Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 
สุขภาพดี ตามวิถีแห่งดาว

  ตามอ่านมาจาก FB ของคุณดังตฤณ แล้วก็อยากเก็บไว้เพราะมีหลายตอน

.................

เภสัชศาสตร์ ธาตุกสิณ (1)
ข้อพิจารณาของ ฟอสฟอรัส
====================

นอกจากจะศึกษาความเป็นไปของมหาภูตรูป 4 ที่ปรากฏในกายเนื้อของผู้ป่วยแล้ว ผู้จะเป็นแพทย์ผู้รักษาคนป่วยตามแนวทางการแพทย์แผนไทยยังต้องฝึกเพ่งพิศพิจารณาดูว่าในเครื่องยาต่างๆ ที่จะนำมาประกอบขึ้นเป็นตำรับยาสำหรับรักษาผู้ป่วยนั้นมีคุณสมบัติของธาตุอะไรบ้าง...

อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ประสบการณ์ของเรายังอ่อนหัดอยู่นั้น เรามักจะมองคุณสมบัติของเครื่องยาว่ามีธาตุอะไรอย่างที่ได้ยินได้ฟังมาจากตำรา ซึ่งเป็น Information แบบ สุตมยปัญญา หรือ จินตามยปัญญา เท่านั้น ซึ่งความรู้เหล่านั้นก็เพียงพอต่อการนำไปรักษาคนป่วยได้มากในระดับที่จำกัด ถ้าเป็นการดูก็เสมือนดูภาพถ่ายที่เป็นภาพนิ่งๆ

แต่สำหรับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว การพิจารณาธาตุของสมุนไพร ไม่ว่าจะทำมาจากแร่ธาตุ (ธาตุวัตถุ), ส่วนของพืช (พืชวัตถุ), ชิ้นส่วนอวัยวะของสัตว์ (สัตว์วัตถุ) จะเป็นการพิจารณาถึง “สภาวะ” ที่ดำเนินไป หรือแนวโน้มที่เครื่องยานั้นจะเคลื่อนไปสู่สภาพสุดท้ายอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเป็นการดูก็จะต้องเกิดภาพในจินตนาการเหมือนภาพฉายวีดิโอที่เป็นภาพเคลื่อนไหวของ อุปนิสัยของพืช หรือสัตว์นั้นๆ ซึ่งบุคคลหนึ่งที่น่าจะทำเช่นนั้นได้ก็เห็นจะได้แก่ อ. หมอชีวกโกมารภัจจ์ เพราะมีประวัติบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อท่านขึ้นเขาเพื่อจะไปหาเครื่องยาท่านจะมีประสบการณ์เสมือนว่าพืชและต้นไม้ทุกต้นกำลังพูดบอกให้ท่านทราบได้ว่าตนมีสรรพคุณเยี่ยงไร

จากบันทึกประวัติสั้นๆ ท่อนนี้ ทำให้เราเชื่อว่าองค์ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของพ่อปู่ฤาษีของเรานั้นจะต้องได้มาจากปัญญาในระดับ “ภาวนามยปัญญา” เลยทีเดียว และบูรพาจารย์แพทย์ที่เก่งๆ ในสมัยก่อนก็มักจะผ่านการบวชเรียนมาก่อน ยิ่งถ้าหากท่านใดได้ฝึกการเพ่งวัตถุ เอาวัตถุมาเป็นอารมณ์ในการฝึกสมาธิ ก็จะเชื่อมโยงได้ว่า ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุลม และธาตุไฟ ที่เห็นจากวัตถุภายนอกนั้น ก็มีส่วนหนึ่งที่มาดำเนินการในกายของตนเช่นกัน การเข้าใจสรรพคุณของสมุนไพรก็จะเฉียบคมมากยิ่งขึ้นไปอีก เราเรียกว่าการฝึก “ภูตกศิน”

ตัวอย่างธาตุวัตถุที่เราจะลองนำมาพิจารณากันในวันนี้ได้แก่ แร่ธาตุที่ชื่อว่า ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ซึ่งเป็นหนึ่งในธาตุที่อยู่ใน Valency ที่ 5 ในตารางเคมี Periodic

ลักษณะสำคัญที่เราจดจำได้มากที่สุดของฟอสฟอรัสก็คือ การติดไฟ ถ้าอยากจะรู้ว่ามีฟอสฟอรัสที่ไหนบ้าง ของใกล้ตัวที่สุดก็คือ หัวไม้ขีด และพรายน้ำเรืองแสงของหน้าปัดนาฬิกานั่นเอง

หากเราเอาฟอสฟอรัสมาเผาไฟ (ไม่ควรทดลองเองหากไม่มีความรู้ด้านเคมีพอ) ฟอสฟอรัสจะติดไฟอย่างรวดเร็ว และควันไฟจากฟอสฟอรัสจะเป็นควันไฟที่ระคายเคืองอย่างมาก ว่าที่จริงมีระเบิดอยู่ชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันประเทศสมาชิกของสหประชาชาติห้ามใช้ นั่นคือระเบิดฟอสฟอรัสขาว สะเก็ดของฟอสฟอรัสที่ไหม้ไฟจะกลายเป็นกรดฟอสฟอริก กัดกร่อนเหยื่อที่โดนมันเข้าไปจนถึงกระดูกและตายอย่างทรมาน กองทัพใดที่นำมาใช้จึงมักถูกประณามว่าทำการอำมหิตผิดมนุษย์ อ่านถึงตอนนี้ท่านคิดว่าฟอสฟอรัสเป็นธาตุอะไร หลายคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ฟอสฟอรัสและความเป็นกรดน่าจะเป็นธาตุไฟใช่หรือไม่?

แต่หากฟอสฟอรัสเป็นสารประกอบกลับเป็นสารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของพืชและสัตว์อย่างมาก เราจะคุ้นชินกับการสูตรของปุ๋ยที่มี N (Nitrogen), P (Phosphorus) และ K (Potassium) ทั้งนี้เพราะหากพืชใดขาดฟอสฟอรัส พืชนั้นจะมีลักษณะแคระแกร็น ใบแห้งเหี่ยว ฟอสฟอรัสในลักษณะสารประกอบจึงกลับช่วยเรื่องของการแบ่งเซลล์ เพื่อการเจริญเติบโต อันเป็นคุณสมบัติของธาตุน้ำไปเสียนี่

สำหรับสุขภาพของมนุษย์ฟอสฟอรัสมีส่วนสำคัญร่วมกับแคลเซียม ประกอบกันเป็น Calcium Phosphate โครงสร้างของกระดูก เนื้อเยื่อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย!!! ฟอสฟอรัสในที่นี้กลับมีลักษณาการของธาตุดินอย่างเด่นชั
นอกจากนี้ฟอสฟอรัสยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า Polyenylphosphatidylcholine หรือที่เราคุ้นหูกว่าในชื่อ Lecithin สารประกอบประเภทไขมัน (Phospholipid) ที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของผนังเซลล์ หากเซลล์ตับของใครอักเสบ การกินอาหารเสริมกลุ่มนี้เข้าไปก็เป็นการช่วยปกป้องและบำรุงเซลล์ตับให้อักเสบน้อยลง ถ้าเป็นศัพท์การแพทย์แผนไทย เราเรียกว่า ช่วยดับพิษไฟในตับที่เกิดจากพัทธะปิตตะ อพัทธะปิตตะ ที่ไม่ปกติ Phosphorus ใน Lecithin กลับออกฤทธิ์เป็นน้ำในการดับไฟ

กำลังจะปลงใจเชื่อ หากเราอ่านงานวิจัยต่อ เราจะพบว่า Lecithin ตัวเดียวกันนี้ เมื่อไปทำงานกับเซลล์สมอง ช่วยให้เยื่อหุ้มเซลล์สมองทำงานในลักษณะฉนวน ช่วยให้กระแสประสาทสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยในเรื่องความจำ ซึ่งแท้จริงก็คือโรคลมในความหมายของการแพทย์แผนไทย ดังนั้นฟอสฟอรัสก็น่าจะมีสมบัติของธาตุลมด้วยเช่นกัน

ก่อนที่จะสิ้นสุดการพิจารณา เรายังพบว่าฟอสฟอรัสยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของสารพลังงานในระดับเซลล์ที่เรียกว่า Adenosine Triphosphate ทำหน้าที่เก็บพลังงานให้เซลล์ต่างๆ เอาไว้ใช้ หากใครที่มีสารตัวนี้น้อย ก็จะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หนาวง่าย และภูมิต้านทานไม่ดี แต่ทางตรงกันข้ามหากมีฟอสฟอรัสมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดการอักเสบและแก่เร็ว ซึ่งส่วนเกินของฟอสฟอรัสมักจะมากับ Phosphate ในอาหารประเภทน้ำอัดลม และเนื้อสัตว์ที่กินอย่างล้นเกิน เมื่อกินมากๆ เข้าจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสี่ยงต่ออาการกระดูกผุกระดูกพรุน ซึ่งเทียบเคียงได้กับผลสุดท้ายของระเบิดฟอสฟอรัสขาวที่กัดกร่อนกระดูก (เพียงแต่มีลักษณะที่เรื้อรังและค่อยเป็นค่อยไปกว่า)

ที่เขียนวกวนกลับไปกลับมานี้ ผมมีเจตนาจะชี้ให้เห็นว่า เพียงธาตุวัตถุตัวเดียวกันนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์กลับมีสรรพคุณของธาตุที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายจะนำธาตุนั้นไปทำอะไร ดังนั้นสรรพคุณของสมุนไพรจึงขึ้นอยู่กับธาตุของผู้ป่วยเองด้วยว่าจะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องหรือไม่

