|
สุขภาพดี ตามวิถีแห่งดาว
ตามอ่านมาจาก FB ของคุณดังตฤณ แล้วก็อยากเก็บไว้เพราะมีหลายตอน
.................
เภสัชศาสตร์ ธาตุกสิณ (1) ข้อพิจารณาของ ฟอสฟอรัส ====================
นอกจากจะศึกษาความเป็นไปของมหาภูตรูป 4 ที่ปรากฏในกายเนื้อของผู้ป่วยแล้ว ผู้จะเป็นแพทย์ผู้รักษาคนป่วยตามแนวทางการแพทย์แผนไทยยังต้องฝึกเพ่งพิศพิจารณาดูว่าในเครื่องยาต่างๆ ที่จะนำมาประกอบขึ้นเป็นตำรับยาสำหรับรักษาผู้ป่วยนั้นมีคุณสมบัติของธาตุอะไรบ้าง...
อย่างไรก็ตาม ในช่วงที่ประสบการณ์ของเรายังอ่อนหัดอยู่นั้น เรามักจะมองคุณสมบัติของเครื่องยาว่ามีธาตุอะไรอย่างที่ได้ยินได้ฟังมาจากตำรา ซึ่งเป็น Information แบบ สุตมยปัญญา หรือ จินตามยปัญญา เท่านั้น ซึ่งความรู้เหล่านั้นก็เพียงพอต่อการนำไปรักษาคนป่วยได้มากในระดับที่จำกัด ถ้าเป็นการดูก็เสมือนดูภาพถ่ายที่เป็นภาพนิ่งๆ
แต่สำหรับอาจารย์แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแล้ว การพิจารณาธาตุของสมุนไพร ไม่ว่าจะทำมาจากแร่ธาตุ (ธาตุวัตถุ), ส่วนของพืช (พืชวัตถุ), ชิ้นส่วนอวัยวะของสัตว์ (สัตว์วัตถุ) จะเป็นการพิจารณาถึง สภาวะ ที่ดำเนินไป หรือแนวโน้มที่เครื่องยานั้นจะเคลื่อนไปสู่สภาพสุดท้ายอีกชั้นหนึ่ง ถ้าเป็นการดูก็จะต้องเกิดภาพในจินตนาการเหมือนภาพฉายวีดิโอที่เป็นภาพเคลื่อนไหวของ อุปนิสัยของพืช หรือสัตว์นั้นๆ ซึ่งบุคคลหนึ่งที่น่าจะทำเช่นนั้นได้ก็เห็นจะได้แก่ อ. หมอชีวกโกมารภัจจ์ เพราะมีประวัติบันทึกเอาไว้ว่า เมื่อท่านขึ้นเขาเพื่อจะไปหาเครื่องยาท่านจะมีประสบการณ์เสมือนว่าพืชและต้นไม้ทุกต้นกำลังพูดบอกให้ท่านทราบได้ว่าตนมีสรรพคุณเยี่ยงไร
จากบันทึกประวัติสั้นๆ ท่อนนี้ ทำให้เราเชื่อว่าองค์ความรู้ด้านเภสัชศาสตร์ของพ่อปู่ฤาษีของเรานั้นจะต้องได้มาจากปัญญาในระดับ ภาวนามยปัญญา เลยทีเดียว และบูรพาจารย์แพทย์ที่เก่งๆ ในสมัยก่อนก็มักจะผ่านการบวชเรียนมาก่อน ยิ่งถ้าหากท่านใดได้ฝึกการเพ่งวัตถุ เอาวัตถุมาเป็นอารมณ์ในการฝึกสมาธิ ก็จะเชื่อมโยงได้ว่า ธาตุดิน, ธาตุน้ำ, ธาตุลม และธาตุไฟ ที่เห็นจากวัตถุภายนอกนั้น ก็มีส่วนหนึ่งที่มาดำเนินการในกายของตนเช่นกัน การเข้าใจสรรพคุณของสมุนไพรก็จะเฉียบคมมากยิ่งขึ้นไปอีก เราเรียกว่าการฝึก ภูตกศิน
ตัวอย่างธาตุวัตถุที่เราจะลองนำมาพิจารณากันในวันนี้ได้แก่ แร่ธาตุที่ชื่อว่า ฟอสฟอรัส (Phosphorus) ซึ่งเป็นหนึ่งในธาตุที่อยู่ใน Valency ที่ 5 ในตารางเคมี Periodic
ลักษณะสำคัญที่เราจดจำได้มากที่สุดของฟอสฟอรัสก็คือ การติดไฟ ถ้าอยากจะรู้ว่ามีฟอสฟอรัสที่ไหนบ้าง ของใกล้ตัวที่สุดก็คือ หัวไม้ขีด และพรายน้ำเรืองแสงของหน้าปัดนาฬิกานั่นเอง
