Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 

หลากหลายเรื่องราว

มันมีอะไรยิบย่อยที่อยากบันทึกเก็บไว้ให้หมด ไม่รู้ทำไมต้องอยาก และแย่ยิ่งกว่านั้นคือ ทำไมปล่อยใจทำตามความอยาก

คิดถึงอาม่าวัยแปดสิบที่ขายหมวกคลุมผมอาบน้ำที่ซอยวังหลัง ก่อนปีใหม่ปีนี้ได้อุดหนุนไปหลายสิบใบ และ...อาม่าคิดเงินเก่งมากกกกก หมวก 2 ใบ 35 บาท เวลาซื้อ ไม่ยักซื้อที่ละ 10 / 20 ใบ จะได้คิดง่ายหน่อย เรานับๆ แล้วก็ 12 ใบ จ่ายเสร็จก็นับนิ้วต่อ อีกที่ 16 ใบ... จะมาเลขไม่ลงตัว อาม่าก็สู้ไหวค่ะ อยากพาแม่มาดูอาม่าขายหมวกจัง อาม่าเรียกเราว่าคุณหนูล่ะ พอขายเสร็จ เดินไปดูอะไรๆอย่างอื่น ผ่านมาอีกครั้ง พบว่าอาม่านั่งพัก คุยกับคนขายชุดชั้นใน แอบคิดๆว่า แกคงพอแล้วล่ะวันนี้ เจอเราเหมาไปซะ


น้ำมันปาล์มขึ้นราคาทีละ 9 บาทต่อขวด คนทำกับข้าวคงลำบาก คนซื้อกับข้าวก็ลำบากพอกัน วันนี้นั่งคุยกับเพื่อนที่ทำงาน เราพูดขำๆว่า คงต้องหันไปกินผักต้มแทนผัดผัก และถ้าแก๊สขึ้นราคา ก็กินผักสดท่าจะดี แต่ต้องปลูกเองถึงจะไว้ใจได้ โลกนี้มันอยู่ยากขึ้นทุกวันนะ

ตั้งแต่ปลายมกราต่อมาถึงกุมภา ชักจะขำไม่ไหวเพราะไม่มีน้ำมันทำกับข้าว ไปดูที่ห้างไหนๆก็มีแต่น้ำมันมะกอกบ้าง ดอกคำฝอยบ้าง อยากได้น้ำมันถั่วเเหลืองนี่คะ ท่านนายกฯ

ว่าไปแล้ว...ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นักหรอก หาซื้อไม่ได้ก็ไปเอาของแม่มาใช้ แม่น่ะ มีทุกอย่าง น้ำมัน น้ำตาลทราย สารพัด นึกถึงหลายสิบปีก่อน ที่บ้านยังกินน้ำมันหมูได้เลย พ่อซื้อมันหมูมาเคี่ยว กากหมูก็ให้ใครๆกินหรือแม้แต่หมากินต่อ ไม่ได้ 'เดือด' และ 'ร้อน' จริงซักหน่อย


เขารับบริจาคปฏิทินตั้งโต๊ะให้คนตาบอดแถวพญาไท เราเคยไปสอนหนังสือเด็กตาบอดที่นั่นด้วยน้า นานมากแล้วก่อนไป Wellington มั้งพอกลับมาได้สักพักก็ย้ายมาอยู่นอกเมือง เลยไม่ได้ไปเป็นคุณครูจำเป็นอีกเลย ก่อนหน้าไปเป็นคุณครู มั่นใจว่าตัวเองเสียงใส เสียงเพราะ ไปอ่านหนังสือให้เด็กตาบอดดีกว่า เลยไปที่มูลนิธิแถวดินแดง เล็งๆว่าอยากอ่านนิยาย ไม่ก็หนังสือเด็ก จะได้ความบันเทิงใส่ตัวด้วย แต่ว่า...เจ้าหน้าที่มาขอร้องให้ช่วยอ่านหนังสือเรียนให้หน่อย เด็กใกล้จะสอบแล้ว รู้สึกว่าต้นกุมภานะ แถมหนังสือเรียนที่ว่าคือ วิชาพระพุทธศาสนา ชีทสิบกว่าหน้านั่นมีแต่คำภาษาบาลีแฝงอยู่ประมาณ 30-40% โอย...เห็นแล้วก็ขอถอย อ่านไม่เป็น เจ้าหน้าที่บอกว่า ทำเท่าที่ทำได้แล้วกันค่ะ ไม่มีคนช่วยอ่านจริงๆ อ่านที่นั่นได้ประมาณ 3-4 หน้าแล้วก็เอาเทปกลับมาอ่านที่บ้านต่อ จำได้แม่นๆก็จะมีเรื่องเปรต ตายแล้วไปเป็นอะไร ยังไง มีบางคำอ่านไปก็ไม่แน่ใจ บอกตามว่า ขอโทษค่ะๆๆ

แล้ววันดีคืนดีก็ถูกโทรตามตัว ไปสอนการบ้านเด็กตาบอดที่พญาไท ก็ทำได้นะ สอนเด็กปีหนึ่งคนเดียว สอนกันครึ่งวันก็กลับ เลยได้เห็นเวลาที่เขาเขียนหนังสือด้วยอักษรเบรลล์

กลับมาเรื่องปฏิทินตั้งโต๊ะ บางคนยังงงๆว่าเอาไปทำอะไร ก็เอาไปเขียนหนังสือไงล่ะ มันคงเขียนได้สนุกกว่ากระดาษ recycle ธรรมดาแน่ๆ ตอนที่รวบรวมปฏิทินสัปดาห์ก่อนจากที่ทำงาน ได้มาไม่ถึง 20 เล่ม ใจฝ่อ อยากได้เยอะๆนี่นา เอากล่องไปวางที่ชั้นล่างของที่พัก วันแรกไม่มีสักเล่ม นั่งมองๆ แล้วมา print ข้อความรับบริจาคให้มีสีสันนิดหนึ่ง เรามันพวกหัวสี่เหลี่ยม ทำอะไรสร้างสรรค์มากไม่ใคร่เป็นซะด้วย ทิ้งไว้สองวัน มีคนมาทิ้งให้ร่วมสิบเล่ม รปภ.บอกว่าอย่าเพิ่งเก็บกล่องไปนะ มีอีกคนบอกว่าจะเอามาให้ถุงใหญ่ สองวันนี้ ได้จากบริษัทในเครือสองที่ ที่เราตระเวนไปบ่อยๆ ได้มาหลายสิบเล่ม รวมทุกที่แล้ว คาดว่าจะได้ร่วมร้อยเล่ม ดีใจๆๆๆๆๆ พอดีว่าภรรยาเพื่อนที่ทำงานที่บ้านอยู่ใกล้แถวนั้นขอมาพอดี เลยผลักภาระนี้ให้เพื่อนเอาไปมอบให้ด้วยความเต็มใจ ส่งมอบไปแล้วประมาณ 120 เล่ม รปภ.บอกว่า มีคนอยากเอามาให้อีก อย่าเพิ่งเก็บกล่องไป...เอากล่องใบนั้นมาวางต่อ ไหนๆมีคนใจดี อยากทำทาน ควรจะช่วยให้เขาได้ทำสิเนอะ



วันก่อนขับรถผ่านไปแถวนางเลิ้ง ป้ายโฆษณาที่สนามม้า มีภาพผู้ชายกับเด็ก และคำว่า "ถ้าคุณทำ เราจะบอกลูกว่าอย่างไร" ก็งง ๆ ทำอะไร?? แล้วก็มีภาพผู้หญิงสูบบุหรี่ Feminuts จะคิดยังไงน้า เราว่าเรารู้สึกลบกับโฆษณานั้น สังคมคาดหวังผู้หญิงและแม่ว่าอย่างไร?? เมื่อไม่มีวิธีที่จะห้ามผู้ชายสูบบุหรี่ โดยเฉพาะที่สูบแล้วเผื่อแผ่มาให้ second smoker จนป่วยตามไปด้วย กลับใช้วิธีทางความเห็นของสังคม มาตีกรอบสิ่งที่ผู้หญิงควรจะทำ ควรจะเป็นหรือยังไง เรื่องสูบบุหรี่น่ะ ใครที่สูบน้อยลงจนไม่สูบ เราก็ขอขอบคุณ แต่การตีกรอบผู้หญิงแบบนี้ ไม่ชอบเอาซะเลย


