Once upon a time ...
Group Blog
 
All blogs
 
เก็บปาก เก็บคำ

ช่วงก่อนหน้านี้ อยากพูด อยากเขียน อยากวิจารณ์ สารพัด แล้วก็ตั้งใจว่าลองเก็บปากเก็บคำสักสามอาทิตย์ดูซิ ดูว่าจะเก็บกดหรือเปล่า จะอัดอั้นตันใจแค่ไหน ก็...ยังอยู่มาได้ นั่งดูความอยากที่ค่อยๆจางลงไป พุ่งขึ้นมาบ้างยามได้ยิน ได้เห็นสิ่งกระตุ้นอารมณ์ แต่ก็ไม่มากเท่าช่วงแรกๆ อาจจะกลายเป็นความเหนื่อยหน่ายไปแล้วก็ได้ที่เห็นความเกลียดชังอย่างรุนแรงของฝ่ายหนึ่งที่มีต่ออีกฝ่ายหนึ่ง เห็นความเกลียดชังของผู้คนที่เรียกตัวเองว่าเป็น “คนกรุงเทพฯ” ที่มีต่อกลุ่มผู้ประท้วง นึกย้อนกลับไปถึงการประท้วงเมื่อ 2-3 ปีก่อน ยังไม่เห็นปฏิกิริยารังเกียจผู้ชุมนุมมากขนาดนี้ มันเป็นเพราะอะไร? ตั้งคำถามไปงั้นแหละ จริงๆอยากบ่นซะมากกว่า

ช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา พยายามทำความเข้าใจกับคนรอบข้าง ทำไมเขาคิดอย่างนี้ ทำไมหลายคนเห็นตามกัน เคียดแค้น เกลียดชัง คิดวนไปวนมา จนจะวนมากไปก็รู้สึกว่าเสียเวลา เสพข่าวมากเกินไป นานเกินไปและมองอะไรด้านเดียวมากเกินไป ก็อาจมีผลได้

เอาเรื่องที่คนรอบข้างแสดงออกมาเก็บไว้ที่นี่ละกัน

เพื่อนร่วมงานที่หนึ่งบอกว่า การที่ผู้คนกลัวผู้ชุมนุมเสื้อแดงมากกว่าเสื้อเหลือง เพราะว่า...กลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อเหลืองเป็นพวกปัญญาชน และไม่ได้ถูกจ้างมาชุมนุม
(อืม..เป็นปัญญาชนที่รู้จักใช้พื้นที่ในทำเนียบรัฐบาลให้เกิดประโยชน์โดยการเข้าไปทำนา สร้างชื่อเสียให้ประเทศไทยโดยการปิดสนามบิน สองเรื่องนี้ก็มากพอแล้วสำหรับกลุ่มปัญญาชนที่สร้างผลงานให้ประเทศนี้)


ในช่วงของการชุมนุมของพวกเสื้อเหลือง คนข้างบ้านเปิดทีวีช่องหนึ่งเสียงดังลั่นแต่เช้า เป็นเสียงผู้หญิงที่แผดเสียงด่าว่าอดีตนายกฯ ว่าแรงจนเราสงสัยว่า คนที่ฟังเสียงเหล่านี้แล้วชอบใจ แท้จริงในใจเขาคิดอะไร เป็นคนประเภทไหน เรามองเห็นพวกที่ยิ้มชอบใจเหล่านั้นเป็นมนุษย์ต่างดาวไปซะหมด เหมือนคนแปลกหน้าที่ไม่รู้สึกรู้สาและเห็นใจในความทุกข์ของผู้คน เสียงปีศาจนั่นสาปแช่งคนที่ป่วยหนักและบอกว่าไม่ต้องอโหสิกรรมให้คนประเภทนี้ เอาเรื่องบาปกรรมที่เขาทำไว้มาผูกโยงกับการเจ็บป่วย จำได้ว่าตอนนั้นหงุดหงิดกับเพื่อนบ้านที่รบกวนเวลานอนของเรา แล้วก็ขำความนิยมสีเหลืองของเขาที่เอาเสื้อสีเหลืองมาสวมให้หมาจรจัดหน้าบ้าน เอาสีเหลืองมาทาที่หลังเต่าหน้าบ้าน สารพัดที่แสดงออกถึงความเป็นคนเสื้อเหลือง ปีนั้นตั้งใจซื้อเสื้อสีแดงมาใส่ทั้งที่โดยส่วนตัวไม่ชอบใส่เสื้อสีแดงก็คงเพราะเขานี่แหละ

ลุงยามของหมู่บ้านเป็นหนุ่มเสื้อแดง ช่วงนี้ลุงยามแวะไปดูทีวีของบ้านหลังหนึ่งใกล้ป้อมยามเป็นระยะ ไปดูข่าวคราวความเคลื่อนไหวของผู้ชุมนุม มิน่า ลุงยามถึงไม่ถูกชะตากับพี่ข้างบ้าน

รปภ.ที่ที่พักก็เป็นหนุ่มเสื้อแดงเช่นกัน เปิดวิทยุฟังความเคลื่อนไหวของการชุมนุมทุกวัน เสียงจากวิทยุกำลังพอดี ไม่ได้รบกวนผู้คนรอบข้าง

