Group Blog
 
All blogs
 

The Lego Movie (2014): โก้ไม่โก้ข้าก็คือเลโก้

The Lego Movie (2014): โก้ไม่โก้ข้าก็คือเลโก้

     เลโก้ (Lego ภาษาเดนมาร์กที่แปลว่า Play well) นั้นหรือก็คือของเล่นตัวต่อพลาสติกที่มีต้นกำเนิดจากเดนมาร์กเมื่อ 65 ปีที่แล้ว ซึ่งก็ฮ็อตฮิตติดลมบนจนสามารถครองใจเด็กทุกยุคทุกสมัยเรื่อยมาจนทุกวันนี้

     ส่วนการทำเลโก้เป็นอนิเมชั่นนั้นก็มีมานานแล้ว เพียงแต่ว่าส่วนใหญ่จะทำส่งตรงลงแผ่น จะมีคราวนี้เนี่ยแหล่ะที่คิดการใหญ่ทำเป็นหนังโรง ซึ่งผลตอบรับก็ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามทั้งคำวิจารณ์และรายได้ที่กวาดไปได้กว่า 360 ล้านเหรียญแล้ว

     ไอ้เราที่ไม่ใช่แฟนเลโก้จึงอาจจะดูไม่อินและฟินเท่ากับแฟนพันธุ์แท้ทั้งหลาย แต่ก็ต้องยอมรับล่ะว่า เขาทำออกมาได้ดูสนุกดูเพลินดีแท้ หนังไม่ซีเรียสกับตัวเอง ฮากำลังดี แถมยังกวนโอ๊ยได้ที่ กัดตัวเองซะอีกต่างหาก

     เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการสอดแทรกข้อคิดดีๆ ตามประสาอนิเมชั่นฝรั่ง ที่สอนใจได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่ อย่างการที่ไม่ควรไปปิดกั้นจินตนาการของตนเองและคนอื่น และหนุนใจให้เรากล้าที่จะลุกขึ้นมาคิดต่างคิดสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น

     นี่จึงเป็นอนิเมชั่นเลโก้ที่ทำออกมาเพื่อแฟนๆ ของเลโก้โดยแท้ ซึ่งก็มีทั้งเด็กๆ ในยุคนี้ และคนเคยเด็กที่ทุกวันนี้กลายเป็นพ่อแม่ลุงป้าน้าอาคนไปแล้ว เลโก้คือของเล่นที่อาจแลดูธรรมดาๆ แต่ด้วยจินตนาการที่ไม่สิ้นสุดของคนเรา ทำให้สามารถนำชิ้นส่วนต่างๆ ของมันมาประกอบเข้าด้วยกันจนกลายเป็นสิ่งต่างๆ อันน่าทึ่งได้อย่างไม่สิ้นสุดตามแต่จินตนาการของเราจะพาไปถึง ซึ่งนี่แหล่ะที่ทำให้เลโก้กลายเป็นของเล่นอมตะในใจของคนจำนวนมหาศาลมาจนถึงทุกวันนี้


ให้ไป 7/10 แต่ถ้าคุณเป็นแฟนเลโก้ก็บวกคะแนนพิศวาสเพิ่มเข้าไปได้เลยโลด





 

Create Date : 13 มีนาคม 2557    
Last Update : 13 มีนาคม 2557 19:55:32 น.
Counter : 3046 Pageviews.  

Frozen (2013): ง้อพี่ให้คลายหนาว

Frozen (2013): ง้อพี่ให้คลายหนาว


     อนิเมชั่นลำดับที่ 53 ของ Walt Disney เรื่องนี้เป็นการหวนกลับไปจับเอานิทานคลาสสิกมาดัดแปลงอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้่ถึงคิวนิทานเรื่อง The Snow Queen (ราชินีหิมะ) ของ Hans Christian Andersen บ้างล่ะ

     หลังจากทำหน้าที่ได้ดีเกินคาดใน Wreck-It Ralph (2012) มือเขียนบท Jennifer Lee เลยได้กลับมาเขียนบทและเลื่อนขั้นมาเป็น ผกก.เป็นครั้งแรก ร่วมกับ Chris Buck ซึ่งแม้เรื่องราวของหนังจะไม่ค่อยตื่นเต้นหวือหวามากมายอะไร แต่ทั้งคู่ก็ทำหน้าที่เล่าเรื่องได้อย่างดูดีมีเสน่ห์ ดูเพลิดเพลินไม่มีน่าเบื่อสักนิด

