Group Blog
 
All blogs
 

Survival of the Dead (2009): คาวบอยซอมบี้

Survival of the Dead (2009) :
คุณตา George A. Romero ผู้ให้กำเนิดหนังซอมบี้คลาสสิคอย่าง Night of the Living Dead (1968) และ Dawn of the Dead (1978) ยังคงยึดมั่นกับหนังตระกูล ...of the Dead อย่างไม่สร่างซา หลังจากสองปีก่อนได้เข็น Diary of the Dead ออกมาให้คนแซวเล่นว่าลอกมุกการใช้กล้องวีดีโอถ่ายแบบ [Rec] (2007) มาหรือเปล่า ว่าแล้วก็มาถึงเรื่องล่าสุดที่คราวนี้ เอิ่ม..มีการดวลปืนสไตล์คาวบอยให้ดูกันซะด้วย (?!)


ท่าทางเนื้อคุณลุงจะเหนียวน่าดูนะเนี่ย
พล็อตเรื่องก็คงไม่ได้หนีจากหนังแนวนี้ไปไหน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของการเอาชีวิตรอดของคนจำนวนหนึ่ง ที่ดั้นด้นเดินทางไปยังเกาะแห่งหนึ่งเพราะหวังว่าที่นั่นจะห่างไกลจากภัยซอมบี้ แต่พอไปถึงกลับพบว่าซอมบี้ดันมีอยู่เต็มเกาะเรียบร้อย และที่น่าหนักใจกว่าปัญหาซอมบี้ก็คือปัญหาจากคนด้วยกันเองนี่แหล่ะ ที่ไม่ว่าโลกจะเป็นยังไง ก็ยังคอยจ้องจะแตกความสามัคคี แบ่งพรรคแบ่งพวก ห้ำหั่นกันเองอยู่ร่ำไป ซึ่งก็เป็นประเด็นหลักในหนังซอมบี้ของคุณตาเรื่องที่ผ่านๆ มา ที่ใช้หนังซอมบี้มาเป็นตัววิพากษ์วิจารณ์สังคมในขณะนั้น แบบที่ดูเอาสยองก็ดูได้ ดูเอาสาระที่แฝงอยู่ก็ยังมี ว่างั้นเหอะ


ดูเหมือนซอมบี้สาวตัวนี้จะมีปัญหาเรื่องตาเป็นต้อนะเนี่ย
คุณตายังคงรักษาขนบหนังซอมบี้รุ่นดั้งเดิมของตนไว้อย่างมั่นคง นั่นคือเหล่าซอมบี้ในหนังแกจะไม่เน้นน่ากลัว (แต่ออกแนวน่าสงสาร) พากันเดินกันแบบแข็งทื่อ ช้าๆ ไม่ได้วิ่งปรู๊ดปร๊าดเหมือนหนังซอมบี้สมัยใหม่ทั้งหลาย และยังคงดูเป็นหนังซอมบี้เกรดบีที่ใช้ทุนไม่สูงนัก นักแสดงก็ใช้กันไม่กี่คน แถมยังอุตส่าห์มีเหล่าตัวละครจาก Diary of the Dead โผล่มาแว๊บๆ มาให้แฟนหนังได้ระลึกชาติ(จากเรื่องก่อน)กันซะด้วย ซึ่งก็ดูเข้าท่าดี ส่วนประเด็นวิพากษ์วิจารณ์สังคมที่แฝงอยู่ก็คงจะมี ซึ่งอันนั้นก็แล้วแต่ละคนว่าจะเก็ทได้มากแค่ไหน สุดท้ายคือฉากแหว่ะที่ทำได้ดีตามมาตรฐานหนังสมัยนี้ แต่ก็ไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้ได้ซู้ดปากกันให้เห็น หนังเรื่องนี้จึงเหมาะสำหรับแฟนหนังของคุณตา เพราะถ้าไม่ใช่จะพบว่านี่ช่างเป็นหนังซอมบี้เกรดบีที่ไม่มันส์ถูกใจวัยโจ๋เอาซะเลย