หากเราเอาฟอสฟอรัสมาเผาไฟ (ไม่ควรทดลองเองหากไม่มีความรู้ด้านเคมีพอ) ฟอสฟอรัสจะติดไฟอย่างรวดเร็ว และควันไฟจากฟอสฟอรัสจะเป็นควันไฟที่ระคายเคืองอย่างมาก ว่าที่จริงมีระเบิดอยู่ชนิดหนึ่งที่ปัจจุบันประเทศสมาชิกของสหประชาชาติห้ามใช้ นั่นคือระเบิดฟอสฟอรัสขาว สะเก็ดของฟอสฟอรัสที่ไหม้ไฟจะกลายเป็นกรดฟอสฟอริก กัดกร่อนเหยื่อที่โดนมันเข้าไปจนถึงกระดูกและตายอย่างทรมาน กองทัพใดที่นำมาใช้จึงมักถูกประณามว่าทำการอำมหิตผิดมนุษย์ อ่านถึงตอนนี้ท่านคิดว่าฟอสฟอรัสเป็นธาตุอะไร หลายคนคงตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า ฟอสฟอรัสและความเป็นกรดน่าจะเป็นธาตุไฟใช่หรือไม่?
แต่หากฟอสฟอรัสเป็นสารประกอบกลับเป็นสารที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพของพืชและสัตว์อย่างมาก เราจะคุ้นชินกับการสูตรของปุ๋ยที่มี N (Nitrogen), P (Phosphorus) และ K (Potassium) ทั้งนี้เพราะหากพืชใดขาดฟอสฟอรัส พืชนั้นจะมีลักษณะแคระแกร็น ใบแห้งเหี่ยว ฟอสฟอรัสในลักษณะสารประกอบจึงกลับช่วยเรื่องของการแบ่งเซลล์ เพื่อการเจริญเติบโต อันเป็นคุณสมบัติของธาตุน้ำไปเสียนี่
สำหรับสุขภาพของมนุษย์ฟอสฟอรัสมีส่วนสำคัญร่วมกับแคลเซียม ประกอบกันเป็น Calcium Phosphate โครงสร้างของกระดูก เนื้อเยื่อที่แข็งแรงที่สุดในร่างกาย!!! ฟอสฟอรัสในที่นี้กลับมีลักษณาการของธาตุดินอย่างเด่นชัด นอกจากนี้ฟอสฟอรัสยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของสิ่งที่เรียกว่า Polyenylphosphatidylcholine หรือที่เราคุ้นหูกว่าในชื่อ Lecithin สารประกอบประเภทไขมัน (Phospholipid) ที่เป็นองค์ประกอบพื้นฐานของผนังเซลล์ หากเซลล์ตับของใครอักเสบ การกินอาหารเสริมกลุ่มนี้เข้าไปก็เป็นการช่วยปกป้องและบำรุงเซลล์ตับให้อักเสบน้อยลง ถ้าเป็นศัพท์การแพทย์แผนไทย เราเรียกว่า ช่วยดับพิษไฟในตับที่เกิดจากพัทธะปิตตะ อพัทธะปิตตะ ที่ไม่ปกติ Phosphorus ใน Lecithin กลับออกฤทธิ์เป็นน้ำในการดับไฟ
กำลังจะปลงใจเชื่อ หากเราอ่านงานวิจัยต่อ เราจะพบว่า Lecithin ตัวเดียวกันนี้ เมื่อไปทำงานกับเซลล์สมอง ช่วยให้เยื่อหุ้มเซลล์สมองทำงานในลักษณะฉนวน ช่วยให้กระแสประสาทสามารถทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ช่วยในเรื่องความจำ ซึ่งแท้จริงก็คือโรคลมในความหมายของการแพทย์แผนไทย ดังนั้นฟอสฟอรัสก็น่าจะมีสมบัติของธาตุลมด้วยเช่นกัน