จากบทความก่อนหน้านี้ “ธาตุ และกายทั้ง 4” ผมได้กล่าวไปแล้วว่าเรามีทั้งรูปกายที่เป็นธาตุดิน และกายทิพย์ที่เป็นธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ที่จะคอยกำกับควบคุมให้ธาตุต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายสำแดงคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกมา

หากฟอสฟอรัสตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของธาตุดินที่อยู่ในร่างกายคนธาตุดิน เราก็มักจะพบว่าฟอสฟอรัสจะถูกนำไปสร้างกระดูกซะส่วนใหญ่ แต่หากฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกายของคนธาตุน้ำ เราก็มักพบว่าตับของคนธาตุน้ำมักจะไม่ค่อยอักเสบสืบเนื่องจากกายทิพย์แห่งธาตุน้ำ (Etheric body) สามารถนำพลังงานของฟอสฟอรัสไปใช้ในกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ตับจะทำได้ดีกว่าคนธาตุอื่น ในขณะที่ระบบการทำงานของสมองคนธาตุลมดูเหมือนว่าจะทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าคนธาตุอื่นเพราะกระบวนการของฟอสฟอรัสถูกกายทิพย์แห่งธาตุลม (Astral body) นำไปเสริมสร้างสมอง แต่คนธาตุไฟกำเริบก็อาจจะมีอาการร้อนรุ่ม กระสับกระส่าย และเกิดการอักเสบได้ง่าย เพราะธาตุฟอสฟอรัสตกอยู่ภายใต้กายทิพย์แห่งธาตุไฟ (Ego body) และปลดปล่อยทุกอย่างออกมาเป็นความร้อนและการเผาไหม้ดุจหัวไม้ขีด

กรณีเช่นนี้เป็นกรณีของการดำเนินไปของสรีระวิทยาในตัวคุณ Parany Duang-im ผู้แจ้งมาว่าเกิดในวันที่ 17 สิงหาคม 2527 เวลา ตี 2:14 นาที ตรงนี้หากเราคิดคำนวณหาธาตุเจ้าเรือนเกิดวันปฏิสนธิ ก็จะพบว่าคุณ Parany เกิดในฤดูกาลของธาตุน้ำ จึงสมควรที่จะมีความชุ่มชื้นของร่างกายมากหน่อย

แต่เมื่อพิจารณาร่วมกับระบบจักระของกายวิภาคราศี เรากลับพบว่า จักระตรงตำแหน่งก้นกบ (หมายเลข 3) หรือ Root chakra มีเงาของโลกหรือราหูบังอยู่ในตอนที่สร้างจักระนี้ Root chakra หรือจักระมูลธาร เป็นจักระสำคัญในการสร้างพลังให้ชีวิต สัมพันธ์กับสีแดงและการสร้างเม็ดเลือด จึงทำให้เป็นคนที่โลหิตจาง หรือเม็ดเลือดไม่สมบูรณ์ เมื่อเลือดไม่สมบูรณ์ธาตุน้ำก็มักจะอ่อนแอลงกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ซีดเซียวอ่อนแรงได้ง่า

ในขณะที่ตำแหน่งจักระหมายเลข 2 หลอดลมมีการอั้นของธาตุลมเยอะ และเป็นจักระหลักที่อุปนิสัยของคุณ Parany ชอบใช้ จึงทำให้เกิดอาการหอบหืด และหลอดลมตีบได้ง่าย แค่ตื่นเต้นดีใจหรือเสียใจมากๆ บางทีก็ทำให้หอบกำเริบได้ด้วย

ในขณะที่พลังชีวิตธาตุไฟกลับไปกองอยู่ที่ศีรษะเกือบทั้งหมด (หมายเลข 1) การอักเสบบริเวณศีรษะจึงรุนแรง เลือดกำเดาไหล ความดันขึ้น ปวดศีรษะไมเกรน สิวอักเสบ ล้วนอยู่ในข่ายนี้ทั้งหมด และถ้าเราพิจารณาอาการ Hyperthyroid ที่ Catabolism สูงจนผอมเอาๆ ก็คืออาการธาตุไฟของจักระที่ลำคอกำเริบดีๆ นี่เอง

หากเราเอาฟอสฟอรัสมาทำการเขย่าและเจือจางหลายๆ ครั้ง ด้วยกระบวนการเตรียมยาที่เรียกว่า Homeopathy เราจะเปลี่ยนจากโมเลกุลทางวัตถุเหลือแต่ของเหลวที่ไม่มีโมเลกุลของฟอสฟอรัสหลงเหลืออีกต่อไป แต่เมือไปอ่านตำรับยา Materia medica ของ Phosphoricum acidum หรือ Homeopathy ที่เตรียมมาจากธาตุฟอสฟอรัสแล้วล่ะก็ จะพบว่ายาตำรับนี้ช่วยแก้อาการธาตุไฟเกินของคุณ Parany ได้แทบทั้งหมดเลยทีเดียว เพราะเราได้นำเอาส่วนที่เรียกว่า วิญญาณธาตุของฟอสฟอรัสนำมาใช้ในการรักษานั่นเอง

หมอปอง




Create Date : 05 กันยายน 2558
Last Update : 5 กันยายน 2558 14:39:35 น. 5 comments
Counter : 834 Pageviews.

 
เภสัชศาสตร์ ธาตุกสิณ (2)
เงาจันทร์ในพรรณไม้

===================

ผมได้เคยชี้ชวนให้แฟนเพจ Dungtrin ได้พิจารณาคุณสมบัติของธาตุ ฟอสฟอรัส (ตามไปอ่านได้ใน Link https://www.facebook.com/dungtrin/photos/a.172991172758049.44204.169990773058089/912465385477287) ว่าแท้จริงแล้ว เราจะเข้าใจเครื่องยาต่างๆ ได้ดีเพียงไรนั้น ไม่ได้เป็นการพิจารณาแต่รูปลักษณ์และคุณสมบัติทางเคมีอันเป็นรูปธรรมของ แร่ธาตุ, พืช, หรือ สัตว์ ต่างๆ เท่านั้น แต่เราจะต้องเพ่งพิจารณาไปที่บริบททางนามธรรมของเครื่องยาทั้งหลายเหล่านั้นด้วย เพราะหากเราเข้าใจศักยภาพที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเครื่องยาเหล่านั้นว่ามีความโน้มเอียงไปทางธาตุใด เราย่อมรู้วิธีที่จะนำมันไปใช้กับคนที่ป่วยจากการเสียสมดุลธาตุต่างๆ เช่นกัน

ศาสตร์ด้านสมุนไพรทั่วโลกต่างก็พัฒนามาด้วยหลักคิดเดียวกันว่า คน พืช สัตว์ ได้หยิบยืมเอาแม่แบบบางอย่างมาจากธรรมชาติคือจักรวาลอันยิ่งใหญ่ จึงมีคำกล่าวว่า “As above, so below.” นั่นคือบนฟ้าเป็นอย่างไร ต่ำใต้พสุธาย่อมเป็นไปเช่นนั้น และนำไปสู่หลักการทางสมุนไพรที่เรียกว่า “Doctrine of Signature” หรือ รูปลักษณ์ของพืช สัตว์ ที่บ่งบอกให้เราทราบถึงสรรพคุณทางสมุนไพรของมัน เพราะหากพืชพัฒนารูปร่างของมันด้วยพลังงานเดียวกับพลังงานที่ทำงานสร้างอวัยวะใด เราจะต้องพบลักษณะทางโครงสร้างบางอย่างที่มีความคล้ายหรือเหมือนกันในสมุนไพรที่เหมาะจะนำมารักษาอวัยวะนั้นๆ

สองสามบทความที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านคงคุ้นชินกับแนวความคิดที่ว่า อิทธิพลของพระจันทร์หรือดาวจันทร์นั้น สามารถส่งผลอย่างล้ำลึกต่อธาตุน้ำ หรือพลังชีวิตของ Etheric body ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงผ่านจักระดาวจันทร์ และอวัยวะที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับธาตุน้ำอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือ สมอง และระบบอวัยวะสืบพันธุ์

นอกเหนือจากอวัยวะที่เป็นกองธาตุดินนั้นแล้ว ยังมีสนามพลังงานที่จำเพาะหนึ่งๆ กระจุกอยู่ในอวัยวะนั้นๆ ด้วย เราจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรนักที่พบว่าหากเราสามารถจัดการจักระที่อยู่บริเวณอวัยวะนั้นได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้อวัยวะเหล่านั้นทำงานได้ดีขึ้นด้วย

ในส่วนของจักระที่อยู่ใต้กระบังลมลงมา โดยเฉพาะจักระดาวจันทร์ที่ท้องน้อยที่ทำงานเกี่ยวกับมดลูกและรังไข่ เราจะพบว่ามีลักษณะของการทำงานที่เป็นพลังดิบๆ ของสัญชาติญาณ และไม่ผ่านการระบบของสติสัมปชัญญะ ทั้งนี้เพราะเราไม่อาจใช้จิตใจในระดับปกติเข้าไปสั่งการให้ไข่ตก หรือมดลูกบีบตัวได้โดยตรง อวัยวะที่ทำงานในแบบของจิตใต้สำนึก (Subconscious) นี้ มักจะมีสภาพใกล้เคียงกับ Stem cell มาก คือมีความสามารถในการแบ่งเซลล์เหลือค่อนข้างมาก รูปร่างของอวัยวะจึงเหมือนอวัยวะเด็กๆ ที่ยังไม่ได้พัฒนามากนัก (Poorly differentiate) จึงมีรูปร่างหรือโครงสร้างที่กลมๆ มนๆ