ซอมบี้ในหนังของคุณตามักจะออกแนวน่าอนาถมากกว่าน่ากลัว
  • น่าดูเพราะ: หนังเรื่องล่าสุดของผู้คุณตาของหนังตระกูลซอมบี้ชุด ...of the Dead ซึ่งคงจะดึงดูดคอหนังซอมบี้อยู่ได้บ้างไม่ใช่น้อย
  • ไม่น่าดูเพราะ: เข้าขั้นธรรมดา ไม่มีอะไรใหม่ หาผลงานเก่าๆ อันคลาสสิคของตาเขามาดูแทนยังจะสนุกกว่าเยอะ





 

Create Date : 20 มีนาคม 2553    
Last Update : 20 มีนาคม 2553 11:54:59 น.
Counter : 3162 Pageviews.  

Shutter Island (2010): เกาะคลั่งคนหลอน


Shutter Island (2010) :
ผลงานล่าสุดของ ผกก.Martin Scorsese (The Departed [2006]) ที่สร้างจากนิยายขายดีชื่อเดียวกันของ Dennis Lehane เมื่อปี 2003 เรื่องนี้ นับเป็นการร่วมงานกันครั้งที่ 4 กับคุณพี่ Leonardo DiCaprio แล้ว ซึ่งแบบนี้ก็พอจะเรียกได้เต็มปากเต็มคำว่าพี่ DiCaprio ก็คือดาราคู่ขาเอ๊ยคู่บุญคนใหม่ของป๋า Scorsese นั่นเอง แถมการเข้าคู่กันระหว่างสองหน่อนี้ก็ค่อนข้างประสบความสำเร็จได้ทั้งเงินทั้งกล่องซะด้วยสิ(หนังเรื่องนี้ครองสถิติหนังของป๋า Scorsese ที่เปิดตัวแรงที่สุด คือสามารถทำเงินได้ถึง 40 ล้านเหรียญในช่วงสุดสัปดาห์แรกที่ออกฉายในอเมริกา) แบบนี้เราคงจะได้เห็นทั้งคู่ร่วมงานกันไปอีกนานล่ะครับพี่น้อง


พี่ลีโอกลับมาพบแฟนๆ อีกแล้วจ้า
หนังพาย้อนไปในปี 1954 เมื่อจนท.U.S. Marshal นาม Teddy Daniels (DiCaprio) และคู่หูคนใหม่ที่ชื่อ Chuck Aule (Mark Ruffalo จาก Zodiac [2007]) ได้ขึ้นเรือไปยังเกาะ Shutter Island อันเป็นที่ตั้งของ ร.พ.Ashecliff ซึ่งเป็นสถานที่รักษาเหล่าอาชญากรโรคจิตทั้งหลายแหล่ ทั้งคู่ต้องมาสืบสวนการหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยของหนึ่งในคนไข้ที่ชื่อ Rachel Solando ซึ่งยิ่งสืบไปสืบมาพระเอกของเราก็ยิ่งสติแตกมากขึ้นทุกที เพราะไหนจะต้องเจออุปสรรคจากพายุที่กำลังเคลื่อนผ่านเกาะ ไหนจะการได้เห็นภาพหลอนของภรรยาที่ตายไปแล้วถี่ขึ้นทุกที และที่สำคัญคือสิ่งที่เขาสืบพบนั้น จะทำให้ทั้งเขาและท่านผู้ชมต้องอึ้งทึ่งเหวอไปตามๆ กันเลยทีเดียว