ก่อนที่จะสิ้นสุดการพิจารณา เรายังพบว่าฟอสฟอรัสยังเป็นองค์ประกอบสำคัญของสารพลังงานในระดับเซลล์ที่เรียกว่า Adenosine Triphosphate ทำหน้าที่เก็บพลังงานให้เซลล์ต่างๆ เอาไว้ใช้ หากใครที่มีสารตัวนี้น้อย ก็จะมีอาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง หนาวง่าย และภูมิต้านทานไม่ดี แต่ทางตรงกันข้ามหากมีฟอสฟอรัสมากเกินไป ก็อาจก่อให้เกิดการอักเสบและแก่เร็ว ซึ่งส่วนเกินของฟอสฟอรัสมักจะมากับ Phosphate ในอาหารประเภทน้ำอัดลม และเนื้อสัตว์ที่กินอย่างล้นเกิน เมื่อกินมากๆ เข้าจึงเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้เสี่ยงต่ออาการกระดูกผุกระดูกพรุน ซึ่งเทียบเคียงได้กับผลสุดท้ายของระเบิดฟอสฟอรัสขาวที่กัดกร่อนกระดูก (เพียงแต่มีลักษณะที่เรื้อรังและค่อยเป็นค่อยไปกว่า)
ที่เขียนวกวนกลับไปกลับมานี้ ผมมีเจตนาจะชี้ให้เห็นว่า เพียงธาตุวัตถุตัวเดียวกันนี้ เมื่อเข้าสู่ร่างกายมนุษย์กลับมีสรรพคุณของธาตุที่ต่างกัน ขึ้นอยู่กับว่าร่างกายจะนำธาตุนั้นไปทำอะไร ดังนั้นสรรพคุณของสมุนไพรจึงขึ้นอยู่กับธาตุของผู้ป่วยเองด้วยว่าจะนำไปใช้ได้อย่างถูกต้องหรือไม่
จากบทความก่อนหน้านี้ ธาตุ และกายทั้ง 4 ผมได้กล่าวไปแล้วว่าเรามีทั้งรูปกายที่เป็นธาตุดิน และกายทิพย์ที่เป็นธาตุน้ำ ธาตุลม และธาตุไฟ ที่จะคอยกำกับควบคุมให้ธาตุต่างๆ ที่เข้าสู่ร่างกายสำแดงคุณลักษณะที่แตกต่างกันออกมา
หากฟอสฟอรัสตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของธาตุดินที่อยู่ในร่างกายคนธาตุดิน เราก็มักจะพบว่าฟอสฟอรัสจะถูกนำไปสร้างกระดูกซะส่วนใหญ่ แต่หากฟอสฟอรัสเข้าสู่ร่างกายของคนธาตุน้ำ เราก็มักพบว่าตับของคนธาตุน้ำมักจะไม่ค่อยอักเสบสืบเนื่องจากกายทิพย์แห่งธาตุน้ำ (Etheric body) สามารถนำพลังงานของฟอสฟอรัสไปใช้ในกระบวนการซ่อมแซมเซลล์ตับจะทำได้ดีกว่าคนธาตุอื่น ในขณะที่ระบบการทำงานของสมองคนธาตุลมดูเหมือนว่าจะทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่าคนธาตุอื่นเพราะกระบวนการของฟอสฟอรัสถูกกายทิพย์แห่งธาตุลม (Astral body) นำไปเสริมสร้างสมอง แต่คนธาตุไฟกำเริบก็อาจจะมีอาการร้อนรุ่ม กระสับกระส่าย และเกิดการอักเสบได้ง่าย เพราะธาตุฟอสฟอรัสตกอยู่ภายใต้กายทิพย์แห่งธาตุไฟ (Ego body) และปลดปล่อยทุกอย่างออกมาเป็นความร้อนและการเผาไหม้ดุจหัวไม้ขีด
กรณีเช่นนี้เป็นกรณีของการดำเนินไปของสรีระวิทยาในตัวคุณ Parany Duang-im ผู้แจ้งมาว่าเกิดในวันที่ 17 สิงหาคม 2527 เวลา ตี 2:14 นาที ตรงนี้หากเราคิดคำนวณหาธาตุเจ้าเรือนเกิดวันปฏิสนธิ ก็จะพบว่าคุณ Parany เกิดในฤดูกาลของธาตุน้ำ จึงสมควรที่จะมีความชุ่มชื้นของร่างกายมากหน่อย