     ที่เป็นเสน่ห์สำคัญของหนังคือบรรดาเพลงประกอบที่ล้วนไพเราะน่าฟังแสนบรรเจิด และเวอร์ชั่นพากย์ไทยก็คัดคนมาร้องมาพากย์ได้น่าฟังไม่แพ้เวอร์ชั่นต้นฉบับเลยทีเดียว

     ดีสนี่ย์ยังคงรักษามาตรฐานของตนเองได้อย่างดีเยี่ยม โดยการเอานิทานมาทำอนิเมชั่นในแบบของตนที่ไม่เน้นหวือหวา เอาใจวัยทีน หรือจริงจังจนเกินเด็ก แต่พอใจที่จะรักษาสูตรสำเร็จและแนวทางดั้งเดิมให้อยู่ระดับกลางๆ ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป แถมด้วยข้อคิดดีๆ ที่แม้ว่าจะเดิมๆ ซ้ำๆ อยู่บ้าง แต่ก็ยังคงใช้ได้เสมอ อย่างในเรื่องนี้ก็คือ 'รักแท้เอาชนะทุกสิ่ง' นั่นเอง


ดีสนี่ย์ ชื่อนี้ไม่ทำให้ผิดหวังอยู่แล้วจ้า สำหรับอนิเมชั่นโลกสวยเด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี (แต่เรื่องนี้เหมาะกับเด็กผู้หญิงมากกว่าใครนะ) ให้ไปเลยโลด 8/10 จ้า ^^





 

Create Date : 08 ธันวาคม 2556    
Last Update : 8 ธันวาคม 2556 5:12:24 น.
Counter : 1713 Pageviews.  

The Garden of Words (2013): ฝนนี้หัวใจมีเรา

The Garden of Words (2013): ฝนนี้หัวใจมีเรา
     สำหรับคออนิเมะแล้วถ้าเอ่ยถึงชื่อของ มาโคโตะ ชินไค ย่อมต้องเรียกเสียงซี้ดซ้าดจากพวกเขาได้เสมอ เพราะเขาคือเจ้าของผลงวานอนิเมชั่นจี๊ดๆ อย่าง The Place Promised in Our Early Days (2004) และ 5 Centimeters Per Second (2007) ที่ได้รับเสียงซูฮกจนถึงขนาดที่เขาถูกขนานนามให้เป็น ฮายาโอะ มิยาซากิ คนใหม่เลยทีเดียว (โห)

      ส่วนนี่คืออนิเมชั่นเรื่องล่าสุดของเขาที่ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่ม ม.ปลายคนหนึ่งที่ชอบโดดเรียนไปนั่งขีดๆ เขียนๆ ในสวนสาธารณะเฉพาะเช้าวันฝนตก กับสาวลึกลับที่มานั่งดื่มเบียร์แกล้มช็อคโกแลตที่นี่เช่นกัน ซึ่งยิ่งเมื่อพวกเขามาเจอะกัน ณ ที่แห่งนี้โดยมิได้นัดหมายมากขึ้นเท่าไหร่ หัวใจของพวกเขาก็ยิ่งเปิดรับซึ่งกันและกันมากขึ้นเท่านั้น ส่วนบทสรุปเรื่องราวของพวกเขาจะเป็นเยี่ยงไร ก็เชิญค้นหาเอาเองตามยถากรรมบ้านใครบ้านมัน

      สิ่งที่เราเคยชื่นชมในตัวของ ผกก.ชินไค มาตลอดก็ยังมีมาให้ชื่นชมในเรื่องนี้ ด้วยการทำให้อนิเมชั่นเล่าเรื่องของคนธรรมดาๆ ทั่วๆ ไป ออกมาได้จี๊ด ไม่ได้แฟนตาซีแซ่บเว่อร์อย่างอนิเมชั่นทั่วๆ ไป ครั้นจะแทรกอะไรโม้ๆ ก็ทำได้อย่างเนียนๆ ซึ่งนี่แหล่ะอีกความพิเศษของอนิเมชั่นญี่ปุ่นที่สามารถเล่าเรื่องราวทุกแง่มุมของชีวิตได้อย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ใช่จ้องแต่เล่าอะไรที่มันจินตนาการฟุ้งอย่างที่ฝรั่งชอบมองอนิเมชั่นให้เป็นอย่างนั้น