แต่ตรงกันข้าม อวัยวะที่อยู่เหนือกระบังลมขึ้นมามากเท่าไหร่ การทำงานของอวัยวะเหล่านี้และจักระของมัน ก็จะทำงานใกล้ชิดกับจิตสำนึก (Consciousness) ที่ควบคุมได้เท่านั้น เช่น เราสามารถที่จะกำหนดให้ลมหายใจของเราสั้นหรือยาวก็ได้ในขอบเขตหนึ่ง อวัยวะเหล่านี้มักมีลักษณะสมมาตร และการพัฒนาโครงสร้างของอวัยวะที่ซับซ้อน (Highly differentiate) เพื่อรองรับการทำงานที่จำเพาะมากๆ ของจิตสำนึก และทุกครั้งที่มีการ Differentiate ของเซลล์ เซลล์จะต้องสูญเสียพลังชีวิตออกไป เราจะได้เซลล์ที่ดูแก่ลง และอวัยวะที่มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุดในร่างกายของคนเราก็คือ “สมอง” สมองจึงเป็นอวัยวะแห่งดาวจันทร์ที่ใกล้ชิดกับความตายมากที่สุด ดังเห็นได้จากการที่เซลล์สมองแบ่งตัวได้น้อยหรือแทบจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้เลย ระบบธาตุในร่างกายจึงได้สร้างเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ห่อหุ้มสมองนั่นก็คือ กะโหลกศีรษะ และสมองที่มีลักษณะเป็นวุ้นสีขาวลอยแช่อยู่ในน้ำไขสันหลัง แต่ก็ยังหลงเหลือโพรงสมองเอาไว้ตรงกลาง เหมือนกระเปาะน้ำของไขสันหลังที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเนื้อสมองสีขาวอีกชั้นหนึ่ง

หมอสมุนไพรแต่โบราณมาเล็งหาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติแห่งดาวจันทร์เพื่อมาแก้อาการเลือดลมไม่ปกติ มองไปมองมาพบผลไม้ชนิดหนึ่ง มีเปลือกแข็งมาก เปลือกที่ว่าแข็งจนต้องใช้อุปกรณ์กะเทาะออก และเมื่อเฉาะออกมาดูแล้วจะพบเนื้อสีขาวที่คล้ายวุ้นอยู่ในชั้นถัดไป ตรงกลางของผลที่เปิดออกมาดูแล้วจะมีน้ำหอมหวานใสบริสุทธิ์ ผลไม้ชนิดนั้นมีชื่อว่า “มะพร้าว”
หากมองรูปมะพร้าวผ่าซีก (ภาพซ้าย) ดูผาดๆ อย่างผิวเผินเปรียบเทียบกับภาพ MRI สมองของคน (ภาพตรงกลาง) จะพบว่าเนื้อสมองของคนเราที่มีดโพรงสมองเป็นน้ำและห่อหุ้มด้วยกระโหลกศีรษะนั้นแทบจะมีรูปร่างไม่ต่างกันเลย!!!

งานวิจัยเกี่ยวกับน้ำมะพร้าว (กรุณาอย่าสับสนกับน้ำมันมะพร้าวนะครับ) มหาวิทยาลัยของไทยได้ศึกษาวิจัย เรื่องผลของน้ำมะพร้าวอ่อนต่อการชะลอการเกิดพยาธิสภาพโรคอัลไซเมอร์ โดยได้ทำการทดลองในหนูขาวเพศเมียที่ถูกตัดรังไข่ออก ผลการตรวจสอบพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมะพร้าวจะมีอัตราการตายของเซลล์ประสาทน้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าว อย่างไรก็ตามเราคงต้องการยืนยันผลการทดลองในการทดลองในคนต่อไปจึงได้ผลชัดเจน แต่อย่างน้อยหมอสมุนไพรก็สามารถบอกจากรูปลักษณ์ภายนอกของมะพร้าวได้ว่า น่าจะมีความสัมพันธ์กับระบบสมองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม

คนโบราณเห็นทุกอย่างเป็นพลังงาน ถ้าน้ำมะพร้าวมีผลต่อธาตุน้ำในสมอง ผ่านกายทิพย์แห่งธาตุน้ำ (Etheric body) ดังนั้น คนโบราณจึงสอนกันว่า หญิงที่มีประจำเดือนอยู่ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน เพราะจะทำให้ประจำเดือนมากะปริดกะปรอยและทำให้มีประจำเดือนครั้งต่อไปล่าช้ากว่าปกติ แต่ให้สตรีวัยทองดื่มน้ำมะพร้าว เพื่อลดอาการวูบวาบจากภาวะหมดประจำเดือน หรือหากครรภ์เป็นพิษ มีไข้และอักเสบ กล่าวคือธาตุไฟเกิน จึงมีสูตรแนะนำให้เอาเป็นน้ำกระสายยาจิบดื่ม เพื่อบำรุงครรภ์ได้ ปัจจุบันงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จึงค่อยวิจัยพบว่า ในน้ำมะพร้าวมีสารพวก Phytoestrogen อยู่ จึงช่วยเรื่องฮอร์โมนสตรีได้

ไม่เพียงเท่านั้น ตามหลัก Doctrine of Signature แล้ว ส่วนของสมุนไพรที่ตรงกับจักระดาวจันทร์ของพืชก็คือ “ราก” เพราะรากของพืชสามารถแบ่งเซลล์งอกไชชอนปักลงไปในดินได้ อีกทั้งยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการดูดน้ำไปหล่อเลี้ยงต้นพืชทั้งต้น รากจึงเป็นส่วนที่ทำงานสัมพันธ์กับ Etheric body ของพืชมากที่สุด และส่วนของรากของพืชมักทำงานสัมพันธ์กับสมองของมนุษย์เสมอ เช่น โสมมักบำรุงสมอง เป็นต้น

กรณีที่น่าสนใจก็คือ ราก หรือเหง้าของพืชที่เป็นกระเปาะๆ หรือมีกระจุกของรากจำนวนมาก เพราะตามปกติรากของพืชโดยทั่วไปจะมีลักษณะเรียบยาว และมีรากแก้ว (Tap root) เพียงหนึ่งรากเท่านั้น แต่เราพบว่ารากของพืชอย่างกระชายขาว (Boesenbergia rotunda) (ภาพขวามือสุด) จะมีลักษณะโป่งพองออกเป็นกระเปาะ คล้ายนิ้วมือ และมีจำนวนรากจำนวนมาก คล้ายกับว่าจำนวนรากสามารถแบ่งเพิ่มจำนวนของตัวมันเองได้ไม่สิ้นสุด ซึ่งพิสูจน์ได้จากการที่เราสามารถแยกเหง้ากระชายไปลงดิน รากเหล่านี้ก็สามารถเพิ่มจำนวนกลายเป็นกระชายกอใหม่ได้สบายๆ แสดงถึงพลังชีวิต (Etheric force) สัมพันธ์กับการแบ่งเซลล์ (Cell Proliferation) ที่อัดแน่นอยู่ในรากของพืชชนิดนี้ กระชายจึงถูกนำมากินเพื่อแก้อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไปจนถึงปลุกสมรรถภาพทางเพศได้ และเราจึงไม่แปลกใจที่จะพบว่ากระชายเข้าไปทำงานปรับสมดุลของ Estrogen ในเพศชายและหญิงได้

ส่วนของรากกระชายที่มีลักษณะป้อมๆ เราเรียกว่า “นมกระชาย” ก็ยังสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักระดาวจันทร์ เพราะนอกจากมดลูกรังไข่แล้ว เต้านมของคนเราก็เป็นผลพวงของการทำงานของดาวจันทร์ด้วย อาหารบำรุงน้ำนมจึงมักมีกระชายเป็นส่วนผสมเสมอ ส่วนคนที่มีบุคลิกแบบดาวจันทร์จึงมักถูกบรรยายในตำราโหราศาสตร์ว่า “ฉลาดเฉลียว” จากการทำงานของสมองที่ดี และมีน้ำมีนวล มีเสน่ห์ อันเป็นผลมาจาก Sexual appeal ของฮอร์โมน Estrogen ที่เด่น หากเป็นผู้ชายมีครอบครัวก็จะรักและดูแลครอบครัวดีมาก เพราะสัญชาตญาณการเป็น “แม่” ได้แฝงฝังอยู่ในตัวผู้ชายคนนั้น แต่ชายหญิงที่มีบุคลิกดาวจันทร์ หากขาดแล้วซึ่งศีลธรรม ก็จะทำให้เป็นผู้มักมากในกาม อันเนื่องมาจากฮอร์โมนเพศของ Etheric force ทำงานมากเกินไปนั่นเอง หากเราเข้าใจซึ่งธรรมชาติเพียงหนึ่ง เราย่อมสามารถนำไปเชื่อมโยงกับศาสตร์หลายๆ อย่างได้ด้วยประการฉะนี้

หมอปอง

https://www.facebook.com/HorosHealth/posts/540418669439526:0


โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:47:45 น.  

