่ยอมรับวิธีการหรือความคิดเห็นของผู้อื่นโดยเหตุผลเพียงแค่ว่าความคิดนั้นไม่ได้มาจากเรา

เช่น เราไม่อาจยอมรับแนวทางของคนที่เห็นต่างกับเราได้ เพราเขาคือศัตรูของเรา

อคติชนิดนี้พบได้บ่อยมากในชีวิตประจำวัน และเป็นอคติที่ทำให้เราต้อง เหนื่อย และมีค่าเสียโอกาสโดยไม่จำเป็น

ในทางคอมพิวเตอร์ คุณอาจจะรู้จักกับโปรแกรมหลายๆตัวที่มีลักษณะการทำงานที่คล้ายกันแต่ กลับมาการพัฒนาออกมาจากหลายกลุ่มเพราะว่าเรา ต่างไม่ยอมรับในผลิตภันฑ์ของฝ่ายตรงข้ามนั่นเอง

นี่คืออคติที่พบบ่อยในสังคมไทย

ผมตั้งกระทู้นี้โดยความรู้สึกแปลกๆ ว่าตอนนี้สังคมเรามันกำลังแย่ เพราะแค่คนบางคนแสดงทัศนคติที่ไม่ถูกใจ พวกเราก็พร้อมที่จะเฮโลไปกระทืบเขาให้จมดิน โดยไม่ให้โอกาสเขาอีก ซึ่งผมมองว่า มันไม่ถูกต้อง

เหมือนกับเรื่องโดดี คนเรามันมีการเปลี่ยนแปลงตัวกันได้ และเราไม่สมควรที่จะตัดสินใครด้วยพฤติกรรมที่เรารู้มา

อคติเหล่านี้มันคือพฤติกรรมของเรา หากเราจะหลีกหนีมันย่อมเป็นไปได้ยาก แต่อยากจะให้รู้ทันมัน

สิ่งที่ผมอยากจะบอกคือ อยากให้เรามองกันในแง่ดี

และวิธีการหลีกเลี่ยงดรามาซักหน่อย

1.เวลาตำหนิคน อย่าตำหนิที่ตัวคน เช่นคุณนี่โง่จริงๆเลยนะ เพราะมันจะเป็นการทำลายคุณค่าของตัวเขา ซึ่งคนที่โดนเราด่าก็ต้องสู้ อย่างเต็มที่ แต่ให้ตำหนิที่พฤติกรรมแทน เช่น กวาดบ้านแบบนี้ไม่ถูกต้อง เป็นต้น
2.ไม่จุดประเด็นในการที่เขาจะต้องป้องกันตัว เช่น เราจับได้ว่าเรื่องนี้เขาโกหกและเขาแถจนหมดทางแล้ว เราไม่ควรจะไปโจมตีจุดอ่อนของเขา เพราะมันจะเป็นการไปกระตุ้นพฤติกรรมป้องกันตัวขึ้นมา ซึ่งมีหลายแบบ แต่ไม่ว่าแบบใหน ก็ไม่เป็นผลดีทั้งสิ้น
3.ไม่ดูถูกในสิ่งที่เขาเชื่อ เพราะว่า มันจะเป็นดรามาอย่างรุนแรง

โดย นฤมลประการ




 

Create Date : 25 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 10 กันยายน 2554 20:08:48 น.
Counter : 1501 Pageviews.  

เรื่องของโลกที่ต้อง...ปลง...แต่มาพร้อมกับรอยยิ้มเล็กๆ ที่มุมปาก

คืนก่อนไปงานเปิดตัวหนังเรื่อง 9 วัน (wrap party) แน่นอน ในงานก็ต้องมีบรรดาเหล่าดารามาแน่นอน อย่างน้อยก็ต้องนักแสดงในเรื่องว่างั้น กล่าวเปิดตัวหนัง สัมภาษณ์ผู้กำกับและเหล่านักแสดงจนเสร็จเรียบร้อย ต่อไปก็เป็นงานเลี้ยง มีวงดนตรีมาเล่น 3 - 4 วง เพลงก็แบบว่าดิ้นกันได้มันส์ตามระเบียบ และสิ่งที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นั่งจิบเบียร์ไปพลางนั่งมองผู้คน



เหลือบไปเห็นกลุ่มผู้ชายกลุ่มหนึ่ง ...คงอายุซัก 40 ปลาย เต้นอย่างเมามันส์ เอาเป็นว่าหนุ่มสาวๆ บางคนยังอาย

ตัวฉันเอง...ไม่ได้รู้สึกว่ารำคาญอะไร แต่ในบ้านเรา น้อยนักที่จะเห็นคนอายุขนาดนี้ มาออกสเต็ปแบบที่เรียกว่าเต้นแร้งเต้นกา เหมือนกับที่ฝรั่งทำ ฉันกลับรู้สึกว่าน่ารักด้วยซ้ำไป

แต่ก็อดคิดไม่ได้ ว่าถึงเวลาที่ฉันอายุขนาดนี้ จะยังทำแบบนี้อยู่ไหม เรื่องบางเรื่อง ความคิดบางอย่าง ... ในบางจุดของอายุ เราจะไม่ไม่มีวันเข้าใน จนกว่าจะได้ก้าวผ่านมันไป ถึงจะรู้ว่ามันจริง เมื่อตอนฉันอายุ 20 ต้นๆ เคยคิดว่าต้อให้ฉันอายุ 30 ไปแล้ว ฉันก็ยังจะชอบไปเที่ยวในผับที่เปิดเสียงดังๆ เปิดเพลงมันส์ๆ แล้วเด้นส์ให้ลืมโลก แต่ถ้าพูดกันตรงฉันเลิกเที่ยวผับแบบนี้ด้วยตัวเอง (ต้นคิด) ตั้งแต่อายุ 25 ได้มั้ง

...เดี๋ยวนี้ก็ปลงอะไรๆ ไปเยอะ ไอ้เรื่องนี้เรื่องนู้นที่เคยอยากทำอยากเป็น ก็หมดความอยากไปมาก จนเรียกว่าแทบจะไม่แรงบันดาลใจ แต่ไม่ใช่ท้อแท้ เพียงแต่รู้ว่าทำไปก็ไม่ได้อะไร สุดท้ายคนจนเรามันก็เท่านี้ ต้องจากโลกนี้ไปอย่างว่างเปล่าเอาอะไรติดมือไปไม่ได้

พูดไปก็เหมือนพวกขี้เกียจ...ก็แค่ "สูขนิยม แบบเรียบง่าย" เท่านั้นเอง




 

Create Date : 29 มีนาคม 2553    
Last Update : 30 มีนาคม 2553 16:38:23 น.
Counter : 774 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

blue passion
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 47 คน [?]




มีหัวใจไว้เดินทาง ค้นหาความหมายของชีวิต เพื่อเติมเต็มให้กับคำถามที่เกิดขึ้นมากมายระหว่างการเติบโต วิธีการในการเดินทางมีมากมาย แต่ ณ วันนี้ ขอเลือกสองล้อเป็นพาหนะในการนำพาไปสู่จุดหมายปลายทาง

Site Meter

Group Blog
 
All Blogs
 
Friends' blogs
[Add blue passion's blog to your web]
Links
 

 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.