กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
 
เรื่องอำแดงเทียบ


พระราชวังบ้านปืน



เรื่องอำแดงเทียบ

เมื่อเร็วๆ นี้ ข้าพเจ้าผ่านเขาบันไดอิฐ เมืองเพชรบุรีไปหัวหิน ทำให้นึกถึงเหตุการณ์เรื่องที่ทำให้ข้าพเจ้าใจเต้นสุดเหวี่ยง ดังจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้

ระหว่าง พ.ศ. ๒๔๕๑ – ๒๔๔๒ นั้น พระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ เสด็จพระราชดำเนินไปประทับอยู่ที่พระราชวังบ้านปืน ซึ่งเป็นกรมทหารในบัดนี้ นั้นยังกำลังก่อสร้าง จึงเสด็จประทับอยู่ในพลับพลาไม่ริมแม่น้ำ และสะพานยาวเดินถึงกันตลอดไปตามริมฝั่ง ตามสะพานนั้นมีศาลาโถงเป็นที่จอดเรือพระประเทียบ (คือฝ่ายใน) เป็นหมู่ๆ ไป เรือผู้ที่มีหน้าที่จะต้องขึ้นไปทำราชการก็จอดอยู่ใกล้เรือพระที่นั่ง ข้าพเจ้าจำได้เพราะเรือสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงนิภานภดล ผู้ทรงเป็นราชเลขานุการิณีจอดอยู่ใกล้ๆ พลับพลา และข้าเจ้าตามเสด็จอยู่ในเรือลำนั้นด้วยเสมอ พอหมดกระบวนข้างใน ก็มีรั้วกั้นเป็นฝ่ายหน้าเรียกว่า ฉนวน แล้วก็ถึงตำหนักไม้รวกของเจ้านายฝ่ายหน้า มีเสด็จพ่อผู้ทรงเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นต้น

ข้าพเจ้าและน้องๆ จึงออกไปเฝ้าเสด็จพ่อได้ทุกวัน และท่านก็โปรดให้พวกนายตำรวจภูธรสอนให้พวกเราขี่ม้าทุกๆ เช้า ข้าพเจ้าจึงมีครูเป็นนายตำรวจหลายคน มีเจ้าคุณบริหารฯ เจ้าคุณพิทักษ์ฯ คุณสะอาดฯ หลายคน ทุกคนไม่ค่อยปราณีข้าพเจ้าเลย เพราะข้าพเจ้าไม่เคยตก ถ้าถึงเวลาเลือกม้าแล้ว พวกครูมักจะตะโกนว่า “เอาเจ้าผ่านปากแข็งใส่ ๔ เส้น ให้ท่านหญิงพูนไป” และข้าพเจ้าก็ไปได้จริงๆ ถ้าจะเล่าเรื่องขี่ม้าก็เห็นจะต้องเล่าอีกวันหนึ่งต่างหาก เพราะสนุกนัก

อย่างไรก็ดี เช้าวันหนึ่งที่เพชรบุรี ใน พ.ศ. ๒๔๕๒ นั้น เราก็ออกขี่ม้ากันตามเคย วันนั้นเลยไปถึงเขาบันไดอิฐ แล้วลงจากม้าขึ้นไปเที่ยวบนเขานั้นอยู่นาน จนจะกลับก็วิ่งลงเขามา ข้าพเจ้าลงมาข้างหลัง พอถึงเชิงเขาก็และเห็นหญิงบันดาลฯ น้องสาววิ่งกลับมาหน้าซีดเป็นกระดาษ ตะโกนบอกว่า “คนหัวขาดๆ อยู่ตรงนั้นแน่ะ” เท่านั้น บางคนก็กระโจนวิ่งตามมือชี้ไปดู แต่ข้าพเจ้าวิ่งไม่ออกใจเต้นตูมๆ ลงนั่งแปะอยู่กับที่ ๒ – ๓ คน จนพวกตำรวจเขาไปตรวจกันพักใหญ่ แล้วเขาก็กลับไปยังตำหนักเสด็จพ่อ พอเราไปถึง เราก็โจษกันเสียงดังลั่น ต่างคนเล่าโดยไม่ต้องรู้สึกว่าผู้ใหญ่เขายุ่งกันอย่างไรบ้าง