หนังเต็มไปด้วยบรรยากาศหลอนๆ ซะเกือบทั้งเรื่อง
ผกก.Scorsese ยังคงเชื่อมือได้เช่นเดิม ในการที่สามารถทำให้หนังสืบสวนระทึกขวัญเรื่องนี้ อบอวลไปด้วยบรรยากาศหลอนและไม่น่าไว้วางใจตลอดทั้งเรื่อง คนที่ไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนจะต้องเดาไม่ถูกแน่ว่าหนังจะจบลงยังไง (และก็จบได้อย่างเหวอกันไปข้างซะด้วยสิ) ในขณะที่งานด้านภาพและการนำเสนอก็มีนัยแบบที่มีอะไรให้คิดตามและได้ตีความหมายกันสนุกแน่(ดูรอบที่สองที่สามก็ยังสนุกได้อยู่) แน่นอนทีเดียวที่พี่ Leonardo DiCaprio ที่เป็นจุดศูนย์กลางของหนัง ก็สามารถแบกรับหนังทั้งเรื่องไว้ได้เป็นอย่างดี แบบที่ไม่แบ่งความดีความชอบให้กับนักแสดงคนอื่นๆ เลย(แต่คนอื่นๆ ก็ทำหน้าที่ของตนได้ดีด้วยเช่นกัน) ทว่าการที่หนังเน้นการสืบสวน เต็มไปด้วยฉากหลอนๆ เหนือจริง ขาดแคลนฉากบู๊ และอุดมไปด้วยบทสนทนาเช่นนี้ ถ้าไม่ได้ตั้งใจตามเรื่องให้ตลอดก็อาจจะรู้สึกว่างงและเบื่อเอาได้ อ่อ อีกอย่างที่น่าสนใจคือหนังเรื่องนี้ไม่มีการแต่งสกอร์ขี้นมา แต่ใช้วิธียืมเพลงโน้นเพลงนี้ของเหล่าศิลปินต่างยุคสมัยมาใช้ประกอบได้อย่างลงตัวสุดๆ เจ๋งไปเลยจ้า

พี่แกเด่นซะจนตัวประกอบได้แต่แอบมองด้วยความอิจฉา
  • น่าดูเพราะ: การร่วมงานกันอีกครั้งของสองหน่อยังคงมีผลลัพธ์ออกมาเจ๋งเช่นเดิม แฟนๆ ที่ชอบหนังสืบสวนสอบสวนระดับคุณภาพ ที่ท้าทายสติปัญญา ไม่ควรพลาดจ้า
  • ไม่น่าดูเพราะ: เต็มไปด้วยบทสนทนา ขาดแอ็คชั่น บางคนดูแล้วอาจเซ็งจิต






 

Create Date : 19 มีนาคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2554 6:52:27 น.
Counter : 2542 Pageviews.  

Green Zone (2010): เจสัน บอร์นตะลุยอิรัก?!


Green Zone (2010) :
แฟนๆ หนัง Jason Bourne สองภาคหลังคงได้เฮกันยกใหญ่ เมื่อพี่ Matt Damon กับ ผกก.Paul Greengrass เกี่ยวก้อยลั้ลลากันมาพร้อมผลงานชิ้นใหม่อีกครั้ง โดยคราวนี้ขอย้ายสำมะโนครัวความมันส์ไปบู๊กันกระจายยังอิรักมั่งล่ะทีนี้ ซึ่งนอกจากหนังจะมาพร้อมเอกลักษณ์ประจำใจของ ผกก.ที่ต้องถ่ายภาพแบบฉวัดเฉวียนส่ายไปส่ายมาชวนหน้ามืดตาลายคล้ายจะเป็นลมแล้ว หนังยังวิพากษ์วิจารณ์การบุกอิรักของมะกันแบบแทงใจดำทะลุไส้ติ่ง(ไปไงเนี่ย?)ชนิดที่ว่าคนมะกันบางส่วนคงได้หันมามองค้อนกันขวับแน่ๆ เชียว

คุณพี่ Damon กลับมากับหนังแอ็คชั่นน้ำดีอีกครั้ง
หนังย้อนไปอิรักในช่วงที่ทหารมะกันเพิ่งบุกเข้าไปยึดใหม่ๆ (ช่วงปี 2003 โน่น) เมื่อ Roy Miller (พี่ Damon) นายทหารพิเศษแห่งกองทัพบกสหรัฐ ที่มีหน้าที่ตามหาอาวุธทำลายล้างสูงที่หน่วยข่าวกรองชี้เบาะแสว่าอิรักมีแอบซ่อนเอาไว้ ซึ่งเขาหาเท่าไหร่ก็หาไม่ยักเจอ แต่ที่ไปหาเจอแทนกลับเป็นเรื่องราวมีลับลมคมในบางอย่าง จนชักทำให้เขาไม่แน่ใจว่าที่อเมริกาบุกอิรักเนี่ยไม่ใช่แค่เพราะอิรักเป็นอักษะแห่งความชั่วร้ายที่มีอาวุธทำลายล้างสูงไว้ในครอบครองเท่านั้นซะแล้ว แต่เพราะมีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงอยู่หรือเปล่าหนอ ทั่น ปธน.George W. Bush ที่เคารพรัก?