เมื่อวานดูรายการ'มองมุมใหม่' คุณคำนึงเป็นเกษตรกรนักพัฒนาของหมู่บ้านตามา อ.สตึก จ.บุรีรัมย์ คนที่ทำงานในเมืองหลวงมาร่วมสิบปีแล้วกลับไปเริ่มงานทำไร่ทำสวนที่บ้าน ตาเรา ใจเรา จดจ่ออยู่กับจอทีวี ก็มันน่าติดตามจะตายเรื่องดีดีแบบนี้ เขาไปเปลี่ยนพื้นที่นา ดัดแปลงเป็นไร่นาสวนผสม ปลูกผลไม้และพืชผักสวนครัว เอาไว้กิน เหลือก็ขาย เลี้ยงสัตว์ ทำจนชาวบ้านแถวนั้นยอมรับ เห็นด้วยและหันมาทำตาม

จะต้องใช้พลังใจมากแค่ไหนนะถึงจะไปยังจุดที่เขายืนได้ เงินเดือนที่ดูเป็นหลักประกันที่มั่นคง ที่เคยส่งมาเลี้ยงคนทางบ้านได้ จู่ๆก็หายไป คนข้างบ้านไม่ยอมรับไม่เป็นไร แต่แรงกดดันจากคนในบ้านคงมากพอดู เราว่าเขาเก่งจัง

เปลี่ยนจนชาวบ้านที่เคยมัวสุมกับหวยกับเรื่องอื่นๆหันมาทำมาหากิน หมดหน้านาไม่ต้องเข้าเมืองหลวงแต่มีงานอื่นที่ทำควบคู่ไปได้ทั้งปี อาหารการกินไร้พิษ ใช้เงินซื้ออาหารข้างนอกน้อยลง ชาวบ้านร่วมมือร่วมใจพัฒนาหมู่บ้าน ผู้เฒ่าผู้แก่ก็ออกกำลังกายด้วยการทำงานในสวนนั่นล่ะ คุณยายคนหนึ่งบอกว่ามีงานเพิ่ม เหนื่อย...แต่มีความสุข ตาของคุณยายบอกอย่างนั้นจริงๆ



อีกรายการหนึ่งที่น่าดูคือ กิน อยู่ คือ เช้าวันหนึ่งที่ไม่ไปทำงานเพราะนอนรอดูอาการปวดท้อง เลยได้ดูทีวีไปด้วย เขาไปถ่ายทำโรงเรียนชาวนาที่ จ.สุพรรณบุรี อ.เดชาเป็นครูสอนชาวนาให้ทำนาแบบไม่เบียดเบียน ไม่ใช้ยาฆ่าแมลง ใช้ปุ๋ยชีวภาพ คัดเลือกเมล็ดพันธุ์ที่ดีมาปลูก...ก็ชอบสิ ชอบทั้งเนื้อหาสาระของรายการ ชอบวิถีชีวิตแบบนี้ แต่เพื่อนๆบอกว่า กลับมาอยู่ในโลกของความจริงเถอะ หาว่าเราเพ้อฝัน มันทำได้จริงๆนะ เขาทำกันแล้วด้วย ถ้าต้องซื้อข้าวแพงขึ้นเพราะวิถีชีวิตชาวนาเปลี่ยนไปในรูปแบบนี้ และราคาไม่ได้ถูกพ่อค้าคนกลางเบียดไปมาก เราเต็มใจจ่ายแพงขึ้นนะสำหรับข้าวจากแปลงพวกนี้


วันที่ 8 กุมภา คนเสื้อแดงในราชดำเนินเขานัดกันไม่ตั้งกระทู้ จริงๆถ้าสัปดาห์หนึ่ง งดตั้งกระทู้สักหนึ่งวัน คงจะดี คือ สำหรับคนที่ตั้งใจเขียนอะไรๆออกมาได้ทุกวัน น่าจะมีวันว่างๆสักวันนั่งทบทวนเรื่องราวทั้งสัปดาห์ ทบทวนใจของตัวเองที่ร้อนไปตามกระแสแค่ไหนแล้ว และลองงดเว้นที่จะแสดงความเห็นสักวัน นั่งดูใจที่มันไหลไปกับความคิดได้บ่อยๆ คงจะดีไม่น้อย .. นักรบไซเบอร์ก็ควรจะมีเวลาพักใจซะบ้างนี่นะ


ช่วงนี้คนรอบตัวเป็นอะไร?? คนนั้นก็ทุกข์ คนนี้ก็ทุกข์ วันวันนั่งฟังแต่ความทุกข์ของผู้คน มีมาเล่าได้ทุกวันจริงๆด้วย แต่ละคนไม่ซ้ำรูปแบบกันเลย หนักไปคนละรูปแบบ เฮ้อ...


ปิดท้ายด้วยข่าวการปะทะระหว่างไทยกับกัมพูชาเมื่อสัปดาห์ก่อน ข้อดีคือ ลูกจ้างที่จะกลับบ้านที่ศรีสะเกษ (แบบนี้ผิดล่ะ:ศรีษะเกษ)เลื่อนการกลับไปก่อน แม่เลยสบายขึ้น ไม่รู้ว่าบ้านเขาโดนลูกหลงไปบ้างหรือเปล่า

รมต.ต่างประเทศในยุคของคุณอภิสิทธิ์เป็นอะไรที่น่ากลัวมาก เพราะคำพูดคำจาที่ออกมา มันตัดสัมพันธ์มากกว่าผูกสัมพันธ์ ทั้งหน้าตา ทั้งน้ำเสียง... เรื่องไม่เป็นเรื่องแท้ๆ คนบางกลุ่มก็ทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาได้ คนอีกหลายกลุ่มก็เชื่อตามๆกันไปจนเบื่อจะคุยด้วย ว่าไปแล้ว เรื่องราวทั้งหลายในบ้านเรา ก็มีแต่คนทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาทั้งนั้น ได้แต่...ขอ..ขออย่าให้มีอะไรที่ถูกทำให้เป็นเรื่องขึ้นมาอีกเลย




 

Create Date : 10 มกราคม 2554    
Last Update : 15 กุมภาพันธ์ 2554 19:33:12 น.
Counter : 614 Pageviews.  

พระรักเกียรติ เทศนาเรื่องกลุ่มทุนกับการเมือง

ไปเจอข่าวนี้เข้า ก็เลยเอามาเก็บไว้ อีกสิบปีข้างหน้า เงินที่ต้องใช้จ่ายในการเข้ามาในวงการเมืองจะเติบโตไปถึงหลักไหนนะ??

//www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1289718293&grpid=no&catid=04

พระรักเกียรติ เทศนาเรื่องกลุ่มทุนกับการเมือง เงินหาเสียงจากหลักแสนบาทสู่"หมื่นล้าน"

"พระรักเกียรติ รักขิตะธัมโม" ในอดีตคือ "นายรักเกียรติ สุขธนะ" อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นักการเมืองดาวรุ่งแห่งภาคอีสาน เคยเป็น ส.ส. 7 สมัย รัฐมนตรีอีก 5 สมัย และมีความเชื่อว่า สักวันเขาจะเป็นนายกรัฐมนตรีของคนอีสาน

ในยามรุ่งโรจน์ เขามีบริวารห้อมล้อม ใช้ชีวิตเสพสุขเต็มที่ ทั้งสุรา นารี และการพนัน มีเงินอู้ฟู่เป็นพันล้าน !