 
พิจารณาธาตุ 4 ผ่านความตาย

=======================

คุณูปการของการเป็นแพทย์รักษาผู้คนอย่างหนึ่งก็คือ การได้ประกอบสัมมาอาชีพที่ได้พิจารณาเรื่อง เกิด, แก่, เจ็บ, ตาย อย่างใกล้ชิด เริ่มตั้งแต่การได้เห็นลมหายใจแรกของทารกที่ลืมตาขึ้นมาหายใจดูโลก และได้แลเห็นการตายผ่านลมหายใจสุดท้ายของผู้ป่วย แท้จริงแล้ว บทเรียนเรื่องการตาย... หมอเห็นสมควรว่าเป็นบทเรียนแรกๆ บทหนึ่งที่แพทย์ทุกคนควรได้ร่ำเรียน

การแพทย์แผนไทย และการแพทย์องค์รวมหลายๆ ศาสตร์ รวมถึงการแพทย์มนุษยปรัชญานั้นให้ความสำคัญกับการสอนให้ลูกศิษย์เข้าใจซึ่งความตายอย่างมาก เพราะหากเราไม่เข้าใจชีวิตหลังความตาย เราย่อมไม่สามารถเข้าใจได้ว่า ธาตุทั้ง 4 สามารถมารวมกันอยู่ในตัวของเราได้อย่างไร

ความตายในมุมมองของแพทย์แผนไทย เกิดขึ้นเมื่อกายทิพย์ธาตุไฟแตกดับ หมดความสามารถในการรักษาไว้ซึ่งสมดุลของกายทิพย์ธาตุอื่นๆ ธาตุไฟจึงทำหน้าที่เสมือนสลักที่เกาะเกี่ยวกองธาตุทุกๆ ธาตุของร่างกายเอาไว้ เมื่อไหร่ก็ตามที่ “กายทิพย์ธาตุไฟ” หลุดออก ณ วินาทีนั้นเอง รูปกาย (Physical) ที่เป็นธาตุดินจะตกเข้าสู่ปฏิกิริยาเคมีของโลกแห่งวัตถุ รูปกายที่เป็นศพของคนเราจึงมีปฏิกิริยาทางเคมีอื่นๆ ที่ไม่ใช่ปฏิกิริยาชีวะแห่งเคมีเข้ามาแทนที่ เกิดการเสียสภาพของโปรตีน ศพของคนที่ตายจะค่อยๆ แข็งขึ้น จนถึงจุดหนึ่งก็เน่าเปื่อยผุพัง โมเลกุลของ Carbon (C), Hydrogen (H), Oxygen (O), Nitrogen (N) ซึ่งเป็นอะตอมหลักๆ ของโครงสร้างโปรตีน รวมไปจนถึงธาตุอื่นๆ อย่าง Phosphorus (P), Potassium (K) ก็ย่อยสลายกลับไปเป็นดินตามเดิม โดยเฉพาะ N, P, K นั้นได้กลับกลายเป็นปุ๋ยอย่างดีให้กับพืชอีกครั้งหนึ่ง

แล้วกายทิพย์ธาตุน้ำ (Etheric body), กายทิพย์ธาตุลม (Astral body) และ กายทิพย์ธาตุไฟ (Ego body) หลุดหายไปเลยในทันทีหรือเปล่า มุมมองของ Dr. Rudolf Steiner กล่าวว่า ไม่เสมอไป... หากบาปกรรมที่ทำไว้ไม่รุนแรงเกินไป กายทิพย์เหล่านี้ยังคงเหลืออยู่ในมิติของโลกนี้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง โดยเฉลี่ยไม่เกิน 3 วัน และนี้เป็นเหตุผลที่นำไปสู่ความเชื่อในหลายวัฒนธรรมว่า คนที่มีผัสสะพิเศษบางคนอาจรู้สึกสัมผัสได้ถึงเขาเหล่านั้น ส่วนใครสื่อได้ไม่ได้เป็นเรื่องส่วนบุคคล เราว่ากันตามตำราไปก่อน

ใน 3 วันดังกล่าว หลังดวงจิตของผู้ตายเดินผ่านประตูแห่งความตาย Etheric body ซึ่งเป็นกายทิพย์ธาตุน้ำจะค่อยๆ สลายตัวออก ปลดปล่อยออกมาเป็นพลังงานที่เรียกว่า Etheric force และถ้าท่านผู้อ่านได้เคยติดตามบทความเกี่ยวกับ ธาตุน้ำ สมอง และความทรงจำ (ดูรายละเอียดได้ตาม Link https://www.facebook.com/HorosHealth/posts/540418669439526:0) พลังงานนี้คือภาพฉายของความทรงจำในระดับจิตใต้สำนึกของเรานั่นเอง จึงมีคำกล่าวของพระอาจารย์นักปฏิบัติต่างๆ ว่า เมื่อเราตาย... ความทรงจำต่างๆ ในอดีตจะผุดย้อนขึ้นมาฉายภาพยนตร์แห่งชีวิตให้เราดู ทั้งกรรมที่เราทำไว้ดี และกรรมที่เราทำไว้ไม่ดี ทุกเรื่องราวในชีวิตที่เราเคยลืมไปแล้วจะผุดขึ้นมาในดวงจิตของเราทั้งหมด... ที่แท้แล้วผู้ที่คอยจดบันทึกผลกรรมของเราไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็น Etheric body ของเรานั่นเอง ที่คอยรู้เห็นทุกการกระทำของเรามาตั้งแต่เกิดจนตาย!!!

ถ้าดาวเคราะห์ที่เรียกว่าโลกคือทรงกลมที่เปรียบเสมือนธาตุดินของจักรวาล พลังชีวิตที่เรามองไม่เห็นก็คืออาณาบริเวณที่มีจุดศูนย์กลางเดียวกันกับโลกนี้ของเรา และแผ่ขยายออกไปในชั้นบรรยากาศ ไกลจนถึงวงรอบโคจรของดวงจันทร์ Dr. Steiner เรียกมิติแห่งอาณาบริเวณทรงกลมดังกล่าวว่า Etheric sphere หรือมิติแห่งจิตวิญญาณในชื่อเฉพาะว่า “Kamaloka” ถ้าเป็นบริบทความเข้าใจแบบเราๆ ก็ประมาณ "วงจรเกิดตายที่ใกล้มนุษย์ เจ้าที่เจ้าทาง รวมไปจนถึงเทวดาชั้นต้นๆ ที่ไม่มีวิมานของตนอยู่" (สามารถดู Video clip ประกอบได้ที่ Link https://www.youtube.com/watch?v=8uK0-X4MSaQ )

หากเราใคร่ครวญองค์ความรู้จากศาสตร์ต่างๆ อย่างมากพอ ศาสตร์ต่างๆ ล้วนย้อนกลับมาสนับสนุนคำกล่าวของครูบาอาจารย์ทางพุทธของเราที่กล่าวว่า ใน 3 วันดังกล่าวดวงจิตของผู้ตายที่ตอนนี้ไม่มีรูปขันธ์เหลืออยู่แล้ว แต่ยังมีความทรงจำและความปรารถนาที่คงรูปอยู่ในสภาพของ “สัมภเวสี” ไม่มีที่ไป เมื่อใดที่เขาสามารถระลึกได้ถึงกรรมดีที่ทำไว้ และไม่ค้างคาใจกับชีวิตที่ผ่านมา Etheric body ซึ่งมีสภาพหนาหนัก ทึบ ก็จะสลายตัวออก เหลือเป็นเศษซากของความทรงจำที่ถูกทิ้งไว้ใน “Kamaloka” เป็นความทรงจำของชาติที่ผ่านมาทิ้งเอาไว้รอวันที่ดวงจิตดวงนั้นจะต้องกลับมาเกิดใหม่อีกครั้ง

[*** สำหรับบัญญัตินิยามของคำว่า "ดวงจิต" ถ้ามองอย่างเคร่งครัดตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ จิตที่เคลื่อนจากภพหนึ่ง หรือจุติจิต... กับจิตที่อุบัติขึ้นในภพใหม่ หรือปฏิสนธิจิต เป็นจิตคนละดวงกัน แต่ถ้ามองตามแบบการเวียนกลับมาเกิดใหม่เกิดจากกระแสกรรมเดียวกัน จึงขออนุโลมกล่าวว่าเป็นจิตดวงเดิมนั้นไว้ก่อน ***]

ในทางตรงกันข้าม หากดวงจิตของผู้ตายระลึกได้ถึงกรรมของตน แล้วยังค้างคาใจ ติดค้างในสิ่งที่ไม่ได้ทำ... Etheric body นั่นเองแหละที่จะยังคงห่อหุ้มกายทิพย์ชั้นอื่นๆ ของเขาไว้ สำหรับผู้มีญาณทรรศนะแล้วจึงกล่าวคล้ายกันว่า ดวงจิตพวกนี้ยังคงวนเวียนอยู่ในมิติที่มองไม่เห็นร่วมกับโลกแห่งวัตถุของเรา เป็นเงาทึบๆ ที่ไม่มีแสงสว่าง มีความปรารถนาแต่ไม่มีธาตุขันธ์ไว้กระทำความอยากนั้นให้เป็นจริง ความทุกข์จากความปรารถนาของดวงจิตที่ไม่มีวันเป็นจริงคืออบายภูมิที่หลวงพ่อเทศน์สอน จะกักขังเขาไว้จนกว่าจะหมดแรงกรรม ซึ่งจะนานเท่าไหร่ก็ขึ้นอยู่กับแรงกรรมของเขาเช่นกัน

สำหรับดวงจิต (ที่ตอนนี้เหลือแต่ Astral body และ Ego body) ของผู้ที่ทำกรรมดีมามาก เมื่อหลุดลอกออกจาก Etheric body ก็จะมีสภาพที่สุกสว่าง เรื่อเรืองแบบรัศมี Aura ของคนๆ นั้นในขณะที่มีชีวิตอยู่ นี่คือสภาวะแห่งเทพเทวดาที่ความเชื่อของคนทุกชาติทุกภาษา ทั้งพุทธ ทั้งคริสต์ ทั้งพราหมณ์ บรรยายเอาไว้คล้ายกันทั้งหมด