แต่เมื่อพิจารณาร่วมกับระบบจักระของกายวิภาคราศี เรากลับพบว่า จักระตรงตำแหน่งก้นกบ (หมายเลข 3) หรือ Root chakra มีเงาของโลกหรือราหูบังอยู่ในตอนที่สร้างจักระนี้ Root chakra หรือจักระมูลธาร เป็นจักระสำคัญในการสร้างพลังให้ชีวิต สัมพันธ์กับสีแดงและการสร้างเม็ดเลือด จึงทำให้เป็นคนที่โลหิตจาง หรือเม็ดเลือดไม่สมบูรณ์ เมื่อเลือดไม่สมบูรณ์ธาตุน้ำก็มักจะอ่อนแอลงกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ซีดเซียวอ่อนแรงได้ง่าย
ในขณะที่ตำแหน่งจักระหมายเลข 2 หลอดลมมีการอั้นของธาตุลมเยอะ และเป็นจักระหลักที่อุปนิสัยของคุณ Parany ชอบใช้ จึงทำให้เกิดอาการหอบหืด และหลอดลมตีบได้ง่าย แค่ตื่นเต้นดีใจหรือเสียใจมากๆ บางทีก็ทำให้หอบกำเริบได้ด้วย
ในขณะที่พลังชีวิตธาตุไฟกลับไปกองอยู่ที่ศีรษะเกือบทั้งหมด (หมายเลข 1) การอักเสบบริเวณศีรษะจึงรุนแรง เลือดกำเดาไหล ความดันขึ้น ปวดศีรษะไมเกรน สิวอักเสบ ล้วนอยู่ในข่ายนี้ทั้งหมด และถ้าเราพิจารณาอาการ Hyperthyroid ที่ Catabolism สูงจนผอมเอาๆ ก็คืออาการธาตุไฟของจักระที่ลำคอกำเริบดีๆ นี่เอง
หากเราเอาฟอสฟอรัสมาทำการเขย่าและเจือจางหลายๆ ครั้ง ด้วยกระบวนการเตรียมยาที่เรียกว่า Homeopathy เราจะเปลี่ยนจากโมเลกุลทางวัตถุเหลือแต่ของเหลวที่ไม่มีโมเลกุลของฟอสฟอรัสหลงเหลืออีกต่อไป แต่เมือไปอ่านตำรับยา Materia medica ของ Phosphoricum acidum หรือ Homeopathy ที่เตรียมมาจากธาตุฟอสฟอรัสแล้วล่ะก็ จะพบว่ายาตำรับนี้ช่วยแก้อาการธาตุไฟเกินของคุณ Parany ได้แทบทั้งหมดเลยทีเดียว เพราะเราได้นำเอาส่วนที่เรียกว่า วิญญาณธาตุของฟอสฟอรัสนำมาใช้ในการรักษานั่นเอง
หมอปอง
Create Date : 05 กันยายน 2558 |
Last Update : 5 กันยายน 2558 14:39:35 น. |
|
5 comments
|
Counter : 834 Pageviews. |
|
|
|
โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:47:45 น. |
|
|
|
โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:50:16 น. |
|
|
|
โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:52:12 น. |
|
|
|
โดย: saifan วันที่: 5 กันยายน 2558 เวลา:14:54:42 น. |
|
|
|
โดย: peepoobakub วันที่: 13 มีนาคม 2560 เวลา:18:13:13 น. |
|
|
|
| |
|
|
|
|
MY VIP Friends
|
|
|
|
เงาจันทร์ในพรรณไม้
===================
ผมได้เคยชี้ชวนให้แฟนเพจ Dungtrin ได้พิจารณาคุณสมบัติของธาตุ ฟอสฟอรัส (ตามไปอ่านได้ใน Link https://www.facebook.com/dungtrin/photos/a.172991172758049.44204.169990773058089/912465385477287) ว่าแท้จริงแล้ว เราจะเข้าใจเครื่องยาต่างๆ ได้ดีเพียงไรนั้น ไม่ได้เป็นการพิจารณาแต่รูปลักษณ์และคุณสมบัติทางเคมีอันเป็นรูปธรรมของ แร่ธาตุ, พืช, หรือ สัตว์ ต่างๆ เท่านั้น แต่เราจะต้องเพ่งพิจารณาไปที่บริบททางนามธรรมของเครื่องยาทั้งหลายเหล่านั้นด้วย เพราะหากเราเข้าใจศักยภาพที่ซุกซ่อนอยู่ภายในเครื่องยาเหล่านั้นว่ามีความโน้มเอียงไปทางธาตุใด เราย่อมรู้วิธีที่จะนำมันไปใช้กับคนที่ป่วยจากการเสียสมดุลธาตุต่างๆ เช่นกัน