แต่หลังจากเจอคดีทุจริตรับสินบน 5 ล้านบาท ชีวิตอดีตรัฐมนตรีเปลี่ยนทันที เหมือนตกนรกทั้งเป็น ต้องหนีคดี ติดคุก ครอบครัวแตกแยก กระทั่งเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง ด้วยการหันหน้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์ หลังได้รับพระทานอภัยโทษ

ปัจจุบัน พระรักเกียรติ ใช้ชีวิตอยู่ที่ที่ศูนย์ปฏิบัติธรรมวังพญานาค วัดใหม่สุขธนะศรีนคราราม บ้านวังชัย ต.เวียงคำ อ.กุมภวาปี จ.อุดรธานี ซึ่งวัดแห่งนี้ไม่ใช่อื่นไกล เพราะที่นี่คือ สำนักงานของส.ส.”รักเกียรติ” ที่เคยใช้ต้อนรับหัวคะแนนและนักการเมือง แต่ปัจจุบัน กลายสภาพเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรมไปเรียบร้อยแล้ว

ผู้สื่อข่าว เดินทางไปสนทนาธรรมกับพระรักเกียรติ ในหลายประเด็น โดยเฉพาะทุนกับการเมืองไทย


....บทสนทนาจากนี้ไป อาจเป็นอุทาหรณ์สอนใจ ให้กับนักการเมืองรุ่นหลังหูตาสว่างมากขึ้น

@ หลังออกจากคุก ท่านตัดสินใจบวช ได้อย่างไร

จริงๆ ตั้งใจบวชตั้งแต่อยู่ในคุก แต่คิดว่าจะบวชสัก 30 วัน ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพราะว่าเราต้องโทษ 15 ปี แต่ได้รับพระทานอภัยโทษ ลดโทษให้ 6 ปี 7 เดือน เราเองก็ช่วยเหลือราชการ กรมราชทัณฑ์ ไม่เคยกระทำความผิดมาก่อน ก็เข้าเกณฑ์การพักการลงโทษ

@ ท่านตั้งใจจะบวชตลอดไป หรือไม่

พอมาบวชได้ครบเดือน ก็ขออนุญาตบวชต่อ เพราะคิดว่าพบทางที่สงบ ความสงบทำให้เกิดปัญญา ตอนเราเคยมีตำแหน่งทางการเมือง เราพบทางแห่งความเสื่อม ชีวิตถูกครอบงำด้วยอบายมุข แต่พอมาบวชก็พบความสงบ และตั้งใจว่าจะบวชตลอดชีวิต

@ จุดเปลี่ยนชีวิตหลวงพ่อคือ การเข้าไปอยู่ในคุก

ใช่ ในคุกเข้าไปก็ลำบาก เราเคยเป็นถึงรัฐมนตรี ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย อยากได้อะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ แต่วันหนึ่งเราถูกจองจำ ซึ่งอยู่ในคุกสิ่งที่ต้องทำก็คือ รักษาชีวิตไม่ให้ตายและไม่ให้เป็นบ้า

รักษาชีวิตไม่ให้ตายก็คือ ต้องรักษาชีวิตตัวเองไม่ให้เจ็บป่วย เพราะมีโรคประจำตัวอยู่คือ เบาหวานและความดัน ก็ทำทุกอย่างที่จะไม่ให้ป่วย ไม่ให้ตาย เพราะมีคนตายในคุกเยอะ ระบบการรักษาไม่ดี

ส่วนการรักษาตัวเองไม่ให้บ้า เพราะว่ามันมีความกดดันทั้งภายในคุก ทั้งเรื่องภายนอก เรื่องครอบครัว เรื่องทรัพย์สิน ชีวิตไม่ได้ติดคุกอย่างเดียว(นะ) แต่มีคดีแพ่งยึดทรัพย์ 233 ล้าน เขาก็ตามยึด ครอบครัวก็แตกแยก คนที่รักกันบางคน พอเราติดคุกเขาก็ไม่สนใจ ไม่เหลียวแล บางคนเราเคยช่วยเหลือ แต่พอเราติดคุกเขาก็ทอดทิ้งเรา

อยู่ในคุกก็คิดมาก จิตใจปั่นป่วนไม่สงบ เขาก็บอกว่าอาจทำให้คนเป็นบ้าในคุกได้ ในคุกคนเป็นบ้าเยอะ หลายคนนั่งคุยกับต้นไม้คนเดียว บางคนญาติมาบอกว่า เมียไปมีสามีใหม่ ก็เสียใจร้องไห้ ต้องกินยาระงับประสาท ซึ่งเราก็กลัวว่าตัวเองจะเป็นบ้า

เรารักษาจิตใจโดยเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้า ในคุกเขามีสอน มีพระเข้าไปสอนทั้งปริยัติและปฏิบัติ เราก็ไปเรียนจนได้นักธรรมโท แล้วก็ปฏิบัติ เริ่มจากสวดมนตร์ ทำวัตรเช้า ทำวัดเย็น ทำอย่างนี้ทุกวัน

แล้วก็นั่งสมาธิวิปัสสนา เพื่อพัฒนาจิตใจ ซึ่งก็ช่วยได้ ทำให้เรามีจุดเริ่มต้น ได้เข้าถึงธรรมะของพระพุทธเจ้าตอนอยู่ในเรือนจำ นักข่าวเคยไปสัมภาษณ์ตอนพ้นโทษ ก็ตอบไปว่า ถ้ารู้จักธรรมะของพระพุทธเจ้าก่อนหน้านี้ คงไม่ติดคุก แต่วันนี้เรามารู้จักในคุก ไปสำนึกความผิดตัวเองในคุก นั่งนึกว่าเล่นการเมืองมาตั้งแต่ปี 2526 เป็นดาวรุ่งการทางการเมืองภาคอีสาน แต่แล้ววันหนึ่งเราก็พลาด เมื่อพลาด ผลกรรมที่ตามก็มหาศาล


@ อะไรคือสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตช่วงเป็นนักการเมือง

อยากได้อะไรก็ได้ อยากมีอะไรก็มี ใช้ชีวิตสนุกสนาน ประมาท ตอนตกอยู่ในอบายมุข ซึ่งก็มีความสุข (นะ) สุขที่ได้กินเหล้า สุขที่ได้เล่นการพนัน ช่วงรุ่ง ๆ ไปเล่นพนันมาหมดทั่วโลก ที่ลาสเวกัส อังกฤษ มาเก๊า ตอนเล่นได้เยอะๆ มีเงินเป็นพันล้าน เงินที่ป.ป.ช.ไปตรวจพบตอนเป็นรัฐมนตรีก็คือ เงินส่วนหนึ่งที่เล่นการพนัน ก็โอนเข้าบัญชี

ระบบการเมืองเมื่อก่อน ถ้าจับว่านักการเมืองทุจริต ต้องมีใบเสร็จ มีหลักฐาน ฉะนั้น เมื่อก่อนจึงไม่ค่อยมีนักการเมืองถูกลงโทษทางอาญา เพราะหาหลักฐานไม่ได้ พอปฏิรูปการเมืองปี 2540 ก็มีป.ป.ช. ตอนนั้นศาลก็ให้โอกาสเรานำพยานหลักฐานไปพิสูจน์ เมื่อเราสู้ไม่ได้ ศาลก็ลงโทษทั้งคดีแพ่ง และอาญา หลวงพ่อโดน 3 คดี คือ คดีอาญาโทษจำคุก 15 ปี คดีแพ่งยึดทรัพย์ให้ตกเป็นของแผ่นดิน 233 ล้านบาท และห้ามเล่นการเมือง 5 ปี

@ ทำไมท่าน ไม่หนีแบบกำนันเป๊าะ หรือ วัฒนา อัศวเหม

ต้องขอบคุณที่เราไม่หนี ถ้าหนีก็ไม่มีวันนี้ ไม่มีวันได้ถูกปล่อยตัว แต่ตอนศาลตัดสินก็หนีอยู่ 1 ปี ชีวิตเป็นทุกข์ ทรมานมาก แต่พอถูกควบคุมตัวกลับรู้สึกโล่งอก

เพราะตอนที่หนี ติดต่อใครก็ไม่ได้ ไปไหนคนจำได้หมด แม้แต่ขับรถจราจรเห็นยังจำได้ ถามว่าท่านมาทำไม ออกมาจากคุกทำไม แล้ววันที่ถูกจำ ไปออกกำลังกายที่สวนสาธารณะ มีคนจำได้ เขาก็ไปบอกตำรวจมาจับ ก็โล่งใจ ชีวิตไม่ต้องหนีแล้ว เหมือนชีวิตได้นับหนึ่งใหม่

@ เจ้าพนักงานฯ ยึดทรัพย์ 200 กว่าล้าน ครบหรือยัง

ทรัพย์สินมีไม่ถึง ยึดไปบางส่วน ตอนนี้ก็ตามยึดอยู่ยังไม่ครบ


@ ชีวิตตอนมีทรัพย์สินมั่งคั่งที่สุด จำได้มั๊ยว่ามีเงินเท่าไหร่

มีเป็นพันล้าน แต่นั่นคือตอนเราตกอยู่ในอบายมุข ตอนเป็นรัฐมนตรีก็มีคนห้อมล้อม

@ พอจะเล่าให้ฟังเป็นข้อมูล ได้ไหมว่าสมัยก่อน นักการเมืองใช้เงินกันอย่างไร

สมัยนั้นใช้เงินสด ใช้วิธีเก็บเงินสดที่บ้าน หรืออาจจะใช้บัญชีคนอื่น แต่มันก็อยู่ที่ว่าเงินนั้นมาจากไหน อย่างหลวงพ่อ เงินทุกส่วนมาจากการเล่นการพนันในต่างประเทศ ฉะนั้นเวลาเงินเข้ามาในบัญชี พอเล่นได้เขาก็โอนให้