มีดาราคุณภาพมาประชันบทบาทกัน
และแล้ว ผกก.Greengrass ก็ไม่ทำให้แฟนๆ ต้องผิดหวัง เพราะถึงแม้หนังจะมากับพล็อตเดิมๆ แนวมะกันข่มเหงชาติอื่น แต่ ผกก.เราก็มีฝีมือพอที่จะทำให้หนังออกมาดูสนุกมีลุ้น ทั้งฉากแอ็คชั่นที่มันส์สะใจ การสืบสวนที่ชวนติดตาม และการหักเหลี่ยมเฉือนคมกัน เมื่อบวกเข้ากับสไตล์กล้องสวิงสวายและดนตรีประกอบสุดคึกก็ยิ่งเพิ่มความสมจริงและความระทึกให้กับตัวหนังได้อย่างแรง แต่ก็ไม่ใช่สักแต่จะบู๊กันไม่ลืมหูลืมตานะ เพราะยังมีเนื้อหาชวนคิด ที่ต้องการการประมวลผลจากซีพียูในสมองของทั่นให้คิดตามขณะดูอยู่ตลอดด้วย(ไม่งั้นอาจมีเอ๋อ) ในขณะที่พี่ Damon ก็มาในลักษณะพิมพ์นิยมของพี่เขา ซึ่งก็ไปได้กับบทเป็นอย่างดี และสามารถพูดประโยคประจำตัวที่ว่า"ผมจะเอาไปคิดดูก่อนนะ"ได้เท่ที่สุดในอิรักเลยเชียว(อะไรจะปานนั้น) แต่เรื่องราวที่ต้องคิดตามตลอดและสไตล์การถ่ายทำแบบชวนตาลายเช่นนี้ ก็อาจส่งผลเสียแก่ผู้ที่ไม่คุ้นเคยได้เช่นกัน ดังนั้นถ้าเป็นไปได้เลือกที่นั่งในโรงด้านหลังๆ หน่อยก็แล้วกันจะได้เวียนหัวน้อยหน่อยนะจ้ะ

ใครชอบดูหนังที่เกี่ยวกับทหารๆ คงจะถูกใจกันแน่
หลายๆ คน(โดยเฉพาะคนอเมริกันส่วนใหญ่) อาจจะเห็นว่าหนังเน้นการวิพากษ์วิจารณ์อเมริกา(หรืออันที่จริงคือพวกนักการเมือง)แบบขอกระหน่ำแหลกข้างเดียวไปสักหน่อย ซึ่งก็อาจจะใช่ แต่ถ้าจะมองด้วยสายตาที่เป็นกลาง จากเราๆ ท่านๆ ที่เป็นคนนอก มันก็เป็นอะไรที่น่าคิดอยู่ คงจะเคยได้ยินกันอยู่ว่ามีฝูงแร้งจ้องจะรุมทึ้งแหล่งน้ำมันในอิรักเยอะแค่ไหน หนังเน้นให้เห็นอยู่ตลอดเวลาถึงความสุขสบายของทหารมะกันใน Green Zone (เขตปลอดภัยของชาวตะวันตกในแบกแดด) ในขณะที่ประชาชีชาวอิรักตาดำๆ ไม่มีแม้แต่น้ำดื่มสักหยด เหมือนหนังจะพยายามจะบอกกับเราว่าเรื่องในประเทศเขาก็ต้องให้คนของเขาจัดการกันเอง การไปเจ้ากี้เจ้าการของอเมริกาไม่ได้ส่งผลดีในระยะยาวเลย มีแต่จะส่งผลเสียหายเรื้อรังแก่ตนเองและอิรักก็ยังคงวุ่นวายดังเช่นที่เราได้พบได้เห็นจากข่าวอยู่ทุกวันนี้นั่นเอง