ศาสตร์ด้านสมุนไพรทั่วโลกต่างก็พัฒนามาด้วยหลักคิดเดียวกันว่า คน พืช สัตว์ ได้หยิบยืมเอาแม่แบบบางอย่างมาจากธรรมชาติคือจักรวาลอันยิ่งใหญ่ จึงมีคำกล่าวว่า As above, so below. นั่นคือบนฟ้าเป็นอย่างไร ต่ำใต้พสุธาย่อมเป็นไปเช่นนั้น และนำไปสู่หลักการทางสมุนไพรที่เรียกว่า Doctrine of Signature หรือ รูปลักษณ์ของพืช สัตว์ ที่บ่งบอกให้เราทราบถึงสรรพคุณทางสมุนไพรของมัน เพราะหากพืชพัฒนารูปร่างของมันด้วยพลังงานเดียวกับพลังงานที่ทำงานสร้างอวัยวะใด เราจะต้องพบลักษณะทางโครงสร้างบางอย่างที่มีความคล้ายหรือเหมือนกันในสมุนไพรที่เหมาะจะนำมารักษาอวัยวะนั้นๆ
สองสามบทความที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านคงคุ้นชินกับแนวความคิดที่ว่า อิทธิพลของพระจันทร์หรือดาวจันทร์นั้น สามารถส่งผลอย่างล้ำลึกต่อธาตุน้ำ หรือพลังชีวิตของ Etheric body ได้อย่างที่เราคาดไม่ถึงผ่านจักระดาวจันทร์ และอวัยวะที่ทำงานอย่างใกล้ชิดกับธาตุน้ำอย่างที่ได้กล่าวไปแล้วก็คือ สมอง และระบบอวัยวะสืบพันธุ์
นอกเหนือจากอวัยวะที่เป็นกองธาตุดินนั้นแล้ว ยังมีสนามพลังงานที่จำเพาะหนึ่งๆ กระจุกอยู่ในอวัยวะนั้นๆ ด้วย เราจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไรนักที่พบว่าหากเราสามารถจัดการจักระที่อยู่บริเวณอวัยวะนั้นได้ ก็จะมีส่วนช่วยให้อวัยวะเหล่านั้นทำงานได้ดีขึ้นด้วย
ในส่วนของจักระที่อยู่ใต้กระบังลมลงมา โดยเฉพาะจักระดาวจันทร์ที่ท้องน้อยที่ทำงานเกี่ยวกับมดลูกและรังไข่ เราจะพบว่ามีลักษณะของการทำงานที่เป็นพลังดิบๆ ของสัญชาติญาณ และไม่ผ่านการระบบของสติสัมปชัญญะ ทั้งนี้เพราะเราไม่อาจใช้จิตใจในระดับปกติเข้าไปสั่งการให้ไข่ตก หรือมดลูกบีบตัวได้โดยตรง อวัยวะที่ทำงานในแบบของจิตใต้สำนึก (Subconscious) นี้ มักจะมีสภาพใกล้เคียงกับ Stem cell มาก คือมีความสามารถในการแบ่งเซลล์เหลือค่อนข้างมาก รูปร่างของอวัยวะจึงเหมือนอวัยวะเด็กๆ ที่ยังไม่ได้พัฒนามากนัก (Poorly differentiate) จึงมีรูปร่างหรือโครงสร้างที่กลมๆ มนๆ