การเมืองเมื่อก่อน เป็นระบบอุปถัมภ์ นักการเมืองมีค่าใช้จ่าย ก่อนเป็นส.ส.หรือเป็นส.ส.แล้วก็มีค่าใช้จ่าย ค่าหาเสียงสมัยปี 2526 หลวงพ่อได้เงินพรรค 1 แสนบาท แต่เมื่อก่อนหาเสียงจากนโยบายเงินผันของอาจารย์คึกฤทธิ์ (ปราโมช)

พอปี 2529 พรรคการเมืองก็จะมีกลุ่มทุนอุดหนุนการเงิน มีเงินทุนสำหรับส่งผู้สมัครลงเลือกตั้ง ก็จะมีเกรดว่า ผู้สมัครแต่ละคนได้เท่าไหร่ ตัวเก็ง ตัวกลาง ได้เท่านั้นเท่านี้ ปีนั้น 2.5 ล้าน เป็นเกรดเอ เกรดกลางๆ ก็ 2 -1.5 ล้าน

ปี 2531 คือ 3,5,7 3 ล้าน 5 ล้าน 7 ล้าน เหมือนเป็นตลาดนักการเมือง มีการขึ้นราคากัน แต่กิจสังคมไม่ได้ไปเร่กับเขาหรอกนะ รุ่นเดียวกันก็มีสุวิทย์ คุณกิตติ สมศักดิ์ เทพสุทิน สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ กระทั่ง ท่านมนตรี (พงษ์พานิช) เสียชีวิตเมื่อปี 2542 ปี 2544 มีเลือกตั้ง ก็ไปไทยรักไทย อยู่กับท่านทักษิณ (ชินวัตร) หลังจากนั้นค่าใช้จ่ายทางการเมืองก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ปี 2535 /2 เป็น 10 ล้าน 15 ล้าน 20 ล้าน พอปี 2544 ท่านทักษิณใช้อย่างต่ำคนละ 20 ล้าน 20 ล้านคูณ 400 เขตก็ 8,000 ล้าน ส่วนกลางอีก 2,000 พันล้าน ก็เป็นหมื่นล้าน นี่คือเรื่องจริงของความจำเป็นของเงินทางการเมือง

ถามว่า นักการเมืองโกงใช้วิธีไหนบ้าง อันนี้หลวงพ่อไม่รู้ชัด แต่หลวงพ่อรู้ว่า เขามีค่าใช้จ่ายทางการเมือง พรรคการเมืองนอกจากหาเงินมาใช้จ่ายช่วงเลือกตั้งแล้ว พรรคการเมืองยังต้องหาเงินมาใช้จ่ายในช่วงที่เขาเป็นส.ส. ออกไปเยี่ยมประชาชน เมื่อเป็นแบบนี้ กลุ่มทุนทางการเมืองของแต่ละพรรคก็ต้องมี

สมัยอาจารย์คึกฤทธิ์ ท่านเอานักธุรกิจมาเป็นนักการเมือง เช่น อาจารย์บุญชู โรจนเสถียร ท่านพงษ์ สารสิน ท่านสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ แทนที่จะไปเอาเงินกลุ่มทุน ก็เอากลุ่มทุนมาเป็นรัฐมนตรีเลย

พอถึงยุคคุณทักษิณ ยุคท่านชาติชาย (ชุณหะวัณ) ยุคท่านชวลิต(ยงใจยุทธ) ยุคท่านบรรหาร (ศิลปอาชา) ทักษิณก็ซัพพอร์ตทางการเมืองให้ เวลาเขาชนะเลือกตั้ง ตั้งรัฐมนตรี ทักษิณก็ส่งลูกน้องไปเป็นรัฐมนตรี เช่น พรรคความหวังใหม่ ท่านชวลิตเป็นนายกฯ ปี 2539 ท่านทักษิณก็ส่งลูกน้องไปเป็นรัฐมนตรีหลายคน เช่น รัฐมนตรีคลัง รัฐมนตรีคมนาคม เป็นต้น

คือ ลงทุนให้พรรคการเมืองไปหาเสียง เมื่อชนะเลือกตั้ง ก็เอาคนตัวเองไปนั่งในกระทรวง ที่พูดนี่ ไม่ต้องการให้ใครเสียหายหรอกนะ แต่พูดเป็นวิชาการ

นอกจากนี้ เมื่อพรรคต้องใช้ทุนในการหาเสียง ก็เอาเงินจากกลุ่มทุน กลุ่มอุตสาหกรรมต่างๆ ที่ซัพพอร์ตทางการเมือง พอพรรคที่กลุ่มทุนเอาเงินให้ได้เป็นรัฐบาล ก็มาอาศัยให้ช่วยเหลือ เช่น ให้ได้ประมูลงาน ได้สิทธิพิเศษ นี่คือเมื่อก่อน แต่ช่วงหลัง เอาเงินให้ แล้วก็เอาคนไปนั่งทำงานด้วย

ท่านทักษิณ บางทีไปดึงกลุ่มทุนมาร่วม ไม่ให้ใช้เงิน ไม่ต้องออก ผมออกเอง อย่างสุริยะมาเนี่ย ไม่ต้องออกเลย เอาเงินเก็บไว้ อย่าเอาเงินไปให้คู่ต่อสู้ ผมไม่ต้องการเงิน แต่มาอยู่กับผม ผมให้คุณเป็นรัฐมนตรี คุณสุริยะก็เป็นรัฐมนตรีอุตสาหกรรม ถามว่ารู้ได้อย่างไร ก็คุณสุริยะเป็นเพื่อนหลวงพ่อ อยู่พรรคเดียวกัน ก็เคยมาชวนอาตมา

คือ คุณทักษิณไปดูระบบจากสิงคโปร์มา ความคิดของทักษิณคือ รัฐบาลจะประสบความสำเร็จหรือไม่ รัฐบาลต้องเข้มแข็ง เพราะถ้าเสียงปริ่มน้ำจะเป็นทาสของพรรคร่วมรัฐบาล ส่วนวิธีการโกง เขาทำเขาไม่บอกกัน ไม่สอนกัน เขาปิดบัง เขาต้องทำแบบเงียบๆ ไม่ให้ใครรู้



@ สมัยก่อน มีเรื่องเล่าว่า เวลาพ่อค้าเข้าไปหารัฐมนตรี รัฐมนตรีเขียนตัวเลขขอเงินใส่มือ แล้วก็ลบทิ้งทันที

มันต้องเป็นโครงการที่เป็นโปรเจ็กต์ แต่ก็ไม่เคยเห็นด้วยตานะ ได้ยินแต่เขาเล่ากัน


@ มีนักการเมืองไปเล่นการพนันเหมือนท่านเยอะมั๊ยครับ

ก็ได้ยินว่ามีไป แต่ก็ไม่รู้ว่าใครบ้าง เพราะพวกนี้เวลาไปจะแอบ หลบไปไม่ให้ใครรู้หรอก ไม่ให้ใครเห็น ต่างคนต่างแอบ อย่างหลวงพ่อไปปุ๊บก็ไปเปิดห้องพิเศษเลย นักการเมืองเขาไม่ชวนกันไป เพราะเวลาเราไปประชาชนก็รู้จัก เราก็ไม่อยากให้ใครรู้ ก็ต้องไปเล่นไกลๆ

@ เทศน์อะไรให้ชาวบ้าน ฟังบ้าง

เราเจอมาเยอะแล้ว ทั้งสูงสุดและต่ำสุด อย่างไปเที่ยวที่ลาสเวกัส มีสุรา นารี ครบทุกอย่าง มันเหมือนสวรรค์ มีความสุขที่ได้เที่ยวผู้หญิง มีความสุขที่ได้กินเหล้า แต่สุดท้ายก็เจอความเสื่อม ฉะนั้นเวลาเดินทางไปเทศน์ที่ไหน ก็จะยกตัวอย่างแบบนี้ให้ชาวบ้านเห็น