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังแอ็คชั่นทริลเลอร์ในบรรยากาศสงครามอิรัก ที่ทำได้มันส์ ลุ้นระทึก ประเทืองปัญญา แฟนหนังของทั้งพี่ Damon และ ผกก.Greengrass ทราบแล้วเปลี่ยน
  • ไม่น่าดูเพราะ: สไตล์ภาพของหนังฉวัดเฉวียนชวนเวียนหัว และมีเนื้อหาที่เรียกร้องให้คิดตาม บางคนอาจดูแล้วไม่ค่อยสนุกนักหรอก






 

Create Date : 15 มีนาคม 2553    
Last Update : 13 มกราคม 2554 6:54:07 น.
Counter : 2984 Pageviews.  

Brooklyn's Finest (2010): ตำรวจดีๆ ยังมีอยู่มั้ย?

Brooklyn's Finest (2010) :
คุณพี่ Ethan Hawke (Daybreakers [2009]) เคยร่วมงานกับ ผกก.Antoine Fuqua ในหนังอาชญากรรมเกี่ยวกับตำรวจมาแล้วอย่าง Training Day (2001) ซึ่งก็อาจจะเรียกได้ว่าเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งในเครดิตการทำงานของคนทั้งสองก็ว่าได้ ว่าแล้วทั้งคู่ก็ได้หวนคืนกลับมาร่วมงานกันอีกครั้งในหนัง ดราม่า-อาชญากรรมในแวดวงตำรวจเรื่องนี้ โดยคราวนี้ขนดาราคุณภาพมาร่วมแจมเพียบเลย

เฮีย Wesley Snipes กลับมาอีกครั้งหลังจากหายหน้าไปเล่นหนังแผ่นซะหลายปี
หนังเสนอเรื่องราววุ่นๆ ของตำรวจบรู้คลินสามนาย ที่ถึงจะไม่ได้รู้จักกันเป็นการส่วนตัว แต่เรื่องราวของพวกเขาก็เกี่ยวพันกันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง โดยเฉพาะการที่ทั้งสามต้องยืนอยู่บนเส้นบางๆ ที่แบ่งระหว่างความดีและความชั่ว ไม่ว่าจะเป็น

Sal (Hawke) ตำรวจร้อนเงินซึ่งพยายามทำทุกวิถีทางที่จะได้เงินไปดาวน์บ้านใหม่ให้ครอบครัว เพราะอยากให้ลูกเมียกว่าอีก 8 ชีวิตได้อยู่อย่างสุขสบาย ซึ่งนั่นอาจจะหมายถึงการที่เขาอาจต้องคอยขโมยเงินของกลางจากการบุกจับพวกค้ายาด้วย


Tango (Don Cheadle จาก Crash [2004]) ตำรวจที่แฝงตัวเข้าแก๊งค์ค้ายามาช้านาน และเขาก็อยากกลับไปทำงานนั่งโต๊ะสบายๆ ไม่ต้องเสี่ยงแทบแย่อยู่แล้ว แต่ก็ต้องคิดหนักเพราะงานส่งท้ายของเขาคือการต้องจับ Caz (Wesley Snipes จากไตรภาค Blade) เพื่อนรักร่วมแก๊งค์ผู้เคยช่วยชีวิตเขาไว้


และคนสุดท้ายคือ Eddie (Richard Gere จาก Hachiko: A Dog's Story [2009]) ตำรวจแก่หมดไฟที่กำลังจะเกษียณในอีกไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งเขาก็ใช้ชีวิตและทำงานอย่างแบบขอไปที แถมยังคิดจะฆ่าตัวตายวันละหลายครั้งอีกด้วย สิ่งเดียวที่ทำให้เขาพอจะมีความสุขอยู่ได้บ้าง คือการได้ใช้เวลาอยู่กับ Chantel โสโภณีที่ดูเหมือนจะเข้าอกเข้าใจเขาเป็นอย่างดี
และอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขาลุกขึ้นมาพิสูจน์ตนในฐานะผู้พิทักษ์สันติราษฏร์ที่ดีอีกครั้งหนึ่ง