      ตัวอนิเมชั่นมีความยาวแค่ 46 นาที โดยมากับสไตล์การเล่าเรื่องแบบนิ่งๆ แต่เอาอยู่ งานด้านภาพ ด้านดนตรี ละเมียด งดงาม ดูสบายตา ยิ่งมาเจอเรื่องราวจี๊ดๆ ในบรรยากาศหน้าฝนแบบนี้ด้วยแล้วยิ่งทำให้ต่อมโรแมนติกพองโต (ดูตอนฝนตกด้วยยิ่งได้อารมณ์บรรเจิด) แม้ว่าตอนจบจะไม่สุดและไม่เกินคาดหมายไปบ้างก็ตามที

ใครชอบอนิเมชั่นภาพสวย เพลงเพราะ เนื้อหาจี๊ดรัก น่าประทับใจล่ะ โป๊ะเช๊ะ ก็ถูกใจใช่เลย จัดไป 7/10 ครับ





 

Create Date : 04 มิถุนายน 2556    
Last Update : 4 มิถุนายน 2556 0:04:27 น.
Counter : 4849 Pageviews.  

The Croods (2013): ครอบครัวตัวจุ้นวุ่นบรรพกาล


The Croods (2013): ครอบครัวตัวจุ้นวุ่นบรรพกาล

     อนิเมชั่นเรื่องยาวลำดับที่ 26 ของ DreamWorks Animation ซึ่งคราวนี้หันมาจูบปากกับ 20th Century Fox โดยต่อจากนี้จะมอบหนังให้ Fox จัดจำหน่ายเป็นระยะเวลา 5 ปี หลังจากเคยแต่ให้ Paramount จัดจำหน่ายหนังให้ตลอด 6 ปีที่ผ่านมาหลังจากที่หากินกับแฟรนไชส์ Shrek, Madagascar, Kung Fu Panda จนจะพรุนอยู่แล้ว พวกเขาจึงต้องพยายามหาหนังแฟรนไชส์ชุดใหม่ให้จงได้ และหลังจากที่ผลงานเรื่องก่อนอย่าง Rise of the Guardians (2012) ไม่ฮิตตูมตามอย่างที่คาด ความหวังจึงมาตกอยู่กับหนังเรื่องล่าสุดนี้ในที่สุด

     ตั้งแต่แรกเห็นเทรลเลอร์หลายคนคงจะเดาทางว่า นี่มัน Ice Age เวอร์ชั่นมนุษย์ถ้ำดีๆ นี่เอง ซึ่งหลังจากที่ได้ดูตัวหนังแล้วก็ต้องยอมรับว่าคล้ายๆ จะเป็นอย่างนั้นจริงๆ ด้วยเรื่องราวของครอบครัวมนุษย์ถ้ำที่ต้องหนีตายจากภัยธรรมชาติถล่มโลกเพื่อไปยังสถานที่ปลอดภัยเพื่อตั้งต้นชีวิตใหม่อีกครั้งหนึ่ง

     ถึงเรื่องราวจะเดิมๆ ซ้ำๆ แต่ยังดีที่สอง ผกก.Chris Sanders และ Kirk De Micco ประสานพลังกันทำให้หนังออกมาดูได้เพลินๆ ดีแท้ ไม่ว่าจังหวะจะโคนของหนังที่เดินเรื่องไวสนุกสนาน มุกตลกบาน ตามประสาหนังเด็ก หรือบรรดาตัวละครที่ถูกออกแบบมาอย่างมีเสน่ห์ทุกตัว (แม้แต่บรรดาสัตว์ทั้งหลายที่ต่างก็มีเสน่ห์น่ารักกันไปคนละแบบ) หรือบทจะซึ้งประทับจิตสอนใจก็ยังทำได้ดีแบบที่บรรดาผู้ปกครองที่นั่งดูกับบุตรหลานคงจะต้องประทับใจไปกับข้อคิดของหนังด้วยได้อย่างแน่นอน


ดังนั้นหนังจึงรอดพ้นจากข้อกล่าวหาการเป็นหนังซ้ำซากน่าเบื่อที่เหมือนจะลอกชาวบ้านเขามา ไปเป็นหนังอนิเมชั่นชั้นดีสำหรับครอบครัวไปในที่สุดด้วยคะแนนเป็นเอกฉันท์ 7/10 ครับ :)





 

Create Date : 08 เมษายน 2556    
Last Update : 8 เมษายน 2556 0:32:11 น.
Counter : 1888 Pageviews.  