หลังพ้นโทษ หลายคนถามหลวงพ่อว่าจะกลับมาเล่นการเมืองอีกหรือเปล่า เราก็บอกเลยว่า ไม่เล่น คือ คิดตั้งแต่ตอนขอให้ชี้มูลเมื่อครั้งเกิดคดี ทุกวันนี้ แม้แต่โทรทัศน์ก็ไม่ดู หนังสือพิมพ์ก็ไม่อ่าน บางครั้งชาวบ้านถามเรื่องการเมือง ก็อดทนไม่พูด แต่บางทีก็มีหลุดไปเหมือนกัน (ยิ้ม)

ทุกวันนี้ เวลาใครเชิญไปนิมนต์ที่ไหน เราก็ไปหมด ก็ไปอธิบายให้เขาฟังว่าชีวิตหลวงพ่อ เป็นถึงรัฐมนตรีก็พลาดได้ และใช้บริเวณบ้านเดิมเป็นวัด พัฒนาเป็นศูนย์ปฏิบัติธรรม ซึ่งสมัยก่อนใช้ต้อนรับหัวคะแนน ต้อนรับนักการเมือง


@ ทุกวันนี้ยังโกรธมติชน โกรธคุณรสนา (โตสิตระกูล) หรือเปล่า

ไม่โกรธหรอก หลวงพ่ออโหสิให้หมดตั้งแต่บวชแล้ว คุณรสนาเขาเขียนจดหมายมาหาว่า เขาก็อโหสิให้หลวงพ่อ (ยิ้ม)




 

Create Date : 16 พฤศจิกายน 2553    
Last Update : 16 พฤศจิกายน 2553 20:19:02 น.
Counter : 487 Pageviews.  

ถกเรื่องเขาพระวิหาร ที่หว้ากอ

เขาถกประเด็นนี้กันที่นั่น กว่าจะอ่านจบก็ใช้เวลานานเหลือเกิน ข้ามวัน ข้ามคืน รอๆดูแล้วไม่คิดว่ากระทู้จะถูกอุ้ม เลยมาทำ link เก็บไว้หน่อย

//topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/08/X9560596/X9560596.html

MOU แต่ละปีเป็นยังไง บางความเห็นได้วิเคราะห์ วิจารณ์ไว้แล้ว ใครที่ฟังตามๆกันมาแล้วด่วนสรุปเชื่อตามไปแล้ว กรุณาศึกษารายละเอียดก่อนทำการประนามใครออกอากาศก็แล้วกัน

แต่...จริงเหรอที่มีคนบอกว่า เขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา แต่พื้นที่ข้างใต้นั้นเป็นของไทย ??

ขอบคุณชาวหว้ากอที่ให้ความรู้ด้วยค่ะ

......................

ชอบความเห็นช่วง 90 กว่าๆ ที่ยกมาจากนิตยสาร “สารคดี” โดยเฉพาะความเห็นที่ 95 – 96 ที่ดร.ปรีดี เสนอให้จอมพล ป. นำเรื่องพิพาทขึ้นสู่ศาลระหว่างประเทศหรือศาลโลก และสิ่งที่ท่านกล่าวเตือนนักศึกษาสมัยนั้นว่า


"ท่าน ผู้ประศาสน์การ (ดร. ปรีดี พนมยงค์) ได้มากล่าวต่อหน้านักศึกษาเกี่ยวกับการเดินขบวนเรียกร้องดินแดน ตอนหนึ่งใจความว่า '...ที่มานี่ ไม่ได้มาห้ามไม่ให้เดิน การเดินหรือไม่เดินเป็นเรื่องที่พวกคุณจะวินิจฉัย แต่ขอให้คิดให้ดี เวลานี้ฝรั่งเศสกำลังทรุดหนัก เยอรมันบุกฝรั่งเศสอย่างหนัก การที่เราจะไปซ้ำเติมคนที่กำลังแพ้ ไม่ใช่วิสัยที่ดี การเรียกร้องดินแดนนี้ผมเชื่อว่าได้คืนแน่เพราะฝรั่งเศสกำลังแย่ แต่ผมขอพูดไว้ล่วงหน้าว่า ดินแดนที่ได้คืนมาจะต้องกลับคืนไป ในชีวิตของผมอาจจะไม่ได้เห็น (การกลับคืนไป) แต่ในชีวิตของพวกคุณจะต้องได้เห็นอย่างแน่นอน' "



ต่อด้วยความเห็นที่ 113 ที่เอาประวัติศาสตร์ที่อ.ชาญวิทย์เล่ามาให้อ่านกัน

กรณีศึกษา ปราสาทเขาพระวิหาร ประวัติศาสตร์การเมืองกับลัทธิชาตินิยม (ก่อนสุโขทัย ถึง พ.ศ. 2505)
วิชาประวัติศาสตร์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ชาญวิทย์ เกษตรศิริ


เนื้อหาโดยรวม

ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นส่วนหนึ่งของ ประวัติศาสตร์แผลเก่า ระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา ระหว่างลัทธิชาตินิยมไทย กับลัทธิชาตินิยมกัมพูชา ที่แม้จะเกิดมานานกว่า 50 ปี ก็ยังพร้อมจะปะทุขึ้นมาอีก และถูกนำมาใช้ทางการเมืองเมื่อไรก็ได้

ในฝั่งของประเทศไทย ปราสาทเขาพระวิหารเป็นส่วนหนึ่งของ การเมือง และ ลัทธิชาตินิยม ในสกุลของ อำมาตยาเสนาธิปไตย ที่ถูกปลุกระดมและเคยเฟื่องฟูในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้รัฐบาล จอมพล ป พิบูลสงคราม และถูกตอกย้ำในสมัย สงครามเย็น ต่อต้านคอมมิวนิสต์ในสมัยรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ และก็ถูกสืบทอดต่อๆ มาโดยจอมพลถนอม กิตติขจร และ บรรดานายพลและอำมาตยาธิปไตยรุ่นต่อๆ มา
ปราสาทเขาพระวิหาร เป็นมรดกทางวัฒนาธรรม ของ บรรพชนของขะแมร์กัมพูชา (ขอม) แต่โบราณ ที่อาศัยอยู่ในทั้งกัมพูชาและอีสานของไทย ขะแมร์กัมพูชาเป็นชนชาติที่มีความสามารถในการสร้างปราสาทด้วยหินทรายและศิลาแลง ต่างกับไทย มอญ และพม่า ที่ใช้ไม้และอิฐ ขะแมร์กัมพูชาก่อสร้างปราสาทบนเขาพระวิหารกว่า 300 ปี ตั้งแต่ กษัตริย์ ยโสวรมันที่ 1 จนถึง ชัยวรมันที่ 7 (ก่อนสุโขไทย 300 ปี ราว พ.ศ. 1400-1700) ปราสาทเขาพระวิหารตั้งอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก จังหวัดเปรียะวิเฮียร ของประเทศกัมพูชา ในปัจจุบัน

ปราสาทเขาพระวิหาร น่าจะถูกทิ้งร้าง ราวหลังปี พ.ศ. 1974 คือ สมัยที่กัมพูชาเสียกรุงศรียโสธรปุระให้แก่กองทัพของกรุงศรีอยุธยา จากนั้น ไทยและกัมพูชา ทิ้งร้างปราสาทเขาพระวิหารไปราว 500 ปี จนกระทั่งฝรั่งเศส ได้เข้ามาล่าเมืองขึ้นในภูมิภาคนี้ และได้ทั้ง ลาว เวียดนาม และกัมพูชาเป็นอาณานิคม และพยายามเขมือบดินแดนสยาม ในสมัย ร.ศ. 112 ถึงขนาดใช้กำลังทหารเข้ายึดเมืองจันทบุรี เมืองตราด และเมืองด่านซ้ายไว้เป็นเครื่องต่อรองกว่า 10 ปี