แต่ตรงกันข้าม อวัยวะที่อยู่เหนือกระบังลมขึ้นมามากเท่าไหร่ การทำงานของอวัยวะเหล่านี้และจักระของมัน ก็จะทำงานใกล้ชิดกับจิตสำนึก (Consciousness) ที่ควบคุมได้เท่านั้น เช่น เราสามารถที่จะกำหนดให้ลมหายใจของเราสั้นหรือยาวก็ได้ในขอบเขตหนึ่ง อวัยวะเหล่านี้มักมีลักษณะสมมาตร และการพัฒนาโครงสร้างของอวัยวะที่ซับซ้อน (Highly differentiate) เพื่อรองรับการทำงานที่จำเพาะมากๆ ของจิตสำนึก และทุกครั้งที่มีการ Differentiate ของเซลล์ เซลล์จะต้องสูญเสียพลังชีวิตออกไป เราจะได้เซลล์ที่ดูแก่ลง และอวัยวะที่มีโครงสร้างซับซ้อนที่สุดในร่างกายของคนเราก็คือ สมอง สมองจึงเป็นอวัยวะแห่งดาวจันทร์ที่ใกล้ชิดกับความตายมากที่สุด ดังเห็นได้จากการที่เซลล์สมองแบ่งตัวได้น้อยหรือแทบจะไม่สามารถซ่อมแซมตัวเองได้เลย ระบบธาตุในร่างกายจึงได้สร้างเกราะที่แข็งแกร่งที่สุดเอาไว้ห่อหุ้มสมองนั่นก็คือ กะโหลกศีรษะ และสมองที่มีลักษณะเป็นวุ้นสีขาวลอยแช่อยู่ในน้ำไขสันหลัง แต่ก็ยังหลงเหลือโพรงสมองเอาไว้ตรงกลาง เหมือนกระเปาะน้ำของไขสันหลังที่ถูกห่อหุ้มไว้ด้วยเนื้อสมองสีขาวอีกชั้นหนึ่ง
หมอสมุนไพรแต่โบราณมาเล็งหาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติแห่งดาวจันทร์เพื่อมาแก้อาการเลือดลมไม่ปกติ มองไปมองมาพบผลไม้ชนิดหนึ่ง มีเปลือกแข็งมาก เปลือกที่ว่าแข็งจนต้องใช้อุปกรณ์กะเทาะออก และเมื่อเฉาะออกมาดูแล้วจะพบเนื้อสีขาวที่คล้ายวุ้นอยู่ในชั้นถัดไป ตรงกลางของผลที่เปิดออกมาดูแล้วจะมีน้ำหอมหวานใสบริสุทธิ์ ผลไม้ชนิดนั้นมีชื่อว่า มะพร้าว
หากมองรูปมะพร้าวผ่าซีก (ภาพซ้าย) ดูผาดๆ อย่างผิวเผินเปรียบเทียบกับภาพ MRI สมองของคน (ภาพตรงกลาง) จะพบว่าเนื้อสมองของคนเราที่มีดโพรงสมองเป็นน้ำและห่อหุ้มด้วยกระโหลกศีรษะนั้นแทบจะมีรูปร่างไม่ต่างกันเลย!!!
งานวิจัยเกี่ยวกับน้ำมะพร้าว (กรุณาอย่าสับสนกับน้ำมันมะพร้าวนะครับ) มหาวิทยาลัยของไทยได้ศึกษาวิจัย เรื่องผลของน้ำมะพร้าวอ่อนต่อการชะลอการเกิดพยาธิสภาพโรคอัลไซเมอร์ โดยได้ทำการทดลองในหนูขาวเพศเมียที่ถูกตัดรังไข่ออก ผลการตรวจสอบพบว่า หนูขาวที่ได้รับน้ำมะพร้าวจะมีอัตราการตายของเซลล์ประสาทน้อยกว่าหนูที่ไม่ได้รับน้ำมะพร้าว อย่างไรก็ตามเราคงต้องการยืนยันผลการทดลองในการทดลองในคนต่อไปจึงได้ผลชัดเจน แต่อย่างน้อยหมอสมุนไพรก็สามารถบอกจากรูปลักษณ์ภายนอกของมะพร้าวได้ว่า น่าจะมีความสัมพันธ์กับระบบสมองไม่ทางตรงก็ทางอ้อม
คนโบราณเห็นทุกอย่างเป็นพลังงาน ถ้าน้ำมะพร้าวมีผลต่อธาตุน้ำในสมอง ผ่านกายทิพย์แห่งธาตุน้ำ (Etheric body) ดังนั้น คนโบราณจึงสอนกันว่า หญิงที่มีประจำเดือนอยู่ไม่ควรดื่มน้ำมะพร้าวอ่อน เพราะจะทำให้ประจำเดือนมากะปริดกะปรอยและทำให้มีประจำเดือนครั้งต่อไปล่าช้ากว่าปกติ แต่ให้สตรีวัยทองดื่มน้ำมะพร้าว เพื่อลดอาการวูบวาบจากภาวะหมดประจำเดือน หรือหากครรภ์เป็นพิษ มีไข้และอักเสบ กล่าวคือธาตุไฟเกิน จึงมีสูตรแนะนำให้เอาเป็นน้ำกระสายยาจิบดื่ม เพื่อบำรุงครรภ์ได้ ปัจจุบันงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์จึงค่อยวิจัยพบว่า ในน้ำมะพร้าวมีสารพวก Phytoestrogen อยู่ จึงช่วยเรื่องฮอร์โมนสตรีได้