เป็นตำรวจที่ดีนี่ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เลยนะเนี่ย
ดูเหมือนคุณ ผกก.เราจะเชี่ยวชาญ และเข้าใจในการทำหนังอาชญากรรมในแวดวงตำรวจเป็นอย่างดี เพราะหนังออกมาจริงจัง เข้มข้น น่าเชื่อถือ และสะท้อนปัญหาในแวดวงตำรวจได้อย่างน่าสนใจ แม้จะไม่มีแง่มุมใหม่ๆ มา แต่ก็ยังทำได้น่าติดตาม เหล่าดารานำก็เล่นกันได้อย่างสมฐานะ ที่จะเด่นกว่าคนอื่นหน่อยคือคุณ Hawke ในมาดกระสับกระส่ายเลิกลั่ก เพราะเกิดการต่อสู้ภายในจิตใจระหว่างความดีและความชั่ว ในขณะที่คุณ Gere บทเหมือนจะเด่นน้อยกว่าคนอื่น แต่ก็ยังโอเคอยู่ และน่าดีใจที่เห็นเฮีย Snipes หวนคืนสู่จอเงินได้อย่างน่าชื่นชม หลังจากหายไปเล่นหนังแผ่นซะกว่า 5 ปี

ป๋า Gere และพี่ Hawke ในบทตำรวจ(อีกแล้ว)
แม้อาจจะไม่มีการแสดงระดับออสก้าร์มามอบให้และก็ไม่โดดเด่นเท่าใน Training Day แต่ก็ยังถือว่าเป็นผลงานที่น่าพอใจของทุกคนที่เกี่ยวข้อง มีหลายฉากหลายตอนที่ทำออกมาได้น่าสนใจ ให้แง่คิด โดยเฉพาะประเด็นเกี่ยวกับ ความชั่ว ซึ่งไม่ว่าเราจะ ทำเป็นละเลยไม่สนใจเมื่อเห็นคนทำความชั่ว การที่ตัดสินใจทำชั่วเพื่อคนที่เรารัก หรือแม้แต่การอยู่ในแวดวงคนชั่วจนมันค่อยๆ หล่อหลอมเราให้กลายเป็นแบบนั้นทีละนิด ก็ล้วนเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องทั้งนั้นแหล่ะนะจ้ะ

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังดราม่าอาชญากรรมในแวดวงตำรวจคุณภาพดีอีกเรื่อง คนที่เคยชอบ Training Day ก็ไม่ควรพลาดนะจ้ะ
  • ไม่น่าดูเพราะ: เล่าเรื่องราวของคนสามคนแบบนี้ เลยไม่สุดๆ ไปสักทาง และทำให้คนดูไม่ค่อยรู้สึกผูกพันกับตัวละคร ถ้าคาดหวังจะดูฉากแอ็คชั่นมันส์ๆ ก็คงจะผิดหวังแน่






 

Create Date : 13 มีนาคม 2553    
Last Update : 26 ตุลาคม 2554 21:35:00 น.
Counter : 3956 Pageviews.  

Hunger (2008): อด(ตาย)เพื่อศักดิ์ศรี


Hunger (2008):
หนังดราม่าหนักๆ ที่สร้างจากเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในไอร์แลนด์เหนือช่วงต้นยุค 80 ซึ่งเกี่ยวกับการอดอาหารประท้วงในเรือนจำของเหล่านักโทษทางการเมืองชาวไอริชจำนวนหนึ่ง เพื่อเรียกร้องสิทธิที่ตนพึงได้รับ ท่ามกลางการถูกปฏิบัติอย่างเลวร้ายจากเจ้าหน้าที่เรือนจำ ในยุุคสมัยที่ไอร์แลนด์เหนือแทบจะลุกเป็นไฟจากปัญหาการก่อการร้ายโดยขบวนการ IRA (Irish Republican Army) ที่ต้องการปลดแอกไอร์แลนด์เหนือจากการปกครองของอังกฤษ ซึ่งเป็นปัญหาความขัดแย้งที่เรื้อรังมาเป็นเวลาเนิ่นนานแล้ว