จนเมื่อปี พ.ศ. 2450 ที่รัชกาลที่ 5 ได้เสด็จยุโรปเป็นครั้งที่ 2 จึงได้ลงนามสัตยาบันในสัญญากับประธานาธิบดีฝรั่งเศสและแลกเปลี่ยนดินแดนเสียมเรียบ (ที่ตั้งนครวัดนครธม หรือ กรุงศรียโสธรปุระ ) พระตะบอง และศรีโสภณ โดยแลกเมืองจันทบุรี เมืองตราด และเมืองด่านซ้าย กลับมา ถึงตอนนี้ ก็คือเส้นเขตแดนไทยติดกับกัมพูชาและลาวในปัจจุบัน โดยตัวปราสาทได้ถูกขีดเส้นให้อยู่ในฝั่งกัมพูชา กล่าวโดยย่อ ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่มีสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ เป็นเสนาบดีมหาดไทย ฝ่ายรัฐบาลราชาธิปไตยสยาม ได้ยอมรับเส้นเขตแดนที่ถือว่า ปราสาทเขาพระวิหารขึ้นอยู่กับฝรั่งเศสไปเรียบร้อยแล้ว เพื่อที่จะได้อยู่ร่วมกันอย่างสันติ และเป็นหลักประกันในการรักษาเอกราชและอธิปไตย ส่วนใหญ่ของสยามประเทศเอาไว้ ดังนั้น เมื่อกัมพูชาได้รับเอกราชจากฝรั่งเศส จึงอ้างสิทธิในการครอบครองปราสาทเขาพระวิหาร

และดังนั้น ในสมัยรัขกาลที่ 7 เมื่อกรมสมเด็จพระยาดำรงฯ ได้เสด็จไปทอดพระเนตร ปราสาทเขาพนมรุ้งและปราสาทเขาพระวิหาร จึงต้องทรงขออนุญาตจากฝรั่งเศสอย่างเป็นทางการ และนี่ก็คือหลักฐานอย่างดีที่ทำให้ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช และ ม.จ.วงษ์มหิป ชยางกูร ทนายและผู้แทนของฝ่ายรัฐบาล จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ที่อ่อนแอข้อมูลและหลักฐานจดหมายเหตุ ต้องแพ้คดีปราสาทเขาพระวิหารเมื่อ 15 มิ.ย. 2505

จนถึงสมัยสิ้นสุดระบอบ ราชาธิปไตย หลังการปฏิวัติ 2475 ปราสาทเขาพระวิหาร ได้ถูกขุดคุ้ยมาเป็นประเด็นคุกรุ่นทางการเมืองมาแล้วสองครั้ง
ครั้งแรก สมัย จอมพล ป พิบูลสงคราม หลังจากปฏิวัติประชาธิปไตย 24 มิ.ย. 2475 เมื่อคณะราษฎร ยึดอำนาจได้ ก็ประสบปัญหาในการบริหารปกครองเป็นอย่างมาก เพราะ 1 ปีต่อมาก็เกิดกบฏบวรเดช ที่นำโดย อดีตเสนาบดีกลาโหมของรัชกาลที่ 7 และ พระยาศรีสิทธิสงคราม (ตาของพลเอกสุรยุทธ์ จลานนท์) เกิดเป็นสงครามการเมือง ส่งผลให้รัชกาลที่ 7 สละราชสมบัติในปี พ.ศ. 2477 และประทับอยู่อังกฤษจนสิ้นพระชนม์

ท่ามกลางความวุ่นวายรัชบาลจอมพล ป หันไปพึ่ง อำมาตยาเสนาชาตินิยม ปลุกระดมวาทกรรม การเสียดินแดน 13 ครั้ง ในเกิดความรักชาติด้วยมาตรการต่างๆ รัฐบาลปลุกระดมเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส (ดินแดนส่วนที่แลกกันไปในสมัย รัชกาลที่ 5) ในเกิดการเดินขบวนของนิสิตนักศึกษา จนในที่สุด เกิดเป็นสงครามชายแดน เปิดโอกาสให้ญี่ปุ่น มหามิตรใหม่เข้ามาไกล่เกลี่ย บีบให้ฝรั่งเศสจำต้องยอมคืนดินแดนให้ (ตอนนั้นฝรั่งเศสพึ่งถูกเยอรมันตีแตก)

นี่เป็นที่มาให้รัฐบาลจอมพล ป ได้ดินแดน เสียมเรียบ พระตะบอง ศรีโสภณ จำปาศักดิ์ ตลอดจนถึง ไชยะบูลี ซึ่งตอนนี้เอง ที่ปราสาทเขาพระวิหารได้กลับมาสู่ความรับรู้ความสนใจของคนไทย และได้ขึ้นทะเบียนปราสาทเขาพระวิหารเป็นโบราณสถานของไทย โดยประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 11 ต.ค. 2483 และได้ประกาศให้คนไทยรับรู้

และแล้วสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลงด้วยความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่น และรัฐบาลจอมพล ป ก็ล้ม ซึ่งหมายความว่า ไทยจะต้องถูกปรับเป็นประเทศแพ้สงครามด้วย ฝรั่งเศสและอังกฤษที่เสียที่ดินและผลประโยชน์ให้กับไทย ก็ต้องการปรับ และ เอาคืน โชคดีที่ไทย ที่มีทั้งมหาอำนาจใหม่คือ สหรัฐอเมริกาช่วยสนับสนุน และยังมี ขบวนการเสรีไทย ภายใต้การนำของ ฯพณฯ ปรีดี พนมยงค์ ที่กู้สถานการณ์เจรจาต่อรอง ไม่ต้องถูกปรับมากมายหรือยึดเป็นเมืองขึ้นอย่าง ญี่ปุ่น หรือ เยอรมนี

แต่รัฐบาลใหม่ที่เป็น ฝ่ายเสรีประชาธิปไตย ก็ต้องคืนดินแดนที่ไปยึดครองมาทั้งหมดที่กล่าวมาข้างต้น รวมถึงดินแดนของอังกฤษคือ เมืองเชียงตุง เมืองพาน และ 4 รัฐมลายู ตอนนี้เอง ที่ปราสาทเขาพระวิหาร ได้กลายเป็นปัญหาที่เริ่มก่อขึ้นมาเงียบๆ เพราะตัวปราสาทหาได้ถูกคืนไปด้วยไม่

ไม่นานต่อมา พ.ศ. 2490 รัฐบาลอำมาตยาเสนาธิปไตยของจอมพล ป ก็กลับมาอีกครั้ง ด้วยการรัฐประหาร ภายใต้การนำของ พล.ท. ผิน ชุณหะวัณ กับ นายควง อภัยวงศ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และได้ส่งกองทหารไปตั้งมั่นอยู่บนเขาพระวิหารในปี พ.ศ. 2497 ในขณะนั้น ฝรั่งเศสยังต้องวุ่นวายอยู่กับการรบกับขบวนการกู้ชาติของเวียดนาม กัมพูชา และลาว จึงไม่ได้มาสนใจ

หลังจากที่กัมพูชาได้รับเอกราชในปี พ.ศ. 2496 ไป 6 ปี พระเจ้านโรดม สีหนุ กษัตริย์และพระบิดาแห่งเอกราช นักราชาชาตินิยมแห่งกัมพูชา ก็ได้ยื่นฟ้องต่อศาลโลก (International Court of Justice) เมื่อวันที่ 6 ต.ค. 2502

ในตอนนั้นรัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งรัฐประหารยึดอำนาจมาจาก รัฐบาลจอมพล ป ก็ได้แต่งตั้ง ม.ร.ว.เสนีย์ปราโมช (อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์) เป็นทนายสู้ความ รัฐบาลจอมพลสฤษดิ์ปลุกระดมให้ประชาชนรักชาติ บริจาคเงินคนละ 1 บาทเพื่อสู้คดี (3 บาท = ก๋วยเตี๋ยว 1 ชาม)

ศาลโลกที่กรุงเฮก เนเธอร์แลนด์ ใช้เวลา 3 ปีและลงมติเมื่อ 15 มิ.ย. 2505 ด้วยคะแนน 9 ต่อ 3 ให้ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา และให้รัฐบาลไทยถอนทหารและเจ้าหน้าที่ทั้งหมดออกจากพื้นที่ คำพิพากษายึดจากสนธิสัญญาและแผนที่ที่ทำขึ้นหลายครั้งในสมัยรัฐกาลที่ 5 นั่นเอง แผนที่เหล่านั้นขีดให้ตัวปราสาทอยู่ในเขตอาณานิคมฝรั่งเศส ซึ่งไม่ได้ใช้หลักภูมิศาสตร์ หรือ สันปันน้ำ หรือทางขึ้นปราสาทที่อยู่ในไทยไม่ ในตอนนั้น รัฐบาลสยาม สมเด็จกรมพระยาดำรงฯ มิได้ท้วงติงแต่อย่างใด ดังนั้น ผู้พิพากษาศาลโลกจึงยึดหลักสากลว่า การนิ่งเฉยหมายถึงการยอมรับโดยปริยาย ทำให้ไทยต้องแพ้คดีนั่นเอง