ไม่เพียงเท่านั้น ตามหลัก Doctrine of Signature แล้ว ส่วนของสมุนไพรที่ตรงกับจักระดาวจันทร์ของพืชก็คือ ราก เพราะรากของพืชสามารถแบ่งเซลล์งอกไชชอนปักลงไปในดินได้ อีกทั้งยังทำหน้าที่เกี่ยวกับการดูดน้ำไปหล่อเลี้ยงต้นพืชทั้งต้น รากจึงเป็นส่วนที่ทำงานสัมพันธ์กับ Etheric body ของพืชมากที่สุด และส่วนของรากของพืชมักทำงานสัมพันธ์กับสมองของมนุษย์เสมอ เช่น โสมมักบำรุงสมอง เป็นต้น
กรณีที่น่าสนใจก็คือ ราก หรือเหง้าของพืชที่เป็นกระเปาะๆ หรือมีกระจุกของรากจำนวนมาก เพราะตามปกติรากของพืชโดยทั่วไปจะมีลักษณะเรียบยาว และมีรากแก้ว (Tap root) เพียงหนึ่งรากเท่านั้น แต่เราพบว่ารากของพืชอย่างกระชายขาว (Boesenbergia rotunda) (ภาพขวามือสุด) จะมีลักษณะโป่งพองออกเป็นกระเปาะ คล้ายนิ้วมือ และมีจำนวนรากจำนวนมาก คล้ายกับว่าจำนวนรากสามารถแบ่งเพิ่มจำนวนของตัวมันเองได้ไม่สิ้นสุด ซึ่งพิสูจน์ได้จากการที่เราสามารถแยกเหง้ากระชายไปลงดิน รากเหล่านี้ก็สามารถเพิ่มจำนวนกลายเป็นกระชายกอใหม่ได้สบายๆ แสดงถึงพลังชีวิต (Etheric force) สัมพันธ์กับการแบ่งเซลล์ (Cell Proliferation) ที่อัดแน่นอยู่ในรากของพืชชนิดนี้ กระชายจึงถูกนำมากินเพื่อแก้อาการอ่อนเปลี้ยเพลียแรง ไปจนถึงปลุกสมรรถภาพทางเพศได้ และเราจึงไม่แปลกใจที่จะพบว่ากระชายเข้าไปทำงานปรับสมดุลของ Estrogen ในเพศชายและหญิงได้
ส่วนของรากกระชายที่มีลักษณะป้อมๆ เราเรียกว่า นมกระชาย ก็ยังสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจักระดาวจันทร์ เพราะนอกจากมดลูกรังไข่แล้ว เต้านมของคนเราก็เป็นผลพวงของการทำงานของดาวจันทร์ด้วย อาหารบำรุงน้ำนมจึงมักมีกระชายเป็นส่วนผสมเสมอ ส่วนคนที่มีบุคลิกแบบดาวจันทร์จึงมักถูกบรรยายในตำราโหราศาสตร์ว่า ฉลาดเฉลียว จากการทำงานของสมองที่ดี และมีน้ำมีนวล มีเสน่ห์ อันเป็นผลมาจาก Sexual appeal ของฮอร์โมน Estrogen ที่เด่น หากเป็นผู้ชายมีครอบครัวก็จะรักและดูแลครอบครัวดีมาก เพราะสัญชาตญาณการเป็น แม่ ได้แฝงฝังอยู่ในตัวผู้ชายคนนั้น แต่ชายหญิงที่มีบุคลิกดาวจันทร์ หากขาดแล้วซึ่งศีลธรรม ก็จะทำให้เป็นผู้มักมากในกาม อันเนื่องมาจากฮอร์โมนเพศของ Etheric force ทำงานมากเกินไปนั่นเอง หากเราเข้าใจซึ่งธรรมชาติเพียงหนึ่ง เราย่อมสามารถนำไปเชื่อมโยงกับศาสตร์หลายๆ อย่างได้ด้วยประการฉะนี้
หมอปอง
https://www.facebook.com/HorosHealth/posts/540418669439526:0