ไม่ได้ถูกชะตากับรปภ.คนไหนเพราะความที่เขาเป็นเหลืองหรือแดงหรอกนะ แต่รปภ.สีแดงทั้งสองคนนี้ ทำงานดีจริงๆจ้า


สาวๆในออฟฟิศแอบกระซิบกระซาบกันว่า ดูสิเธอ เสื้อแดงชุมนุมทีไร ฝนตกทุกที พวกที่ไม่หวังดีต่อประเทศชาติ สมควรได้รับผลแบบนี้ ฟังแล้วก็อมยิ้ม เพราะพวกเธอเห็นว่า คนที่ไม่ร่วมด่าผู้ชุมนุมอย่างเราคงจะเป็นพวกเสื้อแดงนั่นล่ะ เลยไม่กล้าพูดดัง และขำเหตุผลที่ยกมาอ้าง นึกไปถึงหลานสาวที่ไปฟังใครเล่ามาว่า ที่คนเสื้อแดงชุมนุมแล้วมีฝนตก เป็นการทำพิธีเพื่อไม่ให้ผู้ชุมนุมร้อนเกินไป จะฟังเหตุผลข้างไหนก็น่าขำทั้งนั้น

FW mail ส่งมาเป็นระยะ เห็นหัวข้อ เห็นชื่อคนส่งก็ขอโทษในใจ แล้วก็ delete ไปเลย เรื่องไหนๆก็คุยกันได้ ยกเว้นเรื่องนี้ แปลกดีเหมือนกัน แล้วคนส่งแต่ละคนก็ยืนยันว่า เขาไม่ใช่พวกสีอะไรทั้งนั้น บางคนที่บอกว่าตัวเองนั้นกลางสุดๆ กลับลืมเรื่องของ “ผลของต้นไม้ที่มีพิษ” ที่เคยร่ำเรียนมาเสียสนิท


ณ เวลานี้ เรากลับรู้สึกว่าตัวเองเป็นชนกลุ่มน้อย คนที่ไม่แน่ใจว่า ความเชื่อ ความเห็นของตัวเองที่ไม่คล้อยตามชนส่วนใหญ่ของสังคมรอบข้างเป็นความเห็นที่ผิดทางหรือเปล่า เก็บปาก เก็บคำ ไม่กล้าที่จะแสดงความเห็นออกมาเพราะ...กลัวเจ็บ ความขัดแย้งกับใครๆ มันทำให้เราเจ็บตัวได้หลายรูปแบบอยู่เหมือนกัน

เขาเรียกร้องให้ยุบสภา เราเฉยๆ แต่ที่เราเรียกร้องคือ แก้รัฐธรรมนูญและทำกฎหมายลูกให้เรียบร้อยซะ ไม่อยากมองไกลไปถึงเรื่อง Check and balance ที่มันไม่มีหรือถ้ามีก็ช่างไม่น่าเชื่อถือเอาซะเลย โดยส่วนตัวของเรา มองว่าองค์กรแห่งหนึ่งเป็น stake holder ตัวหนึ่งของบ้านเมืองที่ควรต้องจัดการให้ดีขึ้น และควรจะทำอะไรได้แล้ว เรื่องที่เกิดคาราคาซังมาเพราะมีเหตุการณ์ปี 49 มันทำให้คนแสวงหาประโยชน์และกำลังทำลายองค์กรแห่งหนึ่งไป คนก็พูดกันไปว่าอดีตนายกฯล้วงลูก คนที่ฟังเขาพูดก็เชื่อกันไป คนที่อยู่ข้างในก็พูดไม่ได้ บางที... มันคงจะสายไปแล้วก็เป็นได้

เราหันกลับไปมอง แล้วก็..ช่างเถอะ เราทำอะไรไม่ได้มากไปกว่านี้ ที่ทำได้แล้วในตอนนี้คือ ให้อภัยกับผู้คนที่นั่น อโหสิกรรมให้ตั้งแต่ตอนที่พวกเขายังเป็นๆอยู่นี่ล่ะ

เราว่าเราก็รักสันติเหมือนใครๆ แต่ไม่สามารถปรับความเห็น ความเชื่อให้ไปตามกระแสได้ หรือเพราะเราดูทีวีน้อยไป อ่านหนังสือพิมพ์น้อยไป ฟังใครๆวิจารณ์เรื่องที่เกิดขึ้นน้อยไป สนใจเรื่องกินอยู่ เอาตัวรอดในแต่ละวันน้อยไป มัวแต่ไปสนใจรากฐานกลไกของบ้านเมืองในระยะยาวซะมาก

เก็บปากเก็บคำไม่โต้แย้ง ไม่แสดงความเห็นกับใคร ไม่รู้จะเป็นชนกลุ่มน้อยในเมืองหลวงไปอีกนานเท่าไหร่ จริงๆแล้ว ไม่ “เป็น” อะไรเลย คงจะดีกว่าแยะนะ



Create Date : 28 มีนาคม 2553
Last Update : 3 เมษายน 2553 16:52:01 น. 0 comments
Counter : 973 Pageviews.

saifan
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 2 คน [?]




Friends' blogs
[Add saifan's blog to your web]
Links
 

MY VIP Friends


 
 Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.