ศาสตร์ของมนุษยปรัชญากล่าวต่ออีกว่าเนื่องจากกายทิพย์ธาตุลม (Astral body) และกายทิพย์ธาตุไฟ (Ego body) มีความเบากว่า Etheric sphere แห่งกามาวจรภูมิ ดวงจิตที่มีแต่กายทิพย์ธาตุลมและธาตุไฟจึงสามารถลอยไกลออกไปจากแรงดึงดูดของ Etheric sphere เข้าสู่มิติของ Astral sphere ที่กินอาณาบริเวณกว้างไกลไปจนถึงวงโคจรของดาวเสาร์ เป็นอาณาบริเวณที่เมื่อมองด้วยญาณทัศนะจะมีความสว่างไสวของแสง และสีสันที่เกิดจาก Astral sphere หรือแดนสวรรค์ตามนิยามของคนไทยนั่นเอง แน่ล่ะ เมื่อเราเอาโลกเป็นจุดศูนย์กลาง สวรรค์ในมุมมองของมนุษย์จึงต้องมองขึ้นไปบนฟากฟ้า และอาจเห็นดวงจิตของผู้มีบุญอยู่บนฟ้ากัน

อย่างไรก็ตามสำหรับผู้ที่บำเพ็ญฌานตบะแรงกล้า เอาความว่างของอากาศเป็นอารมณ์ จะว่ามีจิตก็ไม่มี จะว่าไม่มีก็ไม่ใช่ ความคุ้นชินของดวงจิตที่เข้าถึงความว่างแล้ว เมื่อท่านเหล่านั้นตาย ดวงจิตหาได้ยึดติดอยู่กับรูปร่าง และกายที่ตนเคยมี Astral body ก็จะเสื่อมสลายออก ปลดปล่อยให้พลังงานของ Ego body หรือกายทิพย์ธาตุไฟซึมซาบแผ่ขยายกลับไปรวมกับหมู่ดาวอันไกลโพ้น ในที่นี้หมายถึงจักรราศีต่างๆ ฤาษีผู้ทรงตบะเหล่านี้จึงได้กลับไปหลอมรวมกับมหาจักรวาลอันไพศาล มีขันธ์เพียงขันธ์เดียวคือมีแต่วิญญาณขันธ์ แต่ไร้ซึ่งอารมณ์ปรารถนาแห่ง Astral body หรือขวัญ... ทางพราหมณ์ยึดถือสภาวะนี้เป็นสภาวะสูงสุดอันพึงปรารถนา คืออาตมัน (Microcosmos) ได้กลับคืนหลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของพรหมมัน (Macrocosmos) แต่พระพุทธองค์กลับปรารภว่า สภาวะดังกล่าวเป็นพรหมลูกฟัก เมื่อไหร่ก็ตามที่หมดบุญ แรงดึงดูดของกรรมที่มีอยู่ก็สามารถดึงดูดวิญญาณขันธ์เหล่านั้นกลับมาเวียนว่ายตายเกิดได้ในอนาคตอันยาวนานมากๆ พระพุทธองค์จึงมุ่งสอนให้พิจารณาให้เห็นว่า แม้แต่วิญญาณขันธ์ก็ไม่เที่ยง... หากทำได้เช่นดั่งว่า คนเราก็จะหลุดจากแรงดึงดูดของกรรมทั้งมวล และเข้าสู่ “นิพพาน”

บทความทั้งหมดเป็นปัจจัตตัง ทุกท่านที่เป็นพุทธจะรู้ได้ผ่านการปฏิบัติ การคิดใคร่ครวญมากอาจทำให้เครียด คิดซะว่าฟังนิทานสักเรื่องก็ยังได้ แต่สำหรับแพทย์ที่มุ่งเน้นการรักษาด้วยธาตุ 4 เมื่อนำ Process ของการตายนี้มาพิจารณาการกลับมาเกิดใหม่ในอีกวงรอบหนึ่ง เราจะเข้าใจการทำงานของธาตุและเรื่องของกรรมเก่าได้ดียิ่งขึ้น... ส่วนจะเป็นเช่นไรนั้น โปรดติดตามใน พฤ. ถัดไปครับ

ขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม

หมอปอง


โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:50:16 น.  

 
วัฏสงสาร

=============

“กามนิตและวาสิฏฐีเลื่อนลอยไปสู่หุบเขาต้นปาริชาตเนืองๆ ได้ไปนั่งพักนอนเล่นอยู่ควงปาริชาตอันแผ่กิ่งก้านสาขา สูดเอากลิ่นหอมอันตลบมาจากดอกแดงดั่งแสงชาด กระทำให้ระลึกถึงชาติก่อนๆแจ่มแจ้งขึ้นเป็นลำดับ ย้อนหลังล่วงไปในอดีตชาติอันไกลแสนไกล...”

เมื่อถึงกาลแตกดับจากชีวิตในร่างของมนุษย์หรือสัตว์ที่มีรูปกาย กายทิพย์ธาตุน้ำ (Etheric body) ซึ่งเป็นแหล่งเก็บความทรงจำก็ค่อยๆเสื่อมสลายลงไปด้วย สำหรับผู้ที่ไม่มีกรรมใดติดค้าง ความทรงจำเหล่านี้จะถูกทิ้งไว้เป็นตะกอนพลังงานของเศษความจำ (Etheric waste) ล่องลอยอยู่ในชั้นของ Etheric sphere ซึ่งกินอาณาบริเวณทรงกลมของการโคจรของดวงจันทร์ ปลดปล่อยให้ส่วนของกายทิพย์ธาตุลม (Astral body) และจิตเดิมแท้ที่เป็นธาตุไฟ (Ego body) ขึ้นไปสู่ชั้นมิติแห่งแสงสว่างที่เรียกว่า Astral sphere หรือสรวงสวรรค์ตามอุดมคติของคนชาติต่างๆ (Astra – ในที่นี้จึงมีความหมายของแสงแห่งดาว) ( อ่านรายละเอียดบทความตอนที่แล้ว “พิจารณาธาตุ 4 ผ่านความตาย” ได้ที่ https://www.facebook.com/HorosHealth/photos/a.295316910616371.1073741829.212064198941643/546665055481554/ )

ดังนั้นชีวิตของเทพเทวดาในมุมมองของ Dr. Rudolf Steiner คือชีวิตที่ทิ้งความทรงจำของโลกเอาไว้เบื้องหลัง เหล่าเทพไปจนถึงรูปพรหมจึงมีสภาพเป็นกลุ่มก้อนของพลังงาน Astral body ที่ยังคงมีความอยาก ความปรารถนาของสังขารขันธ์อยู่ ตราบเท่าที่ยังคงมี Astral body ให้ปรุงแต่งความอยากไม่อยากต่างๆ หากทว่าไม่มีความทรงจำ!!! ความทรงจำหรือสัญญาขันธ์ได้ถูกทิ้งไว้ใน Etheric sphere ทั้งหมด เทพปกรณัมของคนทุกชาติหลังจากตาย เช่น ตำนานกรีก วิญญาณคนตายจะต้องดื่มน้ำจากแม่น้ำลีธี (Lethe) แม่น้ำแห่งการลืม เพื่อละทิ้งความทรงจำที่เคยมีในชาติก่อนให้หมดสิ้นไป

จิตเหล่านั้นสามารถท่องเที่ยวไปได้นานแสนนาน ยิ่งใครที่บรรลุถึงสภาวะอรูปพรหม จิตของเขาเหล่านั้นจะซึมซาบกระจายรวมเป็นหนึ่งกับจักรวาล มีแต่จิตที่ไม่มีความปรารถนาอื่นใดอีกเพราะไม่มี Astral body และปราศจากการรับรู้ซึ่งวันและเวลา จนกระทั่งวันหนึ่ง... ซึ่งอาจนานเกินกว่าที่เราจะจินตนาการได้ พลังงานได้อ่อนลง แรงดึงดูดของความทรงจำเก่าๆของชาติก่อน (Etheric waste) ก็จะเริ่มดึงดูดความสนใจของดวงจิตเหล่านั้นกลับมา

ตามคติของพุทธศาสนาที่สะท้อนอยู่ในนิยายกามนิต-วาสิฏฐี เมื่อใดก็ตามที่ต้นปาริชาตบานให้กลิ่นหอม ดวงจิตที่ได้กลิ่นหอมของดอกปาริชาตจะเริ่มระลึกได้ถึงความทรงจำเก่าๆของตน เริ่มรู้สึกอย่างชัดแจ้งว่า “ฉันยังไม่ได้ทำสิ่งนี้” “ถ้าฉันทำได้... ฉันน่าจะทำเรื่องนี้ให้สำเร็จนะ” หรือ “ฉันเคยหักอกชายคนนั้น ฉันยังติดค้างอยู่เลย” กระแสความทรงจำเก่าๆได้เริ่มครอบงำจิตมากขึ้น และมากขึ้น จนในที่สุด จิตบางดวงก็มีความปรารถนาอยากเกิดมาในโลกแห่งวัตถุอีกครั้งหนึ่ง

ด้วยเหตุปัจจัยที่ถึงพร้อม จิตอาจมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะเกิดในครอบครัวของนักดนตรี เพื่อที่จะได้ทำความฝันของการเป็นนักดนตรีเอกของชาติที่แล้วให้เป็นจริง จิตจะค่อยๆย้ายลงมาจาก Astral sphere ผ่านการเคลื่อนคล้อยและรับอิทธิพลของดวงดาวมาห่อหุ้มสร้างเป็น Astral body อันใหม่ขึ้น เริ่มจากอิทธิพลของดาวที่อยู่ห่างไกลอย่างดาวเสาร์ เข้าสู่วงโคจรของดาวพฤหัส ดาวอังคาร ใกล้โลกมนุษย์ขึ้นทุกที จนมาถึงดาวเคราะห์ที่ใกล้โลกมนุษย์ที่สุดคือ “ดวงจันทร์” ปากทางเข้าของดวงจิต (Astral body + Ego body) ที่จะจุติออกมาจากโลกสวรรค์