ฝาห้องเต็มไปด้วยวอลเปเปอร์ลาย 'อุจจาระ'
หนังพาเข้าไปดูสภาพของนักโทษทางการเมืองเหล่านี้ในเรือนจำ Her Majesty's Prison Maze (หรือที่รู้จักกันว่า The H Blocks, Long Kesh และ The Maze) ซึ่งทางการได้ยกเลิกข้อตกลงเกี่ยวกับสิทธิที่เหล่านักโทษการเมืองพึงได้รับ และให้ได้รับการปฏิบัติเยี่ยงนักโทษทั่วไป พวกเขาจึงเริ่มทำการประท้วงโดยการปฏิเสธที่จะนุ่งเครื่องแบบนักโทษเพราะให้เหตุผลว่าพวกตนไม่ใช่อาชญากร และได้ขอติดคุกในสภาพเปลือยเปล่าโดยมีเพียงผ้าห่มผืนเดียวไว้คลุมกายยามหนาว

ผู้คุมเรือนจำนี้โหดดีจริง
พอหนักๆ เข้าพวกเขาก็เริ่มประท้วงโดยการออกแนวซกมก อย่างการไม่อาบน้ำ ทิ้งเศษอาหารไว้ในห้องขังจนเน่าเหม็นหนอนไต่ยั้วเยี้ย เอาอุจจาระตนเองมาละเลงผนังห้องขังจนทั่ว จนถึงที่สุดก็คือการอดอาหารประท้วงที่นำโดยนาย Bobby Sands ซึ่งส่งผลให้มีนักโทษเสียชีวิตเพราะขาดอาหารตายกว่า 10 คนในระยะเวลาสองเดือนกว่า (ยังมีอีกนับไม่ถ้วนที่อดอาหารตายไม่สำเร็จเพราะโดนแทรกแซงซะก่อน) จนในที่สุดการกระทำของพวกเขาก็ได้ทำให้ทั้งโลกหันมาสนใจ และกดดันให้ทางรัฐบาลอังกฤษโดยการนำของนายกรัฐมนตรี Margaret Thatcher ต้องยอมโอนอ่อนผ่อนตามในที่สุด ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญในเวลาต่อมา


ชายเปลือยเต็มเรื่องเลยเชียว
Steve McQueen ผกก.ชาวอังกฤษ ทำหน้าที่กำกับ/เขียนบทในผลงานเรื่องแรกของเขานี้ได้อย่างน่าชื่นชม ด้วยสไตล์การนำเสนอนิ่งๆ ชนิดที่ว่ามีหลายฉากเป็นแค่การตั้งกล้องแช่ทิ้งเอาไว้เฉยๆ (มีช็อตหนึ่งที่เราจะได้เห็นสองตัวละครนั่งคุยกันนานกว่า 15 นาทีโดยไม่มีการตัดต่อเปลี่ยนมุมกล้องเลยสักนิด) แต่ภาพที่เห็นกลับออกมาหนักแน่นและกระทบความรู้สึกอย่างแรง หนังเสนอเหตุการณ์ผ่านทั้งมุมมองของผู้คุมและนักโทษได้อย่างน่าสนใจ เหล่านักแสดงก็ทำหน้าที่ดีกันทั้งนั้น โดยเฉพาะคุณ Michael Fassbender (Inglourious Basterds [2009]) ในบท Bobby Sands (ผู้นำการอดอาหารประท้วงครั้งนั้น) ที่ยอมทุ่มทุนลดน้ำหนักจนแทบจะกลายเป็นโครงกระดูกเคลื่อนที่ได้อย่างน่าซูฮก (ผอมแห้งพอๆ กับคุณพี่ Christian Bale ในเรื่อง The Machinist [2004] เลย) แต่ในความที่เป็นหนังเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเมืองของไอร์แลนด์ที่ค่อนข้างซับซ้อนเลยอาจทำให้รู้สึกงงๆ สำหรับคนที่ไม่ได้รู้เกี่ยวกับเรื่องราวเหล่านี้มาก่อน และยังไม่นับความนิ่งของหนังที่อาจชวนเบื่อได้ในบางครั้งด้วย