จนตกค่ำพวกทีไปดูมาก็นอนละเมอกันอึงคะนึง เพราะพวกเราไม่มีใครมีอายุเกิน ๑๒ – ๑๓ พอรุ่งขึ้นก็เลยไม่ได้ไปขี่ม้าอีก เพราะพวกตำรวจอาจารย์ม้าของเราหายไปหมด มีคุณจำรัสแวะมาหาคนหนึ่งสั่งว่า “ถ้าพบครูที่ไหนในหมู่นี้ไม่ต้องทักไม่ต้องรู้จักนะ” แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าทำไม จนตอนสายแล้วจึงเห็นเสด็จพ่อพระพักตร์บึ้ง ตรัสกับเจ้าเมืองเสียงลั่นว่า “ถ้าไม่ได้ใน ๗ วันนี้ เราต้องออกหมด เพราะเห็นแล้วว่าเราไม่มีความสามารถปกครองได้ ฉันจะสั่งปลดนายนายตำรวจเจ้าเมืองเทศา แล้วฉันก็จะกราบถวายบังคมลงออกด้วย” เราจึงค่อยๆ เข้าใจเหตุการณ์ขึ้นว่ามันไม่สนุกเท่าที่เราตื่นเต้นโจษกันเลย และก็เลยได้แต่อยู่เงียบๆ ด้วยความสงสารพวกครูเต็มที ทั้งกลัวเสด็จพ่อด้วย เพราะท่านไม่ยิ้มแย้มดังเคย และมีคนมาเฝ้าและเสด็จออกไปข้างนอกบ่อยๆ เราก็รู้แต่ว่าเขากำลังตามจับผู้ร้ายกันอยู่

พอถึงวันที่ ๖ ก็ได้ตัว เพราะรู้ว่าผู้ตายคือนายคุ่ยชู้ของอำแดงเทียบ อำแดงเทียบโกรธนายคุ้ยว่าจะไปแต่งงานกับหญิงสาว จึงให้นายแดงผู้เป็นหลานไปจัดการตีกระบาลเสียให้หายแค้น เผอิญนายคุ่ยเกิดสู้นายแดงซึ่งหนุ่มกว่า นายแดงก็ตีกระบาลเสียจนดับ เมื่อทำการรุนแรงลงไปแล้ว นายแดงก็กลัวจะจับได้ จึงตัดหัวนายคุ่ยผู้ตายไปฝังไว้เสียทางหนึ่ง ตำรวจสืบเข้าไปจนถึงตัวนายแดง แล้วเกลี้ยกล่อมให้รับสารภาพเพื่อโทษจะได้เบาลง นายแดงจึงพาไปขุดหัวนายคุ่ยมาให้ พร้อมกับคำสารภาพ พอรู้เรื่องกันว่าจับผู้ร้ายได้แล้ว ก็ไม่มีใครเชื่อกันสักคน หาว่าเจ้าพนักงานสมรู้กันให้คนอื่นสารภาพขึ้น เสนาบดีมหาดไทยต้องทรงขอศาลให้มีการไต่สวนคดีนี้เป็นการเปิดเผยพิเศษ และให้ผู้สงสัยเสนอข้อท้วงติงได้ จึงเป็นคดีหนึ่งที่คนแน่นศาลทุกๆ ครั้งที่มีการพิจารณา ที่จริงถ้าเป็นผู้อื่นมาสมรู้ยอมเป็นจำเลยแล้ว ทำไมจึงจะรู้ที่ฝังหัวนายคุ่ยเล่า ส่วนอำแดงเทียบเมื่อนายแดงรับแล้ว แกก็รับด้วยโดยดี จึงเป็นอันถูกจำคุกตลอดชีวิตทั้ง ๒ คน ในฐานสารภาพผิด

ฝ่ายพวกเราเด็กๆ นั้นอยากเห็นยายเทียบนั้นเป็นกำลัง อ้อนวอนให้ผู้ใหญ่พาไปดูที่ศาลจนได้วันหนึ่ง พอเห็นแล้วก็ร้องพิโธ่กันทุกคน เพราะนึกว่าแกคงเป็นสาวสวย ที่ไหนได้อายุก็ราว ๓๐ – ๔๐ แล้ว หน้าตาก็ไม่สวยซ้ำฟันยังเยินด้วย ใครไปดูก็ไปซักเรื่องราวแกทุกคน จนลงท้ายยายเทียบเห็นใครไป ก็เล่าเรื่องของตัวเองเสียคล่องโดยไม่ต้องซักถาม เสร็จการพิจารณาพิพากษาแล้ว เขาก็ส่งนักโทษทั้ง ๒ คนนี้ไปไว้คุกราชบุรี พวกครูม้าของเราก็เป็นอันสิ้นเคราะห์ไปที.


.........................................................................................................................................................


คัดจาก "สารคดีที่น่ารู้" พระนิพนธ์หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล



Create Date : 23 กรกฎาคม 2550
Last Update : 23 กรกฎาคม 2550 10:08:52 น. 1 comments
Counter : 1710 Pageviews.  
 
 
 
 
... แวะมาอ่านค่ะ อ่านแล้วก็สลักนาม ย้ำไว้ว่าแวะมาเยี่ยมค่ะ....
 
 

โดย: naragorn วันที่: 8 สิงหาคม 2550 เวลา:21:28:41 น.  

Name
* blog นี้ comment ได้เฉพาะสมาชิก
Opinion
*ส่วน comment ไม่สามารถใช้ javascript และ style sheet

กัมม์
 
Location :


[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 41 คน [?]




วิชา ความรู้จะมีค่าเมื่อถูกถ่ายทอด
[Add กัมม์'s blog to your web]

MY VIP Friend

 
pantip.com pantipmarket.com pantown.com