From Up on Poppy Hill (2011): ฮักนะ โยโกฮาม่า


From Up on Poppy Hill (2011) :
คราวก่อนป๋า ฮายาโอะ มิยาซากิ ดันลูกชายสุดที่เลิฟ โกโร่ ให้เปิดซิงกำกับอนิเมชั่นเรื่องยาวให้ทางสตูดิโอจิบลิใน Tales from Earthsea (2006) แต่ทว่าตัวหนังดันออกมาสนุกน้อยเกินไปหน่อย หนังเลยไม่ประสบความสำเร็จสักเท่าไหร่เมื่อเทียบกับผลงานที่ผ่านๆ มาของทางสตูดิโอ (แต่ก็ยังทำเงินไปได้บานอยู่ดี)

อนิเมชั่นถวิลหาอดีตจากสตูดิโอจิบลิ
มาคราวนี้ ผกก.โกโร่ มิยาซากิ ขอกลับมาแก้มืออีกครั้ง โดยการนำเอาหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ.1980 มาทำ อันว่าด้วยเรื่องราวความรักของวัยรุ่นคู่หนึ่งที่เรียนโรงเรียนมัธยมแห่งเดียวกันในเมืองโยโกฮาม่า สมัยปี ค.ศ.1963 ขณะญี่ปุ่นกำลังจะได้เป็นเจ้าภาพโอลิมปิกเป็นครั้งแรกในปีถัดไป ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของญี่ปุ่นยุคใหม่หลังจากบอบช้ำจากสงครามโลกครั้งที่สองมาหลายปี

ญี่ปุ่นมุงกำลังฮือฮา
แฟนขาประจำของสตูดิโอจิบลิคงได้ยิ้มแก้มปริ เพราะหนังยังมากับลายเส้นอันเป็นเอกลักษณ์ที่แสนคุ้นเคยกันดี ที่แม้จะใช้ลายเส้นที่เรียบง่ายแต่ใส่ใจในรายละเอียดซึ่งเป็นเสน่ห์ประจำผลงานของสตูดิโอนี้เขาล่ะ ส่วนเนื้อเรื่องนั่นเล่าต้องบอกว่าค่อนข้างจะเรียบๆ แถมออกจะน้ำเน่านิดๆ และเรื่องราวบ้านๆ ของคนธรรมดาๆ ที่ไม่ได้มีอะไรที่มันเหนือจิตนาการชวนให้ตื่นตาตื่นใจแบบนี้จัดว่าหนังอยู่ในหมวดหมู่เดียวกับผลงานของจิบลิอย่าง Only Yesterday (1991) และ Whisper of the Heart (1995) ก็คงได้

พระเอกเรามาดเท่ใช่เล่น
ส่วนจุดที่โดดเด่นที่สุดในหนังคืออารมณ์ 'ถวิลหาอดีต' ที่สามารถพาผู้ชมย้อนยุคไปดูญี่ปุ่นยุค '60 ทั้งรูปแบบความเป็นอยู่ ข้าวของเครื่องใช้ วิวทิวทัศน์ สภาพสังคมสมัยโน้นได้อย่างน่าชื่นชม รวมทั้งประเด็นการมุ่งเน้นย้ำเตือนไม่ให้เราละทิ้งหรือทำลายสิ่งที่ดีงามที่มีมาแต่อดีต แล้วกระโจนไปสู่ความเจิดจรัสแห่งอนาคตหรือรับความเจริญต่างๆ เข้ามาจนลืมรากเหง้าของชาติตนไป