การโคจรของดวงจันทร์ในช่วงที่คนเราตั้งครรภ์จึงสำคัญมาก รูปกายมนุษย์ต้องการเวลาถึง 10 จันทรมาสหรือ เวลาที่พระจันทร์โคจรรอบโลกประมาณ 10 รอบ (ประมาณ 40 สัปดาห์ถ้านับแบบ Sideral period ไปจนถึง 42 สัปดาห์ถ้านับแบบ Synordic period)* (ดู Video clip ได้ที่ //bit.ly/1WGz064) หากเมื่อใดก็ตามที่ดวงจิตตกกลับเข้าสู่เขตแดนของ Kamaloka หรือ Etheric sphere บรรดาตะกอนความทรงจำ Etheric waste ที่เป็นกรรมเก่าของเขาก็จะถูกดึงดูดมารวมกันเพื่อสร้างเป็นกายทิพย์ธาตุน้ำ (Etheric body) ห่อหุ้ม Astral body และ Ego body ไว้อีกชั้นหนึ่ง ซึ่งจะทำหน้าที่เสมือนเมล็ดพันธุ์ของความทรงจำก่อนเกิด “Precognition” ในระดับจิตใต้สำนึกตลอดชีวิตที่กำเนิดขึ้นมาใหม่นี้

หากเรามองเส้นทางโคจรของดวงจันทร์เปรียบเสมือนเทปแม่เหล็กที่บันทึกสภาพการโคจรของดาวเคราะห์ดวงอื่นๆ อย่าง ดาวพุธ, ดาวศุกร์, ดวงอาทิตย์, ดาวอังคาร, ดาวพฤหัส, ดาวเสาร์ ลงในพลังงานธาตุน้ำของ Etheric sphere โดยคิดแบบง่ายๆว่า ชีวิตของคนปัจจุบันมีอายุเฉลี่ยยืนนานประมาณ 70 ปี

ดังนั้นทุกการครบรอบจันทรมาส ภาพการโคจรของดาวทุกดวงในระบบสุริยะจักรวาลจะเป็นบันทึกความทรงจำแห่งจิตใต้สำนึก เป็นเสมือนพรหมลิขิต (ที่เราลิขิตด้วยกรรมของเราเอง) ขีดเขียนคำทำนายชีวิตตลอดช่วง 7 ปี เมื่อครบ 10 เดือนในครรภ์แม่ เราจึงมีบันทึกกรรมติดมาใน Etheric body ของเรา ร้อยเป็นเรื่องราวชีวิต 7x10 = 70 ปี ตั้งแต่ตอนที่เราคลอดลืมตาออกมาดูโลก และนี่คือเหตุที่มีคำกล่าวว่า ทุก 7 ปี ใครบางคนจะมีความรู้สึกเปลี่ยนไปจากเดิม คู่รักที่ต้องเลิกร้างไปในช่วงอาถรรพ์ 7 ปี เบื้องลึกที่สุดแล้วก็คือ หนึ่งในสองคนนั้นได้มีจิตใต้สำนึกอันเป็นอิทธิพลของความทรงจำก่อนเกิด (Precognition) ที่เปลี่ยนไปแล้ว หากคู่ของเขาไม่เติบโตขึ้นทัดเทียมกัน ความสัมพันธ์จึงอ่อนแอและสิ้นสุดลงด้วยคำว่า “เธอนั้นเปลี่ยนไป”

ดังนั้นจึงมาศาสตร์การดูดวงประเภทหนึ่งที่เรียกว่า “Astrosophy” ที่จะทำการคำนวณตำแหน่งดาวสำคัญๆในทุกช่วงอายุ 7 ปี เกิดเป็นรูปดวง 10 ดวง ตามแต่ช่วงชีวิตของคนๆนั้นว่า แต่ละห้วงชีวิตของคนๆนั้นจะต้องเผชิญกับเรื่องราวใดบ้าง และส่วนหนึ่งเกิดเป็นศาสตร์วิเคราะห์กรรมที่เกิดซ้ำๆกับคนๆนั้นตามอัตชีวประวัติที่เรียกว่า “Biography” อีกด้วย ซึ่งแม้ว่าหลักการคิดขึ้นมาจะต่างกัน แต่ศาสตร์ของไทยเราก็มีการใช้การคำนวณทางโหราศาสตร์ที่เรียกว่า “10 ลัคนา” ซึ่งใครสนใจคงต้องศึกษากันในรายละเอียดต่อไป

หากตำราอภิธรรมเป็นภาพฉายของ Video clip ของการเกิดดับของดวงจิตอย่างละเอียดลออ หมอก็พบว่า มุมมองมนุษยปรัชญาของ Dr. Steiner ได้ให้ตำแหน่งแห่งที่ของดวงจิตที่มาอยู่ภายในรูปกายที่มี 3 มิติได้อย่างน่าทึ่ง และเมื่อนำเอา 2 มุมมองนี้มาวางไว้เคียงกัน จะทำให้เราได้ Space-time ของปรากฏการณ์ทางจิตและกรรมที่กว้างไกลออกไปอีกได้หลายสิบมุมมอง แต่มุมมองที่หมอขอสรุปในตอนท้ายบทความนี้ก็คือ เราเกิดมาเพราะกรรม...

กรรมคือความทรงจำที่เราทิ้งเอาไว้ที่ใดที่หนึ่งในจักรวาลนี้ และเมื่อเรากลับมาเกิดเป็นมนุษย์ เราได้อาศัยท้องแม่ของเราสร้างรูปกายจากธาตุดินขึ้นมา และนั่นเราจึงมี “รูปกาย” อาศัยพลังชีวิตจาก Etheric body พลังงานธาตุน้ำ อวัยวะรับสัมผัส (Sensory organ) ของรูปกายจึงสามารถรับรู้โลกภายนอกได้ และนั่นเราจึงเกิดมี ความรู้สึกทางผัสสะ (Perception) เกิดขึ้น

Perception หรือการรับรู้สัมผัสผ่านตา, หู, จมูก, ลิ้น และผิวสัมผัสนั้น เป็นกลุ่มก้อนพลังงานที่ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของดวงจิตเลย และมันสามารถสะสมจนเกิดเป็นความจำได้หมายรู้ (Recognition) ขึ้นมาได้ แต่เราจะไม่ Recognize หากเราไม่มีความทรงจำเก่าก่อนเป็นต้นทุนเดิม อุปมา เราอาจเห็นสีแดงๆแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าเป็นดอกชบา ตราบเท่าที่เราไม่เคยมีประสบการณ์ในการพบเจอดอกชบามา

ความทรงจำเก่า (Precognition) ที่เป็นความทรงจำตั้งแต่ชาติก่อนรวมมาจนถึงประสบการณ์ชีวิตในชาตินี้ที่ผ่านมานี่แหละ... ที่เป็นตัวก่อให้เกิดการหมายรู้ของ “Recognition” ขึ้น การที่คนๆหนึ่งมีภาวะ Deja Vu คือรู้สึกคุ้นเคยกับสิ่งหนึ่งมากๆ ทั้งที่ไม่เคยพบเจอมาก่อน เหมือนกรณีหญิงสาวลูกคุณหนูที่พอสบตากับหนุ่มเสเพลแล้วก็ “ปิ๊ง” กลายเป็นรักแรกพบ จึงอธิบายได้ด้วยกฎแห่งกรรมของหญิงสาวคนนั้น ที่เคยมี Etheric waste หรือความทรงจำจากชาติที่แล้ว (Precognition) ที่ผูกพันกับหนุ่มเสเพลคนนี้บันทึกอยู่ในกายทิพย์ธาตุน้ำ (Etheric body) เป็นจิตใต้สำนึก (Subconscious) ของเธอ

เมื่อดวงจิต (Astral body) เข้ามาเสพรับความจำได้หมายรู้ (Recognition) ที่เกิดจาก Etheric body จึงเกิดมี “Emotion / Feeling / อารมณ์” เกิดการปรุงแต่งความชอบ ความชัง ความหึงหวง ขึ้นมา ตามแต่กรรมเก่าของเขาและเธอจะชักจูงไป แรงปรารถนาบางอย่าง เช่นความรักแรกพบจึงไม่สามารถอธิบายได้ด้วยตรรกะ มิพักว่าพ่อแม่จะชี้แจงอย่างไรว่าหนุ่มเสเพลคนนี้ไม่เหมาะจะเป็นคู่ชีวิตของเธอ แต่ความโหยหาของจิตใต้สำนึกจะเป็นเสมือนคลื่นใต้น้ำของสัญชาตญาณดิบอันเร้นลับ ที่มีอิทธิพลเหนือจิตสำนึก (Consciousness) ของหญิงสาวคนนี้ ในฐานะที่ปรึกษาทางสุขภาพ หมอทำได้เพียงแค่ชี้ให้เห็นบันทึกกรรมของเธอผ่านรหัสการเคลื่อนที่ของดวงดาวเท่านั้น