  • น่าดูเพราะ: เป็นหนังที่นำเสนอเรื่องจริงที่เคยเกิดขึ้นมาได้อย่างหนักแน่น ทรงพลัง คุณ Michael Fassbender ก็ยอดเยี่ยมและน่าจับตามองจริงๆ
  • ไม่น่าดูเพราะ: หนังนิ่งจนอาจดูแล้วน่าเบื่อ คนที่ไม่ค่อยรู้ประวัติศาสตร์ช่วงนั้นของไอร์แลนด์ดูแล้วอาจมีงง และหนังที่ออกแนวหดหู่ มีแต่ผู้ชายโป๊หุ่นโครงกระดูก ถูกข่มเหงแบบนี้ ย่อมไม่ค่อยจะดึงดูดให้อยากดูกันเท่าไหร่มั้ง





*ช่วงอันเนื่องมาจากหนัง*

พวกเขาคือ IRA นะจ้ะไม่ใช่โจรใต้บ้านเราเน้อ
หลายคนคงงงๆ ว่าใครคือพวก IRA และพวกเขามีอุดมการณ์อย่างไร เดี๋ยวนี้เป็นยังไง ซึ่งเราก็ได้หาประวัติความเป็นมาคร่าวๆ ของพวกเขามาฝากแล้วจ้ะ

IRA (Irish Republican Army) เป็นกลุ่มชาวคริสต์ไอริชนิกายคาทอลิก ซึ่งเริ่มกำเนิดมาจากกลุ่มเล็กๆ ที่คอยก่อความไม่สงบในปี ค.ศ.1916 และจัดตั้งองค์กรขึ้นทำงานในราวทศวรรษ 1920 ในฐานะของผู้อุทิศตนในทางมาร์กซิส ซึ่งมีเป้าหมายในการรวมไอร์แลนด์ให้เป็นชาติลัทธินิยมมาร์กซิส ต่อมาในปี ค.ศ.1969 กลุ่ม Irish Republican Army (IRA) ได้แตกออกเป็นสองกลุ่ม ได้แก่

1.Official IRA ซึ่งเรียกร้องให้มีการเจรจาหยุดยิง และสิ้นสุดการใช้กำลังในปี ค.ศ.1969 ปัจจุบันไม่มีการเคลื่อนไหวก่อความรุนแรงอีก

2.Provisional IRA อุทิศตัวสำหรับการต่อสู้เพื่อให้กองทัพสหราชอาณาจักรถอนกำลังทหารออกจาก Northern Ireland เทคนิคที่ใช้ในการก่อการร้าย ประกอบด้วย การวางระเบิด การลอบสังหาร การลักพาตัวเรียกค่าไถ่ การข่มขู่เรียกค่าคุ้มครอง และการปล้น เป้าหมายโจมตีของกลุ่ม Provisional IRA คือฝ่ายรัฐบาลของสหราชอาณาจักร กองทัพ ทหาร ตำรวจของอังกฤษในไอร์แลนด์เหนือ รวมถึงกองกำลังชาวไอริชที่สนับสนุนหรือเข้าร่วมกับสหราชอาณาจักร การโจมตีส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นในไอร์แลนด์เหนือ Irish Republic, Great Britain และยุโรปตะวันตก อย่างไรก็ตาม กลุ่ม Provisional IRA หรือ PIRA ก็ได้ประกาศหยุดยิงในเดือนสิงหาคมปี ค.ศ.1994


*ลอกข้อมูลมาจาก //www.wing2.rtaf.mi.th/w2data/kkr05.html เน้อ*




 

Create Date : 11 มีนาคม 2553    
Last Update : 11 มีนาคม 2553 22:37:43 น.
Counter : 6392 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  7  8  9  10  11  12  13  14  15  16  17  18  19  20  21  22  23  24  25  26  27  28  29  30  31  32  33  34  35  36  37  38  39  40  41  42  43  44  45  46  47  48  49  50  51  52  53  54  55  56  57  58  59  60  61  62  63  64  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.