จีบสาวต้องกล้าลงทุน
และที่น่าชื่นชมอีกอย่างคือการได้เห็นว่าคนญี่ปุ่นเนี่ยเวลาจะทำอะไรก็จริงจังดีแท้ อย่างเช่นบรรดาเด็กนักเรียนในชมรมต่างๆ ที่ทุ่มเทให้กับสิ่งที่เขาสนใจอย่างเต็มที่ ซึ่งแม้ว่านี่จะเป็นเพียงการ์ตูน แต่เชื่อว่าในความเป็นจริงแล้วก็คงต้องยอมรับว่าพวกเขาเป็นเช่นนั้นจริงๆ ในแบบที่เป็นละขั้วกับเยาวชนหรือผู้ใหญ่ในบ้านเรายิ่งนัก (แม้แต่ตัวข้าพเจ้าเองก็ตาม)

พระเอกแสดงวีรกรรมจนสาวกรี๊ด
ตัวหนังออกมาประสบความสำเร็จในบ้านเกิดอย่างงดงามจนได้ครองตำแหน่งหนังที่ทำเงินสูงสุดในญี่ปุ่นแห่งปีที่แล้ว และยังได้ครองรางวัลภาพยนตร์อนิเมชั่นยอดเยี่ยมของออสก้าร์ญี่ปุ่นอีกด้วย ซึ่งเราไม่แปลกใจเลยเพราะนี่เป็นหนังอนิเมชั่นโดยคนญี่ปุ่น และเพื่อคนญี่ปุ่นจริงๆ (แต่คนชาติอื่นก็ดูได้) ที่ทั้งผู้ใหญ่ คนสูงอายุ ทั้งลูกเด็กเล็กแดงต่างก็สามารถดื่มด่ำกับเสน่ห์ของอนิเมชั่นเรื่องนี้ได้ ต้องให้มันได้อย่างนี้สิคร้าบสตูดิโอจิบลิ :)

  • + สตูดิโอจิบลิไม่เคยทำให้ผิดหวัง เรื่องนี้ออกแนวถวิลหาอดีตแนวๆ Always - Sunset on Third Street (2005) ถ้าใครชอบหนังสไตล์นี้ล่ะคงจะไม่ผิดหวังกันแน่
  • - เนื้อเรื่องออกธรรมดาๆ เน่านิดๆ ดูแล้วก็ดีแต่ยังไม่ประทับจิตนัก



*ช่วงเพลงในหนัง*
คิว ซากาโมโต้ กับเพลงอมตะของเขาในอนิเมชั่นเรื่องนี้
ในหนังเราจะได้ยินเพลง "Ue o Muite Arukō" (I will walk looking up) กันอยู่หลายครั้ง ซึ่งเพลงๆ นี้หรือที่รู้จักกันในนามเพลง 'Sukiyaki' เป็นเพลงสุดฮิตของนักร้อง/นักแสดงหนุ่ม คิว ซากาโมโต้ ที่นอกจากจะดังในญี่ปุ่นแล้วยังไปขึ้นอันดับหนึ่งบน Billboard Chart ของอเมริกาในปี ค.ศ.1963 ได้เสียด้วย จนนับเป็นเพลงภาษาญี่ปุ่นเพลงแรกและเพลงเดียวที่สามารถทำได้เช่นนี้ ทั้งยังขายแผ่นเสียงได้กว่า 13 ล้านแผ่นทั่วโลก เรียกได้ว่าเป็นเพลงที่คนส่วนใหญ่น่าจะเคยผ่านหูมาบ้างล่ะ (ถ้าได้ฟังคงร้องอ๋อ) เมื่อมาอยู่ในหนังเรื่องนี้เลยสามารถสร้างอารมณ์ถวิลหาให้คนดูได้หวนระลึกถึงความหลังได้เป็นอย่างดี






*รีวิวหนังเรื่องอื่นๆ ของสตูดิโอจิบลิ ภายในบล็อก*




 

Create Date : 29 มิถุนายน 2555    
Last Update : 29 มิถุนายน 2555 21:38:06 น.
Counter : 2142 Pageviews.  

1  2  3  4  5  6  

Nanatakara
Location :
กรุงเทพฯ Thailand

[Profile ทั้งหมด]

ฝากข้อความหลังไมค์
Rss Feed
Smember
ผู้ติดตามบล็อก : 43 คน [?]




  • Friends' blogs
    [Add Nanatakara's blog to your web]
    Links
     

     Pantip.com | PantipMarket.com | Pantown.com | © 2004 BlogGang.com allrights reserved.