ปราสาทเขาพระวิหาร ตกเป็นของกัมพูชาทั้งจากทางด้านประวัติศาสตร์ และ นิติศาสตร์ ข้ออ้างทางไทยทางภูมิศาสตร์ หาได้รับการรับรองจากศาลโลกไม่ เรื่องนี้จึงกระทบต่อจิตวิทยาของคนไทยที่ถูกปลุกระดมด้วยวาทกรรมของรัฐบาลอำมาตรยาเสนาชาตินิยมเป็นอย่างมาก

วาทกรรมแบบอำมาตรยาเสนาชาตินิยม และการเสียดินแดน ถูกนำมาใช้ซ้ำๆ กันกว่าครึ่งศตวรรษ เริ่มด้วยกระบวนการสร้างจิตสำนึกใหม่ว่า ปราสาทเขาพระวิหารเป็นของไทย ตีความให้คนรู้สึกว่า ไทยมีความชอบธรรมมากในการเป็นเจ้าของเช่น มีการเสนอความคิดประเภทว่า ขะแมร์กัมพูชา (ขอม) มิใช่บรรพบุรษของกัมพูชาจึงไม่ควรมีสิทธิ์ครอบครอง เป็นต้น ความคิดในแนวนี้ จะปรากฏอยู่มากมายในงานเขียนในยุคนั้น และถูกถ่ายทอดมาในวงการการศึกษาประวิติศาสตร์โบราณคดีของหลายสถาบัน การปลูกฝังเรื่องนี้ฝังลึก จนสามารถในมาใช้ในเรื่องการเมืองได้ง่าย แบบที่ประชาชนไม่ฟังเหตุผล ใช้แต่อารมณ์มาหลายยุคหลายสมัยทั้งในประเทศไทย และประเทศกัมพูชา แม้ที่จริง เรื่องตัวปราสาทมันจบไปนานแล้ว เหลือแต่เพียงพื้นที่ทับซ้อนที่ยังรอการตัดสินการปักปันเขตแดน





 

Create Date : 23 สิงหาคม 2553    
Last Update : 9 กุมภาพันธ์ 2554 20:34:24 น.
Counter : 810 Pageviews.  

ก้าวข้าม ความเกลียดชัง

ตามหาหนังสือเล่มนี้มาสองวัน วันนี้ไปดูที่ B2S แล้วก็ได้ติดมือมาสมความตั้งใจ

นิตยสาร ฅ คนเฉพาะกิจ เป็นประมวลภาพลำดับเหตุการณ์ในปี 2553 ที่ตามหาไม่ใช่เพราะภาพ แต่เพราะบทสัมภาษณ์ อ.เสกสรรค์ต่างหาก อ.เสกไปเป็นหนึ่งในคปร.แล้ว รู้สึกยินดีและปนกับความไม่แน่ใจ

มีคำตอบของพระไพศาล วิสาโลในตอนท้ายของหนังสือเกี่ยวกับวิธีการออกจากความทุกข์แห่งความขัดแย้ง รุนแรง






หวนกลับไปที่ชื่อหัวข้อ

เราเกลียดชังอะไรกัน? คน หรือ ระบบ

ถ้าเป็นคน เป็นคนระดับไหน เป็นผู้นำ หรือ คนเดินถนนด้วยกันแต่ความคิด ความเห็นต่างกัน หรือคนกลุ่มไหนก็ตามที่ทำให้เราเดือดร้อน
(โดยความเห็นส่วนตัว รู้สึกว่าสังคมบ้านเรา ยอมรับคนที่เห็นต่างไปไม่ค่อยได้ ใครที่เห็นต่าง คือ คนฝ่ายตรงข้าม...ซึ่งไม่ดีเหมือนฝ่ายเราหรืออีกแง่คือ ไม่ดีเหมือนเรา จากที่สังเกตคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นแม่ค้าขายผลไม้ ไปจนถึงผู้บริหารองค์กรใหญ่ในเมืองหลวง เขาสรุปกันง่ายๆแบบนี้ล่ะ)

ถ้าเป็นระบบ เป็นระบบแบบไหนที่เรายอมรับมันไม่ได้

หรือเกลียดคนบางกลุ่มที่กำลังใช้ระบบที่เราไม่ยอมรับ

เหนื่อยจังเวลาคิดถึงทางออกของบ้านเมืองเรา และยังเชื่อว่า ความไม่พอใจที่มีอยู่ในใจคนบางกลุ่มยังไม่จางหายไปง่ายๆ แม้ว่าคนส่วนใหญ่อาจจะลืมเรื่องที่ผ่านไปได้ง่าย จะด้วยการหันเหความสนใจไปทางอื่นหรือด้วยเวลาที่ล่วงไปก็ตาม

แค่อยากขอ...ขอความเข้าใจอันดีที่คนไทยจะมีให้ต่อกัน

.............

คุณอายุธเอาความเห็นของอ.ธงชัยมาให้อ่านในราชดำเนิน ขอบคุณค่ะ

อ.ธงชัย วินิจจะกุล:สนทนากลางฝุ่นตลบหลังพฤษภา(ฉบับเต็ม) :
จากDouble standard สู่ Double Speech(พูดอย่าง ทำอย่าง)


5 ประเด็นใหญ่ที่พูดถึงคือ
หนึ่ง ผู้ชนะเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์
สอง อาชญากรรมทางความคิด (Thought Crime) ในสังคมไทย : การจัดความทรงจำโดยรัฐ อำนาจในการจัดทำให้ฝุ่นหายตลบ
สาม คำพิพากษาจากสื่อมวลชล
สี่ ปรองดอง/สมานฉันท์/อภัย ต้องให้ "เหยื่อ"(Victim) เป็นคนพูด
ประเด็นสุดท้าย ฝุ่นหายตลบโดยนักวิชาการ : ความสมเหตุสมผลบนความไม่สมเหตุสมผล


ประเด็นที่สี่ มีพูดถึงหนังสือเล่มข้างบน เลยขอยกมาไว้ตรงนี้

อันที่สี่ ไม่ใช่วรรณคดีแต่ผ่านหนังสือเหมือนกัน ค.ฅน ฉบับพิเศษ ที่เพิ่งออกมา พาดหัวว่าอะไรนะ ภาพหน้าปกเลย "ก้าวให้พ้นความโกรธ เกลียด ชิงชัง" หนังสือเล่มนั้น จะเป็นรูปภาพ มีเนื้อหาสาระสัมภาษณ์เสกสรรค์ ประเสริฐกุล และพระไพศาล วิสาโล ก้าวข้ามชิงชัง ทำนองนี้ ไม่แน่ใจ

ผมฝากให้คุณไปทำการบ้าน ไปดูคำสัมภาษณ์ของคนสองคน แล้วนับดูว่ามีความยุติธรรมกี่ที่ ประเด็นคืออะไร โศกนาฏกรรมที่เกิดในสังคมไทยหลายครั้งทำโดยชนชั้นปกครองและคนมีอำนาจ ซึ่งคนมีอำนาจนั่นแหละมาพูดเรื่องปรองดอง สมัย 6 ตุลาใช้คำว่า สมานฉันท์ นิรโทษกรรมพวกผม แต่พอจะมีการต้อนรับ ก็บอกว่าอย่าต้อนรับ สมานฉันท์ดีกว่า ตอนผู้พัฒนาชาติไทยกลับมาก็ใช้เพื่อคืนดีกัน สมานฉันท์กัน หยุดการชุมนุม หยุดการต้อนรับ แล้ว 6 ตุลาถูกเบรคหลายปี ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อความสมานฉันท์ อย่าฟื้นฝอยหาตะเข็บ

สิ่งที่เรียกว่าความสมานฉันท์ ปรองดองในสังคมไทย ไม่ผูกติดกับความยุติธรรม ผมอยากจะออกจาก ค.ฅน ไปหา หนัง INVICTUS สังคมแอฟริกาใต้เต็มไปด้วยการเหยียดผิว พอยกเลิกการเหยียดผิวได้ ตอนที่แมนเดลล่าเป็นประธานาธิบดี และต้องการใช้ทีมรักบี้ซึ่งเป็นรากของคนผิวขาวมาสร้างความสมานฉันท์ของคนต่างสี คนผิวสีจะค้าน ทีมรักบี้ของคนผิวขาว แมลเดลาบอกว่าต้องกล้าก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง

ดีใช่ไหมครับ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหนัง คือผู้นำของฝ่ายที่ตกเป็นเหยื่อออกมาต่อสู้กับพลพรรคตนเอง ว่าต้องก้าวข้ามให้ได้ จะได้อยู่ในสภาวะที่ปกติ ไม่อย่างนั้นจะไม่จบ แน่นอนคนของเขาไม่เห็นด้วยเยอะแยะ แต่มันก็พอฟังขึ้น แมนเดลา ทำให้เกิดโจทย์ที่ต้องคิดต้องเขียน ผมสมมติว่า ลองนึกภาพคนที่พูดจากแมนเดลา เป็น เฟร็ด ดับเบิลยู เดอ เคลิร์ก (De Clerk) ผู้นำคนขาวคนสุดท้าย พูดกับคนผิวดำว่าต้องก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง ต่างกันใช่ไหมครับ

Implication นัยยะมันคนละเรื่อง อันหนึ่งเห็นด้วยไม่เห็นด้วยก็แล้วแต่มันสง่างาม แต่อีกอันหนึ่งมันน่าขยะแขยง ทีนี้มาลองนึกถึงสังคมไทยใครพูดเรื่องปรองดอง เดอะคล้าก หรือเดอะมาร์ค แล้วที่น่าเศร้าคือคนในสังคมไทยรับความน่าขยะแขยงได้ ในสังคมคนลงมือ สั่งเองเป็นคนพูดสำหรับผมมันน่าขยะแขยง คุณไม่มีสิทธิพูด คุณเอาคนกลางๆ มาพูดก็ว่าไป

ประเด็นที่สี่ ที่จะพูดคือ คำว่าปรองดองในสังคมไทยมันทำงานแบบไทยๆ หนึ่ง คือไม่ผูกติดกับเรื่องความยุติธรรม สอง ใครๆ ก็พูดได้ ผมลืมคำที่แมนเดลา บอกว่า Forgive ถึงเห็นด้วยไม่เห็นด้วย เราก็ต้องฟัง

เรื่องนี้เป็นลักษณะของสังคมไทย หนังสือ ค.ฅน เสกสรรค์ ที่มีความสามารถเรื่องพุทธศาสนา หรือพระไพศาล อะไรคือ Forgiveness ในสายตาของสังคมนี้ ผมไม่พิพากษาว่าดีไม่ดี มันเป็น forgiveness ของ individual ไม่ใช่ social-relation ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างคนในสังคมให้อภัยกันและกัน

สังคมไทยมีคนจนเยอะแยะ คุณคิดว่า พอเห็นคนจนคุณเป็นผู้บริหารจะบอกว่า จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ หรือบอกว่าพอใจในสิ่งที่มีอยู่ แต่พยายามหน่อยนะ แต่จะมี Public policy ออกมา ต่างกันไหมครับ

เมื่อไหร่ก็แล้วแต่ ถ้าคุณจัดการเรื่องนี้ทางศีลธรรม โดยไม่ผูกกับ Social-relation จงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ จบ ก้าวข้ามความโกรธเกลียดชิงชัง กับก้าวข้ามแล้วมี policy มันต่างกันนะ มันฟังแล้วเหมือนกับบอกว่าจงพอใจในสิ่งที่มีอยู่ ผมไม่ได้เรียกร้องว่าไม่ควรพูดเรื่องพวกนี้ แต่ถ้าพูดเรื่องพวกนี้โดยไม่มีกลไกทางสังคมจัดการปัญหา ก็จบ เวลาผมอ่านคำสัมภาษณ์ของ 2 ท่าน

ไปสัมภาษณ์พระไพศาล เรื่อง evil ในตัวคน ก็จบอย่างที่เห็น หรืออาจเป็นเพราะพระพุทธศาสนาไม่มี Social-relation คุณลองสังเกตดูกัมพูชา และศรีลังกาเป็นแบบนี้คล้ายๆ กัน เรื่องนี้เป็นเรื่องต้องคิด ปรองดอง โกรธเกลียด ก็ทำนองเดียวกัน

การปรองดองและการสถาปนา Justice ที่ดีที่สุด ให้ Victim เป็นคนทำ และมี Sophisticate ด้วยนะ ไม่ใช่มีอำนาจแล้วมาแก้แค้น 6 ตุลากล้าไหม ปล่อยให้ Victim ตั้งกรรมการ พฤษภากล้าไหมให้ Victim ตั้งกรรมการ แต่ไม่ใช่แก้แค้นเพื่อ feed ความรุนแรงไปไม่รู้จบ






 

Create Date : 23 กรกฎาคม 2553    
Last Update : 23 สิงหาคม 2553 18:30:51 น.
Counter : 1043 Pageviews.  

มึน..ซึม

ตั้งแต่ 10 เมษาที่เกิดเหตุนองเลือดที่ราชดำเนิน ถนนที่ชอบไปเดินเล่นในวันหยุด คืนนั้น หงุดหงิดแบบไม่มีสาเหตุ นอนเฝ้าน้าที่โรงพยาบาล แล้วก็ได้เห็นความผิดปกติที่ตึกหน้า น้าติดตามข่าวทั้งคืน ส่วนใจเราเริ่มหลบไปอยู่ข้างในๆ เบื่อหน่ายหรืออะไรสักอย่าง

"สงครามกลางเมือง" ใครจะเรียกว่ายังไงไม่รู้ แต่เราเรียกว่าอย่างนั้น

วันนี้ครบรอบเหตุการณ์เดือนพฤษภา ใจเรามันเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรแล้ว มันซึม มันเฉย หรือมันชากันแน่ ?

หรืออาจเป็นเพราะกลุ่มคนรู้จักทั้งหลายใน FB ถ้อยคำแสดงอารมณ์และความรู้สึกของเขา มันทำให้เรายิ่งซึมหนัก ก็เป็นได้

ยังทำใจให้เป็นผู้มองเหตุการณ์เฉยๆไม่ได้กระมัง มันถึงได้ซึม ถึงได้รู้สึกว่าโลกมันมีสีหม่นๆ จะฝ่ายไหน จะใครก็ตามที่สิ้นลมไป ยิ่งซ้ำเติมสีที่ว่าให้ดูหม่นลงไปอีก

วันนี้ ฟ้าครึ้มจัง ...

.....

ผ่่านไปเจอกลอนที่แต่งโดยคุณชมัยภร แสงกระจ่างเข้า ขอเอามาเก็บไว้เพื่อระลึกถึงความรู้สึกในช่วงนี้ค่ะ

อัปยศอัปภาคย์


อัปยศเกินกว่าจะออกปาก
อัปภาคย์เกินกว่าเข้าใจได้
อัปประมาณอับประเมินเกินหัวใจ
อับมืดแล้วดับไปในกลางทาง

เป็นความฝันแน่แล้วแน่วแน่นัก
เสียงปืนแปลบปะทะหนักดังเปรี้ยงปร้าง
นี่นรกขุมใดใครฝันค้าง
นี่ฝันร้างฝันร้ายของใครกัน


เจ็บตรงที่หัวใจไม่มีเลือด
เจ็บตรงหน้าซีดเผือดไม่เหลือขวัญ
เจ็บตรงตาแห้งผากวันต่อวัน
เจ็บในสำนึกอันไม่มีไทย

จะขอให้เป็นฝันก็ไม่เป็น
จะขอให้ไม่เห็นก็ไม่ได้
จะขอให้ไม่รู้ก็อยู่แก่ใจ
จะขอใครใครใครก็ไม่ฟัง

คุณทั้งมวล คุณทั้งหมด คุณทั้งหลาย
บ้านเมืองจะวอดวาย หยุดคลุ้มคลั่ง
พินาศแล้วหายนะแล้ว พัง พัง พัง
เพราะ ปัง ปัง ปัง ปัง ไม่ฟังกัน


เขาก็ตาย เราก็ตาย ฉันก็ตาย
เราฉิบหายพร้อมกันทั้งหมดนั่น
เขาตายปืน เราตายใจ ฉันตายทุกวัน
ตายเพราะเห็นคนฆ่ากันอยู่ตำตา



ชมัยภร แสงกระจ่าง

๑๖ พฤษภาคม ๒๕๕๓





 

Create Date : 17 พฤษภาคม 2553    
Last Update : 19 พฤษภาคม 2553 20:15:07 น.
Counter : 467 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.