การแก้ไขแบบมนุษยปรัชญา (Anthroposophy) ที่สอดคล้องกับมุมมองทางพุทธวิธี จึงไม่ให้คนเราก้มหน้ายอมรับดวงชะตาของตนเอง หรือวิ่งไปทำพิธีแก้กรรม แต่มุ่งเน้นไปที่การฝึกสติให้เข้มแข็ง เพราะตราบเท่าที่จิตตัวรู้ของเด็กสาวคนนี้ยังไม่สามารถรู้เท่าทัน หรือถอดถอนออกมาจากกระแสความปรารถนาของ “Precognition” และ “Emotion” ผลที่สุดเธอย่อมมีชีวิตอันชอกช้ำจากหนุ่มเสเพลคนนี้เป็นแน่ แต่หากเมื่อใดที่เธอมีสติรู้ที่เข้มแข็งขึ้น แม้ตกอยู่ในห้วงอารมณ์ที่ซัดโถม ดวงจิตของเธอจะมีความสามารถถอนจิตออกมาเป็นผู้ดูอารมณ์เหล่านั้นได้ กายทิพย์ธาตุไฟ (Ego body) ที่เป็นที่สถิตของ “อัตตา” จะมีเวลาในการพิจารณาด้วยปัญญาถึงความเหมาะควรว่า เราควรที่จะทำอะไรที่ถูกต้องตามธรรมมากกว่า หากทำได้เช่นนั้นแล้ว “กรรม” ก็จะเป็นแค่ภาพฉายของภาพยนตร์ในอดีต หาได้มีผลต่อชีวิตในปัจจุบันและอนาคตของเราไม่

--------------------------------------------------------------------
หมอปอง

หมายเหตุ *
การโคจรของพระจันทร์ใน Video clip แทนด้วยเส้นสีเหลือง หมุนวนเป็น Loop จำนวน 10 Loop เพื่อให้เห็นคาบการโคจรอย่างชัดเจน แต่แท้จริงแล้วดวงจันทร์มีมวลที่มีผลกระทบต่อโลกมาก การโคจรของดวงจันทร์จะมีลักษณะคล้าย Sine wave ที่เคลื่อนผ่านวงโคจรของโลก


โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:52:12 น.  

 
ตาที่สาม
=========================

ในกระบวนการเกิดของมนุษย์ที่อยู่ในครรภ์มารดา ดวงจิตที่จะมาเกิดในครรภ์นั้นจะเดินทางกลับมาจากมิติวิญญาณ ผ่านชั้นของ Astral sphere หรือมิติที่กินอาณาบริเวณตั้งแต่ดาวเสาร์ เข้ามาสู่มิติของ Etheric sphere ที่มีดวงจันทร์เป็นปากทาง ก่อนที่จะควบรวมกับส่วนที่เป็นรูปกายของทารกที่กำลังเจริญเติบโตอยู่ในครรภ์แม่ (อ่านรายละเอียดได้ที่ Link https://www.facebook.com/HorosHealth/photos/a.295316910616371.1073741829.212064198941643/548924701922256/ หรือชม Video clip ได้ที่ Link //bit.ly/1WGz064 )

หากใช้มุมมองของโลกแห่งวัตถุ การก่อเกิดมนุษย์ในฐานะปัจเจกบุคคลนั้น จึงเริ่มจากเซลล์สืบพันธุ์ชายและหญิงมาปฏิสนธิกัน (โดยเฉลี่ยคือนับย้อนกลับไปก่อนวันเกิดของคนๆนั้นราว 10 ทศมาส หรือ 10 เดือนทางจันทรคติ) หลังจากนั้นจึงเกิดการแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวนและแยกออกเป็นอวัยวะต่างๆ ก่อนที่จะคลอดออกมาเป็นเด็กทารก แล้วจิตวิญญาณของมนุษย์นั้นได้ถูกบรรจุเข้ามาในกายเนื้อของทารกในครรภ์เมื่อใด? เป็นตั้งแต่ตอนปฏิสนธิ หรือว่าเป็นตอนที่คลอดออกมากันแน่?

อรรถกถาสารัตถัปปกาสินี พระพุทธเจ้าได้ตรัสไว้ในพระสูตร อธิบายถึงการเจริญเติบโตของทารกในครรภ์มารดาไว้ว่า

“ในสัปดาห์แรกแห่งการปฏิสนธินั้น เกิดเป็นกลลรูป คือเป็นหยาดน้ำใสเหมือนน้ำมันงา ในสัปดาห์ที่ ๒ หลังจากกลลรูป เกิดเป็นอัพพุทรูปขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นฟองสีเหมือนน้ำล้างเนื้อ ในสัปดาห์ที่ ๓ หลังจากอัพพุทรูป ก็ได้เกิดเป็นเปสิรูป ซึ่งมีลักษณะเหมือนชิ้นเนื้อที่เหลวๆสีแดง ในสัปดาห์ที่ ๔ หลังจากเปสิรูป ก็ได้เกิดเป็นฆนรูปขึ้น ซึ่งมีลักษณะเป็นก้อน มีสัณฐานเหมือนไข่ไก่ ในสัปดาห์ที่ ๕ หลังจากฆนรูป จึงได้เกิดปัญจสาขาขึ้น คือรูปนั้นงอกออกเป็น ๕ ปุ่ม คือ เป็นศีรษะ ๑ แขน ๒ ขา ๒ ต่อจากนั้น คือในระหว่างสัปดาห์ที่ ๑๒ ถึงสัปดาห์ที่ ๔๒ ผม ขน เล็บ ก็ปรากฏขึ้น”

แม้แต่ในคติความเชื่อของชาวคริสต์เอง ก็เชื่อว่าเทวดาจะเป็นผู้กำหนดว่าจิตวิญญาณชนิดใด จะลงมาเกิดกับร่างของทารกในครรภ์ประมาณ 7 สัปดาห์ (49 วัน) หลังจากมีการปฏิสนธิ

เมื่อเรานำมาเทียบกับความรู้ทางการแพทย์สมัยใหม่ ที่ศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการพัฒนาการของตัวอ่อนในครรภ์ที่เรียกว่า Embryology เราจะพบความสอดคล้องกันกับญาณทรรศนะดังกล่าวอย่างเหลือเชื่อ เพราะจากการศึกษาพัฒนาการของทารกในครรภ์มารดา เราพบว่าหลังจากปฏิสนธิของไข่และอสุจิ แม้ว่าจะมีการแบ่งจำนวนและเพิ่มจำนวนเซลล์อย่างมาก แต่ในช่วง 21 วันแรก ตัวอ่อนของมนุษย์ยังมีลักษณะคล้ายตัวหนอนที่อยู่ภายในถุงน้ำคร่ำ มีเพียงแนวสันหลังที่มีรูปร่างคล้ายหลอดยาวๆ ที่พอจะมองออกได้ว่าน่าจะพัฒนากลายเป็นสมองและไขสันหลังในอนาคตข้างหน้า

ต่อมาเมื่ออายุครรภ์แก่ถึง 30-34 วัน (ประมาณสัปดาห์ที่ 5) ไขสันหลังบริเวณส่วนหัวก็จะเริ่มพองออกเป็นกระเปาะๆ เพื่อแยกสมองออกเป็น 3 ส่วน ก่อนที่จะทอดยาวลงไปเป็นไขสันหลัง ในขณะเดียวกัน กระเปาะหลอดเลือดก็เริ่มมีการบิดหมุนรอบขั้วของมันให้เบ้ไปทางซ้าย เกิดเป็นรูปหัวใจที่เริ่มปรากฏห้องของหัวใจเล็กๆขึ้น นอกจากนี้ยังมีปุ่มเนื้อเล็กๆเกิดขึ้น 4 ปุ่มที่จะพัฒนาต่อเป็นแขนและขา

แต่รูปร่างของสมอง หัวใจ และแขนขาที่มีนิ้วครบอย่างชัดเจน จะเกิดขึ้นอย่างเร็วคือสัปดาห์ที่ 5 หลังตั้งครรภ์ ซึ่งตรงกับที่บรรยายในคัมภีร์ในศาสนาพุทธ “อรรถกถาสารัตถัปปกาสินี” พอดี!!!

ครูบาอาจารย์ที่ฝึกจิตท่านได้กล่าวให้ลูกศิษย์ของท่านฟังว่า จิตและวิญญาณนั้นยังไม่เกาะเกี่ยวยึดเหนี่ยวกับกายเนื้อนี้แต่อย่างใด แท้ที่จริงแล้วจิตวิญญาณที่จะลงมาเกิดกับร่างทารกนี้กลับยังสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา หากคุณแม่ตั้งครรภ์คนใดที่ปฏิบัติธรรมมากๆ ช่วงนี้จิตวิญญาณที่จะลงมาเกิด ก็จะเปลี่ยนเป็นจิตวิญญาณที่มีคุณภาพสูงขึ้นมาแทนที่ได้เรื่อยๆ และทุกครั้งที่มีดวงจิตเข้ามาสู่กายเนื้อในลักษณะของการหมุนวน ก็จะมีการทิ้งร่องรอยบางอย่างเอาตรงตำแหน่งที่ดวงจิตเข้ามา ซึ่งมักเป็นรอยเส้นผมที่ขดวนเป็นก้นหอย ที่เรียกว่า “ขวัญ” บนศีรษะ และหากเห็นว่าคนๆไหนมีการเข้าๆ ออกๆ ของดวงจิตที่สับเปลี่ยนมาควบรวมกับร่างนั้นแล้วล่ะก็ ให้ลองมองหาคนที่มี “ขวัญ” บนศีรษะหลายๆ ขวัญดู

จวบจนเมื่อใดที่ปรากฏปัญจสาขา (ในที่นี้คือตุ่มเนื้อที่จะงอกเป็นแขนขา รวมศีรษะเป็น 5 สาขา) ขึ้นมานั้น จิตวิญญาณจะลงมาเกาะเกี่ยวกับกายเนื้ออย่างแนบแน่นและไม่สามารถเปลี่ยนเป็นอื่นได้อีกต่อไป

จากการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ พบว่าเมื่อเริ่มมีปุ่มแขนขาในระยะครรภ์ของสัปดาห์ที่ 5 หัวใจจะเริ่มแบ่งห้องอย่างชัดเจน ส่วนสมองเริ่มมีการสร้างกระเปาะของสมองส่วนหน้า (Forebrain), สมองส่วนกลาง (Mid brain) และสมองส่วนหลัง (Hide brain) ณ ตำแหน่งรอยต่อด้านหลังของสมองส่วนกลาง จะมีการพองขึ้นเป็นต่อมเล็กๆ ที่เราเรียกว่า ต่อมไพเนียล (Pineal gland) เกิดขึ้นในระยะ 5-7 สัปดาห์ของการตั้งครรภ์ ซึ่งจะเป็นเวลาไล่เลี่ยกันกับที่ตุ่มแขนขาจะปรากฏยืดยาวออก และมีการลดรูปของพังผืดระหว่างนิ้ว เกิดเป็นรูปแขนขาที่ชัดเจนพอดี

มีการตรวจพบว่า ประมาณสัปดาห์ที่ 6-7 นี้เองที่ตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าของสมองทารกได้เป็นครั้งแรกที่ต่อมไพเนียลนี้ และเป็นจังหวะที่หัวใจของทารกเองก็ปรากฏว่ามีการเต้นและบีบตัวให้เกิดการไหลเวียนของโลหิตขึ้นเช่นกัน เหมือนว่ามีพลังงานอะไรบางอย่างที่มองไม่เห็น ได้ลงมาประจุอยู่ในร่างของทารกน้อยๆคนนั้นในสัปดาห์ที่ 7 (49 วัน) นี้

ปรากฏการณ์นี้ประดุจสำแดงให้เรารู้ว่า จิตวิญญาณได้รอองค์ประกอบของสมองและหัวใจให้ถึงพร้อมก่อน จึงจะลงมาควบรวมกับร่างกายที่เป็นกายเนื้อได้ ถึงพร้อมในที่นี้คือ 1) สมองต้องมีต่อมไพเนียลแล้ว และ 2) หัวใจต้องมีรูปร่างสมบูรณ์พอ จึงจะมีภาชนะสำหรับบรรจุดวงวิญญาณดวงหนึ่งในกายเนื้อนี้ได้ มองในมุมมองของการแพทย์องค์รวม ไม่ว่าจะเป็นการแพทย์แผนไทยหรือการแพทย์มนุษยปรัชญา (Anthroposophy Medicine) จึงกล่าวไว้ตรงกันว่าหัวใจจึงเป็นที่ตั้งของดวงจิต (Soul) โดยมีจุดศูนย์รวมของกลุ่มก้อนพลังงานเล็กๆ ขนาดประมาณเม็ดถั่วเขียวถึงขนาดของนิ้วมือ ที่เรียกว่า “หทัยวัตถุ”

ในมุมมองแบบนี้ เราจึงพบว่ากายเนื้อของมนุษย์เรา (Microcosmos) จึงเป็นการถอดแบบของสากลจักรวาล (Macrocosmos) อีกครั้งหนึ่ง จาก Macrocosmos ดวงจิตเดินทางเข้าสู่ Astral sphere โดยเข้าสู่วงโคจรของดาวเสาร์เป็นด่านแรก เฉกเช่นกัน เมื่อดวงจิตเข้าสู่กายเนื้อของเขา ก็จะเข้าผ่านกระหม่อมสู่ต่อมไพเนียลเป็นด่านแรก ก่อนที่จะลงไปบรรจุในหทัยวัตถุของหัวใจ จักระที่กระหม่อมหลังของคนเรา จึงมีพลังของดาวเสาร์ที่หยิมยืมมาจากภาพใหญ่ของสากลจักรวาลนี้

ดาวเสาร์ทางโหราศาสตร์ จึงถูกวาดภาพเป็นการถอยกลับสู่ความคิดคำนึง และเป็นความชราภาพ และโครงกระดูก เมื่อใดที่คนเราชราภาพ เราจึงพบว่าต่อมไพเนียลมีการจับผลึกของแคลเซียมมากขึ้น Calcium ก็คือกระดูก ว่าที่จริงอาการทางกายทุกอย่างที่บ่งชี้ไปทางความชรา เช่น การนอนไม่หลับ กระดูกผุกระดูกพรุน ภูมิต้านทานตกติดเชื้อง่าย อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ล้วนสืบเนื่องมาจากการที่ต่อมไพเนียลหรือตาที่สามของคนเรากลายเป็นกระดูกอย่างสมบูรณ์นั่นเอง และหากเมื่อไหร่ที่กระแสสัญญาณประสาทในต่อมไพเนียลหยุดทำงาน... คนเราจึงได้กลับคืนสู่โลกแห่งจิตวิญญาณอย่างแท้จริง

หมอปอง
-----------------------------------------------------------------------------

หมายเหตุ *

1) เนื่องจากมีประเด็นถามมามาก และหมอพิจารณาว่าเป็นคำถามที่สำคัญก็คือ หากเป็นการทำให้เกิดการแท้ง หรือการคัดแยกตัวอ่อนจากการผสมเทียมก่อนการฝังตัวในมดลูกของแม่ 7 สัปดาห์ ยังถือเป็นการละเมิดศีลข้อฆ่าสัตว์ตัดชีวิตหรือเปล่า บาปหรือไม่บาป... ให้พิจารณาดังนี้ครับ
- เมื่อมีการปฏิสนธิของไข่กับอสุจิ ถือว่าชีวิตเกิด พลังชีวิตที่เรียกว่า Etheric force ของดวงจิตที่เข้ากันกับ Etheric force ของพ่อแม่จะเริ่มถ่ายเทเข้ามาในกายเนื้อหรือกลุ่มเซลล์อันนั้น
- แม้ว่าดวงจิตที่จะมาปฏิสนธิยังไม่เข้ามาควบรวมอย่างแนบแน่น แต่ Etheric force ซึ่งเชื่อมโยงกับกรรมในอดีตชาติได้เริ่มเข้ามาสู่ตัวอ่อนนั้นแล้ว
- การทำลาย Etheric force ของตัวอ่อน ก็คือการตัดกระแสกรรมของผู้ที่จะมาเกิด กรรมย่อมเกิดกับผู้เจตนาทำให้เด็กในครรภ์แท้ง... สรุปกรณีนี้จะเป็นบาปกรรมของการทำแท้งครับ แม่เป็นการทำแท้งก่อนอายุครรภ์ 7 สัปดาห์

2) Key message ของเรื่องนี้ก็คือ
- หลังปฏิสนธิ ย่อมมีดวงจิตที่มีกรรมสมพ้องกับมารดาเข้ามาเกิด เป็นส่วนมาก (เรียกว่าจองกันมาเกิดก็ว่าได้)
- หลังปฏิสนธิ หาก Etheric force หรือกรรมของดวงจิตที่มาเกิดไม่สอดคล้องกับมารดา ในที่สุดดวงจิตดวงนั้นอาจละจากกายเนื้อนั้นไป ทำให้เกิดการแท้งตามมา
- หากกายเนื้อถูกละไป อาจมีดวงจิตอีกดวงที่มีกรรมสมพ้องกว่าเข้ามาสวมแทนได้ (แต่เป็นกรณีที่พบน้อยกว่า) โดยมีเงื่อนไขก็คือ "กายเนื้อนั้นยังไม่มีปัญจสาขา" เกิดเป็นร่องรอยของขวัญที่มากกว่า 1 ขวัญ พระอาจารย์หลายองค์จึงใช้คำว่า "เป็นมนุษย์มันยาก แย่งกันมาเกิดก็เยอะ"
- ดังนั้น แม้จะรู้ตัวว่าท้องหรือมีการปฏิสนธิแล้ว แม่ก็ยังมีความจำเป็นที่จะต้องรักษาดวงจิตและกาย,วาจา,ใจ ให้ดี เพื่อลูกที่ดีครับ

......

สนใจอิงกับตัวเองตอนที่อ่านเจอร่องรอยขวัญบนหัวที่มีหลายขวัญที่แหละ


โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:54:42 น.  

 
สวัสดีนะจ้ะ เราแวะมาเยี่ยมนะจ้ะ ^____^ สักคิ้ว 6 มิติ ลบรอยสักคิ้วด้วยเลเซอร์ ลบรอยสักคิ้ว Eyebrow Tattoo Removal เพ้นท์คิ้วลายเส้น เพ้นท์คิ้ว 3 มิติ
ให้ใจหายใจ สุขภาพ วิธีลดความอ้วน การดูแลสุขภาพ อาหารเพื่อสุขภาพ ออกกำลังกาย สุขภาพผู้หญิง สุขภาพผู้ชาย สุขภาพจิต โรคและการป้องกัน สมุนไพรไทย ผู้หญิง ศัลยกรรม ความสวยความงาม แม่ตั้งครรภ์ สุขภาพแม่ตั้งครรภ์ พัฒนาการตั้งครรภ์ 40 สัปดาห์ อาหารสำหรับแม่ตั้งครรภ์ โรคขณะตั้งครรภ์ การคลอด หลังคลอด การออกกำลังกาย ทารกแรกเกิด สุขภาพทารกแรกเกิด ผิวทารกแรกเกิด การพัฒนาการของเด็กแรกเกิด การดูแลทารกแรกเกิด โรคและวัคซีนสำหรับเด็กแรกเกิด เลี้ยงลูกด้วยนมแม่ อาหารสำหรับทารก เด็กโต สุขภาพเด็ก ผิวเด็ก การพัฒนาการเด็ก การดูแลเด็ก โรคและวัคซีนเด็ก อาหารสำหรับเด็ก การเล่นและการเรียนรู้ ครอบครัว ชีวิตครอบครัว ปัญหาภายในครอบครัว ความเชื่อ คนโบราณ


โดย: peepoobakub วันที่: 13 มีนาคม 2560 เวลา:18:13:13 น.  

ชื่อ : * blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Comment :
  *ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